โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง  (อ่าน 18 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2018, 02:14:21 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน คืออะไร โรคกระดูกพรุนโดยธรรมดา เป็นภาวการณ์ที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญเป็นแคลเซียม) ในกระดูกน้อยลง ร่วมกับความเสื่อมโทรมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นองค์ประกอบด้านในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้หลายครั้ง เช่น ข้อมือ สะโพก รวมทั้งสันหลัง  ส่วนคำอธิบายศัพท์ของภาวการณ์กระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ต่ำลงซึ่งส่งผลให้กระดูกบอบบาง รวมทั้งมีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นเกณฑ์สำหรับเพื่อการวินิจฉัยสภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 โดยเทียบเทียงค่า BMD ของคนป่วยกับของวัยหนุ่มวัยสาวที่มีร่างกายแข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นมาตรฐาน ผู้ที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำยิ่งกว่า -2.5 วินิจฉัยว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ในตอนที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 นับว่ามีภาวการณ์กระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้สูงวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและก็คนวัยหนุ่มสาว นอกจากในเรื่องที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยผู้หญิงได้โอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงจำนวนร้อยละ 30-40 ขณะที่ผู้ชายได้โอกาสร้อยละ 13 โดย สตรีช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดเมนส์ กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังมีต้นเหตุจากความเสื่อมโทรมตามวัยซึ่งเจอได้ทั้งในผู้ชายและสตรี  และก็เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรก(การหักของกระดูกต่างๆยกตัวอย่างเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนจำนวนมากไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันทีทันควันกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะกระดูกสะโพก)
                จากการคาดประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้ป่วยเพราะเหตุว่ากระดูกบั้นท้ายหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 1990 ที่มีปริมาณผู้ป่วยเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เนื่องจากว่าสภาวะกระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีภาวการณ์กระดูกพรุนที่จะมากขึ้นอย่างรวดเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกรุ๊ปทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในจำนวนมวลชน
กระดูกสะโพกหักทั่วทั้งโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและก็ในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะราษฎรผู้เจ็บป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงปริมาณร้อยละ 50 ของประชาชนโลกทั้งหมดทั้งปวง
สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไร้การศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่ว่าจากสถิติปริมาณประชาชนคนแก่ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในคนที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยเจอภาวะกระดูกพรุนบริเวณสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในเพศหญิงวัยหมดระดูที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อมวลชน 1 แสนรายต่อปี
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน และก็แคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา พูดอีกนัยหนึ่ง ในเวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและก็ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ปกติในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราว ๓๐-๓๕ ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีตอนหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนจำพวกนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว จนถึงเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่ๆยังไม่ทราบ แต่ในพื้นฐานพบว่ามีต้นเหตุจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และเซลล์ซึมซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรจะมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลกำเนิดได้จากหลายสาเหตุคือ

  • อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆก็เลยเสื่อมลงรวมถึงเซลล์สร้างกระดูก การผลิตกระดูกจึงลดน้อยลง แม้กระนั้นเซลล์ทำลายกระดูกยังทำงานได้ตามปกติหรือบางทีอาจทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนแล้วก็บอบบางลง ส่วนในผู้ชายจะมีความเสี่ยงกำเนิโรคกระดูกพรุน[/url]เมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
  • กรรมพันธุ์ - ผู้ที่มีญาติสนิทสนมทางเชื้อสายที่มีประวัติป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับพันธุกรรมโรคดังที่กล่าวถึงมาแล้วไปด้วย
  • ความแตกต่างจากปกติสำหรับในการดำเนินการของต่อมรวมทั้งอวัยวะต่างๆ- ดังเช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตแล้วก็ตับทำงานแตกต่างจากปกติ
  • โรคแล้วก็การเจ็บป่วย - คนเจ็บที่มีสภาวะกระดูกพรุนอาจเป็นเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆตัวอย่างเช่น โรคที่เกี่ยวโยงกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความเปลี่ยนไปจากปกติทางการกิน โรคภูมิแพ้ตนเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
  • การบริโภค - ทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่พอต่อความจำเป็นของร่างกายสำหรับการสร้างกระดูกและการเติบโต กินอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างอาหารชนิดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และก็สูบบุหรี่
  • การใช้ยา - ผู้ที่ป่วยแล้วก็จำต้องรักษาด้วยการใช้ยาบางประเภทต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ เช่น กรุ๊ปยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน ด้วยเหตุว่าตัวยาบางจำพวกจะออกฤทธิ์ไปรบกวนขั้นตอนการสร้างกระดูก ยกตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
  • การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในอิริยาบถท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน หรือการขาดการออกกำลังกายอย่างพอเพียง

อาการโรคกระดูกพรุน จำนวนมากชอบไม่มีอาการแสดง จนกว่ากำเนิดไม่ดีเหมือนปกติขององค์ประกอบกระดูก เป็นต้นว่า ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (ด้วยเหตุว่ากระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงลดน้อยลงจากเดิม (ด้วยเหตุว่าการหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว เป็นต้น) ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ
ทั้งผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักพบชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยยิ่งไปกว่านั้นกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ ซึ่งส่งผลเสียต่อการ
สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศชาติแล้วก็คุณภาพชีวิตของคนเจ็บ และก็โดยส่วนใหญ่จะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนถึงตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นชนกับพื้น เป็นต้น
ขั้นตอนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากภาวการณ์กระดูกพรุนโดยมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้แก่ ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจรวมทั้งวิเคราะห์การสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะเกิดการหักของกระดูกก็เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากความเป็นมาอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย แล้วก็จะทำวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศและอายุช่วงเดียวกัน ถ้าเกิดกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

  • กระดูกธรรมดา (Normal bone)เป็นกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในตอน 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าถัวเฉลี่ย (-1 SD)
  • กระดูกบาง (Osteopenia)เป็นกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าถัวเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ กระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำกว่า -2.5 SD)
  • กระดูกพรุนอย่างรุนแรง (Severe or Established osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยมากกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก

การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องถูกต้องที่สุดสำหรับเพื่อการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแต่จำนวนร้อยละ  1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มแนวทางการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยหมอจะมีแนวทางการดูแลและรักษาผู้ที่มีสภาวะกระดุพรุน ดังนี้

  • สำหรับผู้เจ็บป่วยที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน หมอจะให้กินแคลเซียม ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต ครั้งละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มก. วันละ ๒ ครั้ง รวมทั้งอาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มิลลิกรัม ร่วมด้วยในรายที่อยู่แต่ว่าในร่ม (มิได้รับแสงแดด) ตลอดเวลา
  • สำหรับหญิงหลังวัยหมดระดู หมอบางทีอาจพิเคราะห์ให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนชดเชย ยกตัวอย่างเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อเชิงพาณิชย์ อย่างเช่น Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มิลลิกรัม หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มิลลิกรัม วันละครั้ง ในรายที่มีสิ่งที่ห้ามใช้หรือมีผลข้างๆมากมาย อาจให้ราล็อกสิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มิลลิกรัม ยานี้ออกฤทธิ์เหมือนเอสโทรเจน แม้กระนั้นส่งผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • สำหรับผู้ชายชราที่มีภาวการณ์ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย บางทีอาจจะต้องให้ฮอร์โมนจำพวกนี้เสริม
นอกจากนั้น อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้ง/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มอีกแก่ผู้ป่วยบางราย ยกตัวอย่างเช่น

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มิลลิกรัม ให้รับประทานวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มก. สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก แล้วก็เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก คุ้มครองป้องกันการแตกหักของกระดูกสันหลังรวมทั้งบั้นท้าย เหมาะสำหรับผู้ป่วยชาย ผู้เจ็บป่วยหญิงที่มิได้รับฮอร์โมนชดเชย รวมทั้งใช้ปกป้องภาวการณ์กระดูกพรุนในผู้ที่จำเป็นต้องรับประทานยาสตีรอยด์นานๆ
  • แคลซิโทนิน (calcitonin) มีอีกทั้งชนิดพ่นจมูกและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก รวมทั้งมีคุณประโยชน์สำหรับในการใช้ลดอาการปวด เพราะว่าการแตกหักรวมทั้งยุบของกระดูกสันหลังอีกด้วย

คนป่วยจำต้องใช้ยาเสมอๆ แพทย์จะนัดหมายมาตรวจเป็นระยะ อาจจำต้องกระทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมแล้วก็ปากมดลูก (สำหรับผู้ที่รับประทานเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา อาทิเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด แนวทางการทำกายภาพบำบัด เป็นต้น
ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนประเภททุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมเพียงกัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคกระดูกพรุนนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอยู่ 2 จำพวกเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ แล้วก็ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายปัจจัยก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน รวมทั้งจะได้โอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูกพรุน
ต้นเหตุที่ปรับปรุงไม่ได้            ต้นสายปลายเหตุที่ปรับแก้ได้

  • อายุ(คนชรา 65 ปีขึ้นไป)
  • เพศ (หญิง)
  • เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
  • กรรมพันธุ์ (ประวัติคนในครอบคัวโดยยิ่งไปกว่านั้นคุณแม่)
  • รูปร่างเล็ก ซูบผอม บาง
  • หมดประจำเดือน ก่อนอายุ 45
  • มีพยาธิสภาพที่จำเป็นต้องผ่าตัดเอารับไขทั้ง 2 ข้างออกก่อนหมดเมนส์
  • เคยกระดูกหักจากสภาวะกระดูกเปราะบาง •             ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
  • หมดระดู
  • กินแคลเซียมน้อย บริโภคเกลือสมุทรและเนื้อสัตว์สูง
  • สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดื่มกาแฟ
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ได้รับยาบางจำพวก ได้แก่ glucocorticosteroids และก็ thyroid hormone เป็นต้น
  • เป็นโรคบางชนิด ได้แก่ chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , แล้วก็ Cushing’s syndrome เป็นต้น
  • มี BMI (ดัชนีมวลกาย)ต่ำลงยิ่งกว่า 19 กิโล/ตารางเมตร

การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีเหตุมาจากกลไกการย่อยสลายของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีเยอะมากหลายกรณี แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน

  • กินวิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร หรือยาต่างๆตามแพทย์ชี้แนะ
  • การกินของกินมีสาระ 5 หมู่ครบถ้วนทุกวันในจำนวนเหมาะสมที่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำพอควรกับสุขภาพ
  • เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้
  • ไปพบหมอดังที่หมอนัดหมายเสมอๆ
  • หมั่นดูแลความเรียบร้อยในบ้าน รวมถึงไม่วางของขวางตามทางเดินที่อาจทำให้ลื่นล้มหรือมีการกระแทกจนกระทั่งทำให้กระดูกหักได้
การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคกระดูกพรุน

  • คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนตามที่กล่าวมา ควรขอคำแนะนำหมอเพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน เป็นต้นว่า หญิงวัยหมดประจำเดือน, คนแก่, คนที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆ, ผู้ที่มีโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น
  • รับประทานแคลเซียมให้พอเพียงแต่ละวันให้พอเพียงต่อสิ่งที่ต้องการของร่างกาย(ดังตารางดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น)

อายุปริมาณแคลเซียมที่ต้องการ (mg/day)
แรกเกิด – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
เพศชาย
25 ปี – 65 ปี
มากกว่า 65 ปี
ผู้หญิง
25 ปี – 50 ปี
มากยิ่งกว่า 50 ปี (หลังวัยหมดประจำเดือน)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
ปริมาณแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day)
  -ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen
  - ไม่ได้รับการรักษาด้วย estrogen
อายุมากกว่า 65 ปี
ระหว่ามีครรภ์ หรือให้นมลูก            1000
1500
1500
1200-1500
โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาทิเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (ตัวอย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (เป็นต้นว่า คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
ทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่รวมทั้งผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมปริมาณร้อยละ 50 ของจำนวนที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ
ผู้ใหญ่บางคนที่มีความจำกัดสำหรับเพื่อการดื่มนม (ได้แก่ มีสภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากเพิ่มขึ้น

  • ออกกำลังกายเสมอๆ โดยเฉพาะการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต่อต้านน้ำหนัก (weight bearing) ดังเช่นว่า การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ ฯลฯ ร่วมกับการกีฬายกน้ำหนัก จะช่วยให้มีมวลกระดูกมากขึ้น แล้วก็กระดูกมีความแข็งแรง อีกทั้งแขน ขา รวมทั้งกระดูกสันหลัง
  • รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้น้อยกว่ามาตรฐาน (ผอมเกินไป) เพราะคนซูบผอมจะมีมวลกระดูกน้อย มีโอกาสเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
  • รับแสงอาทิตย์ ช่วยทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็ความสงบกระตุ้นการผลิตกระดูก ในบ้านพวกเราคนส่วนมากจะได้รับแสงอาทิตย์พอเพียงอยู่แล้ว นอกเหนือจากในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดระยะเวลา ก็ควรจะออกไปรับแสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าหากอยู่แม้กระนั้นในที่ร่ม ไม่ถูกแสงอาทิตย์ อาจต้องกินวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มก.
  • เลี่ยงความประพฤติปฏิบัติที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน ตัวอย่างเช่น
  • ไม่กินอาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะว่าของกินเหล่านี้จะทำการกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางเยี่ยวมากเกินปกติ
  • ไม่กินอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากเกลือโซเดียมจะทำให้ไส้ซึมซับแคลเซียมได้น้อยลง แล้วก็เพิ่มการขับแคลเซียมทางไตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก เพราะเหตุว่ากรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมทำให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • หลบหลีกการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในจำนวนมาก ด้วยเหตุว่าแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในเครื่องดื่มกลุ่มนี้จะขวางการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่สมควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเทียบเท่าแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
  • งดเว้นการสูบบุหรี่ เพราะเหตุว่ายาสูบกระตุ้นให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากยิ่งขึ้น (เพราะเหตุว่าลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
  • ระวังการใช้ยาบางประเภท เป็นต้นว่า ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย
  • รักษาโรคหรือสภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน ดังเช่น ต่อมไทรอยด์ดำเนินการเกิน โรคลุกชชิง
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่สมัยก่อน ในพระหนังสือสรรพลักษณะ พูดถึงคุณประโยชน์ของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งปวงแล" ในตำราเรียนแพทย์แผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า "เพชรสังฆาต" มีสรรพคุณ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ท้องถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
เดี๋ยวนี้ได้มีงานศึกษาวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก รวมทั้งสารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารมิววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนสมานกระดูก นอกจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงแปลงเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักและก็มีความยืดหยุ่นในตัวเอง
ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. สกุล Convlvulaceae ในประเทศจีนรวมทั้งบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin รวมทั้ง kaempferol เมื่อเอามาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวชี้สำหรับการเพิ่มการสร้างเซลล์กระดูกของเซลล์เริ่ม รวมทั้งสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าวข้างต้น นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol แล้วก็ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านของการกระตุ้น ER จะมีเพียงสาร quercetin และ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen ประเภท ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่รอบๆกระดูก ไขมัน หัวใจรวมทั้งหลอดเลือด แม้กระนั้นออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่รอบๆเต้านมและก็มดลูก
ยิ่งกว่านั้นสาร quercetin และก็ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวกับการผลิตกระดูก เหมือนกันกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเมล็ดฝอยทองคำมีคุณภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และสารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกเป็น kaempferol และ hyperoside
เอกสารอ้างอิง

  • สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
  • Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ