Advertisement
การเช่าที่ดินโดยเข้าใจว่าที่ดินติดถนน แต่ว่าปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น คุณจะทำอย่างไร
หลายท่าน คงจะเคยมองหาที่ดินสักแหล่งเพื่อเปิดร้านค้า แน่ๆว่า ที่ดินนั้นต้องเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีหรือติดถนนหนทาง ด้วยเหตุว่าการมีทำเลที่ดี ก็ย่อมเพื่อช่องทางให้กับตนเองสำหรับการทำยอดขายหรือผลกำไร จากการที่คนมีสันจรไปๆมาๆหน้าร้านค้าของคุณ แต่ก่อนที่จะไปถึงฝันนั่น บางคนอาจเผชิญปัญหาของเรื่องที่ว่า คุณเข้าใจว่า คุณได้เช่าที่ดินติดถนน แต่ข้อเท็จจริงแล้วกลับปรากฏว่า เป็นที่ดินอีกแห่งหนึ่ง คุณรู้หรือเปล่า ว่าการทำสัญญาเช่าที่ดินอย่างงี้ มีข้อกฎหมายข้อกำหนดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย จะคืออะไรนั้น
ทนายความเชียงใหม่จะได้นำมาให้แด่คุณรู้ในบทความนี้
โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วกรณีดังกล่าว ข้อบังคับเรียกว่า “การสำคัญผิดคุณสมบัติของทรัพย์สิน” โดยมีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดไว้ใน มาตรา ๑๕๗ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”
โดยผลของการทำสัญญาที่เป็นโมฆียะกรรมนั้น ทำให้ข้อตกลงที่ทำข้อตกลงเช่าที่ดินกันนั้น บริบูรณ์จนกว่าจะได้บอกเลิกการทำสัญญาเช่าที่ดินนั้นเอง ท่านนักอ่านอาจสงสัยว่า ทำให้
ทนายเชียงใหม่[/b]ยังบอกอีกว่า ส่งผลบริบูรณ์อยู่ ทนายจังหวัดเชียงใหม่จึงขอตอบที่ตรงนี้เลยว่า เป็นเพราะกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เช่าบางครั้งอาจจะเห็นที่ดินที่เช่าโดยสำคัญผิดว่า เป็นที่ดินที่งาม สงบ ห่างไกลจากผู้คน ก็เลยปรารถนาที่ดินที่เช่านั้นไว้ ผู้เช่าสามารถให้สัตยาบันแต่สัญญาเช่าที่ดินที่เป็นโมฆียกรรมนี้ได้ ทำให้สัญญาเช่าที่ดินนี้เป็นสัญญาเช่าที่สมบูรณ์นับตั้งแต่ได้ลงนามเช่าที่ดินกัน
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สัญญาเช่าที่ดินที่เป็นโมฆียะกรรมนั้น สามารถใช้สิทธิสำหรับการบอกล้างสัญญาเช่าที่ดินหรืออาจจะใช้สิทธิสำหรับในการให้สัตยาบัน
รวมทั้งในวันนี้ ไม่ว่านักอ่านจะเป็นนิสิต หรือเป็นผู้ประกอบอาชีพอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นอาชีพที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเช่าที่ดิน ทนายความจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะขอฝากคำตัดสินของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานี้สัก 1 เรื่อง เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับเพื่อการประกอบเรื่องราวที่นักเขียนได้จัดพิมพ์เนื้อหานี้ ดังต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3105/2553
ในขณะทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท ตามสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทนพิเศษ โจทก์ไม่รู้อย่างแท้จริงว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ติดกับถนนเทอดไท โดยมีที่ราชพัสดุคั่นอยู่ การที่โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินที่เช่าซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากโจทก์ไม่ได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวคงจะไม่ทำสัญญาเช่าที่ดินกับจำเลยทั้งสาม ดังนั้น การแสดงเจตนาทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์จึงเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. 157 แม้โจทก์จะขอเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ที่มีที่ดินคั่นอยู่ก่อนติดถนนเทอดไทก็ตาม เมื่อตีความสัญญาเช่าที่ดินพิพาทดังกล่าวโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีในทางสุจริตแล้ว ต้องถือว่าไม่อยู่ในความประสงค์ของโจทก์ที่จะต้องการเข้าทำสัญญาดังกล่าว เพราะโจทก์ต้องการเช่าที่ดินพิพาทที่ติดกับถนนเทอดไทเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องทางเข้าออกในการดำเนินกิจการสถานีบริการน้ำมันในภายหลัง มิฉะนั้นโจทก์จะไม่ยอมเสียค่าตอบแทนสิทธิการเช่าเป็นเงินมากถึง 16,000,000 บาท และยังต้องเสียค่าเช่าเป็นรายเดือนอีก ทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่เช่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 549 และมาตรา 551 อันจำเลยทั้งสามจะยกขึ้นอ้างได้ เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสามและจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาดังกล่าวจึงมีผลเท่ากับเป็นการบอกล้างโมฆียกรรมและต้องถือว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และมีผลเท่ากับการเช่าที่ดินพิพาทมิได้เกิดมีขึ้น จึงไม่ก่อสิทธิใดๆ แก่จำเลยทั้งสามที่จะยึดเอาเงินของโจทก์ไว้ได้ โจทก์และจำเลยทั้งสามก็ต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 176 จำเลยทั้งสามต้องคืนเงินที่ได้รับแก่โจทก์ ทั้งโจทก์ก็ต้องส่งมอบที่ดินพิพาทในสภาพเรียบร้อยคืนแก่จำเลยทั้งสาม
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง :
[url]https://www.นพนภัสทนายความเชียงใหม่.com/[/url]
Tags : ทนายความเชียงใหม่