มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 17 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
powad1208
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 64


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2018, 09:02:16 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
มะขา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะลูบคลำ (โคราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
บ้านเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในขณะนี้ ต่อจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกลงในแถบประเทศอินเดีย รวมถึงในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียและประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีบ้านเกิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา แล้วก็เป็นที่รู้จักดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏเนื้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยบิดาขุนรามคำแหง ที่พูดถึงมะขามอยู่หลายแห่ง อย่างเช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนไหนสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น  จากหลักฐานดังกล่าวก็เลยอาจจะบอกได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจัดกระจายประเภทเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  นอกนั้นมะขามยังเป็นพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงทนทาน รวมทั้งเป็นต้นไม้ที่แก่ยืนยาวมากมาย ในประเทศศรีลังกามีแถลงการณ์ว่าพบมะขามที่มีอายุมากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ มั่นใจว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนสามเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจจะเจ้าวัดวัดแค ว่า
“ตำราพิชัยสงครามล้วนวิชาความรู้บางทีก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกอย่างไปเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะมากมั่นใจว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในขณะนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่สามเณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามเป็นต่อแตนในครั้งกระโน้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.ม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.มัธยม กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางทีก็เว้าเข้านิดหน่อย ฐานใบ 2 ข้างเว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบสีแดงเข้ม ริมกลีบมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากส่วนกลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมาก ฝักทรงกระบอก แบนเล็กน้อย ยาว 3-14 เซลเซียสม. กว้าง 2 ซ.มัธยม เปลือกนอกสีเทา ภายในมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบเป็นมัน มีดอกในตอนเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยธรรมดา มะขามสามารถแพร่พันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แต่ปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อกิจการค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงนิยมนำมาปลูกจากต้นชนิดที่ได้จากการตอน แล้วก็การแทงยอดเป็นหลัก เพราะเหตุว่าสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงแต่ไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก ทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยแนวทางนี้จะมีลำต้นไม่สูงเหมือนการเพาะเมล็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดแจง และก็การเก็บผลิตผลซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้

  • การเตรียมแปลง ตระเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน แล้วก็หญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน หลังจากนั้น ค่อยไถกลบอีกที แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 เซนติเมตร กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นประเภทที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเมล็ด ควรที่จะทำการเลือกขนาดต้นพันธุ์ที่สูงราว 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยธรรมชาติหรืออุปกรณ์ทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 ซม. ก่อนนำต้นชนิดลงปลูก พร้อมกลบดิน แล้วก็รดน้ำให้เปียก จากนั้น ให้นำฟางข้าวมาวางหุ้มรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังการปลูกแล้วจะทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะแรกเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง จากนั้น ค่อยให้ต่ำลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ทั้งนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยหากเป็นตอนๆฤดูฝนไม่ต้อง

การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้ตราบจนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งช่วงนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลิตผล ความถี่การใส่ปุ๋ยโดยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ดังนี้ ควรจะใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกคราวหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลตอบแทน
                ยิ่งกว่านั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น ดังเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ทวีปอาฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะเมืองไทยรวมทั้งประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะขามจำนวนมาก
องค์ประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเม็ดมะขามมีอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งเล็กน้อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นมูก  (mucilaginous material) 60% เช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณามององค์ประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และก็ไฟเบอร์ 11.3% โดยที่เม็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้า 4.2% แล้วก็คาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเมล็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) และก็โกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบเป็นสิสเทอีนแล้วก็เมทไธโอนีน อยู่สูงถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกเหนือจากนั้นเปลือกเม็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีกล่าวว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกแยกแยะได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นคะเตวัวแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) แล้วก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามประเภทแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามชนิดอื่นๆมีเม็ดสีชนิดแอนทอลแซนตำหนิน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามราวปริมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตินเล็กน้อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) แค่นั้น และในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.152 มิลลิกรัม Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มก.
  • ธาตุโซเดียม 28 มก. Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มก.

ผลดี/สรรพคุณ ประโยชน์ที่ได้รับมาจากมะขามอย่างแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะกินใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับปรุงอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมากมาย ใช้เข้าครัวไทยที่อยากรสเปรี้ยว ดังเช่น แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง และก็ต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกจากนั้นยังใช้ในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ ดังเช่นว่า น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก และก็น้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ดังนี้มะขามฝักอ่อนรวมทั้งใบมะขามอ่อน ก็นำมาทำอาหารได้เหมือนกัน อีกทั้งยังสามารถนมะขาม
มาทำผลิตภัณฑ์ดัดแปลงได้อีกหลายแบบ ได้แก่ มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , แล้วก็ไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , แล้วก็แชมพูมะขาม เป็นต้น  ส่วนผลดีด้านอื่นๆก็มีอีกอาทิเช่น แก่นไม้มะขาม สำหรับคนประเทศไทยแล้วเขียงกว่าจำนวนร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เพราะเหตุว่ามีคุณสมบัติสมควรกว่าไม้อื่นๆอาทิเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือพิษที่จะปนไปกับอาหาร นอกจากยังหาง่ายอละคงทนอีกด้วย เว้นเสียแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะสำหรับทำครก สาก เพลา รวมทั้งดุมเกวียน ใช้กลึงหรือสลัก แม้เอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นของกินได้หลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่นว่า คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง เอามาเพาะให้งอกก่อน (ราวกับถั่วงอก) แล้วก็ค่อยนำไปทำกับข้าว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกนั้นเมล็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดิบได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบแล้วก็ฝักอ่อน ปรุงเป็นของกินกินแก้ร้อนในหน้าร้อน แก้อาการเบื่ออาหารและก็ของกินไม่ย่อยในช่วงฤดูร้อนลดระดับความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยและก็ปัสสาวะตรากตรำ น้ำต้มจากใบให้เด็กรับประทานขับพยาธิ รวมทั้งเป็นประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคตับเหลือง ใบสด ใช้พอกบริเวณเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเน่าเรื้อรัง รวมทั้งใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงแล้วก็แก้ไข้ ,แก้ท้องเดิน , สมานแผล เนื้อห่อเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเนื่องจากกรดตาร์ตาริค แต่ถ้าเอาไปต้มกระทั่งสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกเหนือจากนี้ยังใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยสำหรับการย่อย ขับลม ขับเสมหะ , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากกินน้ำ ทำให้มีชีวิตชีวา ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  และก็เป็นยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งให้กินในรายที่ท้องผูกบ่อยๆ แก้พิษสุรา ของกินไม่ย่อย อาเจียน เจ็บป่วยและท้องร่วง เนื้อในเม็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยสำหรับการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่ออาหาร แพ้ท้อง อาเจียนอ้วก ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มห่อเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้รับประทาน  แก้พิษสุรา ขับเสมหะ ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเม็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเม็ด แล้วกินน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดแล้วก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้อาการท้องอืดแน่น อาหารไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนถึงเป็นขี้เถ้าขาว กินครั้งละ 60-120 มิลลิกรัม และก็ยังใช้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากกลั้วคอ แก้คอเจ็บและปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อห่อเมล็ดรับประทานครั้งละ 15 กรัม ช่วยสำหรับการย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาอาการท้องผูก       สามารถทำได้ 3 วิธี เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเสีย ท้องเดิน ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลแดงเป็นเงา 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการเปลี่ยนไปจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด กินทีละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียแล้วก็อ้วกและใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เม็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนกระทั่งนิ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานแล้วก็การบูรบางส่วน ใช้ดื่มแก้ไข้รวมทั้งอาการอักเสบต่างๆตัวอย่างเช่น ไม่สบาย อาหารไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องเสีย รวมทั้งใช้แก้ลมแดดเจริญ ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดแจงโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการเบื่ออาหาร (สมรรถนะของยาชง จะมากขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานรวมทั้งการบูร ช่วยเพิ่มรส) รวมทั้งในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อหุ้มเมล็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเม็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาติเตียนสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากล้างคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยทำให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยทั้งวัน มะขามแฉะและดินสอพองผสมจนถูกกัน เอามาพอกหน้าทิ้งไว้ราว 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับผ่องใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามแฉะผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยทำให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูสวยดูดีดูสดใส
[/b]
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่กำหนดขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.กรัม แล้วก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ได้ผลยั้งเชื้อ S. aureus กำกวม ในเวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มิลลิลิตร ได้ผลยับยั้งเชื้อดังที่กล่าวถึงมาแล้วต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และสารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่ระบุขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนแล้วก็สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. รวมทั้งสารสกัดน้ำ ไม่กำหนดส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli แล้วก็ Salmonella typhi แต่ว่าสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม แล้วก็สารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดลองรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรสำหรับในการบริโภคในไก่ คือ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) แล้วก็ลดภาวการณ์ออกซิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็ดีการศึกษาอีกฉบับกล่าวว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่กล่าวมาข้างต้นพบผลร้ายคือ ดื่มน้ำมากเพิ่มขึ้นและมีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กมากขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาวิจัยแนะนำว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากโพลีแซคคาไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้รวมทั้งเพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่เจอพิษ แต่หนูถีบจักรเพศภรรยาที่กินอาหารผสมดังที่กล่าวมาข้างต้นขนาด 1.2 รวมทั้ง 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่อาทิตย์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) กินอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% และ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักต่ำลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิภาวะหมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 รวมทั้ง 4 ไก่กลุ่มที่ทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพรุนแรงกว่าไก่กรุ๊ปที่ทานอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และก็ total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ปกติในช่วง 2 อาทิตย์ภายหลังไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางเลือดวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศเมียรวมทั้งเพศผู้กินอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 รวมทั้ง 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางชีวเคมีในปัสสาวะและเลือด ผลของการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ รวมทั้งพยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กก. นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน ตรงเวลา 90 วัน ไม่เจอความผิดปกติอะไรก็แล้วแต่ความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กิโลกรัม/วัน และก็ในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กก./วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงสู่กระเพาะของกินหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงไปยังกระเพราะอาหารหนูขาวเพศเมีย ขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ว่าไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
ข้อเสนอ/ข้อควรพิจารณา

  • สำหรับเพื่อการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยยิ่งไปกว่านั้นมะขามสุก)นั้นควรที่จะเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อรา เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินไปอาจก่อให้เป็นผลกระทบกับร่างกายได้อาทิเช่น ท้องเดิน ท้องเสีย
  • การบริโภคมะขามไม่ควรหวังผลสำหรับการรักษา/สรรพคุณของมะขามมากจนเกินไปควรจะบริโภคแม้กระนั้นพอดิบพอดีและไม่ควรบริโภคต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการศึกษาที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดความอ้วนได้ โดยเหตุนี้จึงไม่ควรใช้มะขามมาลดน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/[/b]
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเทพวิ



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ