โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 14 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 08:48:23 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นอย่างไร โรคกล้ามเมื่อยล้า (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนล้า (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและก็ภาษาละติน หมายความว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า ประเภทหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ประเภทเรื้อรังประเภทหนึ่ง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับเพื่อการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามภายนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้สำหรับการเคลื่อนต่างๆตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และกล้ามซี่โครงที่ใช้ในการหายใจ เกิดการเมื่อยล้ากระทั่งไม่สามารถทำงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกความหมายหนึ่งคือโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตนเองกระตุ้นให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง เนื่องจากว่าไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดน้อยลง หายใจติดขัด มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อยเกิดขึ้นได้ในผู้เจ็บป่วยทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ อีกทั้งการดูแลรักษาทำได้เพียงแค่เพื่อทุเลาอาการแค่นั้น

    ทั้งนี้ โรคกล้ามอ่อนล้า MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แต่ว่าเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนป่วย มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  และก็โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย MG เป็นโรคเจอได้ไม่บ่อยนัก ราว 10 ราย ต่อราษฎร 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนจนถึงคนวัยแก่ โดยพบในเพศหญิงมากยิ่งกว่าในผู้ชายราวๆ 3:2 เท่า ดังนี้พบโรคนี้ในเด็กได้ราวๆ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นโรคชนิดนี้ทั้งหมดทั้งปวง ในผู้ใหญ่สตรี พบมากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ว่าในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) ในการขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อแต่ละมัด สมองต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และก็จะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามเนื้อแต่ละผูกเพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว คนไข้โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามได้ เพราะว่าร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดกั้นแล้วก็ทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้ออย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเพราะว่าถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลียนั้น มักมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับการแพ้ภูเขาไม่ตัวเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามอ่อนกำลัง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) แล้วก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาในร่างกาย แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนล้า แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกัดกันหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละผูก ทำให้กล้ามไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวนำไปสู่การผลิตสารภูมิต้านทานแตกต่างจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวโยงกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกั้นหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงนำไปสู่อาการกล้ามอ่อนล้าดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะเบาๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนล้าจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่เปลี่ยนไปจากปกติ หรือคนเจ็บบางรายมีสภาวะกล้ามเนื้อเมื่อยล้าที่มีสาเหตุมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอราวร้อยละ 10 ในคนป่วยสูงอายุ

  • อาการโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) เป็นจะมีลักษณะอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กล้ามเนื้ออ่อนล้า รวมทั้งจะเหน็ดเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกแรงเพิ่มมากขึ้น แม้กระนั้นอาการจะดียิ่งขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหยุดพักการออกแรง

นอกจาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของคนไข้จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงในทุกมัดของกล้ามลายส่วนอาการที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG)หมายถึงอาการอ่อนกำลังของกล้ามที่ช่วยยกกลีบตาแล้วก็กล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดหนังตาตกและเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือ 2 ข้างก็ได้ และมักพบอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่น
บริเวณใบหน้า ถ้าหากกล้ามที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะก่อให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ดังเช่นว่า ยิ้มได้น้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามบนใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจำนวนหนึ่งมีลักษณะอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การบดรวมทั้งการกลืน มีเหตุที่เกิดจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นเมื่อยล้า นำไปสู่อาการไม่ดีเหมือนปกติ ตัวอย่างเช่น พูดค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวมิได้ กลืนทุกข์ยากลำบาก ไอ สำลักอาหาร บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การตำหนิดเชื้อที่ปอด
ลำคอ แขนและขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นต้นว่า เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันคอทุกข์ยากลำบาก นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถชี้แจงสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี พบว่าโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) มักมีความเชื่อมโยงกับโรคของต่อมไทมัส โดย ประมาณ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสเจริญรุ่งเรืองเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) และประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)

นอกนั้น มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) กำเนิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดประเภทเซลล์ตัวเล็ก และก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งผู้เจ็บป่วยอาจเจอความผิดปกติและโรคที่เกิดขึ้นจากภูมิต้านทานตนเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ ยกตัวอย่างเช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)จะสามารถดียิ่งขึ้นได้เองแล้วอาจกลายเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองชนิดอื่นๆ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)

การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue แล้วก็fluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขารวมถึงการพูดและกลืนของกิน คนไข้จะมีอาการเยอะขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง รวมทั้งอาการร้ายแรงในช่วงเวลาที่แตกต่างโดยมีลักษณะอาการมากเวลาบ่ายๆบางครั้งบางคราวผู้เจ็บป่วยมาเจอหมอช่วงที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่เจอความผิดแปลก จึงไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และบางทีอาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่ว่าการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บโดยมากด้วยเหตุว่ามีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอนรวมทั้งในรายที่อาการไม่กระจ่างยกตัวอย่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท เป็นต้นว่าการให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำ     ให้คนเจ็บมีลักษณะ

อ่อนเพลียได้ได้แก่การมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนเจ็บมีภาวการณ์หนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตา 2 ข้างการให้ผู้ป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนไข้จะมีลักษณะอาการอ่อนเพลียขึ้นอย่างชัดเจนรวมทั้งอาการอ่อนแรงดียิ่งขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้ผู้ป่วยบอกหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุดังเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของคนไข้นาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นหรือเปล่าผู้ป่วย MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 และ 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวะหนังตาตกอาการเหน็ดเหนื่อยหรือเสียงแหบได้ผลบวกราวจำนวนร้อยละ90 เป็นคนป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน คนเจ็บบางทีอาจเกิดลักษณะของการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับแก้เป็นฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดโลหิตดำ ซึ่งหมอบางท่านเสนอแนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดลอง
  • การวิเคราะห์เลือด หมอจะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามอ่อนล้านั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งรูปแบบการทำงานของกล้ามมากมายแตกต่างจากปกติ ส่วนใหญ่จะตรวจเจอแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
  • การตรวจการชักนำประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 แนวทาง คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองการทำงานของมัดกล้าม โดยการต่อว่าดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่เจออาการเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งส่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อตรวจทานความสามารถของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้าม รวมทั้งการตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเพื่อมองลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)

การรักษา วัตถุประสงค์สำหรับการรักษาคนเจ็บ MG ของหมอคือการที่คนเจ็บหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มแนวทางการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลและรักษาจะแบ่งคนป่วยเป็น 2 กรุ๊ปซึ่งมีแนวทางการรักษาต่างกัน

  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนล้าที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มต้นด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ดังเช่นว่า pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มก. ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วดูการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาตรากตรำมากมายน้อยเพียงใด มีผลแทรกจากยาหรือเปล่า ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นควรเพิ่มยา prednisoloneขนาดโดยประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันและร่วมกับการปรับปริมาณยา mestinon ตามอาการ ซึ่งจำนวนมากคนไข้จะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มิลลิกรัมต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะตอบสนองดีต่อยา mestinonรวมทั้ง prednisoloneเมื่ออาการดีขึ้นจนปกติระยะเวลาหนึ่งราว 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆประมาณ 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนกระทั่งหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนเจ็บ MG ให้ผลดีด้วยเหมือนกันแต่ว่าในวันที่ผู้เจ็บป่วยมิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้หากกำเนิดกรณีดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นบางทีอาจต้องให้ยาprednisolone5มิลลิกรัม 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวผ่านมาแล้วคนไข้บางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิต้านทานแล้วก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังนี้

o  คนป่วยทุกคนจำต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่มต้น 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการคาดคะเนตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 ข้างหลังรับประทานยาและก็ประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าขนาดของยารวมทั้งความถี่ของการกินยาสมควรหรือเปล่าตามลำดับสิ่งที่ประเมินเป็นอาการของคนป่วย อาทิเช่น อาการลืมตาลำบาก อาการเหน็ดเหนื่อย พูดแล้วเสียงแหบควรปรับขนาดยาและความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากราวๆ 6-8 เม็ดต่อวัน ปริมาณยาสูงสุดไม่สมควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนป่วยgeneralized MG ที่มีอายุน้อยกว่า 45ปีทุกรายควรเสนอแนะ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนไข้ได้ผลดีโดยประมาณร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon หลังผ่าตัดได้ร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่ปริมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้เรื่อง ตอนที่ผ่าตัดควรจะทำ ในช่วงแรกของการรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อยมาก เป็นต้นว่า prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาแล้วมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลเป็นราวๆ 1 ปี
  คนไข้ที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนเจ็บทีมีภาวการณ์การหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง

  • การติดต่อขอ[/url] [/i](MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/[/b]
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ