อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์  (อ่าน 16 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
iampropostweb
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37259


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มกราคม 01, 2019, 10:02:01 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


อังกาบหนู
ชื่อสมุนไพร  อังกาบหนู
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Barleria prionitis Linn.
ชื่อสามัญ   Porcupine flower
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด
[url=https://www.disthai.com/17028803/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9]อังกาบหนู[/url]เป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในเขตร้อนต่างๆทั่วโลก โดยมีเขตผู้กระทำระจายจำพวกในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆเป็นต้นว่า แอฟริกา ประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย พม่า ลาว เขมรและไทย สำหรับในประเทศไทย พบได้มากขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งแล้งทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป
อังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มิลลิเมตร 2-3 อัน ใบโดดเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่แกมวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 เซนติเมตร ยาว4.3-10.5 ซม. ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 เซนติเมตรดอกคนเดียวมองเหมือนช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบเสริมแต่งรูปแถบแกมขอบขนาน กว้าง 2-8 มิลลิเมตร ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบประดับย่อยรูปแถบแกมใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกแฉรูปไข่ปนขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มม. ยาวได้ถึง 15 มม. ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบปนใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มม. ปลายเว้าตื้น กลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีปนขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มิลลิเมตร เม็ดรูปวงรีปนขอบขนาน 2 เม็ด กว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 8 มม. มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์
อังกาบหนูเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามเจริญในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินที่ร่วนซุยระบายน้ำก้าวหน้า รวมทั้งมีความชื้นในระดับปานกลาง สามารถเพาะพันธุ์ได้ ด้วยเม็ด รวมทั้งการตอนกิ่ง อังกาบหนูเป็นต้นไม้ที่ดูแลง่ายดาย ไม่ค่อยถูกใจความร่มเงามากมาย เติบโตได้ดีทั้งยังในบริเวณที่แสงอาทิตย์จัดเต็มวันหรือแสงอาทิตย์ร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรคแล้วก็แมลงมารบกวนอีกด้วย ในช่วงฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินมักจะแห้งตาย แต่ส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะรุ่งเรืองขึ้นมาอีกรอบหนึ่งในช่วงฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใบอังกาบหนูมีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones ยิ่งไปกว่านี้ใบแล้วก็ยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
ประโยชน์ / คุณประโยชน์
สรรพคุณของอังกาบหนูตามยาแผนโบราณบอกว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้กลากเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยบำรุงรักษาธาตุทั้งสี่ ช่วยละลายเสลด ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้ของกินไม่ย่อย ช่วยฟอกเลือด ทุเลาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้ปกป้องส้นเท้าแตก ทั้งต้น ใช้แก้อักเสบ กลากโรคเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับเยี่ยว แก้ไข้
นอกเหนือจากนี้อินเดียยังใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้โรคหืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง กินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ ไอกรน ลดเสมหะ ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีลักษณะอาการซึ่งรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการค้นข้อมูลงานศึกษาเรียนรู้วิจัยของอังกาบหนูจะมองเห็นได้ว่ายังการศึกษาต่ำในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้ในหลอดทดลองและก็ในสัตว์ทดลองในฤทธิ์ต่างๆยกตัวอย่างเช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต้านทานการอักเสบ ต้านทานอนุมูลอิสระ ฯลฯ แม้กระนั้นยังการศึกษาต่ำวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง ก็เลยสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังการศึกษาต่ำศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง เป็นเพียงแต่การบอกกล่าวต่อๆกันมา ด้วยเหตุผลดังกล่าวหากปรารถนาใช้ต้นอังกาบหนู ในการรักษามะเร็งควรที่จะใช้พร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโดยกรรมวิธีหมอแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ดีการใช้สมุนไพรจำต้องใช้อย่างรอบคอบ โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีข่าวโคมลอยว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้นั้น
แบบ / ขนาดการใช้ การใช้ผลดีทางยามีรายงานการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆดังต่อไปนี้
 
ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นเท้าแตก ใช้ใบสดเคี้ยวแก้ลักษณะของการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือเอามาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้โรคกลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดไหลตามไรฟัน
ราก นำมาตากแห้งแล้วเอามาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้โรคกลาก แก้ของกินไม่ย่อย หรือเอามาตำให้ละเอียดใช้ใส่รอบๆที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากรวมทั้งดอก อังกาบนำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงรักษาธาตุในร่างกาย ช่วยก้าวหน้าธาตุไฟก้าวหน้ารากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษากลากเกลื้อน หากนำมาใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าทั้งยัง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาแก้ไขข้ออักเสบได้
 
เปลือกลำต้น
 
นำมาบดให้เป็นผงรับประทานทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการปวดจากไขข้ออักเสบ
อีกทั้งต้น เอามาสกัดเอาน้ำมันมานวดศีรษะทำให้ผมดำ ทั้งต้นนำมาต้มดื่มครั้งละ 50-100 มล. แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมเรียกตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มน้ำอสุจิ โดยนำอีกทั้งต้นเอามาทำให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ครั้งละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งกิน ในเรื่องที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาทุบให้แหลก นำไปแช่ลงไปภายในน้ำซาวข้าว พอกรอบๆที่บวม ยอดอ่อน นำมาบดในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
การศึกษาเล่าเรียนในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดทั้งยังต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลและก็น้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยวิธี DPPH รวมทั้ง ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดน้ำ การเล่าเรียนหาปริมาณสารประกอบฟีโนลิก และก็ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกรวมทั้งลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมสูงที่สุด โดยมีค่าเสมอกันกรดมึงลลิกเท่ากับ 67.48 มก./ก. น้ำหนักพืชแห้ง รวมทั้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH แล้วก็hydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้ครึ่งเดียว (IC50) พอๆกับ 336.15 รวมทั้ง 568.65 มคกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู ได้แก่สาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 เท่ากับ 0.41 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และก็มีฤทธิ์ยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 12.4 ไมโครโมลาร์ นอกเหนือจากนี้เจอสารกลุ่มiridoid glycosides อย่างเช่น shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside แล้วก็ lupulinoside มีฤทธิ์ต้านทาน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในช่วง 5–50 มก./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ และก็เอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) รวมทั้งยั้งการผลิตสารสื่อกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูชนิดที่ 3 และ จำพวกที่4 ขนาด 400 มก./กิโลกรัม นน. ตัว ให้กับหนูที่รั้งนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 และก็55.75% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยับยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกเหนือจากนี้เมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารติดอยู่รจีแนน และก็รั้งนำให้กำเนิดลักษณะของการปวดด้วยกรดอะซิตำหนิก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% และลดลักษณะของการปวดได้ 30.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มิลลิกรัม/ กก.นน. ตัว ที่สามารถลดการอักเสบได้ 57.5% และก็ลดลักษณะของการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline รวมทั้ง 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดอีกทั้งต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา การเรียนรู้ในหลอดทดสอบเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล รวมทั้งเอทานอล สามารถต้านทานเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae และ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีความสามารถมากที่สุด ในขณะที่ลำต้นรวมทั้งรากของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน และก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดสอบในหลอดทดสอบ พบว่าขนาดความเข้มข่นที่ส่งผลสำหรับการต้านทานเชื้อไวรัสที่ส่งผลให้เกิดโรคในระบบฟุตบาทหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าพอๆกับ 2.46 มคกรัม/ มิลลิลิตร และก็ขนาดความเข้มข้นที่มีผลในการทำลายเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งหนึ่ง (ID50) มีค่าพอๆกับ 42.2 มคกรัม/มล.
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มก./นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด และเพิ่มระดับไกลโคเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท และหนูเม้าส์ก่อนจะเหนี่ยวนำให้เกิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน แล้วก็พาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มก./กิโลกรัม นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้วสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin รวมทั้งtriglyceride นอกจากนี้ยังเพิ่มระดับเอนไซม์ glutathione ในตับและลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยป้องกันเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำแล้วก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 รวมทั้ง 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าฤทธิ์สำหรับการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต และก็ฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มิลลิกรัม/มล. ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 และก็พยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที เวลาที่สารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 รวมทั้งพยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มก./มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 และก็ พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดสอบให้สารสกัดรากอังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ให้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับในการรบกวนการสร้างน้ำเชื้อ ลดปริมาณสเปิร์ม รวมทั้งทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดลง สารสกัดมีผลลดความอ้วนอัณฑะ รวมทั้งส่งผลลดปริมาณโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) และก็กลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งทำให้การผลิตน้ำอสุจิ โครงสร้างรวมทั้งหน้าที่ของน้ำเชื้อไม่ดีเหมือนปกติไป
 
การเรียนทางพิษวิทยา
การเล่าเรียน

 
ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กิน ขนาดที่แตกต่างตั้งแต่ 100 - 3,000 มิลลิกรัม ตรงเวลา 15 วัน ไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติอะไรก็ตามและไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว LD50 มีค่ามากกว่า3,000 มิลลิกรัม/กก. และก็แม้ฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าพอๆกับ 2,530 มิลลิกรัม/กก. ± 87 มิลลิกรัม/กก. ซึ่งถือว่าออกจะไม่มีอันตราย
 
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรปฏิบัติตาม
1. การใช้อังกาบหนูสำหรับในการรักษาโรคต่างๆตามคุณประโยชน์ที่ระบุไว้ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเหลือเกินและก็ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานเนื่องจากว่าอาจมีผลพวงต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. คนที่มีโรคประจำตัว เป็นต้นว่า โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรจะใช้ให้ถี่ถ้วนและก็ควรจะขอคำแนะนำแพทย์ที่ให้การรักษาด้วยเสมอ
3. ในการใช้สมุนไพรอังกาบหนูโดยตลอดจะต้องมีการเจาะเลือดดูค่าหลักการทำงานของตับแล้วก็ไตอยู่ตลอด
4. ในตอนนี้ยังไม่มีรายงานการค้นคว้าทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดสอบว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ด้วยเหตุนี้ถ้าปรารถนาจำใช้ในการรักษาโรคมะเร็งควรใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
 
เอกสารอ้างอิง

  • พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
  • อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
  • ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/[/b]
  • Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
  • Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
  • Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
  • Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
  • Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
  • . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
  • Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
  • Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
  • Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
  • Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
  • Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
  • Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.


Tags : อังกาบหนู



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ