การบริจาคเลือด สุขภาพดี ๆ ที่มาพร้อมกับการทำบุญ

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การบริจาคเลือด สุขภาพดี ๆ ที่มาพร้อมกับการทำบุญ  (อ่าน 47 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Saiswatka
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 22027


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: ตุลาคม 10, 2016, 03:25:33 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

ในช่วงระยะหลังที่ผ่านมา หากเราติดตามข่าวสารจากหน้าหนังสือพิมพ์ หรือฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เราก็มักได้ยินข่าวการประกาศขอ ‘บริจาคเลือด’ อยู่บ่อยครั้ง กระแสข่าวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเลือดยังคงเป็นที่ต้องการอยู่ต่อเนื่อง แต่อาจด้วยเหตุผลความเข้าใจผิดบางประการทำให้หลายคนคิดว่าเรื่องของการบริจาคเลือดมีประโยชน์ในด้านการทำบุญทำกุศลเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วสำหรับตัวผู้บริจาคเองก็กลับได้รับประโยชน์ทางด้านสุขภาพด้วย ดังนั้นคอลัมน์ Wellness Talk ฉบับนี้จึงขอเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะร่วมนำเสนอเรื่องราวของการบริจาคเลือดให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจกันมากขึ้น 

‘เลือด’ เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลวนเวียนอยู่ภายในร่างกาย มีหน้าที่ลำเลียงอาหาร น้ำ ออกซิเจน รวมถึงสารอื่น ๆ ไปยังอวัยวะต่าง ๆ คิดเป็น 8% ของน้ำหนักตัว เลือดหนึ่งหยดสามารถแยกออกได้เป็นสองส่วนสำคัญ คือ ส่วนที่เป็นน้ำเหลือง หรือเรียกว่า พลาสมา และส่วนที่เป็นมวลสาร ซึ่งก็คือ เซลล์เม็ดเลือด 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยคุณพรทิพย์ รัตจักร์ หัวหน้าภาคบริการโลหิตแห่งชาติ จ. ภูเก็ต อธิบายว่า แต่ละส่วนจะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น เม็ดเลือดแดง จะมีหน้าที่นำพาออกซิเจนที่ได้จากปอดไปแจกจ่ายให้เซลล์ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เม็ดเลือดขาวจะเป็นดั่งทหารกล้าที่ค่อยป้องกันประเทศ มีหน้าที่กำจัดแบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกาย ส่วนเกล็ดเลือด มีหน้าที่ในการห้ามเลือด โดยจะรวมตัวเป็นก้อนแข็งอุดตรงบริเวณหลอดเลือดที่ถูกตัดหรือฉีกขาดเวลาเกิดบาดแผลทำให้เลือดหยุดไหล เป็นต้น

    “เลือดแต่ละส่วนนั้นเขาจะมีอายุการทำงานของตนเอง เช่น เม็ดเลือดแดงจะอยู่ได้ประมาณ 120 วัน หลังจากนั้นก็จะถูกร่างกายทำลายไปโดยธรรมชาติ แล้วไขกระดูกก็จะผลิตเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งจะผลิตในปริมาณที่เกินกว่าความต้องการใช้จริง เพื่อสำรองส่วนหนึ่งไว้ในกรณีที่ร่างกายมีการสูญเสียเลือดแบบฉุกเฉิน เช่น จากอุบัติเหตุ การแท้งบุตร การผ่าตัด การคลอดบุตร หรือการมีประจำเดือน ดังนั้นการรับบริจาคเลือด จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปริมาณเลือดสำรองเท่านั้น ไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ ให้กับร่างกายค่ะ”

นี่คือคำอธิบายถึงข้อกังขาที่บางคนเข้าใจว่า การบริจาคเลือดนั้นจะทำให้เกิดภาวะสูญเสียเลือดจนอาจส่งผลร้ายต่อร่างกาย แต่แท้จริงแล้วเป็นการนำเลือดเพียงบางส่วนที่เหลือจากการใช้งานมาก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นมากกว่า โดยผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้นั้น คุณพรทิพย์เน้นย้ำว่า คือ กลุ่มบุคคลที่มีอายุระหว่าง 17-70 ปี โดยน้องๆอายุ 17 ปีผู้ปกครองต้องยินยอมเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้สูงอายุ 60-70 ผลการตรวจ Serum Feritin มีค่าปกติ มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 45 กิโลกรัม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างการไม่สบาย หรือรับประทานยาใด ๆ ที่สำคัญไม่เป็นผู้ป่วย หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิลิส [url=http://www.xn--82cdb2bf8f2ac6cb3g0a3iqc.com/]เอชไอเลือดรวม (เลือดทั้งหมดที่มีอยู่ในถุง) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เสียเลือดมากจากอุบัติเหตุ โดนยิง โดนแทง หรือการผ่าตัดใหญ่ จนเกิดภาวะช็อค และอาจเสียชีวิตได้ , เม็ดเลือดแดง ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคธาลัสซีเมีย ซึ่งจะมีอาการเสียเลือดแบบเรื้อรัง ที่สำคัญร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีคุณภาพได้เอง , เกล็ดเลือด ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกชนิดรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุด , และพลาสมา ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียทุกชนิด โรคไข้เลือดออก โรคตับแข็ง เป็นต้น

    เป็นการสร้างประโยชน์แบบ 1 คนให้ 4 คนรับ...
    “ถ้าเป็นเลือดขนาด 350 ซีซี เราจะปั่นออกมาได้เป็น 2 ส่วน คือ เม็ดเลือดแดง และพลาสมา ส่วนขนาด 450 ซีซี จะปั่นได้ 3 ส่วน คือ คือ เม็ดเลือดแดง พลาสมา และเกล็ดเลือด ซึ่งหลังจากที่รับบริจาคแล้วนั้น เม็ดเลือดแดงจะเก็บอยู่ได้นานประมาณ 35-42 วัน พลาสมาจะทำการแช่แข็งไว้ได้นานประมาณ 1 ปี ส่วนเกล็ดเลือดจะอยู่ได้เพียง 5 วัน พอหลังจากนั้นเราก็ต้องทำลายทิ้ง เพื่อให้เลือดที่อยู่ในคลังเลือดเป็นเลือดที่สมบูรณ์และมีคุณภาพพร้อมใช้งานมากที่สุดค่ะ”

    ส่วนผู้ที่ให้บริจาคนั้น เมื่อการเจาะเลือดเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ก็จะนำขนมและน้ำหวานมาให้พักรับประทาน เพื่อปรับสภาพน้ำในร่างกาย พร้อมมอบยาธาตุเหล็กให้กลับบ้าน 1-2 ถุง ซึ่งก็ควรรับประทานอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะการเป็นเลือดจาง จากนั้นไม่นานไขกระดูกก็จะทำการสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่หายไปจากการบริจาค โดยเป็นเซลล์เม็ดเลือดที่มีการทำงานเต็มประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น และควรทิ้งระยะห่างประมาณ 3 เดือน เพื่อให้ร่างกายฟื้นสภาพเต็มที่จึงจะเริ่มบริจาคใหม่อีกครั้ง

    “ธาตุเหล็ก นี่จะเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญของเลือด [url=https://th-th.facebook.com/Thaimedicalplus/]การบริจาคเลือภาคบริการโลหิตแห่งชาติ จ.ภูเก็ต
38/193 ถ.รัตนโกสินทร์ 200ปี ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000
เปิดรับบริจาค   วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.
วันอังคาร วันพฤหัสบดี เวลา 08.30-20.00 น. 
วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-15.00 น.
email : phuketrbc@yahoo.com โทร. 0 7625 1178 โทรสาร. 0 7625 0185



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ