Advertisement
สำหรับคนไหนที่กำลังคิดอยากจะเปิดร้านกาแฟในฝัน หรืออยากจะมีเครื่องชงกาแฟสดไว้ที่บ้านแน่นอนว่าพวกเราบางทีก็อาจจะต้องพิจารณาหลายๆอย่างสำหรับการเลือกซื้อจ้ะ ไม่ว่าจะเป็นทั้งราคาของเครื่อง ซึ่งสิ่งนี้เราน่าจะต้องใคร่ครวญเป็นลำดับแรกสำหรับหลายท่านถ้ามีงบประมาณจำกัด แต่การซื้อเครื่องชงกาแฟที่ให้ได้รสชาติของกาแฟดีๆขึ้นกับราคาของเครื่องด้วยค่ะ เพราะถ้าพวกเราอยากได้กาแฟสดที่พวกเราสามารถชงได้ต่อเนื่อง ประสิทธิภาพของกาแฟดีงาม ราคาของเครื่องก็ต้องเป็นราคาที่ค่อนข้างจะสูงด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดเราต้องการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟสด ที่ใช้สำหรับค้าขายนั้นควรจะดูอะไรบ้าง แต่ละแบบราคาโดยประมาณมากแค่ไหนเพื่อที่จะได้ให้พวกเราเลือกเครื่องให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการนั่นเองค่ะ
4 วิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟให้เหมาะกับการใช้งาน1.) ระบบเครื่อง
สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องใคร่ครวญเป็นสิ่งแรกก็คือระบบเครื่องค่ะ ในการดูว่าพวกเราจะซื้อเครื่อง
ชงกาแฟสดรุ่นนั้นๆจะนำไปทำอะไร ระบบเครื่องระดับ Commercial แบ่งสำคัญๆออกเป็น 2 แบบ เป็น
1.1) Heat Exchange (HX) หรือการแลกเปลี่ยนความร้อน โดยอย่างคร่าวๆคือเครื่องชงกาแฟจะมี Boiler หรือ หม้อต้ม แค่เพียงชิ้นเดียว เครื่องชงจะดูดน้ำเข้าไปทำความร้อนในหม้อต้ม และก็จะมีท่อน้ำอีกชิ้นวิ่งผ่านใน Boiler เพื่อไปชงกาแฟซึ่งน้ำใน Boiler จะใช้ในก้านสตีม และก็น้ำร้อน ส่วนหัวชงกาแฟจะเป็นคนละส่วนกัน โดยธรรมดาเครื่องชงระบบนี้จะถูกตั้งแรงดัน Boiler โดยประมาณ 1.2 bar เพื่อให้ได้ตามอุณหภูมิน้ำชงกาแฟที่ 94c ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ชอบใช้สำหรับการชง หากจะให้อุณหภูมิสูงมากขึ้นหรือน้อยลง ก็ปรับแรงดัน Boiler ตามปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ถ้าเกิดใน 10 นาที จะต้องชงกาแฟ 10 แก้ว คุณภาพแก้วที่ 10 จะไม่ดีเท่าแก้วแรกๆแน่นอน ด้วยเหตุว่าน้ำร้อนลดน้อยลง แต่ถ้าว่าการชงของพวกเราสม่ำเสมอเว้นช่วง 3 – 5 นาที แบบนี้ก็จะไม่มีปัญหา น้ำจะร้อนทันแน่นอน แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาด Boiler อีกเช่นกันค่ะ
1.2) Dual Boiler แล้วก็ Multi Boiler ทั้ง 2 แบบนี้ โดยทั่วไปคล้ายกัน แต่ว่าจะไม่เหมือนกันที่ Dual Boiler นั้นจะใช้ เรียกสำหรับเครื่องชงหัวเดียว และก็ Multi Boiler เป็นเครื่องชง 2 หัวกรุ๊ปขึ้นไป โดยอย่างคร่าวๆจะคล้ายกับ HX แต่ว่า Boiler น้ำร้อนและสตีมนม กับ Boiler หัวชงกาแฟจะแยกกัน ทำให้เราสามารถชงต่อเนื่องได้มากขึ้น และก็อีกอย่างหนึ่งคือ เราสามารถปรับอุณหภูมิหัวชงกาแฟผ่านระบบดิจิตอลได้เลย เครื่องชงระดับ Hi-End ก็จะใช้ระบบนี้กันด้วย ทำให้ชงต่อเนื่องสบายๆแต่เครื่องชงชนิดนี้จะกินไฟมากยิ่งกว่าระบบ HX ด้วยเหตุว่ามีปริมาณ Boiler ที่เยอะมากกว่า แล้วก็จะใช้กำลังไฟมากยิ่งขึ้นเพื่อทำความร้อนให้ทันต่อการใช้งานนั่นเอง
2.) ขนาด Boiler
เครื่องชงกาแฟสดแบบ HX หัวเดียว มีขนาดตั้งแต่ประมาณ 2 – 6 ลิตร แล้วแต่รุ่นและแบรนด์ค่ะ ซึ่งนอกเหนือจากระบบแล้ว ขนาดของ Bolier ก็มีส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อราคาเครื่องเช่นเดียวกัน ราคาต้นๆจะเริ่มที่ประมาณ 40,000 ไปจนถึงหลักหลายแสนบาท คุณภาพมากขึ้นตามราคาที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนั้นอยู่ที่การใช้งานที่เราอยากได้ว่าจะเป็นแบบไหนดี
3. รสชาติกาแฟจากเครื่องชง Commercial และ Hi-End
ราคาเครื่องชงนั้น ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพสำหรับในการชงอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเครื่องใดชงกาแฟได้ประสิทธิภาพเสมอกันทุกแก้วต่อเนื่องมากกว่าก็จะราคาสูงขึ้น ส่วน Hi-End นั้น มากยิ่งกว่าการชงแบบต่อเนื่อง คือรสที่เด่นชัดของกาแฟ ที่จริงแล้วเรื่องรสชาตินั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมผู้ดื่มด้วย
4.) เครื่องชงตัวเล็ก
เครื่องชงตัวเล็กเป็นเครื่องที่เหมาะกับการใช้งานในบ้านมากกว่าเครื่องชงตัวใหญ่ และแน่ๆว่าสำหรับการเปิดร้านกาแฟสดเครื่องชงตัวใหญ่ก็จะเหมาะสมมากกว่าเครื่องชงตัวเล็ก เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นเรื่องความต่อเนื่อง และก็เรื่องของรสชาติกาแฟที่อร่อยกลมกล่อมละมุนละไมมากยิ่งกว่านั่นเองค่ะ ด้วยเหตุนี้แล้วการเลือกเครื่องก็จำต้องคิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ก็จำเป็นต้องดูว่
เครื่องชงกาแฟสด[/url]ใช้วัสดุอุปกรณ์อะไร ตัวอย่างเช่น สแตนเลสจะแข็งแรงจากการถูกกัดกร่อนของแร่ธาตในน้ำได้ดีกว่า Boiler ทองแดง หรือในเรื่องของความหนาบางของโลหะที่ใช้ มีการใช้วัสดุเป็นพลาสติกหรือเปล่า อุปกรณ์ปกปิดไม่มิดชิดทั้งหมด ฯลฯ หรือแม้แต่เรื่องแบรนด์ก็เป็นอีกเรื่องที่พวกเราจำเป็นต้องเอาใจใส่ค่ะ ด้วยเหตุว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องกาแฟย่อมเป็นผู้ที่ทำเครื่องชงกาแฟออกมาได้อย่างใส่ใจนั่นเอง
Tags : เครื่องชงกาแฟสด,เครื่องชงกาแฟ,ชงกาแฟ