เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง  (อ่าน 57 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
praiprai9989
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 52


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2018, 06:45:24 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
เพก[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (วัวราช,เลย,ภาคอีสาน) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุเอ็ง ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
ตระกูล             Bignoniaceae
บ้านเกิดเมืองนอน เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งเจอในอินเดียแล้วก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารเจอได้หลายประเทศ อาทิเช่น ประเทศอินเดีย เมียนมาร์ ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย รวมทั้ง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะเจอเพกาตามป่าเบญจพรรณ รวมทั้งป่าชื้นทั่วๆไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถเจอเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ดีสำหรับเพื่อการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนไทยแค่นั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่พบข้อมูลสำหรับการเอามาบริโภคเป็นของกินอะไร
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลางและก็เป็นไม้ กึ่งผลัดใบหรือเปล่าผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราว 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่ตรงกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกลุ่มตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระเกะระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม รวมทั้งแผลของใบยาวถึง 150 ซม. มีต้นเหตุจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้นแล้วก็กิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายอยู่ทั่วๆไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดร่วงของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่ปนวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆข้างล่าง ท้องใบนวล ก้านใบบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกึ่งกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบข้างล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดเป็นรูปสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานแล้วก็ที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกลุ่ม มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 ซม. กลีบดอกไม้สีนวลแกมเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงภายนอก หลอดกลีบยาว 2-4 เซนติเมตร รูปแตร กลีบดอกไม้ครึ้ม ขอบร่น ไม่มีพู หรือพูแตกต่างกัน มีต่อมกระจายอยู่ภายนอก ภายในมีขนหนาแน่น ดอกบานตอนค่ำ มีกลิ่นสาบฉุน และก็หล่นช่วงเช้า ชอบมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ชิดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างเด่นชัด เมื่อได้ผล กลีบเลี้ยงนี้จะรุ่งโรจน์เป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งบางส่วนที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ เหมือนรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 ซม. ยาว 30-120 ซม. สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปกระบี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ด้าน เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 เซนติเมตร มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยทำให้เม็ดลอยละล่องตามแรงลมให้ตกห่างต้นเพื่อเพาะพันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถเพาะพันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด  โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เพราะว่าภายหลังฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ตอนหนึ่ง หากนำเม็ดมาเพาะในช่วงหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ดังนั้น ก็เลยทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อให้ย้ายต้นลงปลูกเอาไว้ภายในแปลงได้สบาย โดยนำเมล็ดออกจากฝัก รวมทั้งตากแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อไปค่อยนำมาเพาะ  สำหรับวัสดุเพาะ ควรใช้ดินผสมกับวัสดุอินทรีย์ เป็นต้นว่า ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก แล้วก็แกลบดำ แม้กระนั้นแม้ไม่สบายให้ใช้เพียงแต่ปุ๋ยมูลสัตว์สิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนบรรจุลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเมล็ดลงกลบ และก็รดน้ำให้เปียกแฉะ พร้อมกับดูแลด้วยการรดน้ำบ่อยๆทุกวัน ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้ง จวบจนกระทั่งต้นจะผลิออก รวมทั้งแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกในแปลง  การปลูกเพกานิยมนำมาปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดโดยประมาณ 30 ซม. ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนจะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยหมักราว 3-5 กำ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 จับมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก
องค์ประกอบทางเคมี
ในฝักพบสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดเจอสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเม็ดเจอสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบพบสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นพบสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของด้วยเหตุว่านั้นมีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มก. วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมและวิตามินบี3 2.4 มิลลิกรัม  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มก. วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ผลดี/สรรพคุณ  ประโยชน์ของเพกานั้นส่วนมากนิยมเอามารับประทานเป็นของกิน ดังเช่น ฝักอ่อน อายุฝักราวๆ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักพื้นเมืองที่นิยมเอามากินด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก เมนูลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆทั้งนี้ การปิ้งไฟ นิยมปิ้งไฟจากเตาถ่าน แต่อาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และอ่อนตัวจนไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ จากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นกิน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ราษฎรนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ รวมทั้งเมนูลาบต่างๆรวมถึงนำมาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ดังนี้ ใบอ่อน และยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานมากสักเท่าไรนัก เนื่องจากว่าจำเป็นจะต้องให้ยอดเติบโต รวมทั้งติด ดอกบานนิยมนำมาลวกเท่านั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม รวมทั้งให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และก็ยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด แล้วก็ชอบใช้สำหรับกินคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้คุณประโยชน์อื่นๆนั้น เป็นต้นว่า แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ทั้งนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ในรูปไม้สด ด้วยเหตุว่าแก่นไม้สดค่อนข้างจะแห้งอยู่แล้ว แล้วก็เผาในรูปขอนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายดายกว่า แม้กระนั้นปัจจุบัน ไม่ค่อยนิยมแล้ว เนื่องจากว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น และก็หันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง แล้วก็ส่งออกต่างชาติเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ ยิ่งไปกว่านี้ชาวเขายังคงใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกนั้นเพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังต่อไปนี้  ตำรายาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำ แก้ไอและขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสลด เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน หิวน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในหิวน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำกินแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และก็ขมน้อย เป็นยารักษาแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงเลือด แก้เสลดจุกคอ ขับเสมหะ แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมน้อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยอาหาร เจริญอาหาร   แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาอีกทั้ง 5    คือการใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณสมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด
[url=http://www.disthai.com/16941195/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B2]
[/b]
แบบอย่าง/ขนาดการใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำ แล้วก็ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทารอบๆฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับสุรา     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กรูปแบบเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นเรียกตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟมิได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือสินเธาว์    รับประทานขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้คลื่นไส้ไม่หยุด    รับประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสมหะ) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
นอกจากนั้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบมัน รากหญ้าติดอยู่ รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำกินครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ยามเช้าและก็เย็น  ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ และก็ขับเสมหะโดยใช้เมล็ดแก่เพกาโดยประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ด้านในหม้อที่เติมน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆกระทั่งเดือดราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว เช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น จวบจนกระทั่งอาการจะ  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย ต้นหญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันอย่างละเอียด แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด ใช้ขนไก่ชุบพิง นำมาทาลูกอัณฑะ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้บวมด้วย dextran และก็จะมีผลลดบวมเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน รวมทั้งฮีสตามีน แต่ว่าไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
           จากการเรียนรู้ฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยับยั้งสารในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบ คือ PGE2 รวมทั้ง NF-kB แล้วก็ยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการขัดขวางกรรมวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น แล้วก็รากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase แล้วก็พบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกาก็มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เช่นเดียวกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับในการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ  นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียและแก้ท้องร่วงสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น รวมทั้งรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์เป็นต้นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa รวมทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราCandida albicans แล้วก็เจอสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis และ S. aureus ได้เท่ากันกับยา streptomycin  สารสกัดเพกาต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC เท่ากับ 125 มิลลิกรัม/มล.) แต่มีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC เท่ากับ 15.13 มก./มิลลิลิตร) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และก็ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ และก็ใช้บรรเทาอาการท้องเสียที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง แล้วก็มีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกเหนือจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอุจจาระร่วง 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบ คือ Bacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และ แบคทีเรียที่แยกได้จากอาหาร ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดียิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และก็สารสกัดของสมุนไพรคนเดียวแต่ละชนิดที่เป็นองค์ประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้าม  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อทำทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine และก็ histamine
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับเพื่อการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH รวมทั้งยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มล. ของสารทั้ง 2 ตามลำดับ
ฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง การศึกษาเล่าเรียนทดลองสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับการต้านเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยั้งเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดสอบกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กิโลกรัม มีกล่าวว่าส่งผลให้เกิดพิษ Dhar รวมทั้งแผนก ทำการทดสอบฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) เข้าท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose)หมายถึง100 มก./กิโลกรัม และก็ 1 กรัม/กิโลกรัม เป็นลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำทดสอบความเป็นพิษทันควันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าท้องแล้วก็กรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษฉับพลันในหนู และก็เมื่อทดสอบความเป็นพิษกะทันหันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้นเป็น400 และก็ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ก่อให้เกิดพิษฉับพลันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่นำมาซึ่งพิษเฉียบพลันได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กก. สำหรับความเป็นพิษครึ่งกระทันหันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 และ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว แต่ละวันเป็นเวลา 30 วัน  พบว่าไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษรุนแรงในหนู
และก็เมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/โล ครั้งเดียวให้หนูแรท พิจารณาการกระทำด้านใน 14 วัน ไม่เจอพิษแบบฉับพลันรวมทั้งความเปลี่ยนไปจากปกติของอวัยวะภายใน และเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 รวมทั้ง 4 กรัม/กิโล/วัน แก่สัตว์ทดลองติดต่อกันตรงเวลา 90 วันไม่เจอพิษแบบครึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความผิดปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และก็ทางชีวเคมี รวมทั้งความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และก็ยาเขียว (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดสอบความเป็นพิษแบบกะทันหันในสัตว์ทดสอบ
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยแนวทาง Ames’ test จากผลการทดสอบพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำงานทดลอง (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 แล้วก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะในการทำให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี และก็คณะ พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดลองโดยวิธี Ames’ test
การคาดการณ์ความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยแนวทาง somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถนำมาซึ่ง somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีปริมาณจุดบนปีกลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และก็มีรายงานว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาวะโอบล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดสอบการกลายพันธุ์ พบว่าสินค้าที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกินฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจก่อให้แท้งลูกได้
  • ต้องระวังสำหรับการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต่อต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ได้แก่ แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจก่อให้เกิดผลข้างๆได้ อาทิเช่น เกิดการระคายกระเพาะอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/[/b]
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ประสานงาน การพัฒนาการแพทย์และเภส



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ