อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์  (อ่าน 52 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 05:45:17 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


อังกาบหนู
ชื่อสมุนไพร  อังกาบหนู
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Barleria prionitis Linn.
ชื่อสามัญ   Porcupine flower
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด
อังกาบหนูเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนต่างๆทั่วโลก โดยมีเขตการกระจายประเภทในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆดังเช่น แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชารวมทั้งไทย สำหรับในประเทศไทย พบมากขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งทางภาคใต้แล้วก็ภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป
อังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มิลลิเมตร 2-3 อัน ใบคนเดียวเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ปนวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 ซม. ยาว4.3-10.5 เซนติเมตร ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 ซม.ดอกเดี่ยวมองเหมือนช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบแต่งแต้มรูปแถบปนขอบขนาน กว้าง 2-8 มิลลิเมตร ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบประดับย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มม. ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกแฉรูปไข่ปนขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 15 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบปนใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มม. ปลายเว้าตื้น กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีแกมขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มิลลิเมตร เมล็ดรูปวงรีปนขอบขนาน 2 เมล็ด กว้าง 5 มม. ยาว 8 มิลลิเมตร มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์
อังกาบหนูเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่งอกงามได้ดิบได้ดีในดินทุกประเภท โดยยิ่งไปกว่านั้นดินที่ร่วนซุยระบายน้ำก้าวหน้า และมีความชื้นในระดับปานกลาง สามารถแพร่พันธุ์ได้ ด้วยเม็ด แล้วก็การตอนกิ่ง อังกาบหนูเป็นต้นไม้ที่ดูแลง่ายดาย ไม่ค่อยชอบความร่มเงามาก เติบโตก้าวหน้าทั้งในบริเวณที่แสงตะวันจัดเต็มวันหรือแสงตะวันร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรคและแมลงมารบกวนอีกด้วย ในฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินมักจะแห้งตาย แม้กระนั้นส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกทีหนึ่งในฤดูฝน
องค์ประกอบทางเคมี ใบอังกาบหนูมีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones นอกนั้นใบแล้วก็ยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
ผลดี / คุณประโยชน์
สรรพคุณของอังกาบหนูตามยาแผนโบราณกล่าวว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยทำนุบำรุงธาตุอีกทั้งสี่ ช่วยละลายเสลด ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้กลากโรคเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้ของกินไม่ย่อย ช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ กลากเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้
ยิ่งกว่านั้นอินเดียยังคงใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้โรคหืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานทีละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ โรคไอกรน ลดเสลด ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีความรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการสืบค้นข้อมูลงานค้นคว้าวิจัยของอังกาบหนูจะมองเห็นได้ว่ายังการศึกษาต่ำในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเล่าเรียนในหลอดทดลองแล้วก็ในสัตว์ทดลองในฤทธิ์ต่างๆอย่างเช่น ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ต่อต้านเชื้อรา ต้านทานการอักเสบ ต้านทานอนุมูลอิสระ เป็นต้น แม้กระนั้นยังไม่มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังไม่มีคุณวุฒิวิจัยเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง เป็นเพียงแต่การบอกเล่าต่อๆกันมา ด้วยเหตุนั้นถ้าต้องการใช้ต้นอังกาบหนู สำหรับในการรักษาโรคมะเร็งควรจะใช้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาโดยกรรมวิธีการหมอแผนปัจจุบัน อย่างไรก็แล้วแต่การใช้สมุนไพรจำต้องใช้อย่างระแวดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีข่าวซุบซิบว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้นั้น
แบบอย่าง / ขนาดวิธีใช้ การใช้คุณประโยชน์ทางยามีรายงานการใช้คุณประโยชน์จากส่วนต่างๆดังนี้
 
ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นตีนแตก ใช้ใบสดบดแก้อาการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือเอามาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้โรคกลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดไหลตามไรฟัน
ราก เอามาตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้กลาก แก้ของกินไม่ย่อย หรือเอามาตำให้รอบคอบใช้ใส่รอบๆที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากและก็ดอก อังกาบเอามาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยเจริญก้าวหน้าธาตุไฟได้ดิบได้ดีรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษากลากโรคเกลื้อน หากนำมาใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าทั้งยัง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับแก้ข้ออักเสบได้
 
เปลือกลำต้น
 
เอามาบดให้เป็นผุยผงรับประทานทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดลักษณะของการปวดจากไขข้ออักเสบ
อีกทั้งต้น เอามาสกัดเอาน้ำมันมานวดหัวทำให้ผมดำ ทั้งต้นนำมาต้มดื่มครั้งละ 50-100 มิลลิลิตร แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมเรียกตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มอสุจิ โดยนำอีกทั้งต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผุยผง ใช้ทีละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน ในเรื่องที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาตีให้แหลก นำไปแช่ลงไปภายในน้ำซาวข้าว พอกรอบๆที่บวม ยอดอ่อน นำมาบดในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
การเรียนรู้ในหลอดทดสอบพบว่า สารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลและน้ำมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยแนวทาง DPPH และก็ ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมากว่าสารสกัดน้ำ การเรียนหาปริมาณสารประกอบฟีโนลิก รวมทั้งฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกและก็ลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีจำนวนสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมมากที่สุด โดยมีค่าเทียบเท่ากรดมึงลลิกเท่ากับ 67.48 มิลลิกรัม/ก. น้ำหนักพืชแห้ง แล้วก็มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ DPPH และhydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) พอๆกับ 336.15 แล้วก็ 568.65 มคก./มล. เป็นลำดับ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู ดังเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ป phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 พอๆกับ 0.41 มก./มล. และก็มีฤทธิ์ยับยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 12.4 ไมโครโมลาร์ นอกจากนี้เจอสารกลุ่มiridoid glycosides ได้แก่ shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside และก็ lupulinoside มีฤทธิ์ต้าน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในตอน 5–50 มิลลิกรัม/มล.
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ รวมทั้งเอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) รวมทั้ง cyclooxygenase-2 (COX-2) แล้วก็ยับยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูจำพวกที่ 3 และ ชนิดที่4 ขนาด 400 มก./กิโลกรัม นน. ตัว ให้กับหนูที่รั้งนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 และก็55.75% เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกเหนือจากนั้นเมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มก./กก. นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารคารจีแนน และก็รั้งนำให้เกิดอาการปวดด้วยกรดอะสิตำหนิก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% แล้วก็ลดลักษณะของการปวดได้ 30.6% เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มก./ กิโลกรัมนน. ตัว ที่สามารถลดการอักเสบได้ 57.5% และก็ลดลักษณะของการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline และ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดทั้งยังต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา การเรียนในหลอดทดลองเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล และเอทานอล สามารถต้านเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae และก็ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีศักยภาพสูงที่สุด ในระหว่างที่ลำต้นรวมทั้งรากของต้อังกาบหนู[/url]ด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน และก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดลองในหลอดทดสอบ พบว่าขนาดความเข้มข่นที่มีผลสำหรับในการต่อต้านเชื้อไวรัสที่ส่งผลให้เกิดโรคในระบบทางเท้าหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคกรัม/ มิลลิลิตร รวมทั้งขนาดความเข้มข้นที่ส่งผลสำหรับในการฆ่าเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งเดียว (ID50) มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./มล.
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มก./นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด แล้วก็เพิ่มระดับไกลวัวเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบรวมทั้งลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท และหนูเม้าส์ก่อนที่จะรั้งนำให้เกิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน รวมทั้งพาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มก./กิโลกรัม นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าวิชาชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin และก็triglyceride นอกจากนั้นยังเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี glutathione ในตับแล้วก็ลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยปกป้องรักษาเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดอีกทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำแล้วก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 และก็ 100 มก./มล. พบว่าฤทธิ์สำหรับเพื่อการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต แล้วก็ฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มก./มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 รวมทั้งพยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ตอนที่สารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 รวมทั้งพยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มล. ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 รวมทั้ง พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดรากอังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้มีสาเหตุจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับในการรบกวนการสร้างอสุจิ ลดจำนวนน้ำเชื้อ และทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดลง สารสกัดมีผลลดน้ำหนักอัณฑะ รวมถึงมีผลลดจำนวนโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) และกลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งส่งผลให้การผลิตอสุจิ โครงสร้างและก็หน้าที่ของอสุจิไม่ดีเหมือนปกติไป
 
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การเรียนรู้

 
ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบแล้ว
ก็ลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทาน ขนาดที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ 100 - 3,000 มก. เป็นเวลา 15 วัน ไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติอะไรก็ตามและไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งเดียว LD50 มีค่ามากกว่า3,000 มก./กก. และก็ถ้าหากฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าพอๆกับ 2,530 มก./กก. ± 87 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งจัดว่าออกจะไม่เป็นอันตราย
 
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง
1. การใช้อังกาบหนูสำหรับการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่ระบุไว้ ไม่สมควรใช้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นรวมทั้งใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานด้วยเหตุว่าอาจมีผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคตับ โรคไต เบาหวาน ควรจะใช้ให้ละเอียดและก็ควรปรึกษาหมอที่ให้การรักษาด้วยเสมอ
3. ในการใช้สมุนไพรอังกาบหนูโดยตลอดจะต้องมีการเจาะเลือดดูค่าลักษณะการทำงานของตับแล้วก็ไตอยู่เสมอ
4. ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยอีกทั้งในมนุษย์แล้วก็สัตว์ทดลองว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้ ดังนั้นถ้าอยากได้จำใช้สำหรับเพื่อการรักษาโรคมะเร็งควรใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
 
เอกสารอ้างอิง

  • พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
  • อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
  • ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/[/b]
  • Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
  • Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
  • Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
  • Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
  • Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
  • . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
  • Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
  • Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
  • Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
  • Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
  • Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
  • Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.


Tags : อังกาบหนู



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ