เหล็กราคาถูก โลหะประเภทเหล็ก จุดมุ่งหมาย เพื่อให้นิสิตมีความเข้าใจกราฟสมดุลของเหล็กราคา

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เหล็กราคาถูก โลหะประเภทเหล็ก จุดมุ่งหมาย เพื่อให้นิสิตมีความเข้าใจกราฟสมดุลของเหล็กราคา  (อ่าน 73 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
iampropostweb
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37259


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2015, 02:22:44 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

โลหะชนิดเหล็ก วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจแผนภูมิสมดุลของเหล็กราคาถูกกับคาร์บอน สามารถ
วิเคราะห์เฟสของเหล็กที่อุณหภูมิต่าง ๆ ได้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับแบบของเหล็กที่จำนวนของคาร์บอนต่างกัน ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับโลหะประเภทเหล็กและการอบชุบเหล็กกล้า
 
โลหะในพวกเหล็ก โลหะในกลุ่มเหล็กเป็นโลหะที่นิยมใช้กันมาก เพราะหาซื้อได้ง่าย ราคาถูก มีกำลังอุปกรณ์อยู่ในมาตรฐานสูง เหมาะกับการใช้งานด้านวิศวกรรมทั่วๆ ไป สามารถแก้ไขคุณสมบัติเชิงกลได้ด้วยการอบชุบความร้อน ในสมัยนี้วัสดุหลายแบบ เช่น โลหะผสมนอกกลุ่มเหล็ก เซรามิคและพอลีเมอร์ ซึ่งสามารถนำมาใช้ทดแทนเหล็กราคาถูกได้เพราะมีคุณสมบัติเท่าเทียมกันหรือดีกว่า แต่โลหะในกลุ่มเหล็กยังคงได้รับความชื่นชอบใช้งานกันมากกว่า เนื่องจากราคาค่อนข้างถูกกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ

  • อันญรูปของเหล็ก
    สภาพอันยรูป คือสภาพที่ธาตุหนึ่งสามารถมีรูปร่างผลึกได้หลายแบบ แต่ละแบบเรียกว่า อันยรูป คุณลักษณะทางกายภาพของอันยรูปหนึ่งจะแปลกจากของอีกอันยรูปหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าสรรพคุณทางเคมีจะเหมือนกัน สภาพอันยรูปนั้นจะขึ้นอยู่การเรียงตัวของอะตอม ซึ่งจะมีการเรียงตัวต่างกันไปตามระดับของอุณหภูมิต่าง ๆ เหล็กราคาถูกบริสุทธิ์ มีการเปลี่ยนแปลงรูปฟอร์ม 4 ลักษณะที่ระดับอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้เกิดฟอร์มที่เรียกว่า เหล็กอัลฟา , เหล็กเบต้า , เหล็กแกมมา , และเหล็กเดลต้า ใน 4 ฟอร์มนี้ , และ มีเค้าโครงผลึกที่เหมือนกันคือ ส่วนฟอร์ม จะมีโครงสร้างผลึกเป็น Face Centered Cubic (fcc) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าเหล็กบริสุทธิ์มีอันยรูปอยู่ 2 แบบ คือ bcc และ fcc เหล็กอัลฟานี้บางทีเรียก เหล็กเฟอร์ไรท์ และเหล็กแกมมาบางทีก็เรียกว่าเหล็กออสเตนไนท์

 
2. แผนภูมิสมดุลของเหล็ก-คาร์บอน
2.1 เฟส, โครงสร้างและการตอบสนองที่ปรากฏในแผนภูมิสมดุลของเหล็ก-คาร์บอน การหาความรู้แผนภูมิทัดเทียมของเหล็กกับคาร์บอน มีความสำคัญมากเพราะคุณสมบัติของเหล็กที่ใช้อยู่ในงานวิศวกรรมแปลงตามปริมาณของคาร์บอนที่ผสมอยู่ในเหล็กราคาถูก และการที่จะเข้าใจถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของเหล็กได้ดี ย่อมต้องทราบเรื่องของแผนภูมิสมดุลของเหล็กกับคาร์บอนเป็นหลัก ในการศึกษาแผนภูมินี้จะต้องทำความรู้ความเข้าใจความหมายของศัพท์ที่เกี่ยวข้องเสียก่อนดังต่อไปนี้ เฟอร์ไรท์ (Ferrite) บางทีเรียกเหล็กอัลฟา คือ สารละลายของแข็งของเหล็กอันญรูป ซึ่งคาร์บอนสามารถละลายได้ในเหล็กมากที่สุด
 
ออสเตนไนท์ (Austenite) บางทีเรียกเหล็กแกมมา คือ สารละลายของแข็งของเหล็กราคาถูกอันยรูป กับคาร์บอน ซึ่งคาร์บอนหลอมในเหล็กแกมมานี้ได้มากที่สุด ตรวจดูว่า คาร์บอนเป็นตัวที่ช่วยให้ออสเตนไนท์มีเสถียรภาพมากขึ้น ให้ดูแผนภูมิสมดุลเหล็ก-คาร์บอนในรูปที่ 4.3 ประกอบ เหล็กบริสุทธิ์มีช่วงเป็นออสเตนไนท์เพียง 912-1394 แต่เขตนี้จะกว้างขึ้นเมื่อมีคาร์บอนละลายอยู่
 
เฟอร์ไรท์เดลต้า คือสารละลายของแข็งของเหล็กกับคาร์บอนในช่วงอุณหภูมิใกล้จุดละลายตัวของเหล็ก คาร์บอนสามารถละลายได้สูงสุด 0.09% ที่อุณหภูมิ 1495C มีระบบผลึกเป็น bcc(Body Centered Cubic) เช่นเดียวกับ เฟอร์ไรท์หรือเหล็กอัลฟาซีเมนไตท์ (Cementite หรือ Iron Carbide) เมื่อปริมาณคาร์บอนในระบบเหล็ก-คาร์บอนมีมากเกินกว่าที่มันจะละลายในเฟอร์ไรท์หรือออสเตนไนท์ได้หมด คาร์บอนที่เหลือจะยึดตัวกับเหล็ก เกิดเป็นสารประกอบเชิงโลหะ (Intermetallic compound) ระหว่างเหล็กราคาถูกกับคาร์บอนโดยมีคาร์บอนผสมอยู่ 6.67% มีสูตร Fe3C มีความแข็งสูงแต่จะเปราะบางแตกหักได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก
เพิร์ลไลท์ คือ ผลึกที่เกิดร่วมกันระหว่างเฟอร์ไรท์ (0.0218 %C) กับซีเมนไตท์ (6.67 %C) เกิดจากการตอบสนอง Eutectoid ในขณะที่ทำให้เหล็กเย็นช้า ๆ ตรงอุณหภูมิ 727C การเกิดเฟอร์ไรท์และซีเมนไตท์ จะเกิดพร้อมกันที่อุณหภูมิคงที่เกิดผลึกเป็นแถบยาว ๆ สลับกันระหว่างเฟอร์ไรท์และซีเมนไตท์ เรียกรูปร่างแบบนี้ว่า Lamellar Structure

 
2.2 แบบอย่างการศึกษาการแก้ไขโครงสร้างของเหล็กขณะเย็นตัว ขอยกตัวอย่างเหล็กที่มีคาร์บอน 0.4%
จากแผนภูมิสมดุลพิจารณาเหล็กที่มีคาร์บอน 0.4% ที่อุณหภูมิ 1538C เหล็กจะอยู่ในสภาพละลายที่อุณหภูมิ 1510C เหล็กจะเริ่มแข็งตัว ให้กำเนิดนิวเคลียสของเหล็ก ที่มีธาตุคาร์บอน 0.075% ที่อุณหภูมิเหนือ 1495C เล็กน้อย เหล็กราคาถูกจะประกอบด้วยเนื้อเหล็ก ที่มีคาร์บอน 0.09% กับเหล็กหลอมละลายที่มีธาตุคาร์บอน 0.53% ที่อุณหภูมิ 1495C เป็นอุณหภูมิที่เกิดการตอบสนอง Peritectic กล่าวคือเหล็กที่มีธาตุคาร์บอน 0.09% จะรวมกับเหล็กหลอมเหลว (0.53 %C) บางส่วนแล้วให้เหล็ก (Gamma) ที่มีธาตุคาร์บอน 0.17% เมื่อสิ้นสุดการตอบสนองนี้ จะได้เหล็ก กับเหล็กหลอมเหลวที่เหลือจากปฏิกิริยา เมื่ออุณหภูมิลดลงจะปรากฏเหล็ก เพิ่มปริมาณมากขึ้น ส่วนจำนวนของเหล็กหลอมเหลวจะลดลงเป็นลำดับ แต่ทั้งเหล็ก และเหล็กหลอมเหลวจะประกอบด้วยธาตุคาร์บอนเพิ่มมากขึ้น
 
ลักษณะการแตกตัวของเหล็ก จะให้แถบยาวๆ ของเหล็ก 0.0218% คาร์บอนกับซีเมนไตท์สลับกันไป เราเรียกเค้าโครงนี้ว่าเพิร์ลไลท์
เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงอีก จะปรากฏว่าเหล็ก 0.4% คาร์บอนจะมีส่วนประกอบที่ประกอบด้วยเหล็กราคาถูก 0.0218% กับเพิร์ลไลท์ (ซึ่งในตัวเพิร์ลไลท์เองประกอบด้วยสองเฟสคือเฟอร์ไรท์กับซีเมนไตท์ แต่ถ้าหาส่วนผสมเฉลี่ยของส่วนที่เป็นเพิร์ลไลท์จะได้ว่าส่วนประกอบเฉลี่ยเป็น 0.77%C) ถ้าอุณหภูมิลดต่ำลงอีกจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อย โดยเหล็ก 0.0218% จะแยกตัวให้เหล็กที่มีธาตุคาร์บอนน้อยกว่า 0.0218% กับซีเมนไตท์ 6.67% แต่ปริมาณที่เปลี่ยนแปลงจะน้อยมาก
 
การแก้ไขที่บรรยายนี้จะเกิดเฉพาะเมื่ออัตราการเย็นตัว (Rate of Cooling) เป็นไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้โอกาสให้อะตอมของคาร์บอนสามารถเคลื่อนไหวได้ทัน ทำให้เกิดเฟสต่าง ๆ แต่ถ้าอัตราการเย็นตัวเร็วจะไม่ปรากฏเฟสต่าง ๆ ที่อธิบายมาแต่กลับจะได้โครงของเหล็กต่างออกไป โครงสร้างจะเป็นออสเตนไนท์ที่ 0.77 %C และเมื่ออุณหภูมิน้อยลงมาถึง 727C โครงสร้างออสเตนไนท์จะเปลี่ยนไปเป็นเฟอร์ไรท์ (0.0218 %C) กับซีเมนไตท์ (Fe3C 6.67 %C) ซึ่งทั้งเฟอร์ไรท์และซีเมนปรากฏจะเกิดเป็นแถบบางๆ สลับกันทำให้ได้ชื่อว่าเป็นเพิร์ลไลท์ ซึ่งมาจากคำว่า เพิร์ล ซึ่งแปลว่าหอยมุกชนิดหนึ่ง
 
สำหรับเหล็กราคาถูกที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนมากกว่า 0.77% ถึง 2 %C โครงสร้างจะประกอบด้วยเพิร์ลไลท์ (สีดำ) กับ Pro-eutectoid ซีเมนไตท์ (สีขาว) ซึ่งจะอยู่รอบ ๆ เกรน ประเภทโดยทั่ว ๆ ไป จะมีเกรนโตกว่าเหล็กที่มีคาร์บอน 0.4% ปริมาณของ Pro-eutectoid ซีเมนไตท์ จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนของธาตุคาร์บอนในเหล็ก ยิ่งปริมาณคาร์บอนใกล้ 2% เข้าไป Pro-eutectoid ซีเมนเกิดจะเกิดมากยิ่งขึ้นและจะปรากฏตามเส้นรอบเกรนของเหล็ก
 
ข้อควรสังเกตประการหนึ่ง คือ ขนาดเกรน (grain size) ในเนื้อเหล็กกล้ามีความสำคัญต่อคุณลักษณะเชิงกลของชิ้นงานเป็นอย่างยิ่ง ชิ้นงานสองชิ้นที่มีส่วนประกอบทางเคมีเหมือนกันมีเค้าโครงจุลภาคเป็นเฟอร์ไรท์ เพิร์ลไลท์ เหมือนกัน แต่เมื่อขนาดของเกรนต่างกันแล้ว ชิ้นงานที่มีเกรนเล็กกว่ามาก ๆ จะมีทั้งกำลังวัตถุและความเหนียวสูงกว่าชิ้นงานที่มีขนาดเกรนใหญ่
 



3. เหล็กกล้า (Steel)
เนื่องจากเหล็กบริสุทธิ์มีกำลังต่ำเกินกว่าที่จะนำไปใช้งานวิศวกรรมได้ จึงมีการเติมธาตุผสม (alloying elements) เข้าไปในเนื้อเหล็กราคาถูก เพื่อให้ได้สรรพคุณตามที่ต้องการ ตามนิยามนั้น เราแบ่งเหล็กออกเป็นเหล็กกล้าเหล็กหล่อ โดยอาศัยจำนวนคาร์บอนที่ผสมอยู่ กล่าวคือ เหล็กกล้าคือ เหล็กที่มีคาร์บอนไม่เกิน 2.0% ถ้ามีคาร์บอนมากกว่านั้นจะเป็นเหล็กหล่อ สำหรับในเรื่องนี้จะกล่าวถึงเหล็กกล้า
โดยทั่วไปแล้วเหล็กกล้าจะอยู่ในรูปของ เหล็ก   คาร์บอน   ธาตุผสม   สารมลทิน ปริมาณเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอนในเหล็กกล้านั้นจะมีตั้งแต่ 0.05 ถึง 1.40% โดยน้ำหนัก เมื่อเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอนสูงขึ้น กำลังวัสดุ (Strength) และความแข็ง (Hardness) ของเหล็กกล้าราคาถูกจะเพิ่ม แต่ความเหนียว (Ductility) ของเหล็กกล้านั้นจะลดลง

3.1 เหล็กกล้าคาร์บอน (Plain carbon steels)
เหล็กกล้าคาร์บอน คือเหล็กกล้าที่มีคาร์บอนเป็นธาตุผสมหลัก และมีจำนวนธาตุผสมอื่น ๆ อยู่ในปริมาณน้อย ตามจำกัดความของ AISI (American Iron and Steel Institute) จำกัดจำนวนธาตุผสมไว้ดังนี้: แมงกานีสไม่เกิน 1.65%, ซิลิคอนไม่เกิน 0.60%, ทองแดงไม่เกิน 0.60% และปริมาณของฟอสฟอรัสรวมกับกำมะถันไม่เกิน 0.05% เราถือได้ว่า เฉพาะธาตุคาร์บอนเท่านั้นที่มีอำนาจต่อคุณสมบัติของเหล็กกล้าชนิดนี้ ธาตุผสมในเหล็กกล้าประเภทนี้ นอกจากคาร์บอนแล้วจะมี ซิลิคอนและแมงกานีส ส่วนกำมะถันและฟอสฟอรัสจะอยู่ในรูปของสารมลทิน เราแบ่งชนิดของเหล็กกล้าคาร์บอนตามเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอนที่อยู่ในเนื้อเหล็กราคาถูก
 
เราอาจแยกประเภทเหล็กกล้าคาร์บอนโดยอาศัยลักษณะโครงสร้างจุลภาคก็ได้ กล่าวคือ เหล็กกล้าที่มีเปอร์เซ็นต์คาร์บอน 0.77% จะมีโครงสร้างจุลภาคเป็นเพิร์ลไลท์อันเดียว เราเรียกเหล็กจำพวกนี้ว่า Eutectoid Steels สำหรับเหล็กกล้าที่มีคาร์บอนต่ำกว่า 0.77% เราเรียกว่า Hypoeutectoid Steels (ส่วนประกอบจุลภาคจะประกอบด้วยโปรยูเทคตอยด์เฟอร์ไรท์กับเพิร์ลไลท์) และเหล็กกล้าที่มีคาร์บอนสูงกว่า 0.77% เราเรียกว่า Hypereutectoid Steels (ส่วนประกอบจุลภาคจะประกอบด้วยโปรยูเทคตอยด์ซีเมนไตท์กับเพิร์ลไลท์)
คุณสมบัติเชิงกลของเหล็กกล้าคาร์บอนจะขึ้นตรงกับประเภทและปริมาณของโครงสร้างจุลภาคภายในเนื้อเหล็กราคาถูกนั้น ๆ เฟอร์ไรท์มีกำลังวัตถุและความแข็งไม่สูงนักแต่มีความเหนียว ซีเมนไตท์มีความแข็งสูงแต่เปราะ เพิร์ลไลท์มีกำลังวัสดุสูงและสามารถยืดตัวได้ดีภายใต้แรงดึง และท้ายสุดออสเตนไนท์มีกำลังวัสดุต่ำ นิ่ม สามารถรีดให้เข้ารูปได้ง่าย เป็นต้น ส่วนส่วนและปริมาณของโครงสร้างจุลภาคจะขึ้นกับส่วนประกอบทางเคมีของเหล็กกล้านั้น ๆ อีกทีหนึ่ง รูปที่ 4.7 แสดงแบบการใช้งานโลหะประเภทเหล็ก โดยระบุเปอร์เซนต์คาร์บอนของเหล็กที่นำไปทำชิ้นส่วนหรือสินค้าต่าง ๆ ส่วนรูปที่ 4.8 แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างเปอร์เซนต์คาร์บอนกับปริมาณของโครงสร้างจุลภาคแต่ละชนิด (เฟอร์ไรท์, เพิร์ลไลท์, ซีเมนไตท์) ในเหล็กและสมบัติเชิงกลของมัน

 
3.2 เหล็กกล้าผสม (Alloy Steels)
เหล็กกล้าที่ไม่จัดเป็นเหล็กกล้าคาร์บอน จะจัดเป็นเหล็กกล้าผสมทั้งหมด ซึ่งนอกจากซิลิคอนและแมงกานีสแล้ว ธาตุผสมในเหล็กกล้าประเภทนี้ยังมีทองแดง นิกเกิล โครเมียมและโมลิบดีนั่ม ฯลฯ อีกด้วย คุณลักษณะเชิงกลของเหล็กราคาถูกผสานนอกจากจะขึ้นกับจำนวนของคาร์บอนเหมือนดังเหล็กกล้าคาร์บอนแล้ว ยังขึ้นอยู่กับกับชนิดและจำนวนของธาตุผสมที่อยู่ในเนื้อเหล็กกล้า ตลอดจนกระบวนการอบชุบ (Heat-Treatment) ที่ให้กับเหล็กกล้านั้น ๆ เราจะใช้เหล็กกล้ารวมแทนที่เหล็กกล้าคาร์บอน เมื่อเรามุ่งหมายชิ้นงานที่มีสมบัติเชิงกลหรือคุณสมบัติด้านอื่น ๆ เช่น คุณสมบัติด้านการคงทนต่อความร้อน, ความทนทานต่อการกัดกร่อน ฯลฯ ซึ่งเหล็กกล้าคาร์บอนไม่สามารถให้คุณสมบัติที่เราต้องการนั้นได้
 
3.2.1 ผลอันเนื่องจากการเติมธาตุผสมในเหล็กกล้า
ทองแดง ปกติจะมีปริมาณน้อยกว่า 0.35% และไม่เป็นผลต่อคุณสมบัติเชิงกลแต่อย่างไร หน้าที่
หลักของทองแดงก็คือ การทำให้เกิดความต้านทานต่อการกัดกร่อนในบรรยากาศที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิปกติ

นิกเกิล ปกติมักใช้พร้อมกันไปกับโครเมียม
- ปริมาณ 2-5% ช่วยเพิ่มแรงวัสดุและความเหนียวให้กับเหล็กกล้าราคาถูก
- ปริมาณ 9% ใช้ทำ Cryogenic Steel สำหรับทำเครื่องใช้ ความดันที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ เช่น -100C
- ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป ทำให้เหล็กราคาถูกมีกำลังวัสดุ, ความแข็งแรงและความเหนียวเพิ่ม
- ตั้งแต่ 24% ขึ้นไป ทำให้เหล็กกล้ามีกำลังวัสดุแลความแข็งต่ำ แต่จะเหนียวมากและยืดตัวได้ดีภายใต้แรงดึง
 
โครเมียม ปกติจะใช้คู่กับนิกเกิล โครเมียมเพิ่มกำลังความแข็งให้กับเหล็กกล้าได้อย่างดี โดย
ไม่ทำให้การยืดตัวภายใต้แรงดึงอ่อนลงมากนัก
- เหล็กกล้าใช้ในงานทำเครื่องมือกลโครงสร้าง มีโครเมียมสูงถึง 3%
- เหล็กกล้าที่ใช้ทำแบบแบบ มีโครเมียมตั้งแต่ 10% ขึ้นไป
- เหล็กกล้าราคาถูกไร้สนิมมีโครเมียมตั้งแต่ 13% ขึ้นไป
- เหล็กกล้าทนต่อความร้อนและใช้ที่อุณหภูมิสูง มีโครเมียม 21%
โมลิบดีนั่มโดยทั่วไปจะใช้ไม่เกิน 0.5% นอกจากเพิ่มความเหนียวให้กับเหล็กกล้าแล้ว
โมลิบดีนั่มยังให้ความทนทานที่อุณหภูมิสูง และเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อนให้กับเหล็กกล้าไร้สนิมอีกด้วย

3.2.2 เหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steels)
เหล็กราคาถูกชนิดนี้จัดได้ว่าอยู่ในขอบเขตของเหล็กกล้าผสม ธาตุตัวสำคัญคือ โครเมียม ซึ่งจะผสมตั้งแต่ 13% ขึ้นไป โครเมียมที่อยู่ในเนื้อเหล็กกล้าจะก่อให้เกิดฟิล์มโครเมียมออกไซด์ (Cr2O3) ซึ่งมีความคงตัวสูงอยู่ที่ผิวของเหล็กกล้าราคาถูก ฟิล์มอันนี้จะมีความเงางาม และรักษาไม่ให้เกิดออกซิเดชัน กับเหล็กซึ่งอยู่ภายใน เป็นผลให้เหล็กกล้าไร้สนิมมีสรรพคุณทนทานต่อการกัดกร่อนและมีความเงา
ประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิม
1. เหล็กกล้าไร้สนิมเฟอร์ริติค (เช่น เหล็กราคาถูกที่มีส่วนผสม 0.05 %C, 13 %Cr, 0.5 %Mn) โดยรวมแล้วจะมีคุณสมบัตินิ่ม มีความทนทาน ทำให้แข็งโดยการอบชุบไม่ได้ แต่จะทำให้แข็งได้โดยการรีดเย็น ส่วนใหญ่จะใช้กับงานทางวิศวกรรมเคมี บริภัณฑ์ในบ้านและเครื่องใช้ใส่อาหาร

2. เหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติค (เช่น ส่วนผสม 0.3 %C, 13 %Cr, 0.5 % Mn) เหล็กกล้าประเภทนี้ชุบแข็งได้โดยการเผาให้ถึงอุณหภูมิ 950 - 1000C แล้วทำให้เย็นโดยเร็วจนได้องค์ประกอบมาร์เตนไซท์ (martensite) ข้อระมัดระวังก็คือ อย่าปล่อยให้เย็นช้า ๆ จนเกิดโครเมียมคาร์ไบด์ขึ้น ซึ่งการปรากฏโครเมียม คาร์ไบด์ทัดเทียมกับเป็นการดึงเอาโครเมียมที่หลอมอยู่ในเนื้อเหล็กออกมา ทำให้คุณลักษณะทางด้านต่อต้านการกัดเซาะลดลงไป โดยทั่วไปแล้ว เราจะใช้ เหล็กกล้านี้ทำมีดไร้สนิมและอุปกรณ์ตัด (sharp-edged tools)
3. เหล็กกล้าราคาถูกไร้สนิมออสเตนนิติค (เช่น 0.5 %C, 0.8 %Mn, 18 %Cr, 8 %Ni หรือเหล็ก 18-8) มีความเงางามและความต้านทานต่อการกัดกร่อนดีกว่าของทั้งเฟอร์ริติคและ มาร์เทนซิติค ข้อบกพร่องของเหล็กกล้าจำพวกนี้ก็คือ weld decay หมายถึง การที่โครเมียมคาร์ไบด์ตกผลึกออกมาขณะที่งานเย็นตัวอย่าง ช้า ๆ ต่อมาจากที่ทำการเชื่อมชิ้นงานเหล็กกล้าไร้สนิมออสเตนนิติคนั้น ทำให้ความต้านทานการกัดกร่อนลดน้อยลง วิธีแก้ weld decay อาจทำได้โดย หลังการเชื่อมให้นำชิ้นงานไปเผาที่ 1050C แล้วชุบน้ำมัน แต่วิธีนี้ใช้ได้กับชิ้นงานขนาดเล็กเท่านั้น หรืออาจจะป้องกันได้โดยเลือกใช้เหล็กราคาถูก 18/8 ที่ผสม 0.6 %Ti หรือ 1.0 %Nb
 
 
เรามเหล็กราคาถูก[/url]คุณภาพดีต้องที่นี่เลย : http://www.tigersteel.co.th

Tags : เหล็กราคาถูก,เหล็กราคาถูก,เหล็กราคาถูก



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ