Advertisement
เบาหวาน(Diabetes Mellitus)- โรคเบาหวานเป็นยังไง คำอธิบายศัพท์ของเบาหวาน สัมพันธ์เบาหวานที่สหรัฐอเมริกาบอกคำจำกัดความเบาหวานไว้ คือ โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคทางเมตะบอลิซึมที่ออกอาการ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นผสมมาจาก ความแปลกของการหลั่งอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือทั้งคู่อย่าง ภาวการณ์ที่น้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง จะเป็นผลให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย ในระยะยาวเกิดโรคแทรกซ้อนและทำให้การอับอายที่ ของอวัยวะที่สำคัญหลายอวัยวะที่ทำงานล้มเหลวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา ไต ระบบประสาท หัวใจและก็เส้นเลือด
ประวัติโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน มีหลักฐานปรากฏในกระดาษขว้างปิรุสของอียิปต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ดั้งเดิมสูงที่สุดชิ้นหนึ่ง จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ากระดาษที่บันทึกเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้นแก่ราวๆ 1500 ปีก่อน คริสตกาล จึงหมายความว่า “โรคเบาหวาน” เป็นโรคที่เก่าแก่มากมาย แล้วก็เมื่อราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการพบบันทึกของแพทย์ชาวภาษากรีก ชื่อ “อารีอุส” ซึ่งได้บันทึกอาการของโรคที่มีลักษณะของการกัดกินเนื้อหนังแล้วก็มีการปัสสาวะจำนวนไม่ใช่น้อยในแต่ละครั้ง โดย “อารีอุส” ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า diabetes insipidus ซึ่งปัจจุบันนี้ชื่อเรียกนี้จะคือโรค “ค่อยจืดชืด”
ผ่านไปอีกเกือบจะ 1700 ปี ได้มีคำว่า mellitus เกิดขึ้น mellitus เป็นภาษาลาติน แสดงว่า น้ำผึ้ง ซึ่งประยุกต์ใช้เรียกโรคที่มีลักษณะอาการแบบเดียวกับ diabetes โดยหมายถึง “โรคเบาหวาน”
ในขณะนี้โรคเบาหวานคือปัญหาทางสาธารณสุขที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทั้งโลก อุบัติการณ์ของเบาหวานมีทิศทางเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลของสหพันธ์ โรคเบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation) พบว่าคนป่วย โรคเบาหวานทั่วโลก ว่ามีปริมาณ 285 ล้านคน และ ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ที่สำคัญในปริมาณนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย สำหรับเพื่อการคาดราวๆจำนวนพลเมืองที่เป็น เบาหวานในอนาคตของเมืองไทยโดยสำนักควบคุมโรคไม่ติดต่อ พบว่า ระหว่างปี พุทธศักราช 2554-2563 จะมีจำนวนประชากรที่เป็นเบาหวานมากขึ้นอยู่ในช่วง 501,299 -553,941 คน/ปี แล้วก็ในปี พ.ศ. 2563 จะมีปริมาณคนป่วยเบาหวานราย ใหม่สูงถึง 8,200,000 คน ประเทศไทยได้กำหนดเบาหวานเป็นโรควิถีชีวิตที่สำคัญหนึ่งในห้าโรคที่กำหนดไว้ในแผนที่มีความสำคัญในการรบร่างกายแข็งแรงวิถีชีวิตไทย พุทธศักราช 2554 -2563 จากการสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งปัจจุบันในปี พ.ศ. 2554 พบว่าอัตราป่วยเป็น โรคเรื้อรัง พ.ศ. 2544 - 2552 มีคนเจ็บเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก 288 คน เป็น 736 คน ต่อสามัญชนแสนคน
โดยปกติ เบาหวานสามารถ แบ่งได้เป็น 2 จำพวกหลักเป็นโรคเบาหวานประเภท 1 (Diabetes mellitus type 1), เบาหวานประเภท 2 (Diabetes mellitus type 2)
โรคเบาหวานชนิด 1 โรคเบาหวานประเภทจำต้องพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus) และก็เพราะโรคเบาหวานจำพวกนี้พบได้มากในเด็กรวมทั้งวัยรุ่น ก็เลยเรียกได้อีกชื่อว่า เบาหวานในเด็กและก็วัยรุ่น หรือ Juvenile diabetes mellitus
เบาหวานชนิด 2 โรคเบาหวานในผู้ใหญ่ (Adult onset diabetes mellitus) แล้วก็เป็นโรคเบาหวานที่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งอินซูลิน (Non- insulin-dependent diabetes mellitus)
ตารางเทียบโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และก็ชนิดที่ 2
เบาหวานชนิดที่1 เบาหวานชนิดที่
กลุ่มอายุมักเกิดกับผู้สูงวัยน้อยกว่า 40ปี มักเกิดกับผู้สูงวัย 40 ปี ขึ้นไป
น้ำหนักตัวซูบผอมอ้วน
แนวทางการทำงานของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
1.สามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง
2.ผลิตได้ปกติแม้กระนั้นอินซูลินไม่มีคุณภาพ
3.เซลล์ร่างกายต้านทานอินซูลิน
การแสดงออกของอาการ เกิดอาการรุนแรง
1.ไม่มีอาการเลย
2.มีลักษณะอาการน้อย
3.อาการร้ายแรง กระทั่งช็อกหมดสติได้
การรักษา เพิ่มปริมาณอินซูลินในร่างกาย บางทีอาจใช้การควบคุมด้านการกินอาหารได้
- สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ในคนธรรมดาในระยะที่ไม่ได้ทานอาหารตับจะมีการสร้างน้ำตาลออกมาตลอดระยะเวลาเพื่อให้เป็นอาหารของสมองแล้วก็อวัยวะอื่นๆในช่วงหลังรับประทานอาหารพวกแป้งจะมีการย่อยเป็นน้ำตาลเดกซ์โทรสไปสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการนำน้ำตาลไปใช้ทำให้ระดับน้ำตาลน้อยลงมาเป็นปกติ ในคนเจ็บโรคเบาหวานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการขาดอินซูลินหรือซนต่อฤทธิ์ของอินซูลินทำให้ไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้ เวลาเดียวกันมีการเผาผลาญไขมันรวมทั้งโปรตีนในเยื่อมาสร้างเป็นน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง จนถึงล้นออกมาทางไตและก็มีน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นที่มาของคำว่า”โรคเบาหวาน”
ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นมากแค่ไหน
ตาราง ค่าน้ำตาลในเลือด (มิลลิกรัมดล.)
น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
คนปกติ 60 – น้อยกว่า 100 น้อยกว่า 140
ภาวการณ์เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 100 – น้อยกว่า 126 140 – น้อยกว่า 200
โรคเบาหวาน 126 ขึ้นไป 200 ขึ้นไป
เพราะฉะนั้นเบาหวาน จึงเป็นผลมาจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินน้อยเกินไป ที่ส่งผลทำให้ระดับ น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน เบาหวานจะมีลักษณะเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่าง สมควร ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้อำนาจบังคับของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถที่จะนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด สูงมากขึ้น ในระยะยาวจะมีผลสำหรับการทำลายเส้นโลหิต หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดสภาพการณ์แทรก ซ้อนที่ร้ายแรงได้
- ลักษณะโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลคนธรรมดาจะอยู่ในตอน 60-99 มิลลิกรัม/ดล. ก่อนอาหารเช้า ผู้เจ็บป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจากค่าปกติไม่มากอาจไม่มีอาการชัดแจ้ง ต้องกระทำการตรวจเลือดเพื่อการวิเคราะห์ ถ้าหากไม่เคยทราบว่าเป็นเบาหวานมาเป็นระยะเวลานานคนเจ็บอาจมาตรวจพบด้วยภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้
กรุ๊ปอาการเด่นของโรคเบาหวานมีดังนี้- เยี่ยวมากกว่าปกติ เยี่ยวบ่อยมากกลางคืน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเมื่อเลือดไหลผ่านไตก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำตาลไว้ได้ ก็ถูกขับออกทางฉี่ ทำให้เสียน้ำออกไปทางปัสสาวะ
- ดื่มน้ำบ่อยและมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่มีอาการ ด้วยเหตุว่าชิ้งฉ่องมากและหลายครั้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำจึงกำเนิดความอยากน้ำ
- หิวหลายครั้งกินจุแต่ว่าผอมบางลง เนื่องจากว่าอินซูลินไม่พอ หรือไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เพียงพอ จึงนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานมิได้ ทำให้รู้สึกหิว กินได้มาก
- เป็นแผลหรือฝีง่าย แล้วก็หายยากเนื่องด้วยน้ำตาลสูง เนื้อเยื่อรอบๆที่เป็นแผลมีความชื้นสูงทำให้ความต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง
- คันตามตัว ผิวหนังและก็บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ สาเหตุของอาการคันเกิดได้หลายชนิด ตัวอย่างเช่น ผิวหนังแห้งเกินความจำเป็น หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้มากในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน ส่วนการคันบริเวณอวัยวะเพศมักเกิดจากาความรักดเชื้อรา
- ตาฝ้ามัวจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแว่นตาหลายครั้ง การที่ตาพร่ามัวในเบาหวานต้นสายปลายเหตุบางทีอาจกำเนิดได้หลายประการ คือ อาจเกิดจากสายตาเปลี่ยน (ตาสั้นลง) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงแล้วก็น้ำตาลไปคั่งอยู่ในตาหรือตามัว อาจเกิดขึ้นเนื่องจากต้อกระจก หรือเส้นโลหิตในตาอุดตันก็ได้
- มือชา เท้าชา หมดความรู้สึกทางเพศ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม บางบุคคลอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ พบได้มากๆว่าคนป่วยที่ปล่อยทิ้งไม่รับการวิเคราะห์รวมทั้งรับการรักษาเบาหวานตั้งแต่ต้นจะรู้ดีว่าเป็นโรคเบาหวานก็เมื่อมีโรคแทรกขึ้นแล้ว
- ไม่อยากกินอาหารอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
- น้ำหนักตัวลดโดยไม่รู้จักปัจจัย โดยเฉพาะหากว่าน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถที่จะนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มกำลัง ก็เลยจำเป็นต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน
โรคแทรกเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้เจ็บป่วยเบาหวาน ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน ไตเป็นอวัยวะที่ปฏิบัติหน้าที่กรองสารต่างๆที่อยู่ในกระแสเลือด มีเส้นเลือดขนาดเล็กเยอะมากบริเวณไต เมื่อฝาผนังเส้นโลหิตถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน วิธีการทำหน้าที่สำหรับเพื่อการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในเยี่ยว ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานกว่า 10 ปี มักกำเนิดปัญหาไตเสื่อม แต่ว่าความร้ายแรงรวมทั้งระยะการเกิดจะมากมายหรือน้อยขึ้นอยู่กับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
หน้าจอประสาทตาเสื่อและต้อกระจกจากโรคเบาหวาน มีสาเหตุจากการสั่งสมรวมตัวกันของน้ำตาลรอบๆเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาบวมรวมทั้งมัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิตด้านในดวงตา ซึ่งสามารถปกป้องได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด รอบๆจอตา เป็นรอบๆที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองกระทั่งแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา เมื่อรอยรั่วหายก็ดีแล้วกำเนิดแผลซึ่งจะกีดกั้นการไหลของเลือดภายในตา จึงเกิดการงอกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยสำหรับเพื่อการไหลเวียนของเลือด แม้กระนั้นเส้นเลือดฝอยที่แตกหน่อใหม่จะเปราะบาง แตกง่าย ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและจอตา ระยะนี้จะพบว่าคนเจ็บมีอาการตามัว เมื่อแผลเกิดขึ้นมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว เกิดการดึงรังรวมทั้งฉีกจนขาดของเยื่อบริเวณส่วนหลังของลูกตา จะมีลักษณะเสมือนมีม่านดำกางผ่านขวางตาหรือเหมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา ซึ่งเมื่อมีลักษณะอาการแบบนี้ให้พบจักษุแพทย์ในทันทีเนื่องจากอาจจะทำให้ตาบอดได้
ปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน เป็นโรคเข้าแทรกที่พบบ่อยในคนไข้โรคเบาหวาน โดยไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอันตรายถึงแก่เสียชีวิต แต่ทำให้มีความรู้สึกเบื่อหน่ายรวมทั้งทุกข์ทรมานสาหัส มีเหตุที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่สามารถที่จะส่งออกซิเจนมาตามกระแสโลหิตเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ รวมทั้งการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้แนวทางการทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง การรับรู้ความรู้สึกต่างๆลดลง โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณปลายมือปลายตีน จะกำเนิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก ก็เลยทำให้เป็นอันตรายกับคนเจ็บเบาหวาน เนื่องจากอาจจะส่งผลให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลง ทำงานกิจวัตรได้น้อยลง
นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้ ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายท้ายที่สุด โรคเส้นเลือดหัวใจ มักมีสาเหตุจากควบคุมเบาหวานไม่ดี ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน ดูดบุหรี่ประวัติความเป็นมาโรคหัวใจในครอบครัว รวมทั้งเป็นคนที่เครียดบ่อยๆ
โรคเส้นเลือดสมองตีบตัน เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นมาจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงรอบๆสมองแคบ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการทุพพลภาพหรืออาการร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้ โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบจะสูงขึ้น ในคนไข้เบาหวานที่มีความดันเลือดสูงร่วมด้วย ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ เหน็ดเหนื่อยลงไปกำเนิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต
- ปัจจัยเสี่ยง/กรุ๊ปเสี่ยงที่นำมาซึ่งเบาหวาน โรคค่อยซาบซ่านมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ อาทิเช่น
- พันธุ์บาป มูลเหตุหลักของผู้ป่วยเบาหวานคือ ประเภทบาป พบว่าราวหนึ่งในสามของคนไข้โรคเบาหวานมีประวัติญาติเป็นโรคเบาหวาน ลักษณะยีนของการเป็นโรคเบาหวานเป็นลักษณะทางจำพวกบาปที่สืบทอดกันผ่านโครโมโซมในนิวเครียสของเซลล์เหมือนกันกับการสืบทองของจำพวกกรรมอื่นๆ
- ความอ้วน ความอ้วนเป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเบาหวานเนื่องจากว่าจะก่อให้เซลล์ของร่างกายสนองตอบต่อฮอร์โมนอินซูลินต่ำลง อินซูลินก็เลยไม่สามารถที่จะพาน้ำตาลไปสู่เซลล์ก้าวหน้าดังเดิม กระทั่งกลายมาเป็นสภาวะขาดน้ำตาลในเลือดสูง
- อายุ เมื่อแก่ขึ้นอวัยวะต่างๆย่อมจะต้องเสื่อมลง รวมถึงตับอ่อนที่มีบทบาทสังเคราะห์แล้วก็ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะปฏิบัติภารกิจได้น้อยลงก็เลยเป็นต้นเหตุหนึ่งของเบาหวาน
- ตับอ่อนไม่สมบูรณ์ อีกมูลเหตุหนึ่งของเบาหวานอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ตับอ่อนได้รับการกระทบกระเทือนหรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดผลเสียต่อตับอ่อน รวมถึงอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากโรค ตัวอย่างเช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากเกินไป ซึ่งมีความจำเป็นจำเป็นต้องผ่าตัดเอาบางส่วนของตับอ่อนออก หกบุคคลนั้นมีลักษณะท่าทางว่าจะเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อตกอยู่ในสภาวะนี้ก็จะแสดงอาการของเบาหวานได้เร็วขึ้น
- การติดเชื้อไวรัสบางประเภท เชื้อไวรัสบางชนิด เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมีผลใกล้กันสำหรับในการกำเนิดโรคเบาหวาน ดังเช่น คางทูม หัดเยอรมัน
- ยาบางจำพวก ยาบางประเภทก็มีผลต่อการเกิดเบาหวานเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ยาขับเยี่ยว ยาคุม เพราะเหตุว่าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ควรต้องหารือหมอก่อนใช้ยา โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจำเป็นต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆ
- ภาวการณ์ตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนหลายแบบที่เกลื่อนกลาดสังเคราะห์ขึ้นมานั้น ส่งผลยังยั้งรูปแบบการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน คนที่ท้องจึงเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มียีนเบาหวานอนยู่ในร่างกาย แล้วก็ภาวการณ์เบาหวานสอดแทรกในระหว่างมีท้องเป็นโทษเป็นอย่างมาก จึงต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
กรุ๊ปเสี่ยงที่จะป่วยด้วยเบาหวาน- คนที่มีลักษณะต่างๆของโรคเบาหวานดังที่กล่าวมา
- แก่กว่า 40 ปี
- มีพี่น้องสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
- เคยหรูหราน้ำตาลอยู่ในระยะก่อนโรคเบาหวาน
- เคยเป็นเบาหวานขณะมีท้อง
- คลอดบุตรหนักมากกว่า 4 กก.
- ความดันโลหิตสูง
- มีไขมันในเลือดแตกต่างจากปกติ
- มีโรคเส้นโลหิตตีบแข็ง
- มีโรคที่บ่งบอกว่ามีภาวการณ์ดื้อรั้นต่ออินซูลินเช่นโรครังไข่มีถุงน้ำหลายถุง
คนที่มีสภาวะดังที่กล่าวผ่านมาแล้วถึงแม้ไม่มีอาการของโรคโรคเบาหวานควรสำรวจ ถ้าหากระดับน้ำตาลอยู่ในข่ายสงสัยควรจะตรวจซ้ำในระยะ 1 ปี
- กรรมวิธีรักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากว่าประมาณครึ่งเดียวของคนเจ็บโรคเบาหวานไม่มีอาการ ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะกำเนิดโรค โรคเบาหวานจำเป็นต้องตรวจคัดเลือกกรองเบาหวานทุกปี หมอวินิจฉัโรคเบาหวาน[/url]ได้จาก ประวัติอาการ เรื่องราวป่วยต่างๆเรื่องราวเจ็บ ป่วยไข้ของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญคือ การพิสูจน์เลือดเพื่อดูปริมาณน้ำตาลในเลือด แล้วก็/หรือ ดูสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C: Glycated hemoglobin)
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเป็นแนวทางที่จะทำให้เรารู้ได้อย่างเห็นได้ชัดว่ามีระดับน้ำตาลสูงเท่าใด ซึ่งทำให้รู้ว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ค่อนข้างที่จะแน่ๆ ในคนปกติระดับน้ำตาลในเลือดจะคงที่ คือราวๆ 80-110 มิลลิกรัม/ดล. โดยระดับน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารยามเช้าจะมีค่าราว 70-115 มก./เดซิลิตร เมื่อกินอาหาร ของกินจะถูกสลายตัวเป็นน้ำตาลกลูโคสแล้วก็ถูกดูดซึมไปสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นแต่ว่าจะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/ดล. หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว 2 ชั่วโมง แต่หากตรวจเจอระดับน้ำตาลที่สูงเกิน 140 มก./ดล. อย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไปก็จะจัดว่าผู้นั้นเป็น “โรคเบาหวาน”
ตรวจหา ฮีโมโกบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) เป็นการตรวจปริมาณน้ำตาลด้ามจับอยู่กับฮีโมโกบินซึ่งเป็นสารโปรตีนชนิดหนึ่งในเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่เซลล์ การตรวจด้วยแนวทางลักษณะนี้จะใช้ข้างหลังการรักษาแล้วเพื่อตรวจผลการควบคุมโรคมากยิ่งกว่าตรวจเพื่อหาโรค ในกรณีที่มีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานในสภาวะที่ควบคุมได้ยากหรือมีโรคแทรกควรได้รับการตรวจทุกๆ2 อาทิตย์ถ้าอยู่ระหว่างตอนตั้งท้องและเป็นเบาหวานควรตรวจปริมาณฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) ทุกๆ1 – 2 เดือนเพื่อบอกปริมาณน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในสภาวะที่เป็นโทษหรือไม่ ยิ่งไปกว่านี้อาจมีการตรวจอื่นๆมี อย่างเช่น ตรวจระดับน้ำตาลในเยี่ยว ในกรณีที่วัดระดับน้ำตาลในเยี่ยวและพบว่ามีน้ำตาลผสมออกด้วยนั้น ย่อยแสดงว่าผู้นั้นมีอาการป่วยเป็นเบาหวาน โดยมองประกอบกับการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงยิ่งกว่า 180-200 มิลลิกรัม/ดล. เหตุที่เป็นแบบนี้เหตุเพราะไตของผู้คนมีความรู้ความเข้าใจกรองน้ำตาลได้โดยประมาณ 180-200 มก./เดซิลิตร ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าหากร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับนี้ ไตก็จะไม่สามารถที่จะกรองน้ำตาลเอาไว้ได้น้ำตาลส่วนที่เกินออกมาพวกนั้นก็จะถูกขับออกมากับฉี่
Glucose tolerance test (GTT) การตรวจด้วย GTT มักทำในเด็กที่ยังไม่มีอาการโรคเบาหวานแจ่มกระจ่าง ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลข้างหลังงดอาหารกับการตรวจเยี่ยวยังไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติ GTT มักทำในเด็กที่แต่งงานที่มีบิดาหรือมารดาเป็นโรคโรคเบาหวานหรือตรวจฝาแฝดราวกับ (identical twins) ที่คนหนึ่งเป็นโรคโรคเบาหวานแล้ว
การรักษาโรคค่อยหวน ปัจจุบันนี้เบาหวานมีแนวทางการดูแลและรักษา 4 วิถีทางประกอบกันเป็น การฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง การใช้ยาเม็ดควบคุมน้ำตาลในกระแสโลหิต การควบคุมอาหาร การบริหารร่างกาย
การดูแลและรักษาโดยการฉีดอินซูลิน การใช้อินซูลินในคนไข้โรคเบาหวานจำพวกที่ 1 โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างอินซูลินได้อย่างพอเพียง โดยปกติแพทย์มักกำหนดให้ฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายวันละ 2 ครั้ง การใช้อินซูลินในผู้เจ็บป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ในคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงปฏิบัติหน้าที่ผลิตอินซูลินได้ แต่ร่างกายกลับต่อต้านอินซูลินหรืออินซูลินที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอทำให้ไม่อาจจะควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ วัตถุประสงค์ของการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในตอนนี้ ก็เลยมุ่งเน้นไปที่การลดระดับน้ำตาบในกระแสเลือดอีกทั้งในตอนก่อนและหลังรับประทานอาหารเพื่อคุ้มครองปกป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนของเส้นโลหิตแดง
การดูแลและรักษาโดยการใช้ยา ยารักษาเบาหวาน ยาที่ใช้เพื่อการรักษาโรคเบาหวานนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กรุ๊ปเป็น ยาที่มีผลสำหรับการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งปริมาณอินซูลินเยอะขึ้น อาทิเช่น Sulfonylureas (Chlorpropamide, Acetazolamide, Tolazamide, Glyburide หรือ Glipizide) โดยทำหน้าที่ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยการกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในปริมาณมากขึ้น ยาที่ส่งผลในการยับยั้งการเผาไหม้คาร์โบไฮเดรตในไส้ ดังเช่นว่า Alpha-Glycosides inhibitors (Acarbose และก็ Meglitol) ชวยชะลอกระบวนการยอยและก็ดูดซมน้ำตาลรวมทั้ง แปงในลําไสซึ่งจะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำข้างหลังมื้อของกิน ยาที่มีผลสำหรับการลดการผลิตเดกซ์โทรสในตับแล้วก็เพิ่มการใช้น้ำตาลเดกซ์โทรส เป็นต้นว่า Biguanide (Metformin) เป็นยาที่ช่วยลดจำนวนการสร้างกลูโคสจากตับแล้วก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินซึ่งผลิตโดยตับอ่อน ยาที่ทำหน้าที่ลดสภาวะการต้านอินซูลินในร่างกาย ดังเช่นว่า ยาในกลุ่ม Thiazolidine diones Thiazolidinediones (Rosiglitazone และ Pioglitazone) ยาจำพวกนี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตับอ่อน แต่ว่าปฏิบัติภารกิจเพิ่มประสิทธิภาพหลักการทำงานของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมา การควบคุมอาหาร การควบคุมของกินชนิดแป้ง และก็น้ำตาล เป็นการช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม และก็แม้ทำพร้อมกันไปกับการใช้ยาด้วยและจะมีผลให้กำเนิดสมรรถนะ/ประสิทธิผลสำหรับเพื่อการรักษาโรคโรคเบาหวานได้ดิบได้ดีเพิ่มขึ้น
การรักษาโดยการออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจะมีการเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ตัวอย่างเช่น มีการใช้พลังงานมากเพิ่มขึ้น มีการดำเนินงานของปอดและก็หัวใจเพิ่มขึ้น มีการปรับระดับฮอร์โมนหลายแบบ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับต้นสายปลายเหตุหลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่น ระยะเวลาของการออกกำลังกาย ความหนักเบาของการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการรวมทั้งสภาพความสมบูรณ์ของปอดแล้วก็หัวใจ
- การติดต่อของโรคเบาหวาน เบาหวานเป็นโรคในระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
- การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน พฤติกรรมการบริโภค เลือกบริโภคของกินให้ครบ 5หมู่ โดยพิจารณาถึงพลังงานที่ได้จากของกินคร่าวๆจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)ราวๆ 55 - 60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) โดยประมาณ 15-20%ไขมัน โดยประมาณ 25% คนที่มีน้ำหนักตัวมากน่าจะจำต้องลดจำนวนการกินลง โดยบางครั้งอาจจะเบาๆน้อยลงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยกินปกติ รวมทั้งพยายามงดเว้น อาหารมันและทอด กินอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการขับถ่าย. เลี่ยงการกินเล็กๆน้อยๆและทานอาหารไม่ทันเวลา พยายามทานอาหารในจำนวนที่บ่อยกันในทุกมื้อ ถ้าเกิดมีลักษณะอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงของกินรสเค็ม ควบคุมด้านการกินอาหารหากแม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะธรรมดาและตาม งดบริโภคอาหารต่างๆเหล่านี้ น้ำตาลทุกชนิด รวมถึงน้ำผึ้ง ผลไม้กวนชนิดต่างๆของหวานเชื่อม อาหารหวานต่างๆผลไม้ที่มีรสหวานมากๆน้ำหวานจำพวกต่างๆของหวานทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด กระทำตามแพทย์ พยาบาลเสนอแนะ รับประทานยาให้ถูกครบสมบูรณ์ ไม่ขาดยา รู้จักผลข้างเคียงจากยาโรคเบาหวาน และการดูแลตัวเองที่สำคัญ คือ สภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ รักษาสุขอนามัยเสมอ เพราะคนป่วยจะติดโรคต่างๆได้ง่าย จากโรคเบาหวานเป็นสาเหตุที่ทำให้มีภูมิต้านทานขัดขวางโรคน้อยลง รักษาสุขภาพเท้าเสมอ เลิกสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากว่ายาสูบเพิ่มโอกาสเป็นผลข้างเคียงของโรคเบาหวาน เลิกสุรา หรือจำกัดเหล้าให้เหลือต่ำที่สุด เพราะว่าเหล้าอาจมีผลต่อยาที่ควบคุมโรคเบาหวานและก็โรคต่างๆทำให้ควบคุมโรคต่างๆได้ยาก ไม่ซื้อยารับประทานเอง และไม่ใช้สมุนไพรเมื่อกินยาเบาหวาน เนื่องจากบางทีอาจต้านทานหรือเพิ่มฤทธิ์ของยาเบาหวาน จนกระทั่งอาจทำให้เกิดผลข้างๆจากยาเบาหวานที่ร้ายแรงได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลต่อไต หรือภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ ฉีดยาคุ้มครองโรคต่างๆตามแพทย์เสนอแนะ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่เจอหมอรักษาตาบ่อยตามหมอโรคเบาหวานแล้วก็จักษุแพทย์แนะนำ เพื่อการวิเคราะห์ แล้วก็การดูแลและรักษาสภาวะโรคเบาหวานขึ้นตาแต่เนิ่นๆคุ้มครองป้องกันตาบอดจากโรคเบาหวาน เจอหมอตามนัดหมายเสมอ หรือรีบเจอหมอก่อนนัดหมาย เมื่อมีลักษณะต่างๆไม่ปกติไปจากเดิม
จุดหมายการควบคุมของผู้ป่วยเบาหวาน ตามคำแนะนำของชมรมเบาหวานที่อเมริกา
เป้าหมาย
น้ำตาลก่อนรับประทานอาหาร (มก./