พิกัดเกสร มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พิกัดเกสร มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง  (อ่าน 6 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Chaiworn998
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 21212


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2019, 08:28:37 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


พิกัดเกสร
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น สื่อความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ บางทีอาจหมายคือโครงสร้างที่ใช้แพร่พันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งแสดงอยู่ในวงของดอก คือเกสรผู้และเกสรเพศเมีย เป็นลำดับจากนอกถึงในสุดทาง หลังจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบดอกและก็กลีบเลี้ยงตามลำดับ แต่ในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ได้แก่ เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ทั้งดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบ เกสรเพศผู้ รวมทั้งเกสรเพศเมีย) (ยกตัวอย่างเช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ เป็นต้น) หรือบางทีอาจซึ่งก็คือช่อดอกอีกทั้งช่อ (ได้แก่ ดอกลำเจียก )ที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัด เป็น ทั้ง ๕ พิกัดเกสรทั้ง ๗ และอีกทั้ง ๙ ทั้ง ๕ เป็นต้นว่า เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ รวมทั้งดอกสารภี มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะและก็โลหิต แก้ไข้เพ้อกลุ้มใจ แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงท้อง เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากมายในยาแก้ลมวิงเวียน ยาหอมบำรุงหัวใจ อีกทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ทั้ง ๕ โดยมีดอกจำปา รวมทั้งดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณโดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะและโลหิต แก้ไข้เพพ้อกังวล แก้ลมหน้ามืด แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้โรคตาทั้งยัง ๙ มีตัวยา ๗ อย่างในอีกทั้ง ๗ โดยมีดอกลำเจียก และก็ดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา
ชื่อพฤกษศาสตร์ของที่มาที่ไป
วงศ์
ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง
Nelumbo nucifera Gaertn.
Nelumbonaceae
เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค
 Mesua ferrea L.
Guttiferae
อีกทั้งดอก
ดอกพิกุล
Mimusops elengi L.
Sapotaceae
อีกทั้งดอก
ดอกมะลิ
Jasminum sambac Ait.
Oleaceae
ทั้งยังดอก
 ดอกสารภี
Mamea siamensis (T.and) Kosterm.
Guttiferae
อีกทั้งดอก
ดอกจำปา
Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)
Magnoliaceae
ทั้งดอก
ดอกกระดังงา
Cananga odorata Hook.f. & Th.
Annonaceae
ทั้งดอก
ดอกลำเจียก
Pandanus odoratissimus L.f
Pandanaceae
ช่อดอกทั้งยังช่อ
ดอกลำดวน
Melodorum fruiticosum Lour.
Annonaceae
ทั้งยังดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงประเภทดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท นิโลบล เป็นต้น) บัวหลวงเป็นบัวน้ำชนิดก้านแข็ง (นิโลบลชาติ) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในวงศ์ Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า มีกลิ่นหอมยวนใจ รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรอีกทั้งเจ็ดและเกสรทั้งยัง ๙
ดอกบุนนาค
ดอกบุนนาคได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในตระกูล Guttiferae พืชประเภทนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มไม้เป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลผสมเทาและก็ผสมแดง มีรอยแตกตื้นๆข้างในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานปนใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบครึ้ม ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มม. ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกลำพังๆหรือออกเป็นกลุ่ม กระจุกละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอมหวน เมื่อบานสุดกำลังมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕-๑๐ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานแล้วก็เว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีมากมาย ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ ซม. ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบห่อหุ้มผล ๔ กาบ มีเมล็ด ๑-๒ เม็ด พืชนี้มีแก่นไม้สีแดงคล้ำ เป็นเงาเลื่อม เศษไม้ออกจะตรง เนื้อค่อนข้างหยาบคาย แข็ง แล้วก็แข็งแรงดีเลิศ เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาได้ดี ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองทางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้ประกอบเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเม็ดทำเครื่องแต่งหน้า ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอม เย็น รสขมบางส่วน ช่วยบำรุงรักษาดวงจิตให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยดำ แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด ตาลาย หน้ามืด ตาลาย และว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ และเกสรอีกทั้ง ๗ และก็เกสรทั้ง ๙ ยิ่งกว่านั้นส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังคงใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ ดังเช่นว่า รากใช้แก้ลมในไส้ เปลือกต้นมีสรรพคุณกระจัดกระจายหนอง และก็กระพี้แก้เสมหะในลำคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุลเป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในสกุล Sapotaceae พืชชนิดนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางป่าดง (ลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ ซม. ยาว ๕-๑๕ ซม. โคนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบของใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกผู้เดียว หรือออกเป็นกระจุก ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันบางส่วน หล่นง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมเย็น กลิ่นยังคงอยู่ถึงแม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้สมบูรณ์มี ๘ อัน และเกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบดอกมี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ ซม. เมื่ออ่อนสีเขียว และสุกมีสีแดงแสด มีรสหวานบางส่วน เมื่อต้นพิกุลแก่มากๆแก่นไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย จึงไม่นิยมปลูกไว้ในรอบๆบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในแก่นไม้ ทำให้เนื้อไม้มีกลิ่นหอมยวนใจ โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านยาสมุนไพรเป็นแก่นไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมยวนใจฝรั่งเรียก “bullet wood” เนื่องด้วยเนื้อไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆเหมือนรอยลูกปืน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย บางทีอาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. วงศ์ Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อราก้าวหน้าเข้าไปในแก่นไม้ แม้กระนั้นโบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะแบกจะมีคุณภาพด้อยกว่า แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอมหวน รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด รวมทั้งหัวใจ บำรุงลูกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจสดชื่น ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้เจ็บคอแล้วก็แก้ร้อนใน ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้ง ๗ และเกสรอีกทั้ง ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมเพื่อทำบุหงา นอกเหนือจากน้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ตำราเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อน เข้ายาบำรุงเลือด แก้เสลด แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมขื่น เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้โรคหืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในตระกูล Oleaceae ถ้ามีกลีบชั้นเดียวเรียก มะลิลา ถ้าเกิดมีกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แม้กระนั้นดอกมะลิที่ระบุในแบบเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ ซม.ยาว ๕-๗ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าเป็นชนิดดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ และก็สีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมหวนแรง ดอกผู้เดียวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกเป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มกำลังจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๓ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แต่จะ ดกในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในหิวน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรทั้ง ๗ รวมทั้งเกสรทั้งยัง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ชนิดอื่นๆที่มีกลิ่นหอม สำหรับทำบุหงา นอกจากนั้นหนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด หมอตามบ้านนอกใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวก้นกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง และก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยรอยแผล รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำดื่ม แก้ปวดปวดหัว แก้เลือดไหลตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มากมาย (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้หมดสติ ตำพอกหรือแก้เคล็ดลับขัดยอกจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในวงศ์ Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่สำนึกบุญคุณ (จันทบุรี) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวรวมทั้งจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบลำพัง เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับทิศทางกัน รูปไข่ปนรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ ซม.ยาว ๑๕-๒๐ เซนติเมตร โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทู่ๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบหนา ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมมากมาย กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ติดทนและก็ขยายโตตามผล กลีบดอกไม้มี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑.๕ ซม. เกสรเพศผู้มีมากไม่น้อยเลยทีเดียว ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ เซนติเมตร เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเมล็ด
สารภีแนน
สารภีแนนเป็นชื่อถิ่นทางพายัพของพืชที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในวงศ์ Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เช่น สารภีสมุทร (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กระทิง (ภาคกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วๆไป พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดแห่งกว้างเป็นพุ่มไม้กลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลผสมเทา ภายในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบลำพัง เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ ซม. ยาว ๘-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางน้อย ขอบใบเรียบ เนื้อใบครึ้ม เส้นใบถี่และขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๒.๕ ซม. เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีเยอะมากๆ ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕-๓ เซนติเมตร ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวย่นย่อ เปลือกออกจะดก แพทย์แผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากคีมจับได้จากเม็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ รวมทั้งใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องสำอางตำราสรรพคุณยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมยวนใจ รสขมเย็น แก้เลือดทุพพลภาพ แก้ไข้ที่เป็นพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ แล้วก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีเอาไว้ภายในพิกัดเกสร[/u]ทั้ง ๕ เกสรทั้ง ๗ รวมทั้งเกสรทั้งยัง ๙
ดอกจำปา
ดอกจำปาได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในตระกูล Magnoliaceae พืชประเภทนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบแก่เกลี้ยง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงวิริยะสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ เซนติเมตร ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีจำปาดอกขาว
เนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่ประเทศอินเดีย เมียนมาร์ ไทย ไปถึงจนกระทั่งเวียดนาม ก็เลยอาจมีการคลายข้างในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดแล้วก็สีของดอกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาแก่ต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเสมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่ว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เสมือนดอกจำปาทั่วไป) ประชาชนเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะมองเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาแก่ต้นนี้เอง ส่วนกลุ่มคำ ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ วงศ์สกุลจังหวัดเชียงราย ย้ายถิ่นมาตั้งภูมิลำเนาจะต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พุทธศักราช ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าผู้ครองนครราด ยกทัพตีจังหวัดสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและก็รับความมีชัยในราวพ. ศาสตราจารย์ ๑๘๐๐ สถาปนาท่านเป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงจังหวัดสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่คนไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในตระกูล Apocynaceae ชาวไทยภาคกึ่งกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาเขมร จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชจำพวกนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายปนรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ ซม. ยาว ๒๐-๓๒ ซม. ปลายและวัวนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม วาว ข้างล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กึ่งกลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมล้ำกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงบางส่วน เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ส่วน เม็ดมีจำนวนไม่ใช่น้อย แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว นิยมนำมาปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่เคยทราบลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ เศร้าโศก อันแปลว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนแปลงชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า กลีบจำปามีกลิ่นหอมยวนใจ มีรสขม ช่วยให้เหี้ยมโหด กระจัดกระจายโลหิต อันร้อน ขับฉี่ ขับลม แก้อ่อนแรง วิงเวียน หน้ามืด ลายตา บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงเลือด ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ แล้วก็เกสรอีกทั้ง ๙ ลางแบบเรียนว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูรับประทานแก้อาการหอบหืด และก็เมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง ยิ่งกว่านั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสลด ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำแก้โรคหนองใน ขับเมนส์ ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลุกลี้ลุกลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้โรคหืด กระพี้มีรสฝาดขม ใช้ทำลายพิษผิดสำแดง แก่นมีรสฝาดขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนฝาดขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย

ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ปัจจุบันนี้เป็นบ้านดูดซึมจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้รวมทั้งสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีคนเฒ่าคนแก่กล่าวขวัญถึงแม้กระนั้นในปัจจุบันถูกราษฎรแผ้วถางเป็นหลักที่ดินทำกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลืออยู่แต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ประชาชนเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่กับมากมายชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและก็เรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าดูดซึมจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดแล้วก็ชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะเล่าเรียนจำปาต้นนี้ ในเชิงอันดับเกณฑ์พบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีแถลงการณ์ว่าพบที่ไหนมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกจำพวกว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อสรรเสริญแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ไทยบรมราชธิดา และก็เพื่อสงวนพืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งกรรมพันธุ์รวมทั้งระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดังงา
ดอกกระดังงาเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในตระกูล Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกึ่งกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งชัน เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งแบออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ ซม. ยาว ๗-๑๒ ซม. ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบของใบเป็นคลื่น ใบบาง ออกจะนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอมสดชื่น ออกรวมกันเป็นกรุ๊ป ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ ซม. กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ ซม. มีขนปกคลุม กลีบดอกไม้ห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบชอบม้วนหรือต้องการเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้รวมทั้งรังไข่มีจำนวนไม่น้อย ผลได้ผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ ซม. ยาว ๒.๕ ซม. มีก้านยาว ๑.๓-๒ ซม. มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกไม้แรกแย้มด้วยละอองน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกไม้ลุกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมหน้ามืด บำรุงกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้งยัง๗ และก็เกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับเยี่ยว แก้เยี่ยวพิการ แก้ท้องเดิน นอกนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะรวมทั้งแก้ปัสสาวะทุพพลภาพเหมือนกัน
  กระดังงาจังหวัดสงขลา
กระดังงาจังหวัดสงขลา หรือ กระดังงาค่อย มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในสกุล Annonaceae
เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและก็ดอกเหมือนต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกลำพังๆบนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด แล้วก็เป็นคลื่นมากยิ่งกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและก็ใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวรวมทั้งพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของเมืองไทย เจอหนแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่แพร่พันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบจะตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชประเภทพืชนี้ดอกเพศผู้รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยสมุทร มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชประเภทหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชจำพวกนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆกระจายอยู่ทั่วๆไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนไม่ใช่น้อย ใบเป็นใบคนเดียว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใบหยักมีหนามแข็ง ปลายหนามโค้งไปทางปลายใบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเพศผู้แล้วก็ดอกเพศภรรยามีต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้ยาว มีก้านรองดอกสีขาวนวล ๒-๓ กาบหุ้มห่อ มีดอกย่อยมากไม่น้อยเลยทีเดียว ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมสดชื่น ช่อดอกเพศเมียสีเขียว มีขนาดใหญ่ อยู่ชิดกันเป็นกลุ่ม มีกาบรองดอกสีเขียว ๒-๓ กาบ ผลเป็นรูปลิ่ม แข็ง ปลายมีหนามสั้นๆชิดกันเป็นกรุ๊ปแน่น เมื่อสุกมีสีส้มอมแดง มีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆหนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่ารากเตยมีรสจืดชืด หวาน เย็น แก้ฉี่แดง ขับปัสสาวะ แก้หนองใน แก้มุตกิต ตกขาว ละลายก้อนนิ่วในไต รากอากาศมีรสจืด หวาน แก้หนอง ในแก้ขัดค่อย แก้เบาขุ่นเป็นแป้ง แก้กระเพาะค่อยพิการหรืออักเสบ ขับฉี่ แก้นิ่วมุตกิต ใบแก้หนองและก็น้ำเหลือง ดอกเพศผู้มีรสเย็น แก้ไข้ แก้ไอ บำรุงหัวใจ แก้เมื่อยล้า แก้ลม บำรุงธาตุ แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ หมอแผนไทยจัดดอกลำเจียกเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ