Advertisement
เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Ford Everest Minorchange ที่มาพร้อมการปรับรูปลักษณ์ใหม่ เพิ่มเติมออพชั่น และฟังก์ชั่นการใช้งานให้ครบครันมากขึ้น พร้อมขุมพลังใหม่ ดีเซล 2.0 EcoBlue ที่มีตัวเลือกทั้ง Turbo และ Bi-Turbo รถ PPV หรือรถ SUV อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยค่อนข้างสูง เนื่องจากการออกแบบบนพื้นฐาน ปิกอัพรุ่นยอดนิยมอย่าง Ford Ranger ที่มีสมรรนะการขับขี่ที่ไม่เป็นสองรองใคร
ดีไซน์ที่บึกบึน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของลุกค้าชาวไทย และทีเด็ดคือระบบการขับขี่ต่างๆ ที่ใส่มาให้มาก และเป็นระบบที่ช่วยเหลือการขับขี่ได้จริงๆ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม Ford Everest ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในช่วงปี 2015 ที่ผ่าน ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็ดำเนินเวลามากว่า 3 ปีแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องปรับปรุงรูปลักษณ์ให้มีความสดใหม่ และแตกต่างขึ้น
พร้อมกันนี้ ออพชั่น และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยหลักๆ รูปลักษณ์ภายนอกของ
Ford Everest Minorchange รุ่นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เล็กน้อย
กระจังหน้าใหม่ ดีไซน์บางกว่าเดิมแต่เพิ่มเติมคือชิ้นแผงรังผึ้ง ทำให้รูปลักษณ์มีความหรูพรีเมี่ยมมากขึ้นกว่าเดิม
เริ่มต้นจากด้านหน้าจะมาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ลดขนาดความหนาของเส้นกระจังลง แต่เพิ่มเติมไปด้วยแผงรังผึ้งด้านใน ทำให้ดูมีมิติ และหน้าตารถดูหรูหรามากขึ้นกว่าเก่า พร้อมเพิ่มเติมการตกแต่งด้วยแถบเงินกันชนหน้าเข้ามาอีกด้วย
นอกจากนี้ Everest รุ่นท็อปสุดของรุ่นย่อย ยังมาพร้อมล้อลวดลายใหม่แบบ 20 นิ้ว ก้านคู่ ที่ดีไซน์ใหม่เน้นความ สวยหรู ดูดีมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความดุดันบึกบึน
ในส่วนขุมพลัง มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ กับเครื่องยนต์ Diesel 2.0 EcoBlue Turbo ( เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ
Ford Ranger RAPTOR )
พร้อมไฮไลท์ใหม่ กับตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 EcoBlue Bi-Turbo ที่มาพร้อมเทอร์โบ 2 ลูก แบ่งการทำงานระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ให้กำลัง 213 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ลูกใหม่ พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่หัวพวงมาลัย
ไม่เพียงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมในรุ่นใหม่นี้ยังคล่องตัวสะดวกสบายและเงียบขึ้นด้วยการพัฒนาระบบกันสะเทือนทำให้คุมรถได้ง่ายและระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก รวมถึงการออกแบบที่ลดเสียงจากเครื่องยนต์และเกียร์พร้อมซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงที่ดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยีความปลอดภัยยังคงจัดเต็มเช่นเคย โดยรุ่น Minorchange ได้อัพเกรดและปรับระบบให้มีการใช้งานที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โดยยังคงมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่าง Adaptive Cruise Control , ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System, ระบบเปิด-ปิดไฟสูง Auto High Beam Control, ระบบช่วยจอด Active Park Assist
ระบบเตือนรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System , ระบบช่วยเตือนการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Alert System ,ระบบตรวจจับรถในจุดบอด Blind Spot Infomation System ที่มาพร้อมกับระบบตรวจจับรถขณะออกจากซอง
ด้านระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ถูกอัพเกรดเพิ่มเติมเข้ามา ให้รถยนต์มีความครบครันมากยิ่งขึ้น และลูกค้ารอคอย ได้แก่ ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Keyless Entry , ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button , ระบบเปิด-ปิด ฝาท้ายไฟฟ้า โดยไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate ระบบตรวจจับลมยาง
นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นใหม่อย่างระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนน ที่ผสานกับระบบเบรกแบบ Autonomous Emergency Braking และระบบตรวจจับคนเดินถนนเข้าด้วยกัน และยังตรวจจับยานพาหนะรอบตัวรถเพื่อหยุดรถโดยระบบจะทำงานในความเร็วที่เกิน 3.6 กม./ชม. ขึ้นไป
ในทุกรุ่นยังมีระบบ SYNC3 ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto และบลูทูธหน้อจอสัมผัสขนาด 8.0 นิ้วพร้อมกล้องมองหลังและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า และใช้งาน Apple Maps และแผนที่นำทางที่ติดตั้งมากับตัวรถเมื่ออยู่นอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์
สำหรับราคาเปิดตัวพร้อม 4 ตัวเลือก กับราคาดังต่อไปนี้
Ford Everest Trend 2.0 Turbo 2WD ราคา 1.299 ล้านบาท
Ford Everest Titanium 2.0 Turbo 2WD ราคา 1.439 ล้านบาท
Ford Everest Titanium+ 2.0 Turbo 2WD ราคา 1.599 ล้านบาท
Ford Everest Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4WD ราคา 1.799 ล้านบาท
ตัวรถมีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Diffused Silver Metallic ซึ่งเป็นสีใหม่ และสีมาตรฐาน ได้แก่ Aluminum Metallic, Absolute Black Metallic, Arctic White, Sunset Metallic และ Blue Reflex Metallic
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เที่ยงตรง ฉับไว ก่อนใคร
Autostation คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
ฟอร์ดเอเวอร์เรสTags : Ford Ranger RAPTOR,ฟอร์ดเอเวอร์เรส,Ford Everest