พิกัดโกษฐ์ มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พิกัดโกษฐ์ มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง  (อ่าน 54 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 07, 2019, 12:48:49 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


พิกัดโกษฐ์
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย หนังสือเรียนโบราณเขียนชื่อพิกัดยาพวกนี้แตกต่างออกไปหลายแบบ ในศิลาจารึกหนังสือเรียนที่วัดราชบุตรชายสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แม้กระนั้นครั้งพระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระผู้เป็นเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความกรุณาเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทานพิกัดโกษฐ์ เมื่อทรงซ่อมวัดนี้ใน พ.ศ. ๒๓๖๔ มอบให้เป็นพระราชบุญกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยเดี๋ยวนี้เป็น โกด ทั้งหมด เช่น (พิมพ์ตาอักขระที่ปรากฏในศิลาจารึก) ถ้าบุคคลคนใดกันแน่จับไข้เพื่อเสมหะ ปิตะ วาตะ สมุถานดีแล้ว ทำให้หิวโหยหาแรงมิได้ ให้ระสลากกินแบ่งไป ให้ใจขุ่นหมองมิได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังไม่ได้ หากจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งยังห้า เทียรทั้งยังห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี หญ้าแห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด สักขี ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เเช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลทรายก็ได้ น้ำค้างคืนก็ได้ รับประทานแก้เสียกระบวนแลดับพิษไข้ทั้งผอง ทำให้คลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลชูกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนศิลาจารึกตำราเรียนที่วัดพระเชตุๆพนกระจ่างมังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงซ่อมแซมปรับปรุงใหญ่เมื่อปี พุทธศักราช ๒๓๗๕ และคณะอาจารย์สถานที่เรียนแพทย์แผนโบราณได้เก็บรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ในตำรายาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในพักนี้เป็น โกฐ ทั้งผอง ได้แก่แผ่นจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖ แผ่น ๔ ดังต่อไปนี้ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ กล่าวถึงลักษณะสันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔ เมื่อจะมีขึ้นแก่บุคคลใดก็ดี ก็ทำให้ลงดุจกินยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิบเคลิ้มไปพบสติมิได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นอันมาก ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจมิได้ขาด ถ้าหากเเลลักษณะเป็นดังกล่าวข้างต้นมานี้ ฯ ถ้าจะแก้เอาสมออีกทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลกระดอม จันทน์ทั้งยัง ๒ โกญสอ โกฐเขมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกญน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กาทั้งยัง ๒ ใบสันมีดพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทแขนก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เท่าเทียมต้มตามวิธีให้รับประทาน แก้สันนิบาตอันบังเกิดเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวคือดีรั่วนั้นหายวิเศษนักฯสำหรับ หนังสือแพทย์แผนไทยแผนโบราณ ซึ่งเก็บโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน คำเลื่องลือแผ่กว้าง) เขียนชื่อพักนี้เป็น โกฏ ทั้งหมด อาทิเช่นยาแก้คอแห้งในคู่มือเล่ม ๓ ในตอนที่เกี่ยวกับเสลดพิการและก็ยาแก้ ดังนี้ ยาแก้คอแห้งผาก แก้เสมหะเหนียว แก้อ้วก เอาโกฏทั้งยัง ๕ เทียนทั้ง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู หว้านน้ำ ประพรมมิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อ้วกละลายน้ำลูกยอต้มรับประทาน
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณทุ่งนา – หนังสือเรียนหมอแบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจพิศาล ตามตำราของพระยาประเสริฐศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นพ่อ บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งหมด เป็นต้นว่า ยาเทพนิมิตรในเล่ม ๔ ดังนี้ ถ้าจะเอายาชื่อเทวดานิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ พยาน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นประพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมทะเล ๑๖ ส่วน เบ็ญจเราล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำแก่นไม้ต้มแทรกพิมเสนให้กิน แก้โลหิตปกติโทษอันมีขึ้นแต่ว่ากระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล
ก็เลยมองเห็นได้ว่าแบบเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ ไม่เหมือนกันไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกจำพวกเป็นของที่มีพิกัดโกษฐ[/b][/i]กำเนิดในต่างถิ่น และมีพ่อค้าต่างประเทศนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานแล้ว ขั้นต่ำก็ก่อนสมัยสมเด็จพระทุ่งนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เนื่องจากในตำราเรียนหมอแผนไทยซึ่ง หนังสือเรียนพระยาพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม คือคัมภีร์โรคนิทาน และคัมภีร์มหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้ล้นหลามหลายขนาน และใหหลายขนานในแบบเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์เอง แต่ชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรจะเขียนเป็นเยี่ยงไร มีที่มารวมทั้งความหมายอย่างไร ยิ่งกว่านั้นเครื่องยาหมู่นี้บางจำพวกเป็นอย่างไร มีที่มาที่ไปยังไงอย่างเป็นข้อพิพาทที่ยังหาบทสรุปมิได้
สิ่งที่ทำให้เกิดคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังต่อไปนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรจำพวกหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลายชนิด แบบเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยผู้รู้ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แต่ว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งแพทย์แผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) ก็เลยน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แต่ คำ โกฐ นี้แสดงว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีหมายความว่า ลำไส้ ท้อง คำอีกทั้ง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร ยิ่งกว่านั้น คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แม้กระนั้นก็บอกคำจำกัดความที่ไม่เหมือนกัน เป็นต้นว่าโกส แสดงว่า ผอบ; แสดงว่าซูบผอมมาตราวัดความยาวเท่ากับ ๕๐๐ เลวธนู
โกฏิ แปลว่า ๑๐ ล้าน
โกษ แสดงว่า อัณฑะ
หีบศพ แสดงว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลังเก็บของ คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อและก็พิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรจะเขียนยังไงนั้น คงจะสืบหาต้นเหตุของคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้สูงที่สุด เพื่ออาจความหมายเดิมให้เยอะที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งสิ้นเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีรวมทั้งใช้กันมาในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนแล้วก็ประเทศใกล้เคียง แล้วก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่มีความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้ก็เลยน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น บางทีอาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปและก็การแพทย์แผนจีนมีอิทธิพลอย่างสูงในการพัฒนาการแพทย์ทางด้านการแพทย์รวมทั้งเภสัชกรรมแผนแพทย์แผนไทยมาแต่โบราณ แต่คำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ดังนั้น คำที่ออกเสียง โกด ก็เลยน่าจะมีที่มาจากภาษาท้องถิ่นใดในประเทศอินเดียหรือเปอร์เซียในหนังสืออายุรเวทของอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาประเภทหนึ่งในภาษาพื้นเมืองของประเทศกัษมิระ และตำราเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาประเทศอิหร่านหรืออิหร่าน ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีและก็เบงกาลีเป็น kut ภาษาทมิฬเป็น kostum หรือ goshtam ตำราเรียนยาไทยเรียกเครื่องยาชนิดนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) ก็เลยได้บทสรุปในชั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้น่าจะมาจากภาษาอิหร่าน และคำนี้สื่อความหมายยังไง
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาอิหร่าน จึงจำต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาเปอร์เซีย โดยเฉพาะคำในภาษาดังที่ได้กล่าวมาแล้วที่ใช้กับยาบำบัดโรคในตำราอูนานิ (Unani) แพทย์โอนาไม่หลังจากที่ได้บากบั่นค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายสิบปี เมื่อเร็วๆนี้เองก็เลยได้เจอคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ หนังสือเรียนยาที่การแพทย์ตะวันออกของแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงคำเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์ที่หมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน และนายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือไม่ได้ระบุปีที่พิมพ์และสำนักพิมพ์) ในหนังสือเรียนดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
จึงสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เทียบเสียงเป็น kushta และควรจะเทียบเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ ก็เลยจะตรงกับคำในภาษาเดิมสูงที่สุด แล้วก็ให้คำจำกัดความที่ไม่บางทีอาจเป็นอย่างอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้อาจจะเข้ามาสู่แว่นแคว้นไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของเปอร์เซีย แล้วก็การแพทย์โบราณที่ประเทศไทยคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลายประเภท ซึ่งแม้จะใช้เพลงจำนวนบางส่วน แต่ว่าก็ทรงพลังสำหรับเพื่อการบำบัดโรคในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
หมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนแล้วก็เครื่องยาเทศหลายชนิดในยาไทย การแสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันฉลาดเฉลียวเฉลียวฉลาดพิกัดโกษฐ์ของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างประเทศในยาไทย เครื่องยาพวกนี้หลายอย่างเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์ ทั้งยัง ๗ โกษฐ์ ทั้ง ๙ รวมทั้งโกษฐ์พิเศษ นอกจากนั้นยังมีกดอีกหลายประเภทที่ไม่ได้จะเข้าเอาไว้ภายในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา
ชื่อพฤษศาสตร์ของที่มา วงศ์             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.
Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เขมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบและเรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนและใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากรวมทั้งเหง้าแห้ง
โกษฐ์กะกลิ้ง        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เม็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f. Anacardiaceae         ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากรวมทั้งเหง้าแห้ง
โกฐทั้งยัง ๕ (ห้าโกษฐ์) เป็นพิกัดเครื่องยาไทยตัวอย่างเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงเลือด รวมทั้งแก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแต่ว่าโบราณ นอกเหนือจากนั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากมายทั้งยังในอดีตกาลและก็ยาไทย
โกษฐ์ ทั้ง ๗ (สัตตโกษฐ์) เป็นพิกัดตัวยา มีเรื่องยา ๗ ประเภท คือโกษฐ์อีกทั้ง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว แล้วก็ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ ชนิด หนังสือเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาหมู่นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูกโกษฐ์อีกทั้ง ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา ประกอบด้วยโกษฐ์ทั้ง๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีแล้วก็โกษฐ์พุงปลาอีก ๒ จำพวก แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่าย่าโมนี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้หืดหอบไอ แก้ไข้จับสั่น แก้พิษร้อน แก้ลมเสียดแทงชายโครง กระจัดกระจายลมในกองริดสีดวง แก้ลมในกองเสลด แก้สะอึก แก้ไข้ในกองอว่ากล่าวสาร แก้โรคในปาก กระจัดกระจายหนอง ฆ่าพยาธิ แก้ไส้ขาดไส้ลุกลาม ขับโลหิตร้ายอันกำเนิดแม้กระนั้นกองปิตตะสมุฏฐาน
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ประเภท ยกตัวอย่างเช่น โกษฐ์กะกลิ้ง โกษฐ์กักกรา และโกษฐ์น้ำเต้า [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16959690/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C]พิกัดโกษฐ์
นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอติเตียนสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในลำไส้ แก้โรคหนองใน ขับระดูร้าย เพื่อช่วยให้เด็กนักเรียนวิชาการปรุงยาแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งสิ้นได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้แต่งกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ชนิดต่างๆในพิกัดยาไทยจัดตามลำดับดังต่อไปนี้
เชียงสอขอหัวบัว เฉมาชั่วช้าลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกเอาไว้ภายในชฎา
กะกลิ้งและกรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามสาเหตุ
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels สกุล Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น มีความหมายว่าผู้ที่มาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ริมน้ำ) ก็ได้ แม้กระนั้นในที่นี้หมายความว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ เซนติเมตร ร่างเจ้าเนื้อหนา ทรงกระบอก แยกเป็นรากกิ่งก้านสาขาหลายราก มีกลิ่นหอมยวนใจแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนนกสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ ซม. ยาว ๒-๒.๓ ซม. ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (ละเว้นบริเวณเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ ซม. โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ ซม. ใบประดับประดามี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดไม่เท่ากัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบตกแต่งย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มม. ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (บางคราวสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลปีกยื่นออก ผลได้ผลแบบผักชี ด้านล่างแบนข้าง รูปขอบขนานปนรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ มิลลิเมคร ยาว ๔-๖ มม. สันด้านล่างครึ้มแคบ ข้างๆมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่ว่ามี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชชนิดนี้มีเขตการกระจายชนิดในป่าดิบ ตามเทือกเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของจีน เป็นบริเวณมณฑลกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อชวน (เสฉวน) รวมทั้งหยุยงนหนาน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร ออกดอกในมิถานายนถึงกรกฎาคม เป็นผลในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พืชประเภทนี้ถูกปรับปรุงสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกภายในประเทศจีนมานานนับพันปีแล้ว ตอนนี้ปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง ต้นแบบทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ แขนง หรือมากกว่า ยาว ๑๕-๒๕ ซม. ผิวนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕-๔ เซนติเมตร มีแอนนูลัส ปลายมนรวมทั้งกลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นแล้วก็จากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากกิ้งก้าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ ซม. ตอนบนครึ้มตอนล่างเรียวเล็ก โดยมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นมาจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากดก มีร่องแลกเปลี่ยนจุดเยอะมากๆ ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมแรง รสหวาน ฉุน รวมทั้งขมเล็กน้อย
ชาวจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆเยอะแยะ ด้อยกว่าก็แต่ว่าชะเอม (licorice) เท่านั้น จีนใช้ขวดเชียงต่างกันคือ รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากกิ้งก้านน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับระดู แพทย์แผนจีนใช้เครื่องยาชนิดนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี ยกตัวอย่างเช่น ยาขับประจำเดือน ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดไหลทุกประเภท แก้หวัด แก้ท้องอืด ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้คือ ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น อวัยวะสืบพันธุ์ เพื่อให้ปฏิบัติสามีก้าวหน้ารวมทั้งเมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย ตำราบริบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมยวนใจ รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้ทิ่มแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ประเภทหนึ่งในพิกัดโกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์อีกทั้ง ๗ และโกษฐ์ทั้งยัง ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาครอคอยล (carvacrol) เป็นต้น นอกเหนือจากน้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลากหลายประเภท อย่างเช่น สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกสิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ อย่างเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรหมายความว่าขาว หนังสือเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก ป๋ายจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจักจี้ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากยิ่งกว่า อาจแยกกิ่งก้านสาขาตรงปลาย มีกลิ่นหอมยวนใจแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน อวบสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๕ เซนติเมตร (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขน หรือหยักลึกแบบขน ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่แกมสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ ซม. ยาวถึง ๕๐ เซนติเมตร แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกปนรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ ซม. ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบน้อย ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบด้านบนรถรูปเหลือเพียงแค่กาบที่เกือบจะไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบเสริมแต่งมี ๐-๒ ใบ คล้ายกาบ ป่องออกห่อช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางครั้งบางคราวถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบตกแต่งย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกแกมรูปแถบ ยาวเกือบเท่าดอกย่อย กลีบเลี้ยงฝ่อ กลีบดอกไม้มี ๕ กลีบ รูปไข่กลับ ขนาดเล็ก ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลเป็นปีกยื่นออก ผลได้ผลแผนผักชี ข้างล่างแบนราบ รูปรีกว้าง กว้างถึง ๔-๖ เซนติเมตร ยาว ๔-๗ เซรดีเมตร สันด้านล่างครึ้มกว่าร่อง สันข้างๆแผ่เป็นปีกกว้าง มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่มี ๒ ท่อ ตรงแนวเชื่อม ดอกบานราวเดือนกรกฎาคมคงจะถึงเดือนสิงหาคม แล้วก็สำเร็จราวส.ค.ถึงกันคุณยายน พืชนี้มีเขต ผู้กระทำระจายชนิดในประเทศจีน ญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี แล้วก็รัสเซีย (ไซบีเรีย) ชนิดที่เจอทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจีนเป็นจำพวก A. dahurica (Fisch. ex Hoffm.) Benth. & Hook.f. ex Franch. & Sav. var dahurica มากขึ้นจากเทือกเขาสูงรวมทั้งเปียกชื้น ในซอกเขา ริมน้ำ แล้วก็ชายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตเหอเปย์ เฮย์หลงเจียง จี๋หลิน เหนียวหนิง และระเบียงซี ชนิดนี้ได้รับการพัฒนาเป็นพืชปลูก ที่นิยมกันมาก สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ A dahurica cv.Oibaizhi (ปลูกมากมายที่บริเวณเหอครึ้มน)
ส่วนพันธุ์ที่พบทางภาคเหนือของเกาะไต้หวันเป็น A.dahurica (Fisch. ex Hoffm.)Benth. & Hook.f. ex Franch. & Sav. var. formosana (H. Boissieu) ประเภทนี้รังไข่และก็ผลมีขน ซึ่งจะแตกต่างจากประเภททางภาคเหนือ จำพวกนี้กฌได้รับการพะฒนาเป็นพิชปลูกเหมือนกัน แล้วก็ที่นิยมนำมาปลูกกันมากมี ๒ สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์ A. dahurica cv. Hangbaizhi (ปลูกมากมายที่มณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยน เจียงซู เจ้อเจียง และก็ถายวาน) สายพันธุ์ A. dahurica cv.Chuanbaizhi (ปลูกมากที่เขตซื่อชักชวน รากของพืชนี้จะถูกขุดขึ้นมาในช่วงฤดูร้อนแล้วก็ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อต้นเริ่มเฉารวมทั้งใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วหลังจากนั้นเอามาล้างน้ำให้สะอาด ตัดรากแขนงออก แล้วตากแดดหรือตากในที่ร่มจนแห้งสนิท หมอแผนไทยเรียกรากแห้งที่ได้ว่า โกษฐ์สอ โกษฐ์สอเป็นรากแห้งรูปกรวย ยาว ๑๐-๒๕ ซม. ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๒.๕ ซม. เกือบจะกลมหรือเป็นสี่เหลี่ยม ปลายมนหรือมีรอยหัก ข้างนอกสีน้ำตาลอมเทาหรือสีน้ำตาลอมเหลือง มีรอยย่นตามแนวยาว มีรอยแผลเป็นของรากกิ่งก้านสาขา เหมือนช่องอากาศนูนขึ้นมาตามแนวขวาง เรียงเป็นแถวตามทางยาว ๔ แถว โคนรากมีรอยแผลเป็นของลำต้น เนื้อรากแน่น รอยหักสีขาวหรือสีขาว



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ