ชีววิทยาของเม่น

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชีววิทยาของเม่น  (อ่าน 84 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ำพ
หัดขับ
*

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 39


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 26, 2019, 12:53:30 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
เม่น
เม่นเป็นสัตว์กินนม
จัดอยู่ในวงศ์ Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒ ชนิด เป็นต้นว่า
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix brachyuran Linnaeus
ชื่อสามัญว่า Malayan porcupine
เม่นชนิดนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐ เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๓-๗ โล ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ปกป้อง หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ และก็ไหล่ มีขนแข็ง สั้น สีดำ ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนรวมทั้งปลายสีขาว กึ่งกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนคล้ายหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นประเภทนี้ชอบออกหากินเพียงลำพังในช่วงเวลาค่ำคืน รักสงบ เวลาพบศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึกแล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ไล่หลังมาอย่างเร็วแม้หยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ และถ้าศัตรูใช้ตีนตะครุบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นกัน ได้รับความเจ็บปวดเจ็บมากมาย เมื่อศัตรูหนีจากไปแล้ว เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่ผลิออกขึ้นมาแทนที่ เม่นจำพวกนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ แล้วก็กระดูกสัตว์ เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี ท้องนาน ๔ เดือน ตกลุกทีละ ๑ -๓ ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นทารกมีขนที่อ่อน แต่เมื่อถูกอากาศด้านนอกขนจะค่อยๆแข็งขึ้น อายุราว ๒๐ ปีเจอทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างถิ่นเจอที่มาเลเชียแล้วก็อินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า bush-tailed porcupine
เม่นจำพวกนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง ๔๐ – ๕๐ ซม. หางยาว ๑๕ – ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕ กิโล จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งและปลายแหลมมาก คล้ายหนาม ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่บริเวณกลางหลังขนแบน มีร่องยาวอยู่ด้านบน ช่วงกึ่งกลางหางไม่ค่อยมีขน แต่ว่าเป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนงอกดกครึ้มเป็นกระจุก ดูเป็นพวง ขนดังกเงินล่าวแข็งและก็คม ส่วนขนที่หัวบริเวณขาอีกทั้ง ๔ แล้วก็รอบๆใต้ท้อง แหลม แต่ไม่แข็ง ขาค่อนข้างสั้น ใบเครื่องทอผ้าลมและเล็กมากมาย เล็บเท้าดูหมิ่นเหยียดหยามตรง ทู่ แล้วก็แข็งแรงมากมาย เหมาะกับขุดดิน เม่นจำพวกนี้ออกหากินในช่วงกลางคืน ตอนกลางวันมักซ่อนอยู่ในโพรงดิน ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง ใช้ขนเป็นอาวุธป้องกันภัย กินหัวพืช หน่อไม้ เปลือกไม้ รากไม้ ผลไม้ แมลง เขาแล้วก็กระดูกสัตว์ คลอดลูกครั้งละ ๓- ๕ ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นทารกมีขนอ่อนนุ่ม แต่จะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี เจอในทุกภาคของประเทศไทย ในเมืองนอกพบทางภาคใต้ของจีน และที่ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย แล้วก็อินโดนีเซีย
[/b]
ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง แก้พิษรอยดำ พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะอาหารของเม่นใช้ปรุงเป็นยารับประทานบำรุงน้ำดี ช่วยทำให้ลำไส้มีกำลังบีบย่อยอาหาร พระหนังสือปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาทาตัวเด็ก ดังนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งปวง แล้วก็จะเจ็บป่วยอภิฆาฏก็ดีแล้ว โอปักกะไม่กาพาธก็ดีแล้ว ท่านให้เอาใบมะขวิด รอยเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายตราบาปโทษทั้งมวลดีนัก

Tags : เม่น



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ