หนอนตายหยาก มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หนอนตายหยาก มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์  (อ่าน 18 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sudteen555
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8165


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2019, 05:38:03 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


หนอนตายหยาก
ชื่อสมุนไพร หนอนตายหยาก
ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อแคว้น
Stemonaaphylla Craib เครือปรุง (ลำปาง)
Stemonaburkillii Prain ปงมดง่าม โป่งมดง่าม (เชียงใหม่)
Stemonacollinsae Craib หนอนตายหยาก (ภาคกลาง) ปงช้าง (ภาคเหนือ) กระเพียดช้าง (ภาคอีสาน)
Stemonacurtisii Hook. f. รากลิง (จังหวัดพัทลุง) หนอนตายหยาก[/i][/color]
Stemonagriffithiana Kurz - (พบที่จังหวัดแพร่)
Stemonakerrii Craib - (พบที่จังหวัดเชียงใหม่)
Stemonaphyllantha Gangep. - (พบที่จังหวัดเพชรบุรีแล้วก็ภูเก็ต)
Stemonatuberosa Lour. หนอนตายหยาก (แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์) กะเพียด (ประจวบคีรีขันธ์,ชลบุรี)
Stemona cochichinensis - ป้อมดง่าม , ปังสามสิบ (ภาคเหนือ) กระเพียดหนู , สลอดเชียงคำ (ภาคอีสาน)
ชื่อสามัญ Stemona sp.
ตระกูล Stemonaceae
 
ชื่อวิทยาศาสตร์ / ชื่อแคว้น มีแถลงการณ์ว่า หนอนตายหยอกเย้าที่เป็น พืชสกุล Stemona มีอยู่ราว ราวๆ 30 ชนิด ซึ่งศูนย์ความหลากหลายทางพันธุกรรมพืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แบ่งแยกประเภทของหนอนตายหยากโดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลพิจารณาลายพิมพ์ดีเอ็นเอ ร่วมกับการแบ่งด้วยอนุกรมวิธาน โดยพิเคราะห์จากใบรวมทั้งดอก สามารถจัดหมวดหมู่ได้ 9 ประเภท เป็น
นอกนั้นบางตำราเรียนยังมีหนอนตายหยาก ชื่อ Clitorea hanceana Hemsl วงศ์ Leguminosae (Fabaceae) – Papilionoideae จึงอาจทำให้กำเนิดความสับสนในการศึกษาเรียนรู้ข้อมูล ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงมีความจำเป็นที่จะจะต้องทำการศึกษาเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าสำรวจและระบุชื่อวิทยาศาสตร์ให้แจ่มแจ้งถัดไป เพราะแต่ละสกุลและก็จำพวกประเภทอาจมีสารออกฤทธิ์ที่มีโภคทรัพย์และก็ปริมาณแตกต่าง
ถิ่นเกิดหนอนตายหยาก
หนอนตายหยากพบในบริเวณเอเชียทิศตะวันออกและเอเซียอาคเนย์ แล้วก็ทางด้านเหนือของประเทศออสเตรเลีย ยิ่งกว่านั้นยังเจอกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆดังเช่น ประเทศญี่ปุ่น จีน ฮอลแลนด์ ประเทศฟิลิปปินส์ ฯ สำหรับเมืองไทยพบพืชสกุลนี้ในภาคต่างๆของประเทศ โดยพบได้มากรอบๆป่าดิบชื้น ป่าผลักใบ และก็ดงไผ่
ลักษณะทั่วไป
มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างกันน้อย แม้กระนั้นลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่มีเช่นกันคือ มีลักษณะเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีเหล้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นเหนือดินตั้งตรงหรือเลื้อย ใบเลี้ยงลำพัง เรียบสลับหรืออยู่ตรงกันข้ามกันเป็นคู่หรือเป็นวงรอบข้อ เส้นใบหลายเส้น ออกมาจากโคนใบขนานกันไปตามความยาวของแผ่นใบ ดอกออกเป็นดอกลำพังหรืออกเป็นช่อสั้นๆตามซอกใบ มีกลีบ 4 กลีบ เรียงกัน 2 วง เกสรตัวผู้ 4 อัน ก้านเกสรตัวผู้สั้นมาก เกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่อยู่เหนือชั้นต่างๆของดอก ผลเป็นแบบผลแห้งแก่แล้วแตก
ส่วนการแยกชนิดของสายพันธุ์ที่สามารถแยกได้ด้วยลักษณะด้านกายภาพซึ่งสามารถมองเห็นได้ คือ จำต้องมองที่ราก ใบและดอกเป็นหลัก (ซึ่งต้องอาศัยการเล่าเรียนค้นคว้ารวมถึงจะต้องอาศัยการแยกลายพิมพ์ดีเอ็นเอ แล้วก็อันดับวิธานเป็นสำคัญ)
แขนขยายพันธุ์
เป็นพืชที่พบมากป่าแล้วก็ในตอนนี้ยังไม่นิยมเอามาเพาะปลูกในเชิงพาณิชมากเท่าไรนักในการนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆก็เป็นการขุดมาจากป่าเสียเป็นส่วนมาก มีกล่าวว่ามีการทดลองปลูกพบว่า การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด จะมีอัตราการรอคอยดสูงที่สุด
องค์ประกอบทางเคมี
มีหลายสายพันธุ์ซึ่งแต่ละสายพันธุ์อาจมีสารออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน แต่ได้มีการศึกษาวิจัยบางฉบับบอกว่า สายพันธุ์ S.collinsae Craib รากเจอแอลคาลอยด์ stemonine, tuberostemonine, stemonidine, isostemonidine สารอื่นที่เจอ ตัวอย่างเช่น rotenoid compound, stemonacetal, stemonal, stemonone ส่วนสายพันธุ์ S.tuberrosa Lour พบว่ามีกรุ๊ปสารอัลคาลอยด์ เป็น stemonidine , tuberstemonine , isotuberstemonine , hypotuberstemonine รวมทั้ง oxatuberstemonine.
ผลดี/คุณประโยชน์
หนอนตายหยาก[/i]ได้ถูกประยุกต์ใช้ผลดีตามภูมิปัญญาชาวบ้าน มาตั้งแต่อดีตกาลโดยใช้ฆ่าเห็บเหาในสัตว์จำพวกโคแล้วก็กระบือ บางจำพวกใช้ฆ่าหนอน หรือใส่ไว้ในไหปลาร้าเพื่อกันหนอนแมลงวันและแมลงศัตรูพืช ในการเกษตรอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเป็นทางเลือดของกรรมวิธีการควบคุมศัตรูพืชแทนการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เพื่อเห็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีความปลอดภัยจากสารเคมีหลงเหลือ
นอกเหนือจากนี้ ยังมีการนำรากบางสารพัดธุ์มาใช้เป็นยาทางการแพทย์แผนโบราณ โดยมีแถลงการณ์ว่า ในประเทศจีนนำครึ้มยตายหยากสารพัดธ์ S.tuberosa Lour. มาใช้ร่วมกันสมุนไพรชนิดอื่น เป็นยาแก้ไอรวมทั้งขับเสมหะ ยาขับลม ยาถ่ายพยาธิ รักษาวัณโรค โดยในหนังสือเรียนหมอแผนจีนบอกว่า เหง้ามีรสขมเปียกแฉะ เป็นยาร้อนน้อย เป็นพิษนิดหน่อย ออกฤทธิ์ต่อปอดและก็ม้าม ใช้เป็นยาแก้ไอเย็น ไอเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ อาการไอสาเหตุจากเป็นวัณโรค
ในประเทศลาวนำ S. collinsae Craib มาใช้สำหรับในการกำจัดปาราสิตภายนอกร่างกาย ได้แก่ หมัดและก็เหา ส่วนประเทศไทยใช้พืชนี้สำหรับการกำจัดแมลง ใช้เป็นยาทาภายนอกสำหรับแผลที่เกิดขึ้นมาจากหนอนหรือตัวอ่อนของแมลงบางชนิด และก็เป็นยาต้มเพื่อกินแก้โรคผื่นคัน เหมือนกับตำราไทยที่บอกว่า ราก รสเมาเบื่อ ปรุงยารับประทาน แก้โรคผิวหนังผื่นคันน้ำเหลืองเสีย รมหัวริดสีดวงให้ฝ่อแห้งไป พอกทาแก้โรคผิวหนัง ฆ่าหิดเหา ฆ่าเชื้อพยาธิด้านใน มะเร็งตับ ตำผสมน้ำฆ่าแมลง ตีละเอียดแช่น้ำฟอกล้างผม ฆ่าเหา พอกแผลต่างๆฆ่าหนอน รวมทั้งใช้ทำลายหิดได้ นำรากมาโขลกบีบเอาน้ำหยอดแผลวัวควายซึ่งมีหนอนไช หนอนจะตายหมด
แบบเรียนยาสมุนไพรพื้นบ้านใช้ ราก ต้มน้ำ ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด นำรากผสมกับหญ้าหวายทุ่งนาและก็ชะอม ต้มน้ำกิน ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด หรือ คั้นน้ำพอก แก้หิดเหา แบบ/ขนาดการใช้
ในการจะใช้รากมารับประทานเป็นยาสมุนไพรนั้น จะใช้ได้เป็นบางสายพันธุ์แค่นั้น แล้วก็ควรจะมีวิธีการทำลายพิษ โดยนำรากมาล้างให้สะอาดแลวนำมาลวกหรือนึ่งจนถึงไม่เห็นแกนสีขาวที่รากแล้วนำไปตากแห้ง และหั่นให้มีขนาดเล็กก่อนนำไปปรุงเป็นตำรายาหรือบางตำราก็นำมาเชื่อมกับน้ำผึ้งก่อนใช้ประโยชน์ ด้วยเหตุว่ารากสดของมีพิษ ถ้าเกิดไม่ผ่านกรรมวิธีการทำลายพิษก่อนอาจจะส่งผลให้ทำให้เป็นอันตรายถึงตายได้ โดยสายพันธุ์ที่นิยมประยุกต์ใช้ทำเป็นยาสมุนไพร ดังเช่นว่า S.tuberosa Lour. , S. collinsae Craib , S.sessilfolia (Miq) , S. japonica (BJ) Miq. ฯลฯ ส่วนแบบอย่างวิธีการใช้มีหลายวิธี ดังต่อไปนี้
ใช้รักษาเหา ด้วยการใช้รากสดประมาณ 3-4 ราก ที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว นำมาตำผสมกับน้ำใช้ชโลมเส้นผมทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงค่อยสระออกให้สะอาด โดยให้ทำติดต่อกันราว 2-3 วัน
ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ให้ใช้รากสด 1 ราก ที่ล้างสะอาดแล้ว เอามาหั่นตำอย่างระมัดระวัง เพิ่มเกลือ 1/2 ช้อนชา ใช้อมราว 10-15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง ทำอย่างนี้ต่อเนื่องกันประมาณ 2-4 ครั้ง
ใช้ฆ่าพยาธิตัวแบน ทั้งยังพยาธิเส้นด้าย พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด ด้วยการใช้รากแห้งที่ผ่านการเตรียมยามาแล้ว 2 ราก นำมาต้มกับน้ำดื่มติดต่อกันราว 15-20 วัน (ราก) ส่วนวิธีใช้ถ่ายพยาธิปากขอ ให้ใช้รากหรือเหง้า 100 กรัม แบ่งต้ม 4 ครั้ง จากนั้นนำมาสกัดจนถึงเหลือ 30 ซีซี ใช้กินครั้งละ 15 ซีซี โดยให้กินติดกัน 2 วัน
ใช้รากมาต้มกับยาฉุนรมริดสีดวงทวารหนักจะมีผลให้หัวแห้งฝ่อ ใช้รักษาโรคผิวหนัง โยนำรากที่ผ่านการเตรียมยาแล้ว 50-100 กรัม ไปต้มแล้วใช้อาบนอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของตัวยาอีกหลายตำรับอาทิเช่น ยาตัดรากอุปะทม , ยาแก้ดีลมแลกำทายใจ เจือกันอีกทั้งสาม , ยาแก้ดีกำเดา ฯลฯ
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
รายงานการเรียนฤทธิ์ของสารสกัดหนอนตายหยากต่อสัตว์ทดลอง กล่าวว่า ยาชงสกัดด้วยอีเทอร์ จะได้ปริมาณอัลคาลอยด์สูง มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้มากกว่ายาชงสกัดด้วยแอลกอฮอล์ และสารสกัดหนอยตายหยากที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่อยู่ในรูปของยาครีม จะมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการกำจัดเหาได้ดียิ่งไปกว่าในรูปของยาน้ำ รวมทั้งฤทธิ์หลงเหลือเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์แค่นั้น รวมทั้งมีรายงานศึกษาผลของ 6-deoxyclitoriacetal ซึ่งเป็นสาร retonoids ที่สกัดได้จากรากต่อการยุบตัวของกล้ามเนื้อเรียบจากอวัยวะต่างๆที่แยกจากกายของตัวทดลองพบว่า 6-deoxyclitoriacetal 0.2 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สามารถลดการยุบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของมดลูกหนูขาวทั้งที่เกิดขึ้นเองหรือมีเหตุที่เกิดจากการกระตุ้นด้วย serotonin แล้วก็ norepinephrine แบบความเข้มข้นสะสม รวมทั้งยังสามารถลดการยุบตัวของกล้ามเรียบของเส้นโลหิตแดงใหญ่ของหนูขาวจากการกระตุ้นด้วยสารละลายแคลเซียมคลอไรด์แบบความเข้มข้นสะสม ยิ่งไปกว่านี้ยังสามารถส่งผลต่อการหกตัวของกล้ามเนื้อเรียบลำไส้เล็กส่วน ileum ของหนูตะเภา เมื่อมีการกระตุ้นด้วย acetylcholine จากผลการทดลองทั้งสิ้นแสดงให้เห็นว่า 6-deoxyclitoriacetal มีฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบจากอวัยวะต่างๆรวมทั้งกลไกของการยับยั้งการหดตัวนี้เป็นแบบไม่ได้มีการเฉพาะเจาะจง
นอกจากนั้นยังมีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยอื่นๆอีกอย่างเช่น สมุนไพรสามารถยับยั้งการไอของสัตว์ทดสอบได้ แล้วก็มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลางของระบบหายใจ ทำให้การหายใจได้ผลช้าลง
[/b]
การศึกษาทางพิษวิทยา
การเรียนรู้ความเป็นพิษทันควันของ สารพัดธุ์ S.curtisii Hook. F.HC ในหนูถีบจักร โดยการป้อนสารสกัดจากรากขนาด 0.25-80 กรัม/กก. น้ำหนักตัว เป็นเวลา 14 วัน แล้วก็ขนาด 10 กรัม/กก. น้ำหนักตัว เป็นเวลา 30 วัน สำหรับทดลองความเป็นพิษครึ่งกระทันหันของ ไม่พบความเป็นพิษของสารสกัด
ข้อแนะนำ/ข้อควรคำนึง
ราก[url=https://www.disthai.com/17049469/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81]หนอนตายหยา[/i]มีพิษ ถ้าหากรับประทานเข้าไปโดยไม่ผ่านแนวทางการทำลายพิษก่อน จะมีผลให้เมา แล้วก็อาจถึงตายได้
การจะนำมาใช้ต้องหารือผู้ที่มีความชำนาญก่อนเสมอ เพราะเหตุว่า มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งมีบางสายพันธุ์เท่านั้นที่มีสรรพคุณทางยา
ไม่สมควรใช้เป็นยาสมุนไพรในปริมาณที่มากและก็ใช้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานกระทั่งเหลือเกิน เนื่องจากบางทีอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้
คนไข้ที่มีโรคประจำตัวรวมทั้งสตรีตั้งท้องไม่ควรใช้หนอดตายหยาก ด้วยเหตุว่าอาจส่งผลให้โรคที่เป็นอยู่กำเริบเสิบสานหรือส่งผลต่อท้องได้
เอกสารอ้างอิง
มณฑา วงศ์มณีโรจน์.การเพิ่มประสิทธิภาคการชักนำราก (Stemona collinsae Craib) ในสภาพปลอดเชื้อและการนำต้นออกปลูกวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.ปีที่6 ฉบับที่ 1.มกราคม-เมษายน 2551.หน้า 65-71
ฌุฉัตรา วีระฉัตร.2528.ผลของสารสกัด (Stemona collinsae Craib) ต่อสัตว์น้ำบางชนิด.วิทยานิพนธ์ปริญญาโท สาขาสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 41 หน้า.
กองวิจัยทางแพทย์.2527. สมุนไพรพื้นบ้านตอนที่1.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์.กรุงเทพฯ131 หน้า
Burkill I.H. 1935. Dictionary of the Economic Products of the Malay Peninsula. 2 vols., Oxford University Press, London. 2402 p.
ประคอง พันธุ์อุไร.อุษาวดี ธำรง ผลชีวัน บุญล้วน พันธุมจินดา ทวีผล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา และสุวรรณา จารุนุช 2523.สารสกัดจากรากเพื่อใช้ฆ่าเหา.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,กรุงเทพฯ.16หน้า.
ผศ.ดร.ดริยาภรณ์  พงษ์รัตน์และคณะ .การศึกษาการผลิต และการขยายพันธุ์.รายงานการวิจัยคณะเกษตรศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
การะเกด สายบรรดาศักดิ์ 2540 ฤทธิ์ของ 6- deoxyclitoriacetal จากรากต่อกล้ามเนื้อเรียบ.วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาเภสัชวิทยา บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.119 หน้า.
นันทวัน บุณยะประภัสร.อรนุช โชคชัยเจริญพร.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5) มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ พ.ศ.2543.หน้า 118-22.
บุณย์ธนิสร์ โอทกานนท์.2494.การศึกษาทางเภสัชวิทยาของ.ในรายงานการวิจัยเพื่อปริญญาเภสัชศาสตร์บัณฑิต.คณะเภสัชศาสตร์,มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์.8 หน้า.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “”.  หน้า 608.
วีเชียร กีรตินิจกาล..ศูนย์ความหลากหลายทางพันธุกรรมพืช.เอกสารประกอบการจัดนิทรรศการงานเกษตร ประจำปี 2548.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จตุจักร กรุงเทพฯ.
บุญชู ธรรมทัศนานนท์.ว่านรักษาโรค.คอลัมน์การรักษาพื้นบ้าน.นิตยสารหมดชาวบ้าน เล่มที่20.ธันวาคม2523.
.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ออนไลน์)
รากของ.กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Tags : ประโยชน์หนอนตายหยาก, สรรพคุณหนอนตายหยาก



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ