โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 75 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
penpaka2tory
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13922


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 11, 2018, 05:57:31 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


กรุ๊ปบุคคลผู้ที่เสี่ยงต่อกาเป็นวัณโรค[/url][/size][/b]

  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ที่พบมากเป็นผู้เจ็บป่วยเอดส์ (ได้โอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงปริมาณร้อยละ 50 หรือมากยิ่งกว่าร้อยละ 10 ต่อปี) โรคเบาหวาน ไตวาย คนที่รับประทานยาสตีรอยด์นานๆหรือใช้ยาเคมีบำบัดรักษา คนป่วยติดเชื้อบางชนิด (ดังเช่น ฝึกฝน ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น) คนที่ทนทุกข์งานหนักหรือมีความเครียดสูง
  • ผู้ติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ไม่ได้กินอาหาร คนพเนจร
  • คนที่อยู่ในสถานที่แออัดคับแคบ การถ่ายเทอากาศไม่ดี ดังเช่น เรือนจำ ศูนย์ย้ายถิ่น เป็นต้น
  • ผู้ที่สัมผัสสนิทสนมกับผู้เจ็บป่วยเป็นระยะนาน เป็นต้นว่า สมาชิกในบ้านคนไข้ เพื่อนร่วมห้องพัก หรือห้องทำงาน
  • บุคลากรสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลผู้เจ็บป่วย
  • คนแก่ (เจออุบัติการณ์สูงในกลุ่มวัยมากยิ่งกว่า 65 ปี)
  • ทารกแรกเกิด

วิธีการรักษาวัณโรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนใดส่วนหนึ่งมักไม่มีอาการแสดงที่กระจ่าง การวินิจฉัยก็เลยจึงควรใช้หลักฐานหลายอย่างประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง ได้แก่ ไข้ต่ำๆเบื่อข้าว น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เฉพาะ คนไข้มีลักษณะอาการป่วยและก็ไอนานเกิน 1-2 อาทิตย์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงการทำงานของปอดในช่วงเวลาที่หายใจ
แล้วหมออาจทำตรวจพื้นฐานด้วยแนวทางตรวจคัดเลือกกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้แนวทางของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิต้านทานของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยหมอจะกระทำการฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน จากนั้นราวๆ 48-72 ชั่วโมง จะต้องกลับมาให้แพทย์หรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าหากรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มม. แสดงว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ได้ผลลบ) แต่ว่าถ้าเกิดรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป แสดงว่าบุคคลน่าจะติดเชื้อวัณโรค (ให้ผลบวก) และต้องทำการตรวจอื่นๆ
ทางห้องทดลองที่ช่วยวิเคราะห์วัณโรคเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดได้แก่ พบการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสลด ควรจะทำในคนไข้ทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย ยืนยันการวินิจฉัย โดยจะเก็บเสลดเช้าตรู่หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันติดต่อกัน จะรู้ผลด้านในราวๆ 30 นาที แต่ว่ามีข้อเสียเป็น วิธีแบบนี้มีโอกาสตรวจเจอเชื้อวัณโรคได้เพียงแต่ราวกึ่งหนึ่งของผู้ป่วย เพียงแค่นั้น โดยเหตุนี้ผู้เจ็บป่วยที่ตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสลดก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ข้อดีคือ แนวทางนี้สามารถตรวจเจอเชื้อได้มากถึง 80 - 90% ของคนป่วย แต่จำต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนก็เลยทราบผล
เมื่อแพทย์วิเคราะห์ว่าเป็นวัณโรคปอด แพทย์จะให้ยารักษาวัณโรค โดยปกติจะนิยมใช้สูตรยารับประทาน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 จำพวก ตัวอย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะสิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราซิที่นาไมด์ (pyrazinamide) และก็อีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายบางทีอาจใช้ สเตรปโตไมสินประเภทฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท ตัวอย่างเช่น ไอเอ็นเอช แล้วก็ไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
    หมอจะย้ำเตือนให้ผู้เจ็บป่วยกินยาให้ตามกำหนดวันแล้ววันเล่า ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน สั่งย้ำให้พี่น้องดูแลให้คนไข้รับประทานยาได้เป็นประจำ ไม่งั้นอาจส่งผลให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้เรื่อง หรือจะต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น    ส่วนคนเจ็บที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นเสียแต่ให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสเอดส์แล้ว ยังจำต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนแปลงสูตรยาที่ต่างกันออกไป) เป็นระยะเวลานาน 9 เดือน
    หมอจะนัดผู้ป่วยมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยทั่วไปเมื่อใช้ยาได้ 2 สัปดาห์ ลักษณะของการมีไข้แล้วก็ไอจะเริ่มทุเลา รับประทานข้าวได้ และน้ำหนักขึ้น
    แพทย์จะทำตรวจเสลด (ดูว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นระยะๆดังเช่น เมื่อรับประทานยาครบ 2 เดือน 5 เดือน แล้วก็เมื่อจบการใช้ยารักษา นอกจากนั้นบางทีอาจทำการเอกซเรย์ปอดมองว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
    ส่วนคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ดังเช่นว่า คนเจ็บดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อกินยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจก่อให้ตับอักเสบได้ หมอจะกระทำตรวจเลือดดูระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (AST, ALT) เพื่อดูว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นไหม
ทั้งนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทยเป็นการเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การรักษาหายขาดเป็นไปได้ยากขึ้น แล้วก็บางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกถึงชีวิตได้ทั้งในเด็กแล้วก็คนแก่ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานยาที่ไม่สม่ำเสมอของผู้เจ็บป่วยอันเนื่องมาจากปัญหาหลายอย่าง อาทิเช่น การที่จำต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (อย่างน้อย 6 เดือน) ทำให้ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการบางส่วนหยุดยาหรือไม่มีตามนัด หรือในรายที่บางทีอาจทนผลข้างเคียงของยาไม่ได้จึงหยุดยาเอง ฯลฯ
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ขยายได้ทางอากาศ จากคนป่วยที่เป็นวัณโรคปอดและก็กล่องเสียง การติดเชื้อมีต้นเหตุที่เกิดจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของคนไข้ ซึ่งมีเหตุมาจากการไอหรือจาม บอกหรือร้อง ฯลฯ การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อจึงสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้นานรวมทั้งไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบฟุตบาทหายใจที่ถุงลมของปอดและก็บางทีอาจเกิดการติดโรคที่ปอดและก็แพร่เชื้อสู่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสโลหิตได้
                ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อขึ้นอยู่กับจำนวน หรือความเข้มข้นของเชื้อกลางอากาศและระยะเวลาในการสัมผัสเชื้อคืออยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับผู้เจ็บป่วยเป็นวันหรืออาทิตย์ เช่นอยู่ห้องเดียวกัน ฯลฯ วัณโรคเป็นโรคติดโรคที่มีลักษณะพิเศษเป็น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรือรับเชื้อเข้าไปในร่างกายทุกรายไม่มีความจำเป็นต้องเจ็บไข้เป็น ไม่มีอาการและก็อาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การต่อว่าดเชื้อเวลานี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปิดบัง/ระยะแอบแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection)  เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปภายในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อไปเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ราวๆ ร้อยละ 10ซึ่งโดยประมาณร้อยละ 5  (หรือราวๆ จำนวนร้อยละ50) ได้โอกาสเป็นโรคในช่วง 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกร้อยละ 5   จะมีโอกาสเป็นโรคต่อจากนั้นถ้าเกิดร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันปกติ ในกรุ๊ปที่มีภูมิต้านทานภายในร่างกายผิดพลาดจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากยิ่งกว่าร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค

  • กินยาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ หากระหว่างการรักษามีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ทันที ห้ามหยุดยาเอง หรือเปลี่ยนที่รักษาใหม่หลังกินยา 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นแต่อาการที่ดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว ต้องกินยาจนแพทย์มีความเห็นว่าหายขาดและสั่งให้หยุดยา ถ้าด่วนหยุดยาเองโรคจะกำเริบและเชื้ออาจดื้อยาที่เคยรักษาอยู่ ทำให้รักษาหายยากขึ้น
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
  • บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ทำลายเชื้อโรคในเสมหะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • งดสิ่งเสพติดเช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประ โยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
  • ให้บุคคลใกล้ชิดเช่น คนในบ้านพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเอกซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติจะถือว่าไม่เป็นวัณโรคไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็ก เล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
  • ในช่วงแรกของการรักษา (โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก) จะถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจึงควรแยกตัวออกให้ห่างจากผู้อื่น โดยการอยู่แต่ในบ้าน แยกห้องนอน ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้แสงแดดส่องถึง (เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี) หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดด และไม่ออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้ยังควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหากด้วย (หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นหรือเข้าไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเสมอ)
  • ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกลับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรแยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว

การป้องกันตนเองจากวัณโรค

  • ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายๆหรือค่ำๆ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  • ประชาชนทั่วไป ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรย์ปอดหรือตรวจเสมหะ (AFB) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
  • ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผู้ป่วยยังกินยารักษาวัณโรคได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายจากอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนในห้องเดียวกับผู้ป่วย และถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเสมอ รวมถึงต้องล้างมือทุกครั้งหลังการสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของๆผู้ป่วย
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าให้ผลเป็นบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค
  • ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) (Beeilus Calmette Guerin)ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกันวัณโรค ชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมี โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้

    ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
    สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
    เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ.2556. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม.2556.พิมพ์ที่สำนักกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมรารูปถัมภ์.186 หน้า
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์.วัณโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 323.คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง.มีนาคม 2549
  • วัณโรค-อาการ,สาเหตุ,การรักษา http://www.disthai.com/[/b]
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 424-429.
  • วัณโรค.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วัณโรคปอด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 380.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม 2553
  • รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาสถานการณ์วัณโรคและโรคเอดส์ปี2550-2555สำ นักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.
  • กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางระดับชาติ:ยุทธศาสตร์การผสมผสานการดำ เนินงานวัณโรคและโรคเอดส์เพื่อการควบคุมและป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่2กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2546
  • ศิริลักษณ์ อภิวาณิชย์,ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร์ ,กำธร มาลาธรรม.การเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรในทีมสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.วารสารรามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่18ฉบับที่2.กันยายน-ธันวาคม 2555.หน้า273-286
  • Jarvis, W.    (2007). Tuberculosis. In   W.    R.   Jarvis (Ed.), Bennett & Brachman's hospital infections (pp.539-560). Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins.
  • วัณโรค.แผ่นพับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะกรรมการแผ่นพันเพื่อการประชาสัมพันธ์.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2552.
  • เจริญ ชูโชติถาวร. (2548). โรคติดเชื้อ ใน พรรณทิพย์ ฉายากุล และคณะ (บก.), ตําาราโรคติดเชื้อ 1 (หน้า 683-719). กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง
  • Centers for Disease Control and    (2005a). Guidelinesfor  preventing  the  transmission  of  Mycobacterium tuberculosis  in  health-care  settings,  2005. Retrieved March 16,    2011, from Morbidity and    Mortality Weekly Report Web site:
  • Kumar V, Abbas AK, Fausto N, Mitchell RN (2007). Robbins Basic Pathology (8th ed.). Saunders Elsevier. pp. 516– ISBN 978-1-4160-2973-1.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
aokpl02539
หัดขับ
*

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 34


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2018, 08:54:01 am »

โรควัณโรค เกิดจากอะไร

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ