โรคเก๊าท์ (Gout) อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา - สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเก๊าท์ (Gout) อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา - สมุนไพร  (อ่าน 84 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
กาลครั้งหนึ่ง2560
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 86


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 10, 2018, 10:50:26 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคเก๊าท์ (Gout)
โรคเก๊าท์เป็นยังไง  โรคเก๊าท์ เป็นโรคโบราณที่มีผู้บันทึกในรายงานหมอมานับพันปี สมัยฮิปโปโปเตมัสเครติส (Hippocrates) ซึ่งเป็นบิดาการแพทย์สากลของภาษากรีกเมื่อสองพันปีกลาย ก็ได้เอ่ยถึงอาการของโรคนี้ รวมทั้งได้เรียกชื่อเป็นศัพท์แพทย์หลายๆชื่อตามตำแหน่งของข้อที่มีอาการอักเสบ คำว่า เก๊าท์ (Gout) เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่แปลงมาจากภาษาลาตินว่า Gutta ซึ่งแปลว่าหยดน้ำ โดยมีผู้คาดการณ์ว่า ข้ออักเสบชนิดนี้มีต้นเหตุจากพิษ "หยด" เข้าไปอยู่ในไขข้อ ซึ่งปรากฏว่าเป็นจริงสำหรับการแพทย์ปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง พิษที่นำไปสู่โรคเก๊าท์ก็คือ กรดยูริกในเลือดนั่นเอง
                ส่วนนิยามของโรคเกาต์ในปัจจุบันนั้นคือ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความแปลกทางพันธุกรรม ทำให้ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริกมากเกินกระทั่งกำเนิดอาการรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนต่างๆโดยเก๊าท์ นับเป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มักพบโรคหนึ่ง บางทีอาจพบได้โดยประมาณ 2-4 คน ใน 1,000 คน จัดเป็นโรคของคนแก่ในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยอายุ 40-60 ปี จะเจอโรคนี้ได้ราว 2% รวมทั้งอายุ 60 ปีขึ้นไป จะพบได้โดยประมาณ 4% ยิ่งแก่ขึ้นโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ก็มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย แล้วก็พบได้ในเพศชายมากยิ่งกว่าเพศหญิงราวๆ 9-10 เท่า ส่วนที่เจอในหญิงชอบเป็นผู้หญิงข้างหลังวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว โดยทั่วไปมักเกิดกับข้อเพียงข้อเดียว ในบางครั้งบางทีอาจกำเนิดกับหลายข้อได้พร้อมๆกันก็ได้ โรคเกาต์ ถือเป็นโรคข้ออักเสบที่พบมากในประเทศไทยซึ่งมีอุบัติการณ์การเกิด 4.3 คนต่อประชาชนไทย 100,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ โรคเก๊าท์เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวการณ์ของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูริกในจำนวนที่มากเกินไป (มีค่ามากยิ่งกว่า 6 – 7 มิลลิกรัม/ดล.) ทำให้มีการเกิดการสั่งสมผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต (monosodium urate) ในน้ำไขข้อและก็เยื่อต่างๆเป็นต้นว่า  ข้อก็จะ ส่งผลให้เกิดข้ออักเสบ  ไตก็จะทำให้กำเนิดนิ่วในไตแล้วก็แล้วก็ไตวาย เป็นต้น
                ซึ่งกรดยูริกเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการสลายตัวสารพิวรีน (Purines) ในเยื่อทั่วร่างกายแล้วก็ของกินที่กินเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการกรองจากไตก่อนมีการขับออกทางเยี่ยวแล้วก็อุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกมากเพิ่มขึ้นจากการผลิตของร่างกาย จากการทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง อาทิเช่น ของกินชนิดเครื่องในสัตว์ ถั่วเม็ดแห้ง ฯลฯ หรือไตมีความผิดธรรมดาสำหรับการกรองสารพิวรีน มักนำไปสู่สภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย
                ส่วนต้นเหตุของกรดยูริกในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าจำนวนที่ถ่าย และจากการที่ร่างกายสร้างกรดยูริกเป็นปกติแม้กระนั้นจำนวนที่ถ่ายออกจากร่างกายน้อยกว่า ส่วนเหตุอีกประการ คือ  ทางด้านกรรมพันธุ์จากการขาดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีบางตัวหรือโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีบางตัวทำงานมากเกินไป และก็ประการสุดท้ายมีเหตุที่เกิดจากโรคบางประเภทที่สร้างกรดยูริกเกิน เป็นต้นว่า โรคทาลัสซีเมีย (โรคพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่แตกต่างจากปกติแล้วก็แตกสลายง่าย) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว การใช้ยาเคมีบำบัด หรือฉายแสงในคนเจ็บโรคมะเร็ง บางรายอาจเกิดขึ้นจากไตขับกรดยูริกได้ลดน้อยลง (ยกตัวอย่างเช่น ภาวการณ์ไตวาย) หรือมีสาเหตุจากผลข้างเคียงของยา ดังเช่นว่า ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอาไซด์ รวมถึงจากการดื่มสารที่มีแอลกอฮอล์ผสม ตัวอย่างเช่น เหล้า เบียร์ เหล้าองุ่น  การที่มีกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาจะมีลักษณะอาการข้ออักเสบโรคเกาต์ทันควัน ผู้ชายเริ่มเป็นเมื่ออายุ 40 ปี ผู้หญิงเริ่มเป็นอายุ 55 ปี
ลักษณะของโรคเก๊าท์ ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีลักษณะอักเสบของข้อเกิดขึ้นเร็วทันใจแล้วก็รุนแรงมากมายคล้ายๆกับมีฝีเกิดขึ้นที่บริเวณข้อ ซึ่งมีลักษณะอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที     ถ้าเกิดเป็นการปวดคราวแรกมักจะเป็นเพียงข้อเดียว โดยข้อที่พบได้บ่อย ดังเช่น นิ้วหัวแม่ตีน (ส่วนข้อเท้า ข้อหัวเข่า ก็อาจพบในผู้ป่วยบางราย) ข้อจะบวมและก็เจ็บมากมายกระทั่งเดิน    ไม่ไหว ผิวหนังในรอบๆนั้นจะตึง ร้อนและแดง และก็จะเจอลักษณะเจาะจงเป็น ระหว่างที่อาการเริ่มดีขึ้นกว่าเดิม ผิวหนังในรอบๆที่ปวดนั้นจะลอกรวมทั้งคัน  คนไข้มักเริ่มมีอาการปวดช่วงเวลาค่ำคืน และก็ชอบเป็นหลังดื่มเหล้า เบียร์สด หรือเหล้าองุ่น หรือหลังกินเลี้ยง หรือกินอาหารมากแตกต่างจากปกติ หรือเดินสะดุด บางโอกาสอาจมีอาการขณะมีสภาวะเครียดด้านจิตใจ เป็นโรคติดโรค หรือได้รับการผ่าตัดด้วยสาเหตุอื่น ครั้งคราวอาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น (ชีพจรเต้นเร็ว) อ่อนเพลีย เบื่อข้าว ร่วมด้วย
สำหรับการปวดข้อทีแรก ชอบเป็นอยู่เพียงแค่ไม่กี่วัน ถ้าคนเจ็บมิได้รับการดูแลรักษา ในระยะต้นๆอาจกำเริบเสิบสานทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แม้กระนั้นต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆเป็นต้นว่า ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละบ่อยมาก รวมทั้งระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อยเป็นต้นว่า แปลงเป็น 7-14 วัน จนกระทั่งนับเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดระยะเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เป็นต้นว่า ข้อมือ ศอก ข้อหัวเข่า ข้อเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า) จนกว่าเป็นเกือบทุกข้อ
ในระยะที่มีข้ออักเสบหลายๆข้อ ผู้เจ็บป่วยมักพิจารณาได้ว่ามีปุ่มก้อนขึ้นรอบๆที่เคยอักเสบบ่อยๆและก็ก้อนจะโตขึ้นเรื่อยเรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus / tophi) จนบางครั้งบางคราวบางทีอาจแตกออกมีสารขาวๆเหมือนแป้งดินสอพองหรือยาสีฟันไหลออกมา แผลที่แตกออกจะหายช้ามาก รวมทั้งจะเป็นแผลเป็น ต่อไปข้อต่างๆจะผิดรูปผิดรอยและใช้งานมิได้สุดท้าย
จากอาการที่เริ่มมีข้ออักเสบหนึ่งข้อจนกระทั่งหลายๆข้อ รวมทั้งมีปุ่มก้อนมักกินเวลา 5-20 ปี แล้วแต่ความรุนแรง สำหรับชาวไทยพบว่าบางคนเพียงแต่ 2-3 ปี เพียงแค่นั้นจะเริ่มมีปุ่มก้อนและก็มีอาการไตวายได้ ฉะนั้นโรคเก๊าท์ในคนประเทศไทยจึงมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าคนต่างชาติมากมายแม้ว่าไม่ได้อยู่ดีมีสุขกว่าเขาเลยราวจำนวนร้อยละ 25 ของผู้เจ็บป่วยโรคเก๊าท์จะมีนิ่วของทางเดินเยี่ยวร่วมด้วย ซึ่งกึ่งหนึ่งจะมีประวัติของนิ่งก่อนอาการข้ออักเสบ ดังนั้นคนเจ็บที่มีนิ่วของฟุตบาทฉี่จำเป็นที่จะต้องเช็คกรดยูริคทุกราย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคเก๊าท์

  • มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของคนไข้โรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย
  • โรคประจำตัวหรือสภาวะของร่างกายอะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ภาวการณ์อ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดเปลี่ยนไปจากปกติ ไตดำเนินงานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องเอนไซม์ ความแตกต่างจากปกติของไขกระดูก โรคเส้นเลือดไม่ปกติ
  • มีต้นเหตุมาจากเพศ เพราะเจอโรคนี้ได้ในผู้ชายมากกว่าหญิง
  • การทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากจนเกินไป เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
  • การดื่มน้ำอัดลมเกินจำนวนที่พอดีต่อวัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำอัดลมประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสบางทีอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้มากถึง 85% ยิ่งกว่านั้นยังรวมไปถึงผลไม้รวมทั้งน้ำผลไม้บางจำพวกที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มากมาย
  • มีเหตุมาจากการได้รับบาดเจ็บที่ข้อกระดูก การกระทบกระแทกที่ข้อ
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางจำพวก บางทีอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ ด้วยเหตุว่ายาบางจำพวกมีผลทำให้ไตขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ลดน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น แอสไพริน (Aspirin), ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide – HCTZ), ไซโคลสปอริน (Cyclosporin), เลโวโดปา (Levodopa) ฯลฯ
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ดังเช่น เหล้า เบียร์ เหล้าองุ่น โดยยิ่งไปกว่านั้นเบียร์ เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการขับกรดยูริกออกทางไตหรือทางเยี่ยว ข้างหลังการดื่มก็เลยทำให้ไตขับกรดยูริกได้ลดลง กรดยูริกจึงคั่งอยู่ในเลือดสูงยิ่งกว่าธรรมดา

แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์  การวินิจฉัยโรคเก๊าท์หมอจะมีการซักถามอาการ เรื่องราวเป็นโรคเก๊าท์ของบุคคลในครอบครัว แล้วก็การตรวจร่างกายทั่วไป โดยแพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดง ซึ่งโรคเกาต์จะมีลักษณะเด่นหมายถึงมีการอักเสบรุนแรงของข้อหัวแม่เท้าเพียงแต่ ๑ ข้อ เกิดขึ้นกระทันหันหลังดื่มเบียร์สด หรือเหล้าองุ่น กินเลี้ยง หรือรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง ซึ่งผู้เจ็บป่วยเป็นโรคเก๊าท์มักจะมีลักษณะอาการปวดข้ออย่างเฉียบพลันครั้งแรกพบบ่อยที่ข้อเท้าหรือหัวแม่ตีน โดยมีลักษณะอาการบวมเมื่อคลำดูจะรู้สึกร้อน เวลากดเจ็บมากอาจมีอาการไข้น้อยถึงไข้สูงเป็นประมาณ 3-7 วัน และในบางรายบางทีอาจตรวจพบตุ่มโทฟัส (Tophus) ร่วมด้วย  ส่วนการวินิจฉัยทางห้องทดลองที่กระจ่าง จำต้องทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับกรดยูริกในเลือด (ค่าปกติ 3-7 มก. ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร) ถ้าหากผลของการตรวจไม่ชัดเจน บางทีอาจต้องทำการเจาะดูดน้ำจากข้อที่อักเสบไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ นอกเหนือจากนี้ บางทีอาจจำเป็นต้องทำตรวจพิเศษอื่นๆเช่น การวิเคราะห์เลือด เมื่อการตรวจวินิจฉัยโดยการเจาะข้อไม่สามารถที่จะทำได้ หมอบางครั้งก็อาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อวัดระดับของกรดยูริกรวมทั้งสารครีเอติเตียนนินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือเปล่า แต่วิธีการแบบนี้บางทีอาจเกิดความบกพร่องได้ ดังเช่นว่า ผู้ป่วยบางรายหรูหรากรดยูริกสูงไม่ดีเหมือนปกติ แต่อาจไม่เป็นโรคเก๊าท์ หรือบางรายที่มีอาการของโรคก็บางทีอาจตรวจเจอระดับกรดยูริกได้ในระดับธรรมดา  การเจาะข้อ มักถูกใช้เป็นวิธีหลักสำหรับในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะนำเข็มเจาะรอบๆข้อที่มีลักษณะ เพื่อดูดเอาน้ำในข้อออกมาตรวจดูการสะสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์  การอัลตราซาวด์ จะช่วยตรวจเจอการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อจนกระทั่งเป็นปุ่มนูนหรือก้อนที่เรียกว่า โทฟี่ (Tophi)  การเอกซเรย์ การถ่ายเอกซเรย์รอบๆข้อที่มีลักษณะ เพื่อตรวจสอบว่าเกิดการอักเสบตามข้อหรือไม่  การตรวจฉี่ เพื่อดูกรดยูริกที่ปนเปในน้ำเยี่ยว

โรคเกาต์เป็นโรคหวานใจษาง่าย รักษาหายสนิทได้ คือไม่กลับมาเป็นข้ออักเสบอีก ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยกระทำตามคำแนะตำและกินยาอย่างสม่ำเสมอ หลักการรักษาโรคเก๊าท์จำต้องแบ่งเป็น 3 หัวข้อ ดังต่อไปนี้

  • การดูแลและรักษาข้ออักเสบ ในระยะฉับพลัน และเป็นนานไม่เกิน 48 ชั่วโมง อาจให้โคสิซิน (Colchicine) 2-3 เม็ดต่อวัน ข้อจะหายปวดเร็วมากด้านใน 2-3 วัน แล้วลดยาลงเหลือ 1 เม็ดต่อวัน ข้อดีของยาเป็นไม่กัดกระเพาะเป็นแผล ข้อผิดพลาดคือบางทีอาจกำเนิดอาการท้องเสียได้แม้ขนาดของยามากขึ้นไป ซึ่งถ้าหากมีลักษณะท้องร่วงให้หยุดยานี้จนกระทั่งหายท้องร่วงแล้วเริ่มกินยาใหม่ในขนาดที่น้อยลง

ยาอื่นๆที่ใช้ได้แต่ทุกตัวจะมีฤทธิ์ระคายกระเพาะมากบ้างน้อยบ้างสุดแท้แต่บุคคล จึงควรรับประทานหลังรับประทานอาหารเสมอ และก็อาจรับประทานร่วมกับยาอัลมาเจล (Almagel) หรือ อลั่มมิลค์ (Alum Milk) แม้กระนั้นจัดว่าเป็นยาค่อนข้างจะปลอดภัย อาทิเช่น ไอบลูโปรเฟน (Ibuprofen) , ไดวัวลพิแนค (diclofenac) , นาโปรเซน (Naproxen) , ซูลินแดค (Sulindac) , พงไพรรคิซิคาม (Prioxicam) , อินโดความรู้ซิน (Indemethacin) ฯลฯ โดยให้วันละ 3-4 เม็ดตราบจนกระทั่งอาการทุเลาก็เลยลดขนาดยาลงจนหยุดยาไปภายใน 4-7 วัน
ไม่สมควรใช้ยากลุ่มฟีนิวบิวตาโซน (Phenybutazone) แล้วก็ออกซิเฟนบิวตาโซน (Oxyphenbutazone) เพราะว่าเสี่ยงกับการเกิดภาวะไขกระดูกไม่สร้างเลือด (Aplastic anemia) ได้โดยไม่จำเป็น เนื่องจากว่ามียาอื่นที่ปลอดภัยกว่า แล้วก็ใช้ได้ผลในด้านดีดังที่กล่าวถึงมาแล้ว แม้กระนั้นปรากฏว่าในท้องตลาดประเทศไทยยากลุ่มนี้คุณยายดีเยี่ยม เนื่องจากมักถูกจัดอยู่ในยาชุดแก้ปวดข้อแบบครบจักรวาล แถมขนาดยาที่ผลิตนั้นมากมายกระทั่งอยู่ในขั้นที่อันตราย คือ ยาหนึ่งเม็ดมีขนาดเท่ากับยาสองเม็ดของจากเมืองนอก จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเพราะอะไรประเทศพวกเราก็เลยมีคนเจ็บโรคไขกระดูกไม่สร้างเม็ดเลือดเยอะแยะแบบนี้
. การปกป้องคุ้มครองไม่ให้ข้ออักเสบกำเริบเสิบสานอีก ยาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากมายเป็น โคชิซิน วันละ 1-2 เม็ดตลอดกาล สำหรับผู้ที่ข้ออักเสบหลายครั้งจนถึงไม่สามารถที่จะทำมาหากินตามธรรมดาได้ สำหรับผู้ที่นานๆจะมีข้ออักเสบสักหนึ่งครั้งให้พกยาเม็ดประจำตัว พอมีความรู้สึกว่าข้อเริ่มอักเสบให้รับประทานยาวัวชิสิน 1 เม็ดในทันที แล้วก็ซ้ำได้วันละ 2-3 เม็ดตรงเวลา 1-2 วัน ยานี้หากรับประทานแม้กระนั้นเนิ่นๆจะคุ้มครองปกป้องไม่ให้กำเนิดข้ออักเสบร้ายแรงขึ้นแบบเต็มที่รวมทั้งทำให้หายปวดข้อได้เร็วมาก

  • การลดกรดยูริคให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เพื่อคุ้มครองป้องกันการตกผลึกของยูเรท และไปละลายผลึกยูเรทที่ตกตะกอนตามที่ต่างๆของร่างกายให้หายไปทีละเล็กละน้อยด้วยเหตุผลดังกล่าวยาลดกรดยูริคควรต้องรับประทานติดต่อกันวันแล้ววันเล่าเป็นปีๆหรือทั้งชีวิต ทั้งนี้แล้วแต่ความรุนแรงของโรคเก๊าท์ ยาลดกรดยูริคมี 2 พวก เป็น
  • พวกที่ทำให้มีการขับยูริคออกทางไตเยอะขึ้น เหมาะกับคนที่ไตธรรมดาและไม่มีนิ่วในไต ยาที่ใช้เป็น โปรเบเนซิด (Probenecid) 1-2 เม็ดต่อวัน การจัดยาจำเป็นต้องอาศัยตรวจระดับกรดยูริค ว่าลดน้อยลงมาอยู่ในขั้นน่าพึงพอใจหรือไม่ ผู้ที่กินยาประเภทนี้ควรจะดื่มน้ำมากมายๆราวๆ 1.5-2 ลิตร/วัน เพื่อคุ้มครองปกป้องการเกิดนิ่วกรดยูริคในไต ยานี้ราคาแพงถูกกว่ารวมทั้งปลอดภัยกว่ายากลุ่ม 2 แต่ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคไตวายหรือมีนิ่วในไต
  • พวกที่ตัดการผลิตของกรดยูริคภายในร่างกาย อย่างเช่น แอบโลพูรินอล (Allopurinol) 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน ยาตัวนี้เกิดอันตรายเป็น กำเนิดตับอักเสบได้ แม้กระนั้นที่พบบ่อยคือ เกิดการแพ้ยาอย่างหนักถึงกับขนาดผิวหนังเป็นผื่น, พุพอง, แดงลอกหมดทั่วตัว ซึ่งมีอัตราตายสูงมาก แนวทางคุ้มครองป้องกันคือ ถ้าหากกินยาแล้วรู้สึกมีอาการคันตามตัวโดยยังไม่มีผื่น หรือเริ่มมีผื่นแดง แม้กระนั้นไม่รุนแรงจะต้องหยุดยาในทันที มิฉะนั้นจะแพ้ยารุนแรงขึ้นจนเกิดภาวะดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ ซึ่งหากแม้รับการรักษาในโรงหมอก็อาจปรับแก้ไม่ทัน

ผู้ป่วยโดยมาก มักรู้ผิดว่าหายจากโรคแล้ว เมื่อไม่มีอาการปวดข้อ ก็มักจะหยุดกินยา รวมทั้งจะมาเจอหมอเป็นครั้งเป็นคราว เฉพาะเวลามีอาการข้ออักเสบ ความประพฤติเช่นนี้ มักทำให้คนป่วยกลายเป็นโรคเกาต์จำพวกเรื้อรัง และก็เกิดภาวะแทรกต่างๆตามมาท้ายที่สุด ยิ่งกว่านั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการบริโภคยังช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นของการดูแลรักษาโรคเกาต์ให้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

  • หลบหลีกการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์ พบว่าคนเจ็บโรคเกาต์ที่ดื่มเบียร์มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดลักษณะของการปวดโรคเกาต์เยอะขึ้นเรื่อยๆประมาณ 2.5 เท่า เพราะว่าในเบียร์มีพิวรีนปริมาณมากสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกได้
  • ลดการกินอาหารที่มีพิวรีนสูง ตามตารางตั้งแต่นี้ต่อไป
ตารางแสดงปริมาณพิวรีนในอาหารที่กินได้ 100 กรัม
จากหนังสือ Normal and Therapcutic Nutrition ของ Gorinne H. Robinson 1072 จากการเล่าเรียนจำนวนพิวรีนในของกินชนิดต่างๆโภชนาการ 13:2522
การติดต่อของโรคเก๊าท์ ด้วยเหตุว่าโรคเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริก (uric acid) มากเกินไป หรือมีการขับกรดยูริกที่น้อยผิดปกติของร่างกาย ด้วยเหตุนั้นโรคเก๊าท์ก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการ
ติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร แต่โรคเก๊าท์ก็มีต้นเหตุ จากความไม่ปกติทางชนิดกรรม ดังนั้นก็เลยพบผู้ป่วยที่มีต้นเหตุโรคมาจากพันธุกรรมได้ เช่นกัน
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคเก๊าท์ คนป่วยโรคเก๊าท์ควรจะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเล็กน้อยอาจมีส่วน เพราะเหตุว่าช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงได้ดังต่อไปนี้

  • กินน้ำมากมายๆอย่างต่ำวันละ ๓ ลิตร ทุกเมื่อเชื่อวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในไตเมื่อไม่เป็นโรคที่จำต้องจำกัดน้ำ
  • ห้ามกินเหล้า เบียร์สด ไวน์ ซึ่งอาจจะก่อให้โรคเกาต์กำเริบเสิบสานได้
  • หลีกเลี่ยงของกินที่มีกรดยูริกสูง ดังเช่นว่า เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีกทุกประเภท กะปิ น้ำสกัดจากเนื้อ ไข่แมงดา พืชผักหน่ออ่อน (เช่น ถั่วงอก ยอดกระถิน ยอดแค สะเดา ชะอม หน่อไม้ แอสพารากัส ยอดผัก เป็นต้น) ผู้เจ็บป่วยจำต้องคอยสังเกตว่าอาหารอะไรที่ทำให้โรคกำเริบ ก็ควรเลี่ยง
  • ควรเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
  • เลี่ยงการใช้ยาที่อาจจะส่งผลให้โรคกำเริบ ดังเช่นว่า แอสไพริน ยาขับฉี่กลุ่มไทอาไซด์
  • ถ้าหากอ้วน ควรลดความอ้วนลงทีละน้อยๆ อย่าลดฮวบฮาบ อาจจะส่งผลให้มีการย่อยสลายของเซลล์อย่างเร็ว ทำให้มีกรดยูริกสูง โรคเกาต์กำเริบเสิบสานได้
  • ถ้าหากเจอมีตุ่มโทฟัสตามผิวหนัง ห้ามบีบแกะ หรือใช้เข็มเจาะให้แตก เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้แปลงเป็นแผลเรื้อรังได้
  • เมื่อมีลักษณะปวดให้ใช้น้ำอุ่นจัดๆหรือใช้น้ำแข็งประคบตรงข้อที่ปวด ราว 20 นาที แล้วก็หลบหลีกการลงน้ำหนักตรงข้อนั้นๆ
  • เมื่ออาการปวดดีขึ้นแล้ว ควรจะไปพบหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจรับรองการวิเคราะห์และก็รับการรักษาอย่างแม่นยำถัดไป
  • เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็โรคเก๊าท์[/url]ควรจะทานอาหารตามแพทย์สั่งให้ครบและไปตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

    การป้องกันตัวเองจากโรคเก๊าท์

  • คนที่มีญาติโกโหติกาเป็นโรคเกาต์ ควรจะตรวจค้นระดับของกรดยูริกในเลือดเป็นระยะๆ
  • เมื่อมีลักษณะไม่ปกติของข้อเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ปวดข้อทันควัน บวมแดง ร้อนที่ข้อ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างเร่งด่วน
  • หลบหลีกการทานอาหารที่มีสารพิษพิวรีนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และก็สัตว์ปีก
  • ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน (BMI)
  • หลีกเลี่ยงจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ หรือ น้ำอัดลมให้พอดี
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บำบัดรักษาโรคเก๊าท์ การใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเกาต์มีข้อมูลส่งเสริมค่อนข้างน้อย บางทีอาจเพราะโรคนี้เกี่ยวโยงกับหลายเหตุโดยยิ่งไปกว่านั้นลักษณะการทำงานของไต ซึ่งการใช้สมุนไพรไม่ได้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ เพียงช่วยทุเลาอาการเท่านั้น แต่ว่ามีข้อมูลของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวทางด้านสุขภาพที่ค่อนข้างจะน่าเชื่อถือ มีผลงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยออกมาว่าสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทุเลาลักษณะโรคเก๊าท์ คือ

  • ขมิ้นชัน มีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือเคอร์คิวไม่นมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขนาดทั่วไปที่ชี้แนะต่อวันคือ 1.5-3.0 กรัม ถ้ากินขมิ้นชันแคปซูล 500 มิลลิกรัม สามารถรับประทานได้วันละ 3-6 แคปซูล ซึ่งจะช่วยทุเลาการอักเสบของข้อแล้วก็กระดูกที่มีลักษณะอาการปวดของโรคเก๊าท์
  • โบรมีเลน (bromelain) เป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีจากสับปะรด มีคุณสมบัติรลดอักเสบ ลดปวดโดยขนาดกินที่ชี้แนะคือ 500 มก. วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการอักเสบรวมทั้งอาการปวดของโรคเก๊าท์ได้
  • ชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีการเล่าเรียนในคนสุขภาพแข็งแรงปริมาณ 30 รายโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มให้ได้รับสารสกัดชาเขียว 2, 4, หรือ 6 กรัมต่อวัน พบว่าภายหลังจากผ่านไป 2 อาทิตย์ กลุ่มที่บริโภคสารสกัดชาเขียว 2 กรัมต่อวันสามารถลดระดับกรดยูริกในเลือดได้มากที่สุดคือจาก 4.81 ± 0.81 มิลลิกรัมต่อดล. เป็น 4.64 ± 0.92 มิลลิกรัมต่อดล. ก็เลยมีการเสนอแนะให้กินน้ำชาเขียวที่ไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีนวันละ 2-4 ถ้วยชา

นอกเหนือจากนั้นยังมีสมุนไพรอื่นๆที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/บรรเทาอาการของโรคเก๊าท์ได้อีกยกตัวอย่างเช่น เห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูแนวทางการทำงานของไต สร้างสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบของไต แล้วก็ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นให้กับระบบหมุนวนโลหิต ต้นหญ้าใต้ใบ มีคุณประโยชน์เป็นยาขับฉี่ สามารถขับกรดยูริคออกทางเยี่ยวได้ ไพรที่คนไทยรู้จักกันดีว่ามีสาระในด้าน แก้อาการปวดปวดเมื่อยต่างๆชูกำลัง และก็ยังมีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันคุณประโยชน์ดังที่กล่าวถึงแล้วด้วย คือ แก้เมื่อย แก้กล้ามอักเสบ เถาวัลย์เปรียง แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว แก้กล้ามเนื้ออักเสบ รักษาอาการข้อหัวเข่าเสื่อม เมื่อทานเถาวัลย์เปรียงทำให้ฉี่หลายครั้งซึ่งมีคุณประโยชน์สำหรับการช่วยขับกรดยูริคออกมาทางปัสสาวะได้อีกทางหนึ่ง ต้นหญ้าหนวดแมว สมุนไพรอย่างต้นหญ้าหนวดแมวที่มีคุณประโยชน์สำหรับการขับกรดยูริค หญ้าหนวดแมว มีเกลือโปรแตสเซียม ช่วยสำหรับเพื่อการขับฉี่และขยายหลอดไตให้กว้าง ช่วยขับกรดยูริคเพราะว่าต้นหญ้าหนวดแมวทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ผู้ที่รับประทายต้นหญ้าหนวดแมว จะมีการขับกรดยูริคออกมาทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ฉี่เป็นด่าง ทำให้กรดยูริคตกตะกอนลดลงด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.เล็ก ปริวิสุทธิ์.โรคเก๊าท์.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่.49.คอลัมน์ โรคน่ารู้.พฤษภาคม.2526
  • นศภ.ปณิดา ไทยอ่อน.โรคเก๊าท์(gout) ดูแลอย่างไรดี.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.คลังข้อมูลยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Choi HK, Atkinson K, Karlson EW, Willett W, Curhan G. Alcohol intake and risk of incident gout in men: a prospective study. Lancet. 2004;363:1277-81. http://www.disthai.com/[/b]
  • Neogi T. Gout. N Engl J Med 2011;364(5):443-52.
  • รศ.นพ.สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ.เกานต์.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่346.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์.2551
  • เก๊าท์-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคเกาต์ (Gout)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 823-826.
  • Neogi T, Chen C, Niu J, Chaisson C, Hunter DJ, Choi H, et al. Relation of temperature and humidity to the risk of recurrent gout attacks. Am J Epidemiol 2014;180:372-7.
  • สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคเกาต์; 2555
  • Zhang Y, Chen C, Choi H, Chaisson C, Hunter D, Niu J, et al. Purine-rich foods intake and recurrent gout attacks. Ann Rheum Dis 2012;71:1448-53.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ์.โรคเกาต์.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Zhang Y, Woods R, Chaisson CE, Neogi T, Niu J, McAlindon TE, et al. Alcohol consumption as



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ