Advertisement
โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง[/u],โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)- โรค SLE เป็นอย่างไร โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงหมายถึงโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูมิต้านตัวเอง (Autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง เป็นผลมาจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานขัดขวาง หรืออิมมูน (Immune) ไม่ปกติ โดยจะต่อต้านเยื่อเกี่ยวพันของเนื้อเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ เป็นผลให้มีการอักเสบเรื้อรัง (ชนิดไม่ใช่จากการตำหนิดเชื้อ) ของเนื้อเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้หลายครั้งตัวอย่างเช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะเหนือกว่าเนื่องกระทั่งเป็น โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อจริงในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกง่ายๆว่าโรคลูปัส
โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกรุ๊ปโรคภูมิคุ้มกันฟั่นเฟือน มีสาเหตุจากการที่ร่างกายคนป่วยผลิตโปรตีนของภูมิต้านทานในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินปกติ ก่อปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าอีกทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ดังเช่น จากปกติภูมิต้านทานในร่างกายจะต่อต้านเชื้อโรคและก็สิ่งแปลกปลอม อาทิเช่น แบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสจากด้านนอกร่างกาย แต่กลับต้านทานร่างกายของตน จนนำมาซึ่งการอักเสบที่อวัยวะต่างๆรวมทั้งกำเนิดเป็นโรค SLE สุดท้าย
ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน แสดงว่า หมาป่า ซึ่งคาดคะเนว่า มาจากการที่ผื่นที่บริเวณใบหน้าที่เกิดขึ้นมาจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งคล้ายลักษณะขนบนใบหน้าของสุนัขป่า หรือเหมือนถูกสุนัขป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่เพศหญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปกปิดบริเวณใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/หมาป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูเขาไม่ตัวเอง (Autoimmune disease) ที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (จำนวนร้อยละ 90) โดยพบได้มากในเพศหญิงอายุตอน 20-30 ปี พบในหญิงเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยที่สุด รองลงไปตามลำดับเป็นผู้หญิงเอเชีย และเพศหญิงผิวขาว
- ต้นเหตุของโรค SLE พยาธิกำเนิดยังไม่รู้จักแจ่มชัด แต่ว่าคาดคะเนว่าเกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีการตอบสนองอย่างเปลี่ยนไปจากปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่งบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเยื่อต่างๆก็เลยจัดเป็นโรคภูเขามิต้านตัวเอง (autoimmune) ชนิดหนึ่ง อาจพบต้นสายปลายเหตุที่กระตุ้นให้อาการแย่ลง อย่างเช่น ยาบางจำพวก (ตัวอย่างเช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราสิล) การเช็ดกแดด การกระทบกระเทือนทางจิตใจ สภาวะมีท้อง เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้ ยังสันนิษฐานว่า อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนผู้หญิง (เนื่องจากว่าพบบ่อยในหญิงวัยข้างหลังมีระดูแล้วก็ก่อนวัยหมดระดูรวมทั้งพบได้มากกว่าเพศ 7-10 เท่า) รวมทั้งพันธุกรรม (พบมากในคนที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคมีสาเหตุจากมีความผิดธรรมดาของระบบภูมิต้านทาน เกิดภาวะภูเขาไม่ไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวชนิด T และ B lymphocyte ทำให้เกิดการผลิต autoantibodies ต้านเนื้อเยื่อของตนเองรวมทั้งกำเนิด immune complex ล่องลอยไปตามกระแสโลหิตไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกนั้นยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะแล้วก็เส้นเลือดนำมาซึ่งการเกิดพยาธิสภาพในหลายอวัยวะ
- อาการโรค SLE โรคนี้พบบ่อยในวัยหนุ่มวัยสาว อายุ 15-40 ปี เพศหญิงมากกว่าผู้ชาย อาการแล้วก็อาการแสดงบางทีอาจแตกต่างกันได้มาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยดังเช่น จับไข้ หมดแรง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมหล่น มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีด ติดเชื้อง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ นิ้วซีดเซียวเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม เยี่ยวแตกต่างจากปกติ มีความผิดปกติทางไต เหนื่อยหอบ เจ็บทรวงอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ และก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีลักษณะเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการกลุ่มนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงแค่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ
ซึ่งจะมีลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอยู่กับอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และก็โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังหัว หรือรอบๆใบหู มีแผลในปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเพดานปาก ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผมตกเยอะขึ้นเรื่อยๆ
อาการทางข้อรวมทั้งกล้าม ผู้ป่วยส่วนมากจะมีลักษณะปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อต่อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งบางคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต คนไข้มักมีอาการบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เพราะว่ามีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีลักษณะรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนกระทั่งขั้นไตวายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการเมื่อยล้า มีภาวการณ์ติดโรคง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้
อาการทางระบบประสาท คนไข้บางรายอาจมีอาการชัก หรือมีลักษณะพูดเรื่อยเปื่อยไม่รู้เรื่อง หรือเหมือนคนโรคจิตจำญาติไม่ได้ เพราะว่ามีการอักเสบของสมองหรือเส้นเลือดในสมอง
นอกนั้น ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย เป็นต้นว่า เป็นไข้ หมดแรง ไม่อยากกินอาหาร เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกล้าม ปวดศรีษะ จิตใจหม่นหมอง ร่วมได้ อาการของโรคชอบแสดงความร้ายแรงมากมายหรือน้อยภายในช่วงเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีอาการ ต่อไปชอบเบาลงเรื่อยๆแต่ว่าอาจมีอาการเกิดขึ้นอีกรุนแรงได้เป็นครั้งๆ ในปัจจุบันโรคเอสแอลอียังมีวิธีที่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ แต่ว่าสามารถควบคุมอาการโรคให้สงบ และก็ดำเนินชีวิตได้ตามธรรมดาหากรักษาได้ทันการ
- สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค SLE
- เพศ เนื่องจากเจอโรคได้สูงในหญิง ซึ่งพบได้มากกว่าผู้ชายถึง 7 เท่า
- การตำหนิดเชื้อบางประเภทอีกทั้งจากแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส บางจำพวก
- การถูกแสงแดดจัดเรื้อรัง
- การแพ้สิ่งต่างๆรวมทั้งของกินบางชนิด
- การสูบบุหรี่
- ฮอร์โมนเพศหญิง (เพราะเหตุว่าโรคนี้กำเนิดในผู้หญิงสูงยิ่งกว่าในผู้ชาย ถึงราวๆ 7-10 เท่า) รวมทั้งการมีท้อง
- จากผลกระทบของยาบางจำพวก เช่น ยาคุ้มครองป้องกันการชัก ยาคุม แล้วก็ยาลดหุ่นบางชนิด ซึ่งเมื่อมีสาเหตุจากยา หลังหยุดยา โรคมักหายได้
- อารมณ์ (อาการเครียด)
- การทำงานหนัก รวมทั้ง การบริหารร่างกายเกินไป
- ประเภทกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรค SLE
อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์)- จับไข้ต่ำๆไม่เคยรู้ต้นเหตุเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
- มีอาการปวดตามข้อ
- มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันรอบๆที่ถูกแสงอาทิตย์
- มีผมตกมากมายแตกต่างจากปกติ
- มีลักษณะอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
- แนวทางอาการรักษาโรค SLE
การวิเคราะห์โรค เนื่องมาจากโรค SLE มีความมากมายในอาการรวมทั้งอาการแสดงเพราะฉะนั้นก็เลยมีการตั้งกฏเกณฑ์ในการวิเคราะห์ ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจเจอ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย จะต้องอาศัยอาการทางคลินิกร่วมกับการตรวจทางห้องทดลอง การวินิจฉัยมักไม่เป็นปัญหาเพราะว่าผู้เจ็บป่วยจำนวนมากจะมีลักษณะอาการแจ่มชัด อาทิเช่น สตรีอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ หมดแรง จับไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แม้กระนั้นการวินิจฉัยจะมีความลำเค็ญในผู้เจ็บป่วยบางครั้งอย่างเช่น เพศชาย, ผู้สูงอายุหรือคนไข้ ที่มีลักษณะแสดงเพียงแต่ระบบเดียวจำเป็นจะต้อง อาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งดังเช่นว่า CBC, UA, CXR และ ANA ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดจากโรคอื่น
นอกนั้นหมอจะทำการวินิจฉัยโดยอาศัยผลการตรวจทางห้องทดลองอื่นๆอีกเป็นต้นว่า ตรวจเลือด พบแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) และแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจฉี่อาจพบสารไข่ขาวและเม็ดเลือดแดง ยิ่งไปกว่านี้ บางทีอาจต้องกระทำตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจแล้วก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย เดี๋ยวนี้ยังไม่มียา หรือกรรมวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายสนิทได้ แต่ว่าเป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นพักๆแล้วก็การรักษาทะนุถนอมตามอาการ การรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวโรคของคนไข้ การปฏิบัติแบบอย่างถูกของผู้เจ็บป่วย และก็การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้กระทำการดูแลและรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่ร้ายแรง (ตัวอย่างเช่น มีเพียงไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) หมออาจจะเริ่มให้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าเกิดไม่ได้ผลบางทีอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการเหล่านี้
ในรายที่เป็นรุนแรง หมอจะให้สตีรอยด์ (อาทิเช่น เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นสัปดาห์หรือยาวนานหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดียิ่งขึ้นแล้วก็ค่อยๆลดขนาดยาลง แล้วก็ให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยๆบางทีอาจนานเป็นนานเป็นปีๆหรือกระทั่งจะมีความเห็นว่าไม่มีอันตราย ถ้าเกิดให้ยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้วไม่เป็นผล แพทย์จะให้ยากดภูมิต้านทาน เช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) ฯลฯ
ในรายที่มีลักษณะอาการรุนแรง อาทิเช่น บวม หายใจหอบ มีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติทางสมอง ฯลฯ จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล กระทั่งจะไม่เป็นอันตราย ก็เลยให้ผู้เจ็บป่วยกลับบ้านและก็นัดหมายมาตรวจกับหมอเป็นระยะๆ
- การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อของตนเอง จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรค SLE จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แต่มีรายงานว่าอาจพบการถ่ายทอดทางด้านกรรมพันธุ์ได้)
- การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรค SLE
- ผู้เจ็บป่วยควรจะรู้ดีว่า โรคนี้มีความรุนแรงแตกต่าง บางคนอาจมีอาการนิดหน่อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงได้ ถึงแม้ว่าผู้ป่วยมีลักษณะอาการเล็กน้อย ถ้าเกิดไม่ได้รับการดูแลและรักษา อาการบางทีอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้นได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะกำเริบเสิบสานแล้วก็สงบสลับกันไป ดังนั้นควรมารับการตรวจรักษาจากแพทย์โดยเป็นประจำ กินยาตามสั่งโดยครัดเคร่ง ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
- เวลาไม่สบายไม่สมควรซื้อยากินเอง ควรจะเจอแพทย์รวมทั้งบอกแพทย์เหตุว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการดูแลรักษาที่สมควร รวมทั้งหมอจะได้หลีกเลี่ยงยาบางตัวที่อาจทำให้โรคกำเริบขึ้น
- หลบหลีกการสนิทสนมกับคนไข้ที่เป็นโรคติดเชื้อโรค ด้วยเหตุว่าคนไข้โรคเอสแอลอีอาจติดเชื้อได้ง่าย และก็โรคเอสแอลอีอาจกำเริบขึ้นได้
- ถ้าหากมีอาการที่บ่งชี้ถึงการตำหนิดเชื้อ เป็นต้นว่า ไข้สูง ไอ
- ควรตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการทำฟัน ถอนฟัน ควรจะกินยาปฏิชีวนะก่อนรวมทั้งหลังทำ เพื่อปกป้องการติดเชื้อ ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของหมอ
- ถ้าหากมีอาการผิดปกติ ที่บางทีอาจบ่งว่าโรคกำเริบ ได้แก่ ไข้ อ่อนเพลีย ผมหล่น ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรจะมาพบหมอก่อนนัดหมายได้
- หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 10.00-16.00 น. เนื่องจากว่าแดดจะทำให้โรคกำเริบเสิบสานได้ คนป่วยที่แพ้แสงสว่างมาก ควรจะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ถ้าต้องออกไปถูกแสงอาทิตย์
- หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
- ควรจะพักให้เพียงพอ บริหารร่างกายบ่อย
- ไม่รับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบหรือเปล่าสะอาด สถานที่ยัดเยียด เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อ
- หากโรคยังไม่สงบ ไม่สมควรตั้งท้อง เนื่องมาจากโรคอาจกำเริบเสิบสานขณะมีครรภ์ได้ อาจเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยและก็เด็กแรกเกิด นอกจากนั้นยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคในผู้ป่วยบางรายอาจมีผลต่อลูกในท้อง ถ้าเกิดโรคสงบแล้ว สามารถตั้งท้องได้แต่ว่าควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน รวมทั้งขณะมีครรภ์ควรจะมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะบางเวลาโรคอาจกำเริบ
- การคุมกำเนิด ควรเลี่ยงการใช้ยาคุม เหตุเพราะอาจก่อให้โรคกำเริบ สำหรับเพื่อการใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการต่อว่าดเชื้อ แนะนำว่าให้ใช้ถุงยาง
- คนป่วยที่ได้รับยาลดอาการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้ามีอาการเจ็บท้อง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงคุ้มครองป้องกันกระดูกพรุน
- การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่เครียดจนเกินไป
- รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน- สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE
พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb) พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง- รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
- Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
- วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
- Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
- โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
- “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
- ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
- แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.