สอนทำเบเกอรี่ มาการอง ของของหวานสีสันผ่องใส หลักสูตรเปิดร้านเบเกอรี่ อาหารญี่ปุ

[Posthizzt555]

Advertisement

สอนทำเบเกอรี่ มาการอง ของขนมสีสันสดใส  หลักสูตรเปิดร้านเบเกอรี่ อาหารญี่ปุ่น   เรียนทำขนมปั� ทำเค้ก, เรียนทำเค้ก เบเกอรี่ฝรั่งเศส
 
ทำไมธุรกิจร้านเบเกอรี่ถึงน่าลงทุน
สามารถทำผู้เดียวได้ เพราะว่าหากพวกเราเริ่ม จากการรับขนมจากที่อื่นมาขาย นั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ้างผู้ช่วย ซึ่งคนเดียวก็สามารถดูแลร้านได้เอง ทั้งสิ้น ไม่ต้องลงทุนสำหรับในการว่าจ้างลูกจ้าง และวุ่นวายกับคนจำนวนมาก
-เดี๋ยวนี้ ร้านเบเกอรี่ นั้น กับ Lifestyle ของคนรุ่นใหม่ เพราะคนสมัยใหม่นิยม ไปนั่งตามร้านค้าของหวาน เพื่อพักผ่อน นั่งคุย สนทนากับเพื่อน หรือนั่งอ่านหนังสือ เพื่อบรรเทา การเปิดร้านของหวานแบบเต็มแบบอย่าง จึงตอบปัญหาข้อนี้ได้ แล้วก็ทำรายได้ให้กับธุรกิจได้ อย่างมาก อย่างแน่แท้
-ความนิยมเบเกอรี่ ของคนรุ่นหลัง ที่มีเวลาน้อย เลือกรับประทานเบเกอรี่เป็น อาหารจานด่วน หรือรองท้อง หลายท่านคงเคยทราบคำว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” เมื่อคุณเดินทางไกล หรืออยู่ในชั่วโมงเร่งด่วน ไม่อาจจะหาที่นั่งรับประทานอาหารได้ การกินขนมที่ซื้อข้างทาง จะช่วยให้คุณคลายหิวไปได้ ก่อนที่จะคุณจะทำธุระเสร็จ รวมทั้งไปกินอาหารมื้อใหญ่ต่อไป
การเตรียมความพร้อมก่อนลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่
ก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจอะไรก็ตามก็จำเป็นต้องมีการเตรียมให้พร้อมกั่น ซึ่งธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดก็ไม่ได้แตกต่างกัน จำเป็นมากที่ผู้ร่วมลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาถึงความพร้อมก่อนจะมีการลงทุน ซึ่งอาทิเช่น
เงินลงทุน
สำคัญเป็นลำดับหนึ่งก็เนื่องจากเงินทุนคือปัจจัยหลักที่จะช่วยทำให้การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อนจะมีการผลิตเบเกอรี่เป็นไปด้วยดี จำนวนเงินลงทุนย่อมนานับประการตามรูปแบบของธุรกิจว่าอยากให้ออกมาในลักษณะใด ซึ่งก็จำต้องพินิจพิจารณารวมทั้งพิเคราะห์ตามกำลังของตัวอง เพราะเหตุว่าด้วยทั่วๆไปแล้วการลงทุนในขั้นแรกจะเน้นหนักไปที่สิ่งของปกรณ์ ซึ่งถือได้ว่าเงินลงทุนคงที่ แล้วก็จะได้ผลทดแทนกลับมาภายในช่วงเวลาไม่นาน ดังนั้นควรที่จะเลือกใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่คุณภาพดี มีการค้ำประกัน แม้ว่าจะราคาสูงแต่มั่นอกมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ
ส่วนทุนอีกอย่างทีเรียกกันว่าเงินลงทุนเปลี่ยนแปลงแปร เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับเช่าพื้นที่ ค่าขนส่ง หรือค่าใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงได้ นับว่าพวกนี้เป็นเงินลงทุนที่นักลงทุนเองจำต้องจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเงินลงทุนสามารถหมุนเวียนได้อย่างไม่ขัดข้อง
-วิชาความรู้ความชำนิชำนาญ
จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดมากมาย เนื่องจากควรทำความเข้าใจถึงใอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และก็วัตถุดิบทุกๆอย่างสำหรับการทำเบเกอรี่ ควรจะทำความเข้าใจว่าแป้งมีกี่ประเภท น้ำตาลหรือวัตถุดิบตัวอึ่นๆมีคุณลักษณะเช่นไรใช้เป็นส่วนประกอบในเบเกอรี่แต่ละประเภทเพื่ออะไร ยิ่งไปกว่านี้ยังจำต้องฝึกซ้อมแล้วก็เชี่ยวชาญสำหรับเพื่อการทำ เบเกอรี่มากพอที่จะควบคุมประสิทธิภาพรวมทั้งรสชาติได้ เพื่อให้ของหวานที่ผลิตมีคุณภาพแล้วก็รสที่เช่นเดียวกัน
ในช่วงเวลานี้ มีสถานศึกษาสอนทำเบเกอรีล้นหลาม เราสามารถเลือกเรียนได้ ได้ตามต้องการ อีกทั้งสามารถเลือกเฉพาะวิชาที่พอใจได้ ซึ่งโดยมากแม้เขาเรียนเพียงแต่คอร์สเดียวก็สามารถเอามาปรับใช้แล้วก็ทำขายได้ทันที แล้วก็การเรียนรู้สูตรและกระบวนการทำจากเพื่อนพ้องหรือวงศ์วาน ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ต้องเลยค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าห้องเรียนกับโรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ต่างๆ
-ศึกษาเล่าเรียนตลาดและก็คู่ต่อสู้
ผู้ผลิตควรศึกษาเรียนรู้ถึงสภาวะการตลาดเพื่อแนวทางการทำความเข้าใจสำหรับเพื่อการดำเนินธุรกิจของเรา ควรศึกษาเรียนรู้ว่ากาตลาดเบเกอรี่ในช่วงนั้นๆเป็นอย่างไร มีกลุ่มคู่ต่อสู้จำนวนราวๆกี่ราย แล้วก็แต่ละรายมีจุดเด่นข้อเสียอะไรบ้าง แล้วก็เราต้องหาจุดแข็งของพวกเรา รวมทั้งปรับวิธีการเพื่อให้สู้กับคู่ต่อสู้ให้ได้ การ มองหา ร้านค้าสำหรับฝากขายมีความหมายมากมายสำหรับในการที่จะช่วยทำให้ธุรกิจของเราก้าวไปด้านหน้าหรือจะถอยหลัง ร้านค้าที่เห็นสมควรให้ความสนใจคือร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน มีทำเลดี มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าไว้พร้อม มีการขยับเขยื้อนของจำนวนลูกค้าและก็หมุนวนผลิตภัณฑ์ตลอดวัน รวมทั้งทางร้านมีทิศทางที่จะช่วยนำเสนอสินค้าของพวกเรา เพื่อไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเราถูกกักไว้เพื่อรอคอยส่งคืนคืนสิ่งเดียว
-หาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสมเรื่องราคาและคุณภาพ
การซื้อวัตถุดิบสำหรับเฉพาะวิธีการทำเบเกอรี่ ย่อมทำให้ได้วัตถุดิบที่ราคาแพงถูกกว่าซื้อตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป และยังคงได้เครื่องมือสำหรับในการทำเบเกอรี่อย่างสมบูรณ์
รูปแบบของธุรกิจร้านขนมปัง อาชีพอิสระ รายได้ดี
-รับขนมจากที่อื่นๆมาขาย
Bakery ยี่ห้อ HOME ของมหาวิทยาลัยราชภัฎ สวนดุสิต เป็นตัวอย่างสุด Classic ของ ร้านขนมปัง ลักษณะนี้ เราจะเห็นคนนำขนมยี่ห้อ HOME มาเดินขายตามที่ต่างๆหรือจัดโต๊ะขายก็ตาม รูปแบบนี้เป็นแบบอย่างที่เริ่มต้นง่าย เพียงแต่ไปรับของหวาน และก็นำมาตั้งขาย ไม่ต้องจมทุนไปกับการซื้อเครื่องอบขนม ไม่ต้องเปลืองแรงทำ และก็ของหวานที่ขายอร่อยแน่นอน
- ทำของหวานขายเอง
หากคุณมีเงินทุนเพิ่มมากขึ้นมาหน่อย และก็เคยไปเรียนทำ Bakery มา หรือมั่นอกมั่นใจในฝีมือ ธุรกิจร้านขนมปังประเภทนี้ จะทำเงินได้มากกว่า เนื่องจากเราไม่ต้องไปรับขนม มาจากที่อื่นๆ ซึ่งมีต้นทุนที่ซื้อมา แพงกว่าขนมที่พวกเราทำเองอย่างแน่นอน แต่ก็จำต้องลองชั่งน้ำหนักดูว่า เงินลงทุนที่ลงเพิ่มไป จะคุ้มกับรายได้ที่ได้มากขึ้นมาหรือไม่
- ร้านขนมปังพร้อมที่นั่ง แบบเต็มต้นแบบ
ถ้าเกิดไม่ต้องการขายเพียงแค่ Bakery อย่างเดียว รวมทั้งรู้สึกว่าของหวานที่สร้างขึ้นมา มีดีกว่าแค่จะเป็นร้านค้าทั่วๆไป ก็เปิดร้านเบเกอรี่พร้อมที่นั่ง แบบเต็มรูปแบบได้เลย เนื่องจากว่าราคาขนมจะขายได้แพงกว่า 2 แบบแรก โดยมีจุดหมาย ให้เป็นจุดนัดพบ สำหรับมาทานขนม นั่งคุยกัน หรือนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งเข้ากับ Lifestyle ของคนรุ่นหลังด้วย
 
สูตรคัพเค้ก
คัพเค้กเรดเวลเว็ท
สำหรับใครที่เคยลองชิมเค้กเรดเวลเว็ทมาแล้วติดใจอยากทำเสิร์ฟแขกในงานปาร์ตี้บ้าง แต่ถ้าทำชิ้นใหญ่คงไม่เหมาะขอย่อขนาดลงเป็นคัพเค้กเรดเวลเว็ทสูตรจากคุณปูขาเก เซมารู มีจุดเด่นที่เนื้อเค้กรสช็อกโกแลตแต่มีสีแดงสด โปะครีมชีส ทำเสิร์ฟในถ้วยกระดาษสีแดงดูเข้ากันจริง ๆ บอกได้คำเดียวว่าเริด
ส่วนผสม คัพเค้กเรดเวลเว็ท
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อนแล้วตวง) 3+1/2 ถ้วย
 - เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชา
 - เกลือป่น 1+1/2 ช้อนชา
 - ผงโกโก้ 1/4 ถ้วย
 - ไข่ไก่ (ขนาดใหญ่) 3 ฟอง
 - น้ำตาลทราย 1+3/4 ถ้วย
 - น้ำมันดอกคาโนลา 2 ถ้วย
 - กลิ่นวานิลลา 1+1/2 ช้อนชา
 - บัตเตอร์มิลค์ 1+1/3 ถ้วย
 - น้ำส้มสายชู 2 ช้อนชา
 - สีผสมอาหารสีแดง 1 ออนซ์
 - พิมพ์คัพเค้ก 24 ถ้วย
หมายเหตุ :
- เค้กกำมะหยี่นี้ตามปกติเขาใส่น้ำส้มสายชูลงไปด้วย จะทำให้เค้กฟู นุ่ม ชุ่มละมุนละไม เพราะน้ำส้มสายชูจะไปทำปฏิกิริยากับเบกกิ้งโซดา ทำให้เกิดฟองอากาศเล็ก ๆ ในส่วนผสม ขณะที่เราตะล่อมส่วนผสมอยู่จะทำให้เค้กที่ได้เบา ฟูฟ่อง นุ่ม นวลเนียนดุจดังแพรกำมะหยี่
 - ถ้าไม่มีบัตเตอร์มิลค์ ให้ใช้นมสดจืด 1-1/3 ถ้วย ผสมน้ำมะนาว 1-1/2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ส่วนผสมจะข้นขึ้น หรือใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ขนาด 4-6 ออนซ์ ผสมกับนมให้ได้ปริมาณเท่าบัตเตอร์มิลค์ 1-1/3 ถ้วย
 - ใช้น้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน จะได้ไม่มีกลิ่นน้ำมันติดขนม
 - สีผสมอาหารสีแดงในสูตรต้นฉบับใช้ 3 ออนซ์ แม่ปูใช้ 1 ออนซ์ สีก็แดงอย่างสุดขีดแล้วค่ะหรือจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ก็อาจเป็นไปได้
วิธีทำคัพเค้กเรดเวลเว็ท
1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ เตรียมไว้
 2. ร่อนแป้งเค้ก เกลือ เบกกิ้งโซดา และผงโกโก้เข้าด้วยกัน พักไว้ก่อน
 3. ตอกไข่ไก่ใส่ลงในอ่างผสมขนาดใหญ่ จากนั้นตีด้วยตะกร้อไฟฟ้า ใช้ความเร็วปานกลางจนขึ้นฟู
 4. ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีจนส่วนผสมข้นเป็นครีม ใช้เวลาตีประมาณ 5 นาที จากนั้นยกตะกร้อขึ้นให้ส่วนผสมไหลลงเห็นเป็นรอยพับ
 5. ค่อย ๆ เทน้ำมันใส่ลงในอ่างผสมไข่ ตีส่วนผสมให้เข้ากัน ตามด้วยกลิ่นวานิลลาลงไป ส่วนผสมที่ได้จะข้น ๆ
 6. ใส่สีผสมอาหารสีแดงลงไปทั้งหมด ตีส่วนผสมให้เข้ากันดี แล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป
 7. ใส่ส่วนผสมแป้งครึ่งหนึ่งลงในอ่างผสมไข่ ตะล่อมส่วนผสมพอเข้ากัน
 8. ใส่บัตเตอร์มิลค์ลงไป ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วใส่แป้งที่เหลือลงไปจนหมด ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน (การตะล่อมแป้งตะล่อมเบา ๆ แต่ให้ทำไว ๆ ค่ะ)
 9. ค่อย ๆ ตักส่วนผสมใส่ในลงพิมพ์กระดาษ (จริง ๆ ต้องได้ทั้งหมด 24 ถ้วย แต่วันนี้แม่ปูมือหนักไปหน่อย ทำได้ 22 ถ้วยค่ะ) จากนั้นนำเข้าเตาอบ นานประมาณ 23-25 นาที หรือจนเค้กสุก (โดยใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ให้จิ้มไม้ลงไปตรงกลางเค้ก ถ้าไม่มีเศษแป้งติดไม้ก็แสดงว่าเค้กสุกแล้ว) นำออกจากเตาอบพักบนตะแกรงให้เค้กคลายความร้อนก่อนประมาณ 10 นาที จึงนำออกจากถาดวางพักให้เค้กเย็นบนตะแกรง
- พักเค้กให้เย็นก่อน ระหว่างนี้ก็ไปทำครีมชีสฟรอสติ้งกันค่ะ
ส่วนผสม ครีมชีสฟรอสติ้ง
- ครีมชีส 227 กรัม
 - เนยนุ่ม ๆ 113 กรัม
 - น้ำตาลไอซิ่ง 400 กรัม
วิธีทำครีมชีสฟรอสติ้ง
- ตีครีมชีสให้เนียนแล้วใส่เนยลงไปตีให้เข้ากันจนส่วนผสมขึ้นฟู (จะได้หน้าตาดังรูป) จากนั้นค่อย ๆ ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป (หาผ้าคลุมอ่างไว้ด้วยก็ดีค่ะ น้ำตาลจะได้ไม่กระจายเต็มห้อง) ตีไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายหมด (ใช้เวลาไม่นานมากค่ะ)
 - จะได้ส่วนผสมครีมฟรอสติ้งข้น ๆ เนียน ๆ ดังนี้ จากนั้นนำไปบีบลงบนเค้ก (ถ้าบีบครีมไม่หนามาก ก็จะบีบได้พอดีกับคัพเค้กตามสูตรนี้ค่ะ แม่ปูบีบใส่ บางอันหนา บางอันบาง แต่ก็พอดีค่ะ)

 - แบบนี้โปะอย่างหนา สำหรับคนที่ชื่นชอบครีมหวาน ๆ


เค้กช็อกโกแลตบอลกราโนล่า
ถ้าเบื่อกราโนล่าแช่นมก็จับมาทำเมนูเค้กช็อกโกแลตบอลกราโนล่า สูตรจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1860279 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ใส่แป้งข้าวโอ๊ตกับกล้วยหอม เติมกราโนล่าลงไปหน่อย ปั้นเป็นก้อนกลมสวยงาม
ส่วนผสม เค้กบอลไส้กราโนล่า
• แป้งข้าวโอ๊ต 4 ช้อนโต๊ะ
 • กล้วยหอม 1 ลูก
 • ไข่ไก่ 1 ฟอง
 • ไข่ขาว 1 ฟอง
 • กลิ่นวานิลลา
 • ผงโกโก้ 1 ช้อนชา
 • กราโนล่า
วิธีทำเค้กบอลไส้กราโนล่า
1. ตีแป้งข้าวโอ๊ต กล้วย ไข่ไก่ ไข่ขาว และวานิลลาเข้าด้วยกัน
 2. ปั่นเสร็จแบ่ง 2 ส่วน ส่วนแรกปล่อยไว้ อีกส่วนใส่ผงโกโก้ เทแต่ละสีลงกระทะทำทาโกะยากิ สักพักใส่กราโนล่าไว้ตรงกลาง แล้วก็พลิกไปมาเหมือนทำทาโกะยากิ ตกแต่งตามชอบ

 
 
ความเป็นมาของของหวานสีสันแจ่มใส มาการูนหรือมาการอง (Macaroon)
มาการูน หรือ มาการอง (Macaroon) ของหวานรูปวงกลมเชื้อชาติฝรั่งเศส ซึ่งมีสีสันแจ่มใส สอดไส้ตรงกลาง เชื้อเชิญให้น่ากิน กำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามรวมทั้งประสบพบเห็นกันได้เยอะแยะตามห้าง ร้านขนมปัง หรือในโฮเต็ลประเทศไทยปัจจุบันนี้
 ผู้ใดจะทราบบ้างว่าแหล่งกำเนิดที่จริงจริงของของหวานทรงกลมสีสันสดใสที่น่าอร่อยนี้เป็นของหวานที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี มาจากคำว่า "Maccaone หรือ Maccherone" ในภาษาอิตาลี มาการองหรือมาการูน เปิดตัวคราวแรกในปี คริสต์ศักราช 1553 โดยเชฟหญิงชาวอิตาลีที่มีนามว่า Catherine de Medicis ในงานสมรสของเธอกับ Duc d'Orleans หรือกษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ของประเทศฝรั่งเศส ในอีก 21 ปีต่อมานั่นเอง
มาการองหรือมาการูน เริ่มต้นเป็นของหวานที่ทำขึ้นมากล้วยๆจากอัลมอนต์ น้ำตาลรวมทั้งไข่ขาวแค่นั้น ซึ่งเป็นของที่มีราคาไม่แพงและก็มีคุณค่าทางอาหาร มีการบันทึกไว้ว่าหลานสาวของ Catherine de Medicis แล้วก็ชาวฝรั่งเศสใช้กินเพื่อประทังชีวิตในสมัยสินค้าต่างๆมีราคาแพง
จวบจนกระทั่งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หน้าตาของ มาการองหรือมาการูน ก็เปลี่ยนไปเป็นขนมที่มีชีวิตชีวาบาดตา แล้วก็นำมาการูนสองแผ่นมาตามติดกันโดยมีไส้ "chocolate panache (ช็อกโกแล็ตผสมครีม)" โดย Pierre Desfontaines หลายชายของ Louis Ernest Laduree (Laduree pastry and Salon de the,rue Royale) ร้านเบเกอรี่มีชื่อในประเทศฝรั่งเศส
การทำมาการองคร่าวๆเป็น การผสมไข่ขาว น้ำตาลทราย แล้วก็อัลมอนด์ล้วนๆบดละเอียดจนเป็นผุยผงคล้ายแป้ง เรียกส่วนผสมนี้ว่า เมอแรงก์ (meringue) ตักเมอแรงก์ใส่กรวยแล้วบีบลงบนถาดอบเป็นชิ้นกลมๆขนาดเล็ก และต้องตากทิ้งเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วหลังจากนั้นก็ให้นำเข้าเตาอบ ออกมาเป็นฝามาการอง (Shell) แล้วทำไส้ใส่ไว้ตรงกลาง
 การทำมาการองต้นตำรับ ต่างกันตั้งแต่แนวทางจัดเตรียมเมอแรงก์แบบที่นิยมทำกันในปัจจุบัน แนวทางการทำมาการองแบบเจ้าตำรับนั้นจำเป็นต้องใช้แนวทางจัดแจงเมอแรงก์แบบ "เฟรนช์ เมอแรงก์ (French Meringue)" เป็นการตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายแบบไม่ต้องต้ม ใช้มือเบาๆตีไปเรื่อยๆซึ่งเป็นแนวทางเริ่มแรกที่คนประเทศฝรั่งเศสทำมาเมื่อร้อยปีที่ล่วงเลยไป ร้านมาการองที่มีชื่อในปัจจุบันของประเทศฝรั่งเศสก็ยังคงใช้วิธีเริ่มแรกนี้อยู่ แต่ช่วงนี้คนโดยมากไม่มีใครทำแล้ว เพราะเหตุว่าวิธีทำยุ่งยากกว่าวิธีต้มน้ำตาลด้วยความร้อนซึ่งจะมีผลให้ผิวของมาการองแตกต่างกัน แล้วก็แบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาตากที่อุณหภูมิห้องอย่างน้อย 3 ชั่วโมงถึงจะนำเข้าอบได้ ขณะที่วิธีต้มน้ำตาล ทิ้งเอาไว้เพียงแต่ 15 นาที ก็นำเข้าเตาอบได้เลย
มาการองยุคนี้นิยมต้มน้ำตาลทรายที่อุณหภูมิ 118 องศาเซลเซียส ซึ่งเมื่อรวมกับไข่ขาวจะมีความแน่นและก็คงตัวช่วยไม่ให้ผิวหน้ามาการองแตกจากการอบ ผิวเรียบสวย แม้กระนั้นไม่มีความนิ่มเท่ากับวิธีตีน้ำตาลทราย ไข่ขาวแล้วก็ผงอัลมอนด์ให้ขึ้นฟูเบาๆซึ่งต้องอาศัยความชำนาญ
กระบวนการทำมาการองต้นตำรับแบบ เฟรนช์ เมอแรงก์ ทำให้จับตัวได้ฝามาการอง (Shell) ซึ่งผิวสัมผัสข้างนอกจะกรอบบางๆกัดนิดหนึ่งจะพบความนุ่มของเนื้อเชลล์เกือบจะละลายในปากผสมกลมกลืนไปกับรสของไส้
ลักษณะเฉพาะของมาการองอีกจุดเป็น"ชายลูกไม้ฝรั่งเศส (skirt)" คือส่วนที่เป็นรอยหยักๆบริเวณรอบๆขอบเชลล์ ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากส่วนผสมและการอบที่สมควร หากอบแล้วไม่มีสเกิร์ตเกิดขึ้น ตัวเชลล์จะเปลี่ยนเป็นขนมผิงที่กรอบทั้งชิ้น
|
ขมป้งบ้านครูแอน อร่อย การันตี เรียนแล้วทำเป็น ชัวร์
|
อยากทำขนมเค้กเป็น อยากทำขนมอร่อยๆ เรียนกับครูแอนเลย
|
ทำขนมเค้กกินเอง ขนมปัง เบเกอรี่ บ้านครูแอน สอนเป็นกันเอง เรียนจบต้องทำเป็นให้จงได้
}
คอร์สแต่งหน้าเค้ก ไส้ขนมปัง เปิดร้านเบเกอรี่ (สอนส่วนตัว) อร่อยเหาะ

เครดิตบทความจาก : [url=http://www.annann201.com/][url]http://www.annann201.com/[/url]

Tags :  เบเกอรี่, ขนมไทย,สอนทำอาหาร