โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 89 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 11:07:43 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ แม้แก่เพิ่มมากขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเพิ่มมากขึ้นโดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • กรรมพันธุ์ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยราว 15-20% จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้าหากมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มช่องทางเสี่ยงต่อโรคนี้ 3 เท่า แล้วก็ถ้าเกิดมี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นคนที่สัมผัสกับสารกำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะมีแถลงการณ์ว่าเจอโรคนี้ได้มากในเกษตรกรที่กินน้ำจากบ่อ
  • เป็นคนที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ดังเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่รวมทั้งมดลูก หญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งคนพวกนี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่หากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนทางสมอง
  • นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คนที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเหมือนกัน
  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปแม้คนไข้ปรากฏอาการชัดแจ้ง สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะของอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทให้รอบคอบ ช่วงแรกเริ่ม อาจวิเคราะห์ยาก จำเป็นต้องวิเคราะห์แยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคพาร์คินสัน ควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรเวชผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทหมอ

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องด้วยการดูแลและรักษาจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการคนเจ็บ รวมทั้งความไม่ดีเหมือนปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก และก็ลักษณะของการเกิดอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าผู้เจ็บป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะของโรคพาร์กินสันและมีอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการดูแลและรักษาที่แตกต่างกันออกไปแค่นั้น ดังเช่น การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในอดีตแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แต่ในขณะนี้เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆรอบๆก้านสมอง ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับในการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและสั่นเกิดขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันการดูแลและรักษาโรคนี้ก็เลยหวังมุ่งให้สมองมีระดับสารโดพามีนกลับสู่ค่าปกติ ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี เป็น

  • รักษาโดยใช้ยา ซึ่งถึงแม้ยาจะไม่สามารถที่จะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมางอกชดเชยเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะมีผลให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับความอยากได้ของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบัน คือ ยากลุ่ม LEVODOPA และก็ยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละจำพวกขึ้นกับการวิเคราะห์จากแพทย์ ตามสมควร)
  • ทำกายภาพบำบัด เป้าหมายของการดูแลและรักษาก็คือ ให้คนป่วยคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นสุขพร้อมด้วยกายและก็จิตใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติง่ายๆคือ

ก) ฝึกหัดการเดินให้เบาๆก้าวขาแต่ว่าพอดิบพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกนั้นควรหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย แล้วก็พื้นจำเป็นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือสิ่งของที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงจำเป็นต้องค่อยๆเอนตัวนอนลงเอียงข้างโดยใช้ศอกจนกระทั่งก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยพี่น้องต้องให้ความเข้าอกเข้าใจค่อยๆฝึกหัดคนไข้ แล้วก็ควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด ส่วนมากจะได้ผลดีในคนป่วยที่แก่น้อย และมีลักษณะอาการไม่มากนัก หรือในผู้ที่มีอาการสอดแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่ร้ายแรง หรือมีการขยับเขยื้อนแขน ขา มากไม่ดีเหมือนปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้วิธีกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังเอาไว้ในร่างกาย พบว่าส่งผลดี แต่ว่ารายจ่ายสูงมากมาย ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ดังนั้นแม้ท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคประเภทนี้ จำเป็นที่จะต้องรีบเอามาเจอหมอเพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะนำมาซึ่งการดูแลรักษาที่ถูกต้องแล้วก็เหมาะสมถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองมีการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติภารกิจควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดน้อยลง ก็เลยนำมาซึ่งอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่อาจจะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางประเภทกรรมไปสู่บุตรหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน คนไข้แล้วก็ญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งสม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ
  • รับประทานยาควบคุมอาการดังที่แพทย์แนะนำให้ใช้
  • ทานอาหารชนิดที่มีกากใยเพื่อช่วยลดอาการท้องผูก
  • หมั่นฝึกออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆและวิธีการทำกิจวัตรประจำวัน บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและก็ความยืดหยุ่นของกล้าม ลดเกร็งและก็ปรับการทรงตัวให้ดีขึ้น ได้แก่ การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางมาด หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวผ่านเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกหัดพูดโดยให้ผู้ป่วยเป็นข้างกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วเปล่งเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งจิตใจไว้
  • บริเวณทางเดินหรือในห้องสุขาควรมีราวเกาะและไม่วางของเกะกะฟุตบาท
  • การแต่งตัว ควรจะสวมเสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย อาทิเช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • ญาติโกโหติกา ควรใส่ใจดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ระแวดระวังการเกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น

สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของผู้ป่วยและก็ญาติ ควรเรียนรู้และก็ทำความเข้าใจคนเจ็บพาร์กินสัน  แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในผู้หญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่แนะนำ เพราะว่ามีโทษทำให้เกิดโรคอื่นๆที่น่ากลัวก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องตัวเองจากโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าต้นเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยรู้ชัดแจ้ง ดังนั้นการปกป้องเต็มเปี่ยมก็เลยเป็นไปไม่ได้ แม้กระนั้นบางการเรียนรู้พบว่า การกินของกินมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มในปริมาณที่สมควร โดยจำกัดของกินกลุ่มไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์กินนม) จำกัดอาหารในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง บางทีอาจช่วยลดจังหวะเกิดอาการ หรือ ลดความรุนแรงจากอาการของโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าที่ภาควิชาแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรที่นาได้คิดแนวทางทดสอบแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำเป็น รวมทั้งทำเสร็จภายในช่วงระยะเวลาเพียงแต่ ๑ นาที

วิธีทดลองดังกล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ

  • ให้คนไข้ยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้น 2 ข้างและก็ให้ค้างเอาไว้
  • ในที่สุดให้คนไข้กล่าวประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค

นักวิจัยทดสอบ ด้วยการให้ผู้ที่เคยมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเหตุที่มีผู้ป่วยกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำบัญชาข้างต้นกับตัวละครอีกทั้ง ๓ ข้อ ช่วงเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้วิจัยทราบ โดยผู้ศึกษาวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นท่าทีหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักค้นคว้าสามารถแยกคนป่วยออกมาจากคนปกติได้อย่างเที่ยงตรงถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และก็แยก  ประสาทกลางสถานที่สำหรับทำงานผิดปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งนับได้ว่าถูกต้องแม่นยำมากด้านในสถานการณ์ที่ผู้รักษาไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาเรียนรู้พบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการขัดขวางเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), คนไข้สูญเสียความทรงจำ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีสภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ สภาวะกล้ามเสียการร่วมมือ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis)

               ผลของการรักษาด้วยการใช้บอระเพ็ดในคนเจ็บพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในการค้นคว้าวิจัย โดยได้ผลสำหรับเพื่อการรักษาแจ่มชัดในด้านภาวการณ์รู้คิด     พฤติกรรมโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดีขึ้นในสภาวะโรคสมองเสื่อมที่พบในคนไข้พาร์กินสัน เพราะเหตุว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา กระตุ้นให้เกิดความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อย่างเช่น การนอน ความแตกต่างจากปกติทางด้านอารมณ์แล้วก็จิตใจ ภาวการณ์ย้ำคิดย้ำทำ อาการหม่นหมอง ไม่สบายใจ ฯลฯ
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการเล่าเรียนในคนไข้กลุ่มโรคดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างเป็นระบบ เสนอแนะถ้าเกิดสนใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรจะมีตอนที่หยุดยาบ้าง อย่างเช่น ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนั้นข้อควรคำนึงเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีสภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง คนที่มีแนวโน้มความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
[url=http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2]หมามุ่ย
ประเทศอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% รวมทั้งอาจพบสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารขึ้นต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเสมอกันกับ Levodapa ผู้เดียว
โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเสมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกรุ๊ปยาที่จำเป็นต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะก่อให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดลง นอกนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางคลินิกรวมทั้งการเรียนรู้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ดังนั้นควรต้องรอคอยให้มีการทำการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอีก แล้วก็มีผลการศึกษาเรียนรู้วิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/[/b]
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ .โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่292.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.สิงหาคม.2546
  • รุ่งโรจน์ พิทยศิริ,กัมมันต์ พันชุมจินดา และศรีจิตรา  บุนนาค.โรคพาร์กินสันรักษาได้.พิมพ



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ