รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้  (อ่าน 31 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2018, 06:19:06 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
รางจื[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  ยาเขียว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกลาง) , รางจืด , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (ปัตตานี) , น้ำขัง (จังหวัดสระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (ยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (จังหวัดเพชรบูรณ์) จอลอดิเอ้อ , ซั้งถะ ,พอเพียงหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ  Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์    Acanthaceae
ถิ่นเกิด ยาเขียวเป็นพืชเถาในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ยกตัวอย่างเช่น ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา เมียนมาร์ ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และก็ไตหวัน ในประเทศไทยพบได้บ่อยตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วๆไป ในทุกภาคของประเทศ รวมทั้งเป็นพืชที่มักจะเจริญวัยได้เร็วมาก แม้กระนั้นตอนนี้นิยมนำมาปลูกตามบ้านที่พักทั่วๆไป เพราะว่ามีการศึกษาค้นคว้าออกมาว่าสามารถกำจัด/ล้างสารพิษในร่างกายได้
ลักษณะทั่วไป
ต้นยาเขียวเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพิงพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆได้ทั้งต้น เถามีลักษณะกลม ดังเช่นว่า ข้อข้อ สีเขียว เป็นเงา เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลมากเพิ่มขึ้น และยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบลำพังสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงกันข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะเหมือนใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 ซม. (เซนติเมตร) ยาว 8-15 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน  ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4  ดอก กลีบดอกไม้แผ่ขยายออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 ซม. มักมีน้ำหวานใส่อยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงแกมสีน้ำเงิน ผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1 เซนติเมตร เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ส่วน จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-กุมพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกบางทีอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ด้าน เม็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆคล้ายหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด รวมทั้งสามารถนำไปเพาะแพร่พันธุ์ต่อไปได้
การขยายพันธุ์
รางจืดสามารถแพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดหรือปักชำ สำหรับในการปักชำจะใช้กิ่งชนิดที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งพันธุ์แก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 ซม. โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาขั้นต่ำ 1-2 ตา และก็หลังจากนั้นจึงค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้เปียกจนถึงรากแตกออกแล้วจากนั้นจึงค่อยนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกต่อไป หรือปักชำลงดินรอบๆที่อยากปลูก รวมทั้งรดน้ำบ่อย 1-2 ครั้ง/วัน กระทั่งกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน
สำหรับเพื่อการปลูกจากการเพาะเมล็ดนั้น ถือเป็นวิธีที่สามารถได้ต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากจะได้ต้นซึ่งสามารถแตกกิ่งกิ้งก้านได้มาก กิ่งแขนงยาวได้หลายเมตร รวมทั้งลำต้นมีอายุนานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่ว่าการขยายพันธุ์ยาเขียวส่วนมากชอบนิยมใช้กระบวนการปักชำมากกว่า เพราะว่าจังหวะสำหรับการงอกมีมากยิ่งกว่า แล้วก็ใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปลูกยาเขียวนั้นมีดังนี้  นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเม็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกโดยประมาณ 1x1 ฟุต แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักโดยประมาณ 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินนิดหน่อย วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกึ่งกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้ชุ่ม ควรจะปลูกขอบรั้วหรือกำแพงเพื่อเถายาเขียวสามารถยึดเกาะแล้วก็เลื้อยพิงไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถรางจืด
เกาะเลื้อย  รางจืดเป็นไม้ที่สามารถเจริญได้ดีในดินเกือบทุกประเภท รวมทั้งเป็นไม้ที่อยากได้แดดปานกลางเป็นไม่ได้อยากแดดที่จัดมากจนเกินความจำเป็น แล้วก็มีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะแรกปลูกจำต้องรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดระยะเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในรุ่งเช้า ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยธรรมชาติ ใส่บริเวณโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการพรวนดินโคนต้นให้ร่วนเสียก่อนจึงให้ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบยาเขียว  สำหรับใบยาเขียวที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรเก็บจากต้นที่แก่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป และก็ให้ทยอยเก็บจากใบข้างล่างบริเวณโคนกิ่งก่อน และก็ค่อยเก็บไปจนกระทั่งกลางกิ่ง ไม่ควรเก็บให้ถึงรอบๆปลายกิ่งภายหลังจากเก็บมาแล้ว ถ้าหากไม่ใช้โดยทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปผึ่งแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังไม่ให้โดนน้ำ เพราะเหตุว่าบางทีอาจเกิดเชื้อราได้
ส่วนประกอบทางเคมี ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein – Chlorophyll a Chlorophyll b  Pheophorbide a  Pheophytin a
คุณประโยชน์ / สรรพคุณ
                ยาเขียวจัดเป็นยารสเย็นใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ถอนพิษผิดสำแดง รวมทั้งพิษอื่นๆใช้แก้ร้อนใน หิวน้ำ รักษาโรคโรคหอบหืดเรื้อรัง แล้วก็แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆใช้แก้พิษเบื่อเมาเนื่องจากเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง
                หนังสือเรียนยาไทย: ใบ ราก และเถา รสจืดเย็น ตำคั้น หรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำยาดื่มทำลายพิษ แก้ไข้ ทำลายพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้รอบเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม เถาและก็ใบ กินแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษร้อนต่างๆราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวม แก้แฮงค์ แก้ลักษณะของการปวดหัวมึนหัวอันเนื่องมาจากพิษสุรา ทำลายพิษสุรา พิษหลงเหลือในร่างกาย ใช้รากเข้ายารักษาโรคอักเสบรวมทั้งปอดบวม รากรวมทั้งเถา ใช้รับประทานเป็นยารักษาอาการร้อนในอยากกินน้ำ รักษาพิษร้อนทั้งปวง อีกทั้งต้น รสจืดเย็น ทำลายพิษยาเบื่อเมา หรือใช้ปรุงเป็นยาเขียว ทำลายพิษไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง พิษเบื่อเมาเพราะเหตุว่าเห็ดพิษ สารหนู หรือยากำจัดแมลง แล้วก็พิษทั้งหมด  รักษาหอบหืดเรื้อรัง แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆปรุงยาแก้มะเร็ง หมอยาแผนไทยใช้เพื่อช่วยจับสารพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
           สมุนไพรท้องถิ่นล้านนา: ใช้ ใบและราก ปรุงเป็นยาทำลายพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟเผา ทำลายพิษยาฆ่าแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินความจำเป็น หรือยาเบื่อประเภทต่างๆ(บอกว่ารากยาเขียวมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า))
           ตำรายาท้องถิ่นจังหวัดโคราช: ใช้ ใบ แก้โรคเบาหวาน
           ประเทศมาเลเซีย: ใช้ใบแก้ประจำเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ แก้ปวดบวม
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการทำการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของรางจืดมานานแล้ว ซึ่งมีผลการวิจัย ดังต่อไปนี้

  • พ.ศ. 2521 นักวิจัยจากภาควิชาแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มัธยมมหิดล เป็นกรุ๊ปแรกที่ทดสอบป้อนผงรากยาเขียวให้ตัวทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแต่ว่าพบว่าไม่ได้เรื่อง หนูชักและก็ตาย แต่หากผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แสดงว่าผงรากยาเขียวสามารถดูดซับสารพิษประเภทนี้ไว้
  • พุทธศักราช 2523 คุณครูพระสรัสวดี เตชะเสนและคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบยาเขียวป้อนตัวทดลองที่รับประทานสารกำจัดศัตรูพืช“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือเพียง 5% แค่นั้น เวลาที่แนวทางการฉีดกลับไม่ได้เรื่อง
  • พ.ศ. 2551 สุชาสินี หนังเหนียวธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบรางจืดป้อนหนูทดลองที่ได้รับยากำจัดศัตรูพืชกรุ๊ปออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยชีวิตได้ 30%
  • พ.ศ. 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวงกลมลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใบรางจืดช่วยป้องกันการถึงแก่กรรมของเซลล์ประสาทของตัวทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว จึงสามารถป้องกันสูญเสียการเรียนรู้และความจำได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง

มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใบยาเขียวสามารถคุ้มครองป้องกันตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดพิษในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของคนที่ได้รับพิษ พุทธศักราช 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบยาเขียวน่าจะมีผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พ.ศ. 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงมือณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำรางจืดแสดงฤทธิ์ดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งยังในหลอดทดลองแล้วก็ในหนูทดลอง  แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบรางจืดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย
นอกนั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากยาเขียวอีกดังเช่น ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงรับประทาน ก็ทำเป็นอย่างกับผักพื้นเมืองปกติ นอกเหนือจากนั้นเด็กๆตามต่างจังหวัดยังนิยมดื่มน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่มีอันตรายใดๆแม้กระนั้นอย่างไรก็ตาม การกินยาเขียวในจำนวนต่อเนื่องกันโดยตลอด บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของเลือดวิทยาหรือเคมีสถานพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ชายาเขียว ใบรางจืดสามารถเอามาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ และยังมีกลิ่นหอมสดชื่นรวมถึงยังช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย  ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรยาเขียวมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลรางจืดหรือรางจืดแคปซูล เพื่อความสะดวกรวมทั้งง่ายต่อการใช้ประโยชน์  ดอกรางจืด นำมาบดอย่างรอบคอบผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำของหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามจำพวกสีของดอก
คนสมัยเก่ามีความคิดกันว่า การกินน้ำต้มจากรางจืดสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่ผู้อื่นทำแก่ตนได้  ใบรางจืดตากแห้งแล้ว นำมาบดให้รอบคอบ ใช้ผสมในอาหารสัตว์ เป็นต้นว่า ของกินหมู อาหารไก่ ฯลฯ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อโรค และช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอดสูงขึ้นหลังจากที่ได้รับเชื้อโรค

ต้นแบบ/ขนาดการใช้ สำหรับเพื่อการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ นำมาตำกระทั่งละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวประมาณครึ่งแก้ว ส่วนการใช้คุณประโยชน์จากรากยาเขียวสำหรับการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้เอามาฝนหรือนำมาตำกับน้ำแช่ข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ รวมทั้งบางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องใช้ซ้ำอีกด้านในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเหมือนกับการใช้ใบยาเขียว  หรือใช้ใบยาเขียวทำเป็นชาแล้วรับประทานครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 ครั้งก่อนของกินหรือเมื่อมีอาการ รักษาโรคโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบยาเขียวประมาณ 58 ใบ มาโขลกอย่างรอบคอบแล้วผสมกับน้ำแช่ข้าวกินทีละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาปริมาณยาว 10 เซนติเมตร ต้มในน้ำราว 10 ลิตร อาบทุกวี่วัน ประมาณ 5-7 วัน  แก้เมื่อย โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่สุราดื่มทุกส่วนนำมาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ยับยั้งอาการปวด ลดอาการบวม แล้วก็กำจัดพิษจากสัตว์ต่อย อาทิเช่น งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล           ทุกส่วนออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการดูแลและรักษาแผล ดังเช่น รักษาเชื้อไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำบางส่วน ก่อนนำไปประคบบริเวณรอยแผลเริม  ทุกส่วนนำมาบดผสมน้ำน้อย ก่อนเอามาประคบหรือทาแผลสด แผลเป็นหนอง ซึ่งจะช่วยให้แผลแห้งเร็ว ลดการตำหนิดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล  ทุกส่วนเอามาต้มน้ำหรือคั้นน้ำสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน และช่วยทุเลาอาการหิวน้ำ  น้ำต้มจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆสำหรับรักษา และทุเลาอาการท้องเสียหรือของกินเป็นพิษ
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา  มีรายงานวิจัยในสัตว์ทดสอบพบว่า สารสกัดน้ำจากใบรางจืด ขนาด 2 และ 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม แล้วก็ขนาด 3.5 ก./กิโลกรัม ส่งผลลดพิษจากสารกำจัดแมลงในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยทำให้อัตราการตายลดน้อยลง  รวมทั้งยังมีมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับการขับยาฆ่าแมลงออกมาจากร่างกาย พบว่ายาเขียวจะทำลายพิษก้าวหน้า โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษที่เกิดขึ้นจากยาฆ่าแมลง ”โฟลิดอล” และพิษออกฤทธิ์เกี่ยวโยงกับลักษณะการทำงานของ Cholinergic system โดยการเล่าเรียนในเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงและก็ตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงภายในร่างกาย จำนวน 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครกินชายาเขียวขนาด 8 ก./วันหรือยาหลอก นาน 224 ชั่วโมง พบว่าขนาดยาฆ่าแมลงในเลือดของอาสามัครที่ได้รับยาเขียวลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังในวันที่ 7, 14 รวมทั้ง 21 ของการทดสอบ รวมทั้งจากการศึกษาของดวงรัตน์และก็แผนก พบว่าโดยรางจืดส่งผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับสารกำจัดแมลง
สาขาวิชาสรีรวิทยา ภาควิชาแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัขั้นรีนครินทรำไพโรฒ จึงได้เล่าเรียนฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับยาเสพติดแอมเฟทามีน รวมทั้งโคเคน โดยปกติเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากมายในช่วงเวลาที่คนเจ็บได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในคนไข้ ที่เข้ารับการดูแลรักษา/บรรเทาสารเสพติด ที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืด อาจกำเนิดความอิงพอใจเช่นเดียวกับการรับยาเสพติด ถ้าหากนำไปใช้สำหรับในการรักษาผู้เจ็บป่วยจะก่อให้คนป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก ก็เลยบางทีอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการดูแลและรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรเห็นผล
คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย ได้วิจัยฤทธิ์ของยาเขียวสำหรับการต่อต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วย ปกป้องการเสียชีวิตของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ อีกทั้งในหลอดทดสอบและในหนูแรตครั้งได้รับแอลกอฮอล์ โดยการทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าแล้วก็สามกลีเซอร์ไรด์ในตับลดน้อยลง แล้วก็ลดความเคลื่อนไหวภาวะทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์สิ่งเดียว
                เหตุเพราะสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และก็เพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase รวมทั้ง aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เรียนรู้ฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดได้ผลลดภาวการณ์ไม่มีชีวิตชีวารวมทั้งทำให้การกระทำที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น แต่ไม่เป็นผลลดความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ ขึ้นรถสกัดราถงจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูด้วยเหตุว่าขาดสุราในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยยิ่งไปกว่านั้นที่รอบๆ  nucleus accumbens และก็ ventral tegmental area
ในหนูโรคเบาหวานที่ได้รับน้ำสุกใบยาเขียวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบยาเขียวสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอกนั้น ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดระดับความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวแห้งส่งผลทำให้ความดันเลือดของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งส่วนใดบางทีอาจผ่าน Cholinergic receptor และก็ทำให้เส้นโลหิตแดงคลายตัว
การใช้สมุนไพรในคนเจ็บเบาหวานและก็ความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการดูแลรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและก็มีการวัดระดับน้ำตาลและก็ระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากว่าการศึกษาเล่าเรียนยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น และต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าวข้างต้น
มีการศึกษาว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ 2 เท่า(ทดสอบด้วยแนวทาง Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรรวมทั้งยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ยังพบว่า สารสกัดยาเขียวในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีพอๆกับสตีรอยด์ครีม
ฤทธิ์สำหรับการต้านทานมะเร็ง มีการเล่าเรียนฤทธิ์ต้านการก่อกลายประเภท กล่าวอีกนัยหนึ่งสารอะไรก็ตามมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีความสามารถสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่ว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการเรียนรู้โดยให้หนูรับประทานสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและก็การผลิตนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และก็มีการแบ่งตัว นั่นเป็นกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าหากให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งรางจืดแบบสดแล้วก็แบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน นับเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของยาเขียว
โดยพบว่าสารออกฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ยกตัวอย่างเช่น caffeic acid และ apigenin และก็สารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ดังเช่นว่า chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และก็ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
สารสกัดน้ำ เอทานอล และอะสิโทน มีฤทธิ์ต่อต้านการก่อกลายชนิด โดยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง เพราะว่าสาร 2-aminoanthracene ได้ปริมาณร้อยละ 87 เมื่อวิเคราะห์ด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 และสามารถเพิ่มรูปแบบการทำงานของเอนไซม์ควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการกำจัดเซลล์ของโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า อีกทั้งยังมีรายงานการดูแลรักษาผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล ช่วงวันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ 2522 โดยมีรายงานว่ามี  คนเจ็บ 4 ราย รับประทานยำไข่แมงดาทะเล อาการขึ้นอยู่กับจำนวนที่ได้รับ ทุกรายมีลักษณะอาการชารอบปาก รวมทั้งอ้วกอาเจียน อาการชาจะลามไปกล้ามเนื้อมัดต่างๆที่เป็นโทษเป็นทำให้หายใจไม่ได้ คนไข้ 2 รายหมดสติ จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ 40 นาที จนถึง 4 ชั่วโมง ข้างหลังรับประทาน ด้วยเหตุว่าพิษของแมงดาทะเล คือเทโทรโดทอกสิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษจะต้องรักษาตามอาการ ภายหลังจากได้น้ำสมุนไพรยาเขียว 50 มล. ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะอาหาร คนไข้เริ่มรู้สึกตัว และอาการดียิ่งขึ้นตามลำดับ หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที คนป่วยอีกรายได้รับการกรอกน้ำรางจืดเหมือนกัน ในขนาด 50 มล. ทุก 1 ชม. 5 ครั้ง ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชั่วโมง ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว และอาการดีขึ้นตามลำดับ
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษทันควันที่ป้อนตัวทดลองครั้งเดียว อีกทั้งขนาดธรรมดาแล้วก็ขนาดสูง ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติใดๆแล้วก็ป้อนต่อเนื่องกัน 28 วัน ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่พบอาการผิดปกติเหมือนกัน แต่ว่าอาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม  ค่าชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงมากขึ้น และ AST สูงขึ้น
          การศึกษาเล่าเรียนพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20  200  1,000  2,000 มก./กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 แล้วก็ 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 6 เดือน พบว่าไม่เป็นผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร พฤติกรรม รวมทั้งสุขภาพทั่วๆไปของหนู อวัยวะภายในระดับมหพยาธิวิทยาและจุลพยาธิยังคงปกติ และไม่นำไปสู่พิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย
มีการศึกษาความเป็นพิษของรางจืดต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากยาเขียวไม่มีผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์อะไร ทั้งยังยังพบว่า สารสกัดจากยาเขียวสามารถต่อต้านการกลายพันธุ์ได้ด้วย
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรคำนึงมี

  • การศึกษาเล่าเรียนกล่าวว่า รากของยาเขียวนั้นจะมีสรรพคุณ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
  • ควรจะใช้อย่างระมัดระวังและไม่ควรใช้ชิดกันเป็นเวลานานเกิน 30 วัน
  • พึงระวังสำหรับการใช้ในคนไข้โรคเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาประเภทอื่นเป็นระยะเวลานานเนื่องด้วยบางทีอาจขับสารเคมี หรือตัวยาภายในร่างกายออก โดยยิ่งไปกว่านั้นคนเจ็บที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • ยาเขียวบางทีอาจให้ผลข้างๆ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดได้โดยเมื่อเกิดอาการแพ้รางจืดก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีผลต่อระบบฟุตบาทหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลว่ามีระดับอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีลักษณะอาการแพ้ไม่มากก็บางทีก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง

  • ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
  • วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
  • ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
  • รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
  • รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย
  • Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
  • ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในการป้องกันการสะสมของสารเคมีกำจัดแมลงในกระแสโลหิตของเกษตรกร ตำบลไผ่ทำโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ