Advertisement
ผักปลังชื่อสมุนไพร ผักปลัง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น ผักปั๋ง (ภาคเหนือ) , ผักปลังแดง , ผักปลังขาว ,
ผักปลังใหญ่ (ภาคกึ่งกลาง) , ลั่วขุย (จีนแมนดาริน) , เหลาะขุ้ย โปแดงฉ้าย (จีนแต้จิ๋ว) , มั้งฉ่าว (ม้ง)
ชื่อสามัญ East Indian spinach, Malabar nightshade , Ceylon spinach ,Indian spinach
ชื่อวิทยาศาสตร์ Basella alba L. (ผักปลังขาว)
Basella rubra L.(ผักปลังแดง)
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ B. lucida L., B. cordifolia Lam., B, nigra Lour., B. japonica Burm.f.,
สกุล Basellaceae
บ้านเกิดเมืองนอน
ผักปลัง เป็นพืชที่มีบ้านเกิดในแถบแอฟริกา แล้วก็มีการกระจัดกระจายประเภทในทวีปเอเชีย ดังเช่นว่า จีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ ในประเทศไทย เป็นพืชซึ่งมักพบ ดูเหมือนจะทุกภาค ทั้งยังประเภทที่มีลำต้นสีเขียวที่เรียกว่า ผักปลังขาว และก็ประเภทลำต้นสีแดงซึ่งเรียกกันว่า ผักปลังแดง รวมทั้งพบบ่อยในหมู่บ้านหรือตามนามากยิ่งกว่าในป่า มักพบในภาคเหนือแล้วก็อีสาน ส่วนภาคใต้ไม่ค่อยพบ เพราะไม่เป็นที่นิยมสำหรับเพื่อการกินจึงไม่มีการปลูกไว้ตามบ้านเมือง
ลักษณะทั่วไป ไม้เถาเลื้อยล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ สะอาด กลม แตกกิ่งก้านสาขา ยาวราวๆ 2-6 เมตร ถ้าลำต้นมีสีเขียว เรียกว่า “ผักปลังขาว” มีใบสีเขียวเข้ม ส่วนประเภทลำต้นสีม่วงแดง เรียกว่า “ผักปลังแดง” มีใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสีม่วงแดง ใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกสลับ รูปไข่ หรือรูปหัวใจ ใบกว้าง 2-8 ซม. ยาว 2.5-12 ซม. ใบอวบน้ำ มีลักษณะเป็นมันครึ้มนุ่มมือ ฉีกให้ขาดง่าย ข้างหลังใบและก็ท้องใบเกลี้ยงไม่มีขน ขยี้จะเป็นเมือกเหนียว ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบของใบเรียบ ก้านใบยาว 1-3 ซม. ดอกเป็นดอกช่อเชิงลด ออกตรงซอกใบ ยาว 3-21 ซม. ดอกย่อยจำนวนไม่น้อย ขนาดเล็ก ไม่มีก้านชูดอก แต่ละดอกมี 5 กลีบ ผักปลังขาวออกดอกสีขาว ผักปลังแดงออกดอกสีม่วงแดง ยาวประมาณ 4 มม. มีใบแต่งแต้มเล็ก 2 ใบ ติดที่โคนของกลีบรวม กลีบรวมรูประฆัง ยาว 0.1-3 มม. โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นห้าแฉกเล็กน้อย เกสรเพศผู้มีปริมาณ 5 อัน ติดที่ฐานของกลีบดอกไม้ อับเรณูรูปกลม ยาว 0.1-0.5 มม. ติดก้านชูเกสรที่ด้านหลัง ก้านชูเกสรเพศผู้ เป็นแท่งยาว 0.1-1 มม. เกสรเพศเมีย 1 อัน กลม ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปแท่งปลายแหลม ยาว 0.1-0.5 มิลลิเมตร รังไข่ 1 ช่อง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปค่อนข้างรี ยาว 0.1-0.5 มม. ก้านยกเกสรเพศเมีย ยาว 0.1-0.5 มม. ผลได้ผลสำเร็จสด รูปร่างกลมแป้น ฉ่ำน้ำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 มิลลิเมตร ผิวเรียบ ปลายผลมีร่องแบ่งเป็นลอน ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงอมดำ เนื้อด้านในนิ่ม ข้างในผลมีน้ำสีม่วงดำ เมล็ดคนเดียว
การขยายพันธุ์ ผักปลังสามารถขยายได้ 2 แนวทางหมายถึงการเพาะเม็ดรวมทั้งปักชำ ในการเพาะเมล็ดนั้นขั้นตอนแรกจำเป็นต้องตระเตรียมหลุมก่อนแล้วค่อยหยอดเมล็ดพันธุ์ (ที่ตากแห้งแล้ว) ลงไป หลุมละ 2 -3 เม็ด โดยให้ระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร รวมทั้งระหว่างแถว 40 เซนติเมตร แล้วก็เมื่อต้นอายุได้ 20 – 25 วันให้ทำค้างเพื่อเถาเลื้อยขึ้น ส่วนการปักชำนั้น ทำเป็นโดยนำกิ่งแก่ที่มีข้อ 3 – 4 ข้อ ยาวราว 15 – 20 เซนติเมตร เด็ดใบออกให้หมดแล้วปักชำในดินร่วนหรือดินผสมทรายที่มีความชื้น และก็มีแสงอาทิตย์รำไรในตอนนี้ให้หมั่นรดน้ำอย่าให้ดินแห้ง โดยประมาณ 7 วัน จะแตกรากและก็เริ่มผลิใบใหม่ออกมาในระยะนี้ระวังอย่างให้น้ำมากมายเพราะว่ารากจะเน่าแล้วอีก 15 – 20 วัน ให้เถาเลื้อยเกาะขึ้นไป
การดูแลแล้วก็บำรุงรักษา การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 1,2 เมื่อต้นพืชอายุได้ 20-25 วัน , 40-45 วัน, ควรจะให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยธรรมชาติที่ผ่านการดองแล้ว ส่วนการให้น้ำ ควรจะให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้พอเหมาะพอควรกับพืชไม่สมควรให้แห้งหรือแฉะมากจนเกินไป ช่วงเวลาในการเก็บเกี่ยว อายุการเก็บเกี่ยว 35-40 วัน ก็เก็บยอดได้แล้ว และผักปลังอายุ 90-100 วัน จะเริ่มออกดอก และถ้าแก่ 120 วัน ผลเริ่มแก่ (สังเกตผลจะเป็นสีดำ) ก็สามารถเก็บเม็ดภายในผลแก่ไว้เพาะพันธุ์ถัดไปได้
ส่วนประกอบทางเคมีใบผักปลังมีกรดอะมิโน ที่ประกอบไปด้วย Lysine, Leucine, Isoleucine แล้วก็สารพวก Glucan, Polysaccharide ประกอบไปด้วย D-galactose, L-arabinose, L-rhamnose, Uronic acid ต้นพบสาร Glucan, Glucolin, Saponin, โปรตีน, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, แร่, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก
ที่มา : wikipedia
นอกเหนือจากนั้นยังเจอสารต่างๆอีกมากมาย เป็นต้นว่า สารกรุ๊ปฟีนอลิก สารกรุ๊ปบีทาเลน (จากผลสุกสีม่วงดำ) ยกตัวอย่างเช่น บีทานิดินมอโนกลูโคไซด์, กอมเฟรนีน สารค้างโรทีนอยด์ ดังเช่นว่า นีออกแซนธิน, ไฟวโอลาแซนธิน, ลูเทอิน, ซีแซนธิน, แอลฟา รวมทั้งเบต้าแคโรทีน สารมูก (mucilage) องค์ประกอบเป็นพอลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ละลายน้ำ สารกลุ่มซาโปนิน ดังเช่น basellasaponin (เจอที่ลำต้น), betavulgaroside I, spinacoside C, momordin II B, momordin II C
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของผักปลังมีดังนี้ ผักปลังสด 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 21 กิโลแคลอรี มี น้ำ 93.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม โปรตีน 2.0 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม กาก(ใยอาหาร) 0.8 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มก. วิตามินเอ 9,316 IU วิตามินบี 1 0.07 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.20 มก. ไนอาสิน 1.1 มิลลิกรัม และก็วิตามินซี 26 มิลลิกรัม ส่วนในใบผักปลังแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 306.7 กิโลแคลอรี่ มีขี้เถ้า 15.9 กรัม โปรตีน 27.7 กรัม ไขมัน 3.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 42.1 กรัม เส้นใย 11.3 กรัม แคลเซียม 48.7 มก. ธาตุเหล็ก 21.5 มก. วิตามินซี 400 มก.
คุณประโยชน์/สรรพคุณใช้เป็นอาหาร ผัก ยอดผักปลัง ใบอ่อน และก็ดอกอ่อน ใช้รับประทานเป็นอาหาร อาทิเช่น ต้มหรือลวกกินกับน้ำพริก หรือใช้ดอกผักปลังปรุงเป็นแกงส้ม ของกินท้องถิ่นล้านนาใช้เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความข้นหนืดในน้ำแกง ผักปลังนอกเหนือจากการที่จะนำมาใช้เป็นของกินแล้วในปัจจุบันยังมีการนำมาทำสินค้าต่างๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น น้ำสมุนไพรผักปลัง รวมถึงมีการศึกษาเล่าเรียนการใช้คุณประโยชน์จากสีของผลผักปลังดังเช่นว่า ใช้แต่งสีอาหารและก็ของหวานต่างๆอีกด้วย ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของผักปลังนั้นมีดังนี้
ตำราเรียนยาไทย อีกทั้งต้น รสเย็น ต้มดื่มแก้ขัดเบา แก้ท้องผูก ลดไข้ โขลกพอกแก้ขี้กลาก ผื่นคัน แก้พิษไข้ทรพิษ แก้อักเสบ ใบ มีรสหวานเหม็นเบื่อ ระบายท้อง ขับเยี่ยว แก้บิด แก้อักเสบ แก้โรคกระเพาะอักเสบ แก้กลาก แก้ผื่นคัน ฝี ดอก รสหวานเบื่อ ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน ดับพิษฝีดาษ แก้เกลื้อน คั้นเอาน้ำทาแก้หัวนมแตกเจ็บ ต้น รสหวานเอียน แก้อึดอัดแน่นท้อง ระบายท้อง แก้พิษฝีดาษ แก้พิษฝี แก้อักเสบบวม ต้มดื่มแก้ไส้ติ่งอักเสบ ราก รสหวานเอียน แก้ตัวเท้าด่าง แก้รังแค แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องผูก แก้พรรดึก ใช้ทาถูนวดให้ร้อนเพื่อเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่ทาให้มากขึ้น น้ำคั้นรากเป็นยาช่วยหล่อลื่นด้านใน และก็ขับดำของเดือนปัสสาวะ อินเดีย ใช้ต้น แก้ผื่นคัน ผื่นคัน แผลไฟลุก ต้นและก็ใบ ใช้แก้มะเร็งเม็ดสีผิว มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งช่องปาก ประเทศบังคลาเทศ ต้นใช้ตำพอกหน้า คุ้มครองปกป้องสิว รวมทั้งกระ
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นมีผลการศึกษาวิจัยระบุว่าสารออกฤทธิ์ในผักปลังมีสรรพคุณตามกรุ๊ปของสารต่างๆดังต่อไปนี้
สารกรุ๊ปบีทาเลน เป็นกลุ่มสารประกอบสีม่วงดำของเนื้อผลผักปลังสุก มีสารบีทานิดินมอโนกลูวัวไซด์เป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือสารอนุพันธุ์ต่างๆของกอมเฟรนีนซึ่งละลายน้ำได้ สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ และก็ใช้เป็นสารแต่งสีอาหารที่มีความปลอดภัยกว่าการใช้สีสังเคราะห์
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ อาทิเช่น นีออกแซนธิน ไฟวโอลาแซนธิน ลูเทอิน (iutein) ซีแซนธิน (Zeaxanthin) แอลฟาแคโรทีน (α-carotene) แล้วก็เบตาแคโรทีน (β-carotene) เนื่องมาจากร่างกายใช้สารแคโรทีนอยด์สำหรับเพื่อการสังเคราะห์วิตามินเอเพราะฉะนั้นการกินผักปลังเป็นประจำจะเพิ่มปริมาณวิตามินเอภายในร่างกายได้ เหมาะสมกับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ นอกนั้นแคโรทีนอยด์ยังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระอีกด้วย
กรุ๊ปกรดไขมัน น้ำมันจากเมล็ดผักปลังมีกรดไขมันหลายอย่าง อาทิเช่น กรดขว้างลมิติก รกดสเตรียริก กรดโลเลอีก รวมทั้งกรดลิโนเลอิก
สารเมือก (mucilage) พบในทุกๆส่วนของต้น สารเมือกมีส่วนประกอบของพอลีย์แซคาไรด์ที่ละลายน้ำ มีทรัพย์สินเป็นยาระบายอ่อนๆในพืชบางจำพวกพบว่าสารเมือกมีฤทธิ์ immunomodulator ฤทธิ์ป้องกันเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อในกระเพาะอาหารแล้วก็ยั้งการหลั่งกรด ส่วนการใช้ในทางเวชสำอาง สารเมือกมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวน้อยลง ช่วยสมาน รักษาไม่ถูกแห้งผื่นคัน รวมทั้งลดอาการระคายเคือง
กรดอะมิโนและเพปไทด์ กรดอะมิโน ตัวอย่างเช่น อาร์จีนีน ลิวซีน (leucine) ไอโซลิวซีน ทรีโอนีน และก็ทริโทแฟน ส่วนสารเพปไทด์ที่มีฤทธิ์ทางด้านชีววิทยา อาทิเช่น โปรตีนที่ยับยั้งการทำงานของไรโบโซมในวิธีการสังเคราะห์โปรตีนในเมล็ดผักปลังซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสชนิด Artichoke-mottled crinkle virus (AMCV) ในต้นยาสูบโดยยั้งขั้นตอนเลียนแบบกรรมพันธุ์ของไวรัส ก็เลยอาจนำไปเป็นนวทางในการพัฒนายาต้านทานไวรัสถัดไปในอนาคต นอกนั้นยังมีสารแอลฟาบาสรูบริน (α-basrubrins) แล้วก็สารอนุภาคบีตาบาสรูบริน (β-basrubrins) ซึ่งเป็นเพปไทด์จากเม็ดผักปลังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราชนิด Botrytiscinerea, จำพวก Fusarium oxysporum, แล้วก็ประเภท Mycosphaerella arachidicola โดยการยับยั้งวิธีการสร้างโปรตีนในเชื้อรา
สารกรุ๊ปไทรเทอร์พีนแซโพนิน เป็นต้นว่า สารบาเซลลาเซโพนิน (basellasaponins) ซึ่งเจอในส่วนของก้านลำต้นของผักปลัง บีตาวุลการโรไซด์ (betavulgaroside I) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สไปท้องนาวัวไซด์ซี (spinacoside C), มอมอร์ดินทูบี (momordin IIb) แล้วก็มอมอร์ดินทูซี (momordinIIc)
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม เอามาต้มกับน้ำให้ข้นแล้วกิน ช่วยแก้ท้องผูก รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆที่เหมาะสำหรับเด็กรวมทั้งสตรีตั้งครรภ์ โดยนำมาต้มกินเป็นของกินจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้ แล้วก็มูกที่อยู่ใน
ผักปลังจะมีคุณลักษณะเป็นยาระบายอ่อนๆช่วยแก้ขัดค่อย ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้ใบสด 60 กรัมเอามาต้มกับน้ำดื่มแบบชาต่อหนึ่งครั้ง แพทย์เมือง (ภาคเหนือ) จะใช้ใบผักปลังเอามาตำอาหารสารเจ้า ใช้เป็นยาพอกแก้โรคมะเร็งไข่ปลา ใบและผลเอามาขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยหรือแผลที่ มีลักษณะเป็นแผลไหม้ก็จะช่วยทุเลาอาการรวมทั้งทำให้รู้สึกเย็นขึ้นได้ น้ำคั้นจากดอกใช้เป็นยาทาแก้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน แก้เกลื้อน รักษาฝี ด้วยการกางใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็น โดยให้เปลี่ยนแปลงยาวันละ 1-2 ครั้ง แก้อาการปวดแขนขา ด้วยการกางใบสด ยอดอ่อน 30 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา สารสกัดผักปลังด้วยน้ำผสมกับสารสกัดจากใบของ Hi-biscus macranthus มีผลเพิ่มน้ำหนักตัวของหนู และเพิ่มน้ำหนักของถุงน้ำเชื้ออสุจิ (seminal vesicle) ช่วยเพิ่มการผลิตแล้วก็ความก้าวหน้าของตัวน้ำอสุจิ แล้วก็ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดมากขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ซึ่งบางทีอาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยในรายที่เป็นหมันเพราะเหตุว่าการมีตัวอสุจิน้อย
สารสกัดในผักปลังด้วยน้ำสามารถยับยั้งการก่อมะเร็งตับในหนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดโรคมะเร็งด้วยสารเอ็น ไนโตรโซไดเอหนลามีน (NDEA) แล้วก็คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CCI) ได้โดยลดการทำลายของเซลล์ตับ ซึ่งวัดได้จากระดับเอนไซม์ในตับอาทิเช่น แกมมา-กลูตามิลทรานสเปปทิเดส (GGT) ซีรัมกลูทามิกออกซาโลแอซีติกทรานสแอมิเนศ (SGOT) ซีรัมกลูทามิกงามวิกทรานสแอมิเนศ (SGPT) รวมทั้งอัลคาไลน์ ฟอสฟาเทส (ALP) ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าธรรมดา และยังส่งผลลดการเกิดปฏิกิริยาเพอคอยกสิเดชันของไขมัน (lipidperoxidation) โดยมองจากระดับของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD) ค้างทาเลส กลูตาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (GPX) ภายในร่างกายใกล้เคียงกับค่าปรกติ
สารสกัดจากผักปลังในอาหารเพาะเลี้ยงเซลล์ม้ามของหนูถีบจักร (primary mouse splenocyte cultures) มีผลทำให้เพิ่มการหลั่ง IL-2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วก็ส่งผลการเรียนทางเภสัชวิทยาอีกชิ้นหนึ่งกล่าวว่า จากการวิเคราะห์รงควัตุของสารสกัด 80% เอทานอลจากผลผักปลัง เจอ gomphrerin I รงควัตถุสีแดงเป็นรงควัตถุหลัก ในผลผักปลังสด 100 กรัมเจอ gomphrerin I ถึง 3.6 กรัม นอกเหนือจากนี้ยังเจอรงควัตถุสีแดงอื่นๆดังเช่น betanidin-dihexose และ isobetanidin-dihexose แล้วก็เมื่อศึกษาค้นคว้าฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของ gomphrerin I ที่ความเข้มข้น 180, 23, 45 รวมทั้ง 181 ไมโครโมลาร์ พบว่ามีค่าต่อต้านอนุมูลอิสระเท่ากันกับโทรลอกซ์ ขนาด 534 ไมโครโมลาร์, butylated hydroxytoluene (BHT) 103 ไมโครโมลาร์, ascorbic acid 129 ไมโครโมลาร์และ BHT 68 ไมโครโมลาร์ตามลำดับ แล้วก็มีการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยให้สารสกัด 80% เอทานอลขนาดความเข้มข้น 25, 50 รวมทั้ง 100 ไมโครโมลาร์แก่เซลล์ murine macrophage ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสามารถยับยั้งการสร้าง nitric oxide ซึ่งการยับยั้งนี้จะมากเพิ่มขึ้นตามขนาดความเข้มข้นของสารสกัด และสารสกัดจากผลผักปลังที่ความเข้มข้น 100 ไมวัวลโมลาร์มีผลลดการหลั่ง prostaglandin E2 และก็ interleukin-1β ของเซลล์ แล้วก็ยั้บยั้งการสังเคราะห์ยีนที่เกี่ยวพันกับการเกิดการอักเสบ เช่น nitric oxide synthase, cyclooxygenase-2, interleukin-1β, tumor necrosis factor-alpha และ interleukin-6 จากการทดลองทั้งสิ้นนี้แสดงให้ว่า gomphrerin I รงควัตถุสีแดงที่เจอในผลผักปลังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระรวมทั้งต้านทานการอักเสบที่มีประสิทธิภาพแล้วก็สามารถนำผลผักปลังไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการได้
นอกนั้นยังส่งผลการค้นคว้าวิจัยพบว่าสารมูกมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อกระเพาะ รวมทั้งยั้งการหลั่งกรด ลดการอักเสบที่ผิว ลดการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่ผิว ช่วยสมานรักษาผิวแห้ง ผื่นคัน ลดอาการระคายเคืองที่ผิวได้อีกด้วย
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา ในการศึกษาทางพิษวิทยาของผักปลังนั้นยังมีน้อยมากที่พอเพียงจะมีข้อมูลในหัวข้อนี้อยู่บ้างก็คือ มีการทำการค้นคว้าของนักค้นคว้าประเทศอินเดียที่ได้เผยแพร่ผลวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบผลของสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำในหนูถีบจักรทดสอบ ด้วยการกรอกสารสกัดน้ำของใบในขนาด 100-200 มิลลิกรัมต่อกิโลน้ำหนักตัวให้ตัวทดลองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผลปรากฎว่าไม่พบว่ามีความผิดปกติของค่าทางเลือดวิทยา ส่วนการทดลองในหนูขาวที่รับประทานสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอล ,น้ำ และเฮกเซน ต่อเนื่องกัน 1 สัปดาห์ พบว่าหนูขาวที่ได้รับสารสกัดด้วยเอทานอลและก็เฮกเซนจากใบผักปลัง จะมีจำนวนน้ำย่อยอะไมเลสมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งสำหรับการช่วยลดสภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้
คำแนะนำ/ข้อควรคำนึง ด้วยเหตุว่าผักปลั่งเป็นผักที่เรารู้จักรวมทั้งนำมาทำเป็นของกินรับประทานกันอยู่เป็นประจำแล้ว ในการเอามากินเป็นอาหารนั้นคงจะไม่มีผลกระทบอะไรกับสุขภาพ แต่ถ้าหากใช้ผักปลังในรูปแบบสารสกัดหรือในรูปแบบอื่นๆนั้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอาจจำเป็นต้องขอความเห็นแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญถึงขั้นรวมทั้งวิธีใช้ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง- โชติอนันต์ และคณะ ,รักษาโรคด้วยสมุนไพรใกล้ตัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์The Knowledge Center; 2550 หน้า 215-8
- Bolognesi A, Polito L, Olivierif F, Valbonesi P, Barbieri L, Battelli MG et al. New ribosome-inactivating proteins with polynucleotide:adenosine glycosidase and antiviral activities from Basella rubra L. and Bougainvillea spectabilis Willd. Planta 1997;203:422-9
- สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน.ผักพื้นบ้าน ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย.กรุงเทพฯ โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 2538 หน้า 168-9
- ผักปลัง ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบราชธานีAkhter S, Abdul H, Shawkat IS, Swapan KS, Mohammad SHC Sanjay SS. A review on the use of non-timber forest products in beauty-care in Bangladesh. J Forestry Res 2008;19:72-8.
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ “ผักปลัง”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 499-501.
- หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม “ผักปลัง”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 179.
- กรมส่งเสริมการเกษตร. (2550). ผักพื้นบ้าน. ค้นวันที่ 10 มิถุนายน 2550 http://www.disthai.com/[/b]
- ชื่นนภา ชัชวาล.นาฎศรี นวลแก้ว.ผักปลัง ผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ.คอลัมน์บทปริทัศน์.วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทยืทางเลือก.ปีที่7.ฉบับที่2-3 พฤษภาคม – ธันวาคม 2552 . หน้า 197-200
- Saikia AP, Ryakala VK Sharma P, Goswami P, Bora U. Ethnobotany of medicinal plants used by Assamese people for various skin ailments and cosmetics. J Ethnopharmacol 2006;106:149-57
- กัญจนา ดีวิเศษและคณะ, ผู้รวบรวม. (2548). ผักพื้นบ้านภาคเหนือ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ บรรณาธิการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย.
- Khare CP. Indian medicinal plants: an illustrated dictionary. New York: Springer Science Business Media; 2007. p. 84.
- Jin YL, Ching YT. Total phenolic contents in selected fruit and vegetable juices exhibit a positive correlation with interferon-γ, interleukin-5, and interleukin-2 secretions using primary mouse splenocytes. J Food Compos Anal 2008;21:45-53.
- Choi EM, Koo SJ, Hwang JK. Immune cell stimulating activity of mucopolysaccharide isolated from yam (Dioscorea batatas). J Ethnopharmacol 2004;91:1-6.
- หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักปลัง”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 350.
- Maisuthisakul P, Pasuk S, Ritthiruangdej P. Relationship of antioxidant properties and chemical composition of some Thai plants. J Food Compos Anal 2008;21:229-40
- Raju M, Varakumar S, Lakshminarayana R, Krishnakantha TP, Baskaran V. Carotenoid composition and vitamin A activity of medicinally important green leafy vegetables. Food Chem 2007;101:1598-1605
- . Dweck AC. The internal and external use of medicinal plants. Clin Dermatol 2009;27:148-58
- Reddy GD, Kartik R, Rao CV, Unnikrishnan MK, Pushpangadan P. Basella alba extract act as antitumour and antioxidant potential against N-nitrosodiethylamine induced hepatocellular carcinoma in rats. Int J Infectious Diseases 2008;12 Suppl 3:S68
- Toshiyuki M, Kazuhiro H, Masayuki Y. Medicinal foodstuffs. XXIII. Structures of new oleanane-type triterpene oligoglycosides, basellasaponins A, B, C, and D, from the fresh aerial parts of Basella rubra L. Chem Pharm Bull 2001;49:776-9.
- Jadhav RB, Sonawane DS, Surana SJ. Cytoprotective effects of crude polysaccharide fraction of Abelmoschus esculentus fruits in rats. Pharmacogn Mag 2008;4:130-2.
- Glassgen WE, Metzger JW, Heuer S, Strack D. Betacyanins from fruits of Basella rubra. Phytochemistry 1993;33:1525-7
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักปลัง”. [26 เม.ย. 2014].
- Draelos ZD. Botanicals as topical agents. Clin Dermatol 2001;19:474- 7
- Shahid M,. Akhtar JM, Yamin M, Shafiq MM. Fatty acid composition of lipid classes of Basella rubra Linn. Pak Acad Sci 2004;41:109-12
- Haskell MJ, Jamil KM, Hassan F, Peerson JM, Hossain MI, Fuchs GJ et al. Daily consumption of Indian spinach (Basella alba) or sweet potatoes has a positive effect on total-body vitamin A stores in Bangladeshi men. Am J Clin Nutr 2004;80:705-714
- Moundipa FP, Kamtchouing P, Kouetan N, Tantchou J, Foyang NPR, Mbiapo FT. Effects of aqueous extracts of Hibiscus macranthus and Basella alba in mature rat testis function. J Ethnopharmacol 1999;65:133-9
- Hexiang W, Tzi BN. Antifungal peptides, a heat shock protein-like peptide, and a serine-threonine kinase-like protein from Ceylon spinach seeds. Peptides 2004;25:1209-14
- ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของรงควัตถุสีแดงในผักปลัง,ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล