โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย  (อ่าน 12 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
penpaka2tory
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13922


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2018, 04:54:14 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมเป็นยังไง  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียนและก็วัยรุ่น คนเจ็บโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมแล้วก็กดเจ็บบริเวณต่อมน้ำลาย เพราะว่ามีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งคือต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคบางทีอาจเกิดกับต่อมน้ำลายเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากบางทีอาจกำเนิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจำต้องกำเนิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่ร้ายแรงแล้วก็สามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งหมดศหญิงและก็เพศชายใกล้เคียงกัน  แต่ว่าในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์รวมทั้งคนแก่ชอบเจอความรุนแรงของโรคคางทูมมากกว่าและเกิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยพบในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี และในคนแก่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในตอนม.ค.ถึงม.ย. รวมทั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน แล้วก็อาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว ในสมัยเก่าจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้ทั่วไปในเด็ก แม้กระนั้นในปัจจุบันมีลักษณะท่าทางต่ำลงจากการฉีดยาป้องกันโรคนี้กันเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องราวและที่มาที่ไปของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้อธิบายโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton ย้ำว่าการกำเนิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี ค.ศ.1934 Johnson และ Goodpasture สามารถทดสอบเลียนแบบการเกิดโรคคางทูมในลิงได้เสร็จ เป็นหลักฐานแสดงการเจอเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้ป่วยโรคคางทูมได้ ในปี คริสต์ศักราช1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders รวมทั้งคณะ ชี้แจงการทดลองทางผิวหนังและก็การวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้เสร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่ทราบกระจ่างแจ้ง อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำคำกริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์บูด ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง  mumps ยังมีความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในคนป่วยโรคคางทูม ในรายงานยุคเก่าโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคคางทูม สาเหตุของโรคคางทูมมีต้นเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่ได้โดยการไอ จาม เหมือนกันกับโรคไข้หวัด ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็น
ไวรัสในกลุ่มพารามิกโซไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยราวๆ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกหุ้มด้วย envelope 3 ชั้น
อาการของโรคคางทูม ลักษณะโรคคางทูม กำเนิดหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วๆไปราว 14 - 18 วัน แม้กระนั้นอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะทำให้มีการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ คนเจ็บจะเริ่มมีลักษณะอาการจับไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร  บางคนอาจมีอาการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่ารอบๆข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะอาการบวมและก็ปวด  ลักษณะของการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อรับประทานของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนไข้ชอบรู้สึกเจ็บปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากบดหรือกลืนของกิน บางบุคคลอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้ามีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) ประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะกำเนิดอาการคางบวม ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ต่อมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในตอนที่บวมมาก คนป่วยจะมีลักษณะบอกรวมทั้งกลืนลำบาก บางบุคคลอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆนำมาก่อน หรือมีเพียงแต่อาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกเหนือจากนี้ พบว่าโดยประมาณจำนวนร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม บางทีอาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม มักจะเจอได้สูงขึ้นเมื่อเกิดโรคในวัยรุ่น คนแก่ หรือในคนมีภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคต่ำ เช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เจอได้ราว 10% ของคนป่วย แล้วก็มักมีอาการไม่ร้ายแรง
  • โรคสมองอักเสบ พบได้แต่ว่าน้อยมาก แต่ถ้าร้ายแรงอาจจะเป็นผลให้เสียชีวิต ได้ พบได้ราว 1% และก็พบกำเนิดในผู้ชายมากกว่าเพศหญิง
  • ในผู้ชาย บางทีอาจพบการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางกำเนิดสูงขึ้นหากคางทูมเกิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่พบได้ 20 - 30% ของคนป่วย อาการอัณฑะอักเสบมักเกิดราวๆ 1 - 2 สัปดาห์ภายหลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ และอาจกลับมามีไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่ราว 3 - 4 วัน หรืออาจนานได้ถึง 2 - 3 อาทิตย์ อัณฑะจะยุบบวม รวมทั้งขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วไปการอักเสบมักเกิดกับอัณฑะด้านเดียว ซ้ายหรือขวามีโอกาสกำเนิดใกล้เคียงกัน แต่เจอเกิด 2 ข้างได้ 10 - 30% หลังเกิดอัณฑะอักเสบราว 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบข้างเดียว แล้วก็ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางบุคคลอาจเป็นหมันได้
  • ในเพศหญิง อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้ประมาณ 5% แต่ว่ามักไม่เป็นผลให้มีลูกยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่บางทีอาจพบได้บ้างแม้กระนั้นน้อยหมายถึงข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้ง หูอักเสบ

กรรมวิธีการรักษาโรคคางทูม หมอสามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากความเป็นมาอาการรวมทั้งการตรวจร่างกายของผู้ป่วยดังนี้

  • ตรวจเช็คเรื่องราวป่วยไข้ของคนป่วย
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู และก็ต่อมทอนซิลในปาก
  • วัดอุณหภูมิของคนป่วยว่าอยู่ในระดับที่สูงไม่ดีเหมือนปกติหรือเปล่า
  • ตรวจสารก่อภูมิต้านทาน (Antigen) ในเลือด
  • แม้กระนั้นเมื่อทำสอบเรื่องราวแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมภายใน 2-3 อาทิตย์ ด้วยกันมีลักษณะอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ในทันที

ส่วนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อรับรองการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ในกรณีที่คนป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำบ่อยมาก หรือเพื่อรับรองการสอบปากคำการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคคางทูม โดยการตรวจทางภูมิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายวิธี ได้แก่

  • ตรวจเลือดหาแทนตำหนิบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจค้นเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง เลือด แล้วก็สมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays และ
  • กระบวนการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง

เพราะว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลและรักษาโรคคางทูมจึงยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แม้กระนั้นสามารถทำเป็นโดยบรรเทาอาการและก็ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ อย่างเช่น เมื่อมีลักษณะอาการปวดก็จะให้กินพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาปวด นอกเหนือจากนั้นก็จะชี้แนะกรรมวิธีการกระทำตนและให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ดังนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนแล้วก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ และลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแต่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนใหญ่ก็ชอบหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบรวมทั้งอัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดเลือกหลั่งของทางเท้าหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก ตัวอย่างเช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนไข้ไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของคนป่วย หรือโดยการสัมผัสถูกมือ ข้าวของ
เครื่องใช้สอย ดังเช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ถ้วยชาม เป็นต้น รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับการกระจายเชื้อเชื้อไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อฝึกหัด หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนถึง 5 วันหน้าจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แต่ว่ามีรายงานว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีอาการจนถึง 9 คราวหน้าจากเริ่มมีลักษณะต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมจำนวนมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจเกิดขึ้นเนื่องจากโรคและมูลเหตุอื่น ได้อีกอาทิเช่น

  • การบาดเจ็บ อย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้เจ็บป่วยจะมีไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง รวมทั้งบางทีอาจพบมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ คนเจ็บจะมีอาการปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  และก็อาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนไข้จะมีลักษณะต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและก็ปวด รวมทั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายอุดตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) คนเจ็บจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งชอบเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมีลักษณะคล้ายคางทูม แต่ผิวหนังบริเวณคางทูมจะมีลักษณะแดงและเจ็บมาก
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (บางทีอาจเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือลุกลามจากกล่องเสียงหรือโพรงข้างหลังจมูก) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า ๑ เซนติเมตร และไม่มีลักษณะเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าหากเป็นมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าหากเป็นโรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคคางทูม เมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคคางทูมหมอชอบให้คำแนะนำในการกระทำตนเพื่อทุเลาลักษณะโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์มักจะชี้แนะดังนี้

  • เช็ดตัวเวลาจับไข้และให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลาจับไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุน้อยกว่า 18 ปี เพราะอาจเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองแล้วก็ตับอย่างหนัก               เป็นอันตรายได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงบริเวณที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ว่าถ้าหากปวด ให้ใช้ความเย็น (อาทิเช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบทุเลาปวด
  • หลีกเลี่ยงการกินของกินที่เคี้ยวยาก ในระยะต้นๆควรจะทานอาหารอ่อน ดังเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลบหลีกการกินอาหารรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ควรหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านกระทั่งจะหาย เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อให้บุคคลอื่น
  • พักให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากๆเมื่อไม่ได้เป็นโรคที่จำเป็นต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเสมอๆ
  • ควรรีบไปพบหมอเมื่อมีลักษณะดังนี้

o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 คราวหน้าดูแลตนเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก รวมทั้งอาการปวดไม่ดีขึ้นข้างหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             กินอาหาร และก็/หรือกินน้ำได้น้อยหรือกินมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดศีรษะมาก คอแข็ง หรือเจ็บท้องมาก เนื่องจากว่าเป็นอาการกำเนิดจาผลข้างเคียง แทรกดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
การป้องกันตนเองจา[/url][/size][/b]

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/[/b]
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ