โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 4 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 26, 2018, 06:19:16 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคอาหารเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นยังไง โรคอาหารเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้อธิบายถึงลักษณะการป่วยที่เกิดขึ้นมาจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ต้นเหตุอาจเกิดขึ้นจากการแปดเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก อาทิเช่น ตะกั่ว เป็นต้น   ก่อให้เกิดอาการอ้วก อ้วก ท้องเดิน เจ็บท้อง ซึ่งอาการจำนวนมากมักไม่ร้ายแรง แต่ถ้าเกิดอาการรุนแรงขึ้นอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่จนถึงเป็นอันตรายได้ ของกินเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศเขตร้อน  โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในประเทศที่กำลังปรับปรุง แต่เจอได้เรี่ยรายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว จังหวะการเกิดโรคในเพศหญิงและก็เพศชายเท่ากัน แต่บางทีอาจเจอในเด็กได้สูงขึ้นยิ่งกว่าวัยอื่นๆเพราะว่าแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหารในสถานศึกษา ดังนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กเกิดของกินเป็นพิษได้มากถึงประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • ที่มาของโรคอาหารเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษส่วนมากมีสาเหตุจากทานอาหาร รวมทั้ง/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่แปดเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปเป็นไวรัส นอกจากที่เจอได้บ้างเป็นการแปดเปื้อนปรสิต (Parasite) ดังเช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการแปดเปื้อนของสารพิษ ที่พบได้มาก คือ จากเห็ดพิษ สารพิษแปดเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู แล้วก็สารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายประเภทที่สามารถปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาแปดเปื้อนในอาหารต่างๆยกตัวอย่างเช่น น้ำกิน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล แล้วก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อมนุษย์เราทานอาหารที่แปดเปื้อนสารพิษดังที่กล่าวมาแล้ว ก็จะทำให้กำเนิดลักษณะของการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย  พิษหลายชนิดทนต่อความร้อน หากแม้จะปรุงอาหารให้สุกแล้ว สารพิษก็ยังคงอยู่รวมทั้งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นกับจำพวกของเชื้อโรค บางจำพวกมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางจำพวก 8-16 ชั่วโมง บางจำพวก 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุของโรคของกินเป็นพิษที่พบได้มากในอาหาร คือ
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่เจอได้ในดินแล้วก็น้ำในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ชนิดซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้

  • Proteolytic strain มี type A ทั้งผอง และก็บางส่วนของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยอาหารได้ และทำให้ของกินมีลักษณะถูกแปดเปื้อน
  • Non-proteolytic strain ประกอบด้วย type E ทั้งหมดทั้งปวง รวมทั้งเล็กน้อยของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้ของกินมีลักษณะเปลี่ยน

เชื้อนี้เติบโตได้ดีในสภาวะโอบล้อมที่มีออกซิเจนน้อย ก็เลยพบบ่อยในอาหารบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าบรรจุกระป๋องที่ผ่านแนวทางการผลิตผิดสุขลักษณะ ยกตัวอย่างเช่น หน่อไม้ปีบ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป พิษที่สร้างจากเชื้อจำพวกนี้นำมาซึ่งอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อเมื่อยล้า รวมทั้งบางโอกาสร้ายแรงจนอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวรวมทั้งเสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ชอบเกลือเข้มข้นสูงในการเจริญเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) แตกต่าง 12 จำพวก และมีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วขณะนี้มี 60 จำพวก พบได้ทั่วไปในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีพิษ 2 ชนิดคือ จำพวกที่ทนต่อความร้อนได้ ก่อให้เกิดอาเจียน แล้วก็จำพวกที่ทนความร้อนมิได้ส่งผลให้เกิดอาการ อุจจาระร่วงส่วนใหญ่เจอเกี่ยวพันกับข้าว (ยกตัวอย่างเช่น ข้าวผัดในร้านแบบบริการตัวเอง) ผักและก็ของกินแล้วก็เนื้อที่เก็บรักษาผิดจำเป็นต้อง ณ.อุณหภูมิห้องภายหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายประเภทที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อมักจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในของกินและก็สร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin ส่วนใหญ่เป็นของกินที่ปรุงและก็สัมผัสกับมือของผู้ทำอาหาร และไม่ได้ทำการอุ่นอาหารด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนรับประทานอาหาร หรือแช่ตู้เย็น ดังเช่นว่า ขนมจีน ขนมเอ แคลร์ เนื้อ เมื่ออาหารกลุ่มนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิห้องหลายชั่วโมงต่อเนื่องกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวและก็สร้างสารพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม แล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม กระตุ้นให้เกิดอาการท้องร่วง ถ่ายมีมูก อ้วก อาเจียน มีไข้ ด้านใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีสารพิษนำมาซึ่งอาการท้องเดิน  อี.โคไลมีสารพิษ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่รวมทั้งถูกทำลายให้หมดไปด้วยแนวทางการทำให้อาหารสุก แต่ว่าอีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า และเป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถที่จะทำลายได้ด้วยความร้อน พิษทั้งสองชนิดมีผลทำให้ท้องเดินเหมือนกัน โดยเหตุนั้นแม้ของกินปนเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนไหม ก็จะไม่มีทางทำลายพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองป้องกันได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) เจอการแปดเปื้อนในสินค้าอาหารสดแล้วก็น้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เพราะว่าเชื้อจำพวกนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ นำมาซึ่งอาการอาเจียน คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง วันหลังการรับประทานอาหารข้างใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) มีไวรัสหลากหลายชนิด ดังเช่น ไวรัสโนโร (Norovirus) ที่ชอบปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำประเภทมีเปลือก รวมทั้งน้ำที่ไม่สะอาด แสดงอาการภายใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ข้างใน 2-3 อาทิตย์

  • อาการโรคของกินเป็นพิษ อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะอาการคล้ายๆกันเป็นปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นช่วงๆอาเจียน (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำบ่อยมาก บางรายอาจมีไข้แล้วก็อ่อนล้าร่วมด้วย โดยปกติ 80 – 90 % ของโรคของกินเป็นพิษมักจะไม่รุนแรง อาการต่างๆมักจะหายได้เองด้านใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางประเภทบางทีอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นรุนแรง อาจอาเจียนและก็ท้องเดินร้ายแรง กระทั่งร่างกายขาดน้ำและก็เกลือแร่อย่างหนักได้  อาจพบว่า คนที่กินอาหารร่วมกันกับผู้เจ็บป่วย (เป็นต้นว่า งานสังสรรค์ คนในบ้านที่รับประทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีลักษณะลักษณะเดียวกันกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นอยู่กับประเภท และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งเจอกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงข้างหลังรับประทานอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนถึงเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (อย่างเช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แต่โดยธรรมดา พบบ่อยกำเนิดอาการด้านใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยธรรมดาที่มักพบ จากโรคอาหารเป็นพิษ ยกตัวอย่างเช่น ท้องเดิน อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เหตุเพราะการบีบตัวของไส้ คลื่นไส้ อ้วก ในบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง อาจหนาวสั่น แม้กระนั้นบางโอกาสมีไข้ต่ำได้  ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว อาจปวดข้อ ขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อหรือ สารพิษดังกล่าวแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามร่างกาย  อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ดังที่กล่าวถึงแล้วแล้วเช่นเดียวกัน  มีอาการของการสูญเสียน้ำในร่างกาย  เป็นต้นว่า เหน็ดเหนื่อย  เหน็ดเหนื่อยง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  ฉี่หลายครั้ง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคอาหารเป็นพิษ
  • มีการกระทำการดูแลรักษาสุขลักษณะไม่ถูกจะต้อง อย่างเช่น ก่อนรับประทานอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังเช่นว่า บริโภคอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกบริโภคอาหารที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการทานอาหารที่ค้างคืนและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่เหมาะสม
  • การจัดเก็บรวมทั้งเตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด เป็นต้นว่าการเก็บเนื้อสัตว์และผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างชำระล้างผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงเหลืออยู่ที่ผัก
  • การเก็บรักษาอาหารที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอเพียง อย่างเช่น อาหารพวกที่ทำมาจากการแกงกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรจะเก็บรักษาไว้ในตู้แช่เย็นที่มีอุณหภูมิที่สมควร มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารบรรจุกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้นว่า อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุบ รอยบุ๋ม  อาหารบรรจุกระป๋องที่มีคราบสนิมบริเวณฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง ฯลฯ
  • กรรมวิธีรักษาโรคของกินเป็นพิษ แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงของคนเจ็บเป็นหลัก เป็นต้นว่า อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นกระทันหัน อาจมีประวัติว่าผู้ที่รับประทานอาหารด้วยกันบางบุคคลหรือผู้คนจำนวนมาก (ได้แก่ ปาร์ตี้ คนในบ้าน) มีอาการท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะอาการร้ายแรง เป็นไข้สูง หรือสงสัยว่ามีเหตุมาจากปัจจัยอื่น หมออาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอาทิเช่น  การตรวจเลือด ใช้ในกรณีที่คนเจ็บมีอาการรุนแรงมากกว่าอาการอาเจียนรวมทั้งท้องร่วง หรือมีภาวะการขาดน้ำรวมทั้งเกลือแร่ เพื่อตรวจค้นจำนวนเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดและหลักการทำงานของไต หรือในกรณีเสี่ยงต่อการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการทำงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาจำพวกของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อผู้เจ็บป่วยมีการติดเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร อย่างเช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการถ่ายเป็นเลือด

ทั้งนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้เกิดของกินเป็นพิษยังทำได้ด้วยแนวทางการตรวจจำนวนแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือแนวทางอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นกับลักษณะของผู้เจ็บป่วยแล้วก็ดุลยพินิจของหมอ เพื่อดำเนินงานรักษาอย่างถูกต้องในลำดับต่อไป   
วิธีการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ ดังเช่นว่า คุ้มครองป้องกันภาวการณ์ขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการดูแลและรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเมื่อท้องร่วงมาก ยาพารา ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ คลื่นไส้ และก็ยาลดไข้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการดูแลและรักษาตามต้นสายปลายเหตุ ตัวอย่างเช่นใคร่ครวญให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อมีสาเหตุมาจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านพิษถ้าเป็นชนิดมียาต้าน แม้กระนั้นคนเจ็บส่วนใหญ่มักมีอาการที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการดูแลตนเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุดเป็นต้องมานะอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจะกินน้ำเปล่ามากมายๆหรือจิบน้ำเป็นประจำเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากอาการท้องร่วงแล้วก็อ้วกมากจนเกินความจำเป็น

  • การติดต่อของโรคของกินเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีไวรัสบางชนิดเพียงแค่นั้น ที่สามารถเป็นต้นเหตุของการติดต่อของโรคของกินเป็นพิษได้ อาทิเช่น ไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราวๆ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วอาการของโรคจะปรากฏขึ้น
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษในผู้ใหญ่แล้วก็เด็กโต
  • หากปวดท้องร้ายแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากมายๆ) คลื่นไส้ร้ายแรง (จนดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มมิได้) เมื่อลุกขึ้นยืนนั่งมีลักษณะอาการหน้ามืดเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำร้ายแรง (ปากแห้ง คอแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) ต้องไปพบแพทย์อย่างรวดเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ จำพวกสำเร็จรูปที่มีขายในท้องตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มิลลิลิตร) ใส่น้ำตาลทราย 30 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนกินข้าวชนิดสั้น 3 ช้อน) รวมทั้งเกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)อุตสาหะดื่มเสมอๆครั้งละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนถึงคลื่นไส้) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยสังเกตฉี่ให้ออกมากมายและก็ใส
  • ถ้าหากเป็นไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้กินอาหารอ่อน ตัวอย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดอาหารรสเผ็ดแล้วก็ย่อยยาก งดผักรวมทั้งผลไม้ ตราบจนกระทั่งอาการจะหายก็ดีแล้ว
  • ห้ามกินยาเพื่อหยุดอึ ด้วยเหตุว่าอาการท้องร่วงจะช่วยขับเชื้อหรือพิษออกมาจากร่างกาย

ในขณะเจ็บท้อง หรือ คลื่นไส้อ้วก ไม่ควรทานอาหาร หรือ กินน้ำเพราะอาการจะรุนแรงขึ้น   กินน้ำสะอาดให้ได้วันละมากมายๆอย่างต่ำ 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำ  พักผ่อนให้มากๆรักษาสุขอนามัยเบื้องต้น เพื่อคุ้มครองการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญ คือ การล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างหลังการขับ ถ่าย และก่อนกินอาหาร

  • ควรจะรีบไปหาแพทย์ ถ้าหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้                คลื่นไส้มาก ถ่ายท้องมากมาย กินไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนถึงมีภาวการณ์ขาดน้ำออกจะรุนแรง                มีลักษณะอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือดตามมา             มีลักษณะหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หรือหายใจไม่สะดวก          อาการไม่ดีขึ้นข้างใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะอาการเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยมีต้นเหตุมาจากสารพิษ ตัวอย่างเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยเกิดขึ้นจากอหิวาตกโรค ดังเช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาตกโรค หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังจะมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กตัวเล็กๆ (อายุต่ำลงยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
  • หากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ต่อไป (ถ้าเกิดดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) และก็ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่มเติม เมื่อมีลักษณะดียิ่งขึ้น ให้ทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (ดังเช่นว่า ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องร่วงประเภทใดทั้งหมด
  • ถ้าหากถ่ายท้องรุนแรง อ้วกร้ายแรง ดื่มนมหรือน้ำมิได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมาก (ในเด็กตัวเล็กๆ) หายใจหอบแรง หรืออาการเกิดขึ้นอีกใน ๒๔ ชั่วโมง จำต้องไปพบหมออย่างรวดเร็ว
  • การป้องกันตนเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การคุ้มครองและก็ควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกปัจจัยมีวิธีการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้
  • เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมอย่างดีเยี่ยม
  • ทำอาหารที่สุก
  • ควรทานอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • ระมัดระวังของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการแปดเปื้อน
  • ของกินที่ค้างมื้อต้องทำให้สุกใหม่ก่อนรับประทาน
  • แยกของกินดิบและอาหารสุก ให้รอบคอบการแปดเปื้อน
  • ล้างมือก่อนสัมผัสอาหารไปสู่ปาก
  • ให้ประณีตบรรจงเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำที่สะอาด
  • ไม่กินสุกๆดิบๆระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะจำพวกที่ไม่เคยทราบ ระมัดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด เชื่อใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น จำต้องเก็บแยกจากอาหารอื่นๆทุกประเภท และจะต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เพราะเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ จะอยู่ในอาหารสดเหล่านี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งไว้ หรือ แช่น้ำ เนื่องจากว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ควรจะละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด อย่างเช่น ถั่วงอก สลัด และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การถนอมของกินอย่างแม่นยำ ทำให้ของกินเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงแล้วก็นานพอเพียงเพื่อทำลาย toxin และการแช่แข็งเพื่อถนอมอาหารเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • ถ้าอาหารมีลักษณะผิดปกติอย่างเช่น กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสผิดปกติ อาจมี fermentation เป็นความมีความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกคราว
  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรคของกินเป็นพิษ
ขิง  ในขิงนั้นจะมีประโยชน์สำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีคุณประโยชน์ช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องอืด สามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพในคุณแม่ที่ให้นมลูกเจริญและไม่มีอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    นอกเหนือจากนี้ในกรณีที่ท้องเสีย การกินน้ำขิงจะช่วยทำให้การอักเสบที่เกิดขึ้นจากพิษของเชื้อโรคลดน้อยลง และยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่แต่ แม้ว่าอาการท้องเสียมีความร้ายแรงก็ควรจะรีบไปพบแพทย์
กระชา[/b]  คุณประโยชน์  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้เจ็บท้อง  เหง้าและก็ราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับฉี่ แก้เยี่ยวทุพพลภาพ
มังคุด  สรรพคุณ  รักษาโรคท้องเดินเรื้อรัง และโรคไส้  ยาแก้ท้องเสีย ท้องเดินยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก และก็อาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ  ยาแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งรวมทั้งมีมูกรวมทั้งอาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งราวๆ ½ ผล (4 กรัม) ปิ้งไฟให้ไหม้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสราวๆครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง




GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ