มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 19 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2018, 06:09:43 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
มะขา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ตะลูบคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
ถิ่นกำเนิด เชื่อกันว่ามะขามมีบ้านเกิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน หลังจากนั้นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ภายในแถบประเทศอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และเป็นที่รู้จักดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏเนื้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่พูดถึงมะขามอยู่หลายแห่ง เป็นต้นว่า ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนใดสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น  จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจัดกระจายพันธุ์เข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งไปกว่านี้มะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางรวมทั้งฯลฯไม้ประจำจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามเป็นต้นไม้แข็งแรงแข็งแรง แล้วก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมากมายชนิดหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าพบมะขามที่มีอายุมากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนสามเณรแก้วเรียนวิชากับคุณครูคงจะเจ้าอาวาสวัดแค ว่า
“อีกทั้งตำราพิชัยสงครามล้วนวิชาความรู้อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไปทั้งยังเสกใบมะขามได้เปรียบแตน”
มีชาวสุพรรณฯ จำนวนไม่น้อยมั่นใจว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในปัจจุบัน เป็มะขาม
ต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกเสกใบมะขามได้เปรียบแตนในครั้งนั้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.ม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.ม. กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือครั้งคราวก็เว้าเข้าบางส่วน ฐานใบอีกทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดแตกต่างกัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ขอบกลีบมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากส่วนกลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 เซลเซียสม. กว้าง 2 เซลเซียสมัธยม เปลือกนอกสีเทา ด้านในมีเม็ด 3-10 เม็ด เม็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลแดงเรียบเป็นมัน ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธ.ค.
การขยายพันธุ์  โดยปกติ มะขามสามารถขยายพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยนิยมปลูกจากต้นประเภทที่ได้จากการตอน และการทิ่มยอดเป็นหลัก เพราะว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีหลังการปลูก อีกทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ รวมทั้งการเก็บผลิตผลซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้

  • การเตรียมแปลง ตระเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อจากนั้น ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำการขุดหลุมปลูกไว้ในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 ซม.
  • การปลูก ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเม็ด ควรเลือกขนาดต้นจำพวกที่สูงโดยประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยก้นหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยธรรมชาติหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือเกิน 25-30 เซนติเมตร ก่อนนำต้นชนิดลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียกแฉะ ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังจากการปลูกแล้วจะทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในช่วงแรกเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรจะให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้ลดลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ บางทีอาจไม่ให้น้ำเลยถ้าเกิดเป็นช่วงหน้าฝนไม่ต้อง

การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นก็เลยเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยราว ปีละ 2-3 ครั้ง ดังนี้ ควรจะใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกคราวภายหลังจากการปลูกแล้วราวๆเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลตอบแทน
                ยิ่งกว่านั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น อย่างเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเซียอาคเนย์ และอาฟริกา  ก็เลยนับว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับมะขามมากมาย
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเมล็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีปริมาณไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งนิดหน่อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นมูก  (mucilaginous material) 60% ตัวอย่างเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์มองส่วนประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % ขี้เถ้า 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเม็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) และก็โกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ ซิสเทอีนและเมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกเหนือจากนั้นเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จัดประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นค่ะเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  รวมทั้งในใบมะขามเจอกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และกรดมาลิก (Malic acid) ยิ่งไปกว่านี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีหัวหน้าไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามชนิดแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามชนิดอื่นๆมีเม็ดสีพวกแอนทอลแซนว่ากล่าวน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามโดยประมาณปริมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนว่ากล่าวนบางส่วน ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) แค่นั้น และก็ในเปลือกเม็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะขามีดังนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มก.
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มิลลิกรัม Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มก.

ประโยชน์/สรรพคุณ คุณประโยชน์ซึ่งมาจากมะขามอย่างแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามแฉะไว้สำหรับทำกับข้าว มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมาก ใช้ทำอาหารไทยที่อยากรสเปรี้ยว เป็นต้นว่า แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง รวมทั้งต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกนั้นยังใช้สำหรับในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายชนิด อย่างเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก และก็น้ำพริกคั่วแห้ง ฯลฯ
ดังนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็เอามาประกอบอาหารได้เช่นกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าแปรรูปได้อีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และก็เหล้าองุ่นมะขาม ผงมะขาม , สบู่ , รวมทั้งยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนผลดีด้านอื่นๆก็มีอีกตัวอย่างเช่น แก่นไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เนื่องจากว่ามีคุณลักษณะสมควรกว่าไม้อื่นๆตัวอย่างเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับของกิน นอกจากนี้ยังหาง่ายอละคงทนอีกด้วย นอกเหนือจากใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา รวมทั้งดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ ถ้าเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) ประยุกต์ใช้เป็นอาหารได้หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง นำมาเพาะให้แตกออกก่อน (เหมือนถั่วงอก) แล้วนำไปทำครัว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกเหนือจากนั้นเมล็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยระบุว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารกินแก้ร้อนในหน้าร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารรวมทั้งของกินไม่ย่อยในฤดูร้อนลดระดับความดันโลหิต น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยและปัสสาวะลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ รวมทั้งมีสาระในคนเป็นโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ปวดเมื่อย, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , รักษาแผล เนื้อห่อหุ้มเม็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเนื่องจากกรดตาร์ตาริค แต่ถ้าหากเอาไปต้มจนสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกเหนือจากนี้ยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้แจ่มใส ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  แล้วก็เป็นยาฆ่าเชื้อ และก็ให้กินในรายที่ท้องผูกบ่อยๆ แก้พิษสุรา ของกินไม่ย่อย คลื่นไส้ เจ็บป่วยแล้วก็ท้องร่วง เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยในการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
แบบ/ขนาดการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่อข้าว แพ้ท้อง อ้วกอ้วก ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้รับประทาน  แก้พิษเหล้า ขับเสมหะ ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเม็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเมล็ด แล้วกินน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดและก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสลด แก้ท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินกระทั่งเป็นขี้เถ้าขาว กินครั้งละ 60-120 มิลลิกรัม แล้วก็ยังใช้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากบ้วนปาก แก้คอเจ็บและปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มเมล็ดรับประทานทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 แนวทาง เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลปนแดงวาว 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการเปลี่ยนไปจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อห่อเม็ด รับประทานครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องร่วงแล้วก็คลื่นไส้รวมทั้งใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เม็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนถึงนุ่ม แล้วกินครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและการบูรน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้รวมทั้งอาการอักเสบต่างๆตัวอย่างเช่น ป่วย ของกินไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องเดิน และใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม ตระเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการเบื่อข้าว (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานแล้วก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) รวมทั้งในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อห่อหุ้มเม็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อหุ้มห่อเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาว่ากล่าวสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากบ้วนปากแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาเช็ดตัวเบาๆช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่นตลอดทั้งวัน มะขามแฉะและก็ดินสอพองผสมจนเหมาะ เอามาพอกหน้าทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสรวมทั้งสะอาดเพิ่มขึ้น  มะขามแฉะผสมกับน้ำอุ่นแล้วก็นมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส
[/b]
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. และก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ให้ผลยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน เวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ให้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาข้างต้นต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% แล้วก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และสารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli และ Salmonella typhi แต่ว่าสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และก็สารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรในการบริโภคในไก่เป็น100 มิลลิกรัมต่อโล โดยซึ่งสามารถลดความเคร่งเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดภาวะออกสิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็แล้วแต่การศึกษาอีกฉบับแถลงการณ์ว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่รับประทานเม็ดมะขามดังกล่าวข้างต้นพบผลร้ายคือ กินน้ำมากเพิ่มขึ้นและมีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้วิจัยแนะนำว่ามีต้นเหตุมาจากโพลีแซคคาไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้แล้วก็เพศเมียที่กินอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่พบพิษ แต่หนูถีบจักรเพศภรรยาที่กินอาหารผสมดังกล่าวขนาด 1.2 รวมทั้ง 5% จะมีน้ำหนักลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% และ 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักลดน้อยลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพเป็นมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ รวมทั้ง cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ไก่กลุ่มที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพร้ายแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มมากขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase แล้วก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และก็ total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาในตอน 2 สัปดาห์ภายหลังขาดอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศภรรยารวมทั้งเพศผู้กินอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 รวมทั้ง 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางชีวเคมีในฉี่และก็เลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และพยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่รับประทานสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 กรัม/กก. นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF ทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่พบความแปลกใดๆความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กก./วัน และก็ในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มก./กิโลกรัม/วัน ไม่เจอพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงไปในกระเพาะของกินหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กิโลกรัม ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ นำไปสู่การกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรพิจารณา

  • สำหรับเพื่อการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะมะขามสุก)นั้นควรจะเลือกมะขามที่ไม่มีเชื้อรา ด้วยเหตุว่าบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินไปอาจจะส่งผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อย่างเช่น ท้องเดิน ท้องเดิน
  • การบริโภคมะขามไม่ควรหวังผลสำหรับในการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินความจำเป็นควรจะบริโภคแม้กระนั้นพอดีและไม่ควรจะบริโภคต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการศึกษาเรียนรู้ที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ ฉะนั้นจึงไม่ควรใช้มะขามมาลดน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/[/b]
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ