มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 10 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
าร
หัดขับ
*

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 36


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 11:36:45 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
มะขา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ขาม (ภาคใต้) , ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ตะลูบคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
สกุล  Fabaceae
บ้านเกิดเมืองนอน เชื่อกันว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในตอนนี้ แล้วหลังจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ภายในแถบอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียและก็ประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้จะมีหลักฐานว่ามะขามมีบ้านเกิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แม้กระนั้นสำหรับในประเทศไทมะขาม
ก็เข้ามา และมีชื่อเสียงดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏใจความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 ยุคบิดาขุนรามคำแหง ที่เอ๋ยถึงมะขามอยู่หลายที่ ตัวอย่างเช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนใดกันสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังกล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยอาจจะกล่าวว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจัดกระจายประเภทเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งกว่านั้นมะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางและก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงแข็งแรง และฯลฯไม้ที่มีอายุยืนยาวมากมายชนิดหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีรายงานว่าพบมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับคุณครูคงเจ้าวัดวัดแค ว่า
“ทั้งยังพิชัยสงครามล้วนความรู้บางทีอาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกอย่างไปทั้งยังเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะๆเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในปัจจุบัน เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกหัดเสกใบมะขามดีกว่าแตนในครั้งนั้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมากมาย แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.มัธยม มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 เซลเซียสมัธยม กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางเวลาก็เว้าเข้าเล็กน้อย ฐานใบอีกทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มห่อดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดตกไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงอ่อนๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบสีแดงเข้ม ริมกลีบดอกไม้มีรอยย่นๆกลีบดอก 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนบางส่วน ยาว 3-14 เซลเซียสมัธยม กว้าง 2 ซ.มัธยม เปลือกนอกสีเทา ข้างในมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบวาว มีดอกในช่วงพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยธรรมดา มะขามสามารถแพร่พันธุ์จะได้ด้วยเม็ด แต่ปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงนิยมนำมาปลูกจากต้นประเภทที่ได้จากการทำหมัน แล้วก็การเสียบยอดเป็นหลัก เพราะสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงแต่ไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก ทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีการแบบนี้จะมีลำต้นไม่สูงเหมือนการเพาะเม็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดการ และก็การเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง จัดแจงแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน จากนั้น ค่อยไถกลบอีกรอบ แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำการขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 ซม.
  • การปลูก ใช้ต้นประเภทที่ได้จากการทำหมัน หรือการเพาะเมล็ด ควรจะเลือกขนาดต้นพันธุ์ที่สูงประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยธรรมชาติหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือเกิน 25-30 ซม. ก่อนนำต้นพันธุ์ลงปลูก พร้อมกลบดิน และรดน้ำให้เปียกแฉะ จากนั้น ให้นำฟางข้าวมาวางปกคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ หลังจากการปลูกแล้วจะทำให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะเริ่มต้นเพื่อต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้ลดน้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ทั้งนี้ บางทีอาจไม่ให้น้ำเลยแม้เป็นตอนฤดูฝนไม่ต้อง

การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในตอนนี้ตราบจนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อรีบผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยโดยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรจะให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกหนภายหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลได้
                ยิ่งกว่านั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น ตัวอย่างเช่น ประเทศในแถบอเมริกากึ่งกลาง เอเซียอาคเนย์ แล้วก็อาฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยแล้วก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับมะขามเยอะมาก
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเมล็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งบางส่วน  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นมูก  (mucilaginous material) 60% ได้แก่ โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณามององค์ประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกเม็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% รวมทั้งไฟเบอร์ 11.3% โดยที่เมล็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% แล้วก็คาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเม็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) และก็โกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบหมายถึงซิสเทอีนแล้วก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกนั้นเปลือกหุ้มเม็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีรายงานว่าในเปลือกเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้แบ่งแยกได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นขาเตวัวแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) แล้วก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกเหนือจากนี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามจำพวกแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามประเภทอื่นๆมีเม็ดสีพวกแอนทอลแซนติเตียนน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) แล้วก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณปริมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนว่ากล่าวนน้อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น และในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มก.
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มก.
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มก.
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มก.
  • ธาตุโซเดียม 28 มก. Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มก.

ผลดี/สรรพคุณ ประโยช์จากมะขามสิ่งแรกที่พวกเรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยครั้งเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะกินสดๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับประกอบอาหาร มะขามเปียกมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมาก ใช้ทำกับข้าวไทยที่อยากได้รสเปรี้ยว ยกตัวอย่างเช่น แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง และต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกนั้นยังคงใช้สำหรับการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ ได้แก่ น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก รวมทั้งน้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็นำมาเตรียมอาหารได้สิ่งเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำผลิตภัณฑ์แปรรูปได้อีกหลากหลายประเภท ดังเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , แล้วก็ไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , และก็แชมพูมะขาม ฯลฯ  ส่วนผลดีด้านอื่นๆก็มีอีกเช่น แก่นไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าปริมาณร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เนื่องจากมีคุณสมบัติสมควรกว่าไม้อื่นๆเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับของกิน นอกจากยังหาง่ายอละทนอีกด้วย เว้นเสียแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา และดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ แม้นำมาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เม็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นอาหารได้หลายแบบ ตัวอย่างเช่น คั่วให้สุกแล้วกินโดยตรง เอามาเพาะให้งอกก่อน (เหมือนถั่วงอก) และจากนั้นจึงนำไปประกอบอาหาร หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกนั้นเมล็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นของกินรับประทานแก้ร้อนในหน้าร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารแล้วก็ของกินไม่ย่อยในฤดูร้อนลดระดับความดันโลหิต น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยและก็เยี่ยวตรากตรำ น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ และก็มีคุณประโยชน์ในคนเป็นโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกรอบๆหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดลับขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ รวมทั้งแผลหิด ใบแห้งบดเป็นผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง และใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆใช้อาบข้างหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงรวมทั้งแก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , สมานแผล เนื้อห่อหุ้มเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แต่ถ้าเกิดเอาไปต้มกระทั่งสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสลด  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากดื่มน้ำ ทำให้แจ่มใส ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย  แล้วก็เป็นยาฆ่าเชื้อ และให้กินในรายที่ท้องผูกเป็นประจำ แก้พิษสุรา อาหารไม่ย่อย อาเจียน เป็นไข้แล้วก็ท้องร่วง เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเดิน ช่วยสำหรับเพื่อการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่ออาหาร แพ้ท้อง คลื่นไส้อ้วก ท้องผูก เด็กเป็นต้นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษสุรา ขับเสลด ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลกิน  แก้ไข้ ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ ข้างหลังคลอดและหลังฟื้นใช้ ทำให้สดชื่น หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสลด แก้ท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนถึงเป็นเถ้าขาว รับประทานครั้งละ 60-120 มิลลิกรัม และยังใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากล้างคอ แก้คอเจ็บและปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มเม็ดรับประทานทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 แนวทาง คือใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเสีย ท้องเดิน ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลแดงเป็นเงา 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการไม่ดีเหมือนปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ด รับประทานทีละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียรวมทั้งคลื่นไส้รวมทั้งใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำเกลือกระทั่งนิ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มประเภทหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มเติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานรวมทั้งการบูรน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้รวมทั้งอาการอักเสบต่างๆดังเช่น เจ็บป่วย อาหารไม่ย่อย อาการผิดปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องร่วง รวมทั้งใช้แก้ลมแดดเจริญ ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม ตระเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมากิน แก้อาการไม่อยากกินอาหาร (ความสามารถของยาชง จะมากขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและการบูร ช่วยเพิ่มรส) รวมทั้งในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อหุ้มห่อเมล็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเม็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาติเตียนสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากล้างคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยตลอดวัน มะขามแฉะแล้วก็ดินสอพองผสมจนกระทั่งเหมาะ นำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสรวมทั้งสะอาดเพิ่มขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นแล้วก็นมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวสดใส
[/b]
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. แล้วก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ให้ผลยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน ในเวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. ได้ผลยั้งเชื้อดังกล่าวมาแล้วข้างต้นต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% รวมทั้งสารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มิลลิลิตร รวมทั้งสารสกัดน้ำ ไม่กำหนดส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มิลลิลิตร ไม่เป็นผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่น  Bacillus subtilis, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonella typhi แต่สารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบรับประทานพบว่าเปลือกเม็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าจำนวนที่เหมาะสมสำหรับในการบริโภคในไก่ คือ 100 มก.ต่อกิโล โดยซึ่งสามารถลดความเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดสภาวะออกสิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็แล้วแต่การเล่าเรียนอีกฉบับแถลงการณ์ว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่รับประทานเม็ดมะขามดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วพบผลกระทบคือ กินน้ำมากยิ่งขึ้นและก็มีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้วิจัยชี้แนะว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากโพลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การศึกษาทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้รวมทั้งเพศเมียที่กินอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศเมียที่รับประทานอาหารผสมดังที่กล่าวถึงมาแล้วขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักน้อยลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% แล้วก็ 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักลดน้อยลง (weight gain) รวมทั้ง feed conversion ratios ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  มีการเปลี่ยนทางพยาธิภาวะ คือ มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 และก็ 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพร้ายแรงกว่าไก่กรุ๊ปที่ทานอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำลงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กรุ๊ปที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase รวมทั้ง total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol รวมทั้ง total protein จะไม่กลับสู่ภาวะปกติในช่วง 2 อาทิตย์ภายหลังจากขาดอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศเมียและก็เพศผู้กินอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคคาไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 และก็ 12% นาน 2 ปี ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินของกิน ผลทางวิชาชีวเคมีในฉี่รวมทั้งเลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ แล้วก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 กรัม/กก. นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 รวมทั้ง 5% ของของกิน ตรงเวลา 90 วัน ไม่เจอความผิดปกติอะไรก็แล้วแต่ความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน รวมทั้งในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มก./กก./วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แม้กระนั้นสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงไปยังกระเพราะของกินหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และก็สารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงสู่กระเพาะของกินหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กิโลกรัม ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ นำไปสู่การกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ว่าไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 แล้วก็ TA98
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรพิจารณา

  • สำหรับในการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะมะขามสุก)นั้นควรเลือกมะขามที่ไม่มีเชื้อโรครา เพราะอาจทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินไปอาจจะเป็นผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้ดังเช่น ท้องร่วง ท้องร่วง
  • การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลสำหรับเพื่อการรักษา/สรรพคุณของมะขามมากจนเกินไปควรจะบริโภคแม้กระนั้นพอดีและไม่ควรจะบริโภคต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีมีผลการศึกษาที่บ่งชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดน้ำหนักได้ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่ควรใช้มะขามมาลดความอ้วน
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/[/b]
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเทพวิมลโมลี.  ตำรายากล



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ