กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 44
121  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน-เเละ สมุน เมื่อ: เมษายน 21, 2018, 10:57:59 am

โรความดันเลือดสูง (Hypertension)

  • โรคความคันโลหิตสูง เป็นอย่างไร ความดันเลือดสูง ความดันเลือด คือ แรงดันเลือด ที่เกิดขึ้นจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การประมาณความดันโลหิตสามารถทำโดยใช้อุปกรณ์หลายชนิด แต่ประเภทที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป ดังเช่น เครื่องตวงความดันโลหิตมาตรฐานจำพวกปรอท เครื่องวัดความดันเลือดดิจิตอลชนิดอัตโนมัติ ค่าของความดันโลหิตมีหน่วยเป็น มม.ปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงดันเลือด ขณะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวข้างล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือดขณะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันเลือดที่จัดว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    โดยเหตุนั้นโรคความดันโลหิตสูง จึงหมายคือโรคหรือสภาวะที่แรงดันเลือดในเส้นเลือดแดงมีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐานขึ้นกับวิธีการวัด โดยถ้าเกิดวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงขึ้นมากยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) รวมทั้ง/หรือความดันเลือดตัวด้านล่างสูงกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท อย่างต่ำ 2 ครั้ง แต่ว่าหากเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันเลือดตัวบนสูงกว่าหรือพอๆกับ 135 มิลลิเมตรปรอทและ/หรือความดันโลหิตตัวข้างล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 85 มิลลิเมตรปรอทฯลฯ ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556ชาวไทยป่วยด้วยโรคความดันโลหิตเกือบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน และก็เจอเจ็บป่วยราย ใหม่เพิ่มเกือบจะ 1 แสนคน ปริมาณร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวเพราะว่าไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่เจ็บไข้แล้วพบว่ามีเพียง 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีความประพฤติน่าห่วงองค์การอนามัยโลกแถลงการณ์ว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในมูลเหตุสำคัญ ที่ทำให้พลเมืองอายุสั้น ทั่วทั้งโลกมีผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบจะ 8 ล้านคน เฉลี่ยราวๆนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 เจอในวัย ผู้ใหญ่และคาดว่า ในปีพ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • สาเหตุของโรคความดันเลือดสูง ความดันเลือดสูงแบ่งแยกตามปัจจัยการเกิด แบ่งได้เป็น 2 จำพวก เป็น
  • ความดันโลหิตสูงประเภทไม่รู้จักปัจจัย (primary or essential hypertension) เจอได้ประมาณร้อยละ95 ของปริมาณคนแก่โรคความดันเลือดสูงทั้งหมดจำนวนมากเจอในคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไปแล้วก็เจอในเพศหญิงมากยิ่งกว่าผู้ชาย ปัจจุบันยังไม่เคยรู้ต้นเหตุที่กระจ่างแจ้งแต่ว่ายังไง ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการวัดแล้วก็รักษาโรคความดันเลือดสูง ของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวเนื่องแล้วก็สนับสนุนให้กำเนิดโรคความดันโลหิตสูง ตัวอย่างเช่น พันธุกรรมความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการกินอาหารที่มีรสเค็มจัดแจงไม่ออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ความตึงเครียดอายุและก็มีประวัติครอบครัวเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดซึ่งความดันโลหิตสูงจำพวกไม่รู้จักต้นเหตุนี้คือปัญหาสำคัญที่จำต้องให้การวิเคราะห์รักษารวมทั้งควบคุมโรคให้ได้อย่างมีคุณภาพ
  • ความดันโลหิตสูงจำพวกทราบปัจจัย(secondary hypertension) ได้น้อยราวจำนวนร้อยละ5-10 ส่วนมากมีต้นสายปลายเหตุเกิดขึ้นจากการมีพยาธิภาวะของอวัยวะต่างๆในร่างกายโดยจะส่งผลทำให้มีการเกิดแรงกดดันเลือดสูงโดยมาก อาจเกิดพยาธิภาวะที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความไม่ดีเหมือนปกติของระบบประสาทความผิดแปลกของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคครรภ์เป็นพิษการบาดเจ็บของศีรษะยา รวมทั้งสารเคมีเป็นต้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับการรักษาที่ปัจจัยระดับความดันโลหิตจะน้อยลงปกติและก็สามารถรักษาให้หายได้

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า โรคความดันเลือดสูงโดยมากจะไม่มีมูลเหตุ การควบคุมระดับความดันเลือดก้าวหน้า จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และก็การเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจ แล้วก็เส้นโลหิตลงได้

  • อาการโรคความดันเลือดสูง จุดสำคัญของโรคความดันโลหิตสูงเป็น เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ รวมทั้งที่เป็นโรคเรื้อรังที่ร้ายแรง (ถ้าเกิดไม่สามารถควบคุมโรคได้) แต่ว่ามักไม่มีอาการ แพทย์บางคนจึงเรียกโรคความดันเลือดสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ดังนี้โดยมากของอาการจากโรคความดันโลหิตสูง เป็นอาการจากผลข้างเคียง เป็นต้นว่า จากโรคหัวใจ รวมทั้งจากโรคเส้นโลหิตในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ตัวอย่างเช่น อาการจากโรคเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ อาทิเช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง

อาการรวมทั้งอาการแสดงที่พบบ่อย ผู้เจ็บป่วยที่มีความดันเลือดสูงน้อยหรือปานกลางไม่เจออาการแสดงชี้เฉพาะที่บ่งบอกว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนมาก การวินิจฉัยพบได้บ่อยได้จากการที่คนเจ็บมาตรวจตามนัดหรือพบบ่อยร่วมกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับคนเจ็บที่หรูหราความดันเลือดสูงมากมายหรือสูงในระดับรุนแรงและเป็นมานานโดยเฉพาะในรายที่ยังไม่เคยได้รับการดูแลรักษาหรือรักษาแม้กระนั้นไม่สม่ำเสมอหรือไม่ได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกต้องสมควรพบบ่อยมีลักษณะอาการ ดังนี้

  • ปวดศีรษะพบได้บ่อยในคนไข้ที่มีระดับความดันเลือดสูงรุนแรง โดยลักษณะของการมีอาการปวดหัวมักปวด ที่บริเวณกำดันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตื่นนอนในเวลาเช้าต่อมาอาการจะเบาๆดีขึ้นจนหายไปเองภายในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงรวมทั้งบางทีอาจพบมีอาการอาเจียนอาเจียนตาฝ้ามัวด้วยโดยพบว่าอาการปวดศีรษะเกิด จากมีการเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะมากมายในตอนระยะเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วเหตุเพราะในช่วงเวลาค่ำคืนขณะนอนหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น จึงทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ส่งผลทำให้เส้นโลหิตทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองขยายขนาดเพิ่มมากขึ้นก็เลยเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนหัว (dizziness) พบเกิดร่วมกับลักษณะของการปวดศีรษะ
  • เลือดกา เดาไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยหอบขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบมิได้แสดงถึงการมีภาวการณ์หัวใจห้องด้านล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่อาจพบร่วมเป็นต้นว่าอาการเจ็บอกสมาคมกับภาวการณ์กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นโลหิตหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากสภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมานานๆ

ดังนั้นถ้าหากมีสภาวะความดันเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานานๆก็เลยอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายกระตุ้นให้เกิดความเสื่อมสภาพถูกทำลายและอาจเกิดภาวะแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง ในคนเจ็บโรคความดันเลือดสูงบางรายอาจไม่เจอมีลักษณะอาการหรืออาการแสดงใดๆรวมทั้งบางรายบางทีอาจ เจออาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังต่อไปนี้

  • สมองความดัน เลือดสูงจะทา ให้ผนังเส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะดกตัวและก็แข็งตัวภายในเส้นเลือดตีบแคบรูของเส้นโลหิตแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงสมองลดลงรวมทั้งขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นสาเหตุของการเกิดสภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วครั้งชั่วคราวผู้ป่วยที่มีภาวะความดันเลือดสูงจึงมีโอกาสเกิดโรคเส้นเลือดสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลปกติ

ยิ่งไปกว่านี้ยังเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนที่ฝาผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมคนป่วยจะมีลักษณะอาการไม่ปกติของระบบประสาทการรับรู้ความทรงจำน้อยลงและก็อาจรุนแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงปริมาณร้อยละ50 แล้วก็ส่งผลทำให้ผู้ที่มีชีวิตรอดกำเนิดความพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรังจะส่งผลทา ให้ฝาผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจครึ้มตัวขึ้นปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจลดน้อยลงหัวใจห้องข้างล่างซ้ายทำงานมากมาขึ้น จำเป็นต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต้านทานแรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่มากขึ้นโดยเหตุนั้น ในระยะเริ่มต้นกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับพฤติกรรมจากภาวะความดันโลหิตสูงโดยหัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถต้านกับแรงต้านทานที่มากยิ่งขึ้นและก็มีการขยายตัวทำให้เพิ่มความหนาของผนังหัวใจห้องด้านล่างซ้ายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) แม้ยังไม่ได้รับการรักษาแล้วก็เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่อาจจะขยายตัวได้อีก จะมีผลให้การทำงานของหัวใจไม่มี
ความสามารถเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและก็เสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันโลหิตเรื้อรังมีผลกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตหนาตัวแล้วก็แข็งตัวขึ้น หลอดเลือดตีบแคบลงนำมาซึ่งการทำให้เส้นโลหิตแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของจำนวนเลือดไปเลี้ยงไตลดน้อยลงคุณภาพการกรองของเสียลดลงและทา ให้มีการคั่งของเสียไตหมดสภาพ และก็เสียหน้าที่เกิดสภาวะไตวายและก็ได้โอกาสเสียชีวิตได้ มีการเล่าเรียนพบว่าผู้เจ็บป่วยโรคความดันเลือดสูงโดยประมาณปริมาณร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยสภาวะไตวาย
  • ตา คนป่วยที่มีภาวการณ์ความดันโลหิตสูงร้ายแรงรวมทั้งเรื้อรังจะมีผลให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังเส้นโลหิตที่ตาครึ้มตัวขึ้นมีแรงดัน ในเส้นเลือดสูงมากขึ้นมีการเปลี่ยนของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงตาตีบลงเส้นเลือดฝอยตีบแคบอย่างเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่เรตินาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นน้อยลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวและมีโอกาสตาบอดได้
  • หลอดเลือดภายในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต้านหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นผนังเส้นโลหิตหนาตัวจากเซลล์กล้ามเนื้อเรียบถูกกระตุ้น ให้เจริญรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นเนื่องจากมีไขมัน ไปเกาะผนังหลอดเลือดทำให้เส้นเลือดแดงแข็ง (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนแปลงของผนังเส้นเลือดครึ้มและตีบแคบการไหลเวียนเลือดไป เลี้ยงสมองหัวใจไตและก็ตาลดลงทา ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะดังกล่าวตามมาไดแก้โรคหัวใจและก็
เส้นโลหิตโรคเส้นโลหิตสมองและไตวายเป็นต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคความดันโลหิต ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้มีการเกิดโรคความดันเลือดสูง ตัวอย่างเช่น กรรมพันธุ์ จังหวะมีความดันโลหิตสูง จะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน เพราะนำมาซึ่งการอักเสบ ตีบแคบของเส้นโลหิตต่างๆและก็หลอดเลือดไต โรคอ้วน และก็น้ำหนักตัวเกิน เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคเบาหวาน รวมทั้งโรคเส้นเลือดต่างๆตีบจากภาวะไขมันเกาะผนังหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง เพราะเหตุว่าจะมีผลถึงการผลิตเอ็นไซม์แล้วก็ฮอร์โมนที่ควบคุมความดันโลหิตดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว โรคนอนแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) สูบบุหรี่ เพราะว่าพิษในควันจากบุหรี่เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบ ตีบของเส้นโลหิตต่าง รวมทั้งเส้นเลือดไต รวมทั้งเส้นโลหิตหัวใจ การติดเหล้า ซึ่งยังไม่ทราบแจ่มชัดถึงกลไกว่าเพราะอะไรดื่มสุราแล้วจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แต่การเรียนต่างๆให้ผลตรงกันว่า คนที่ติดสุรา จะทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดา และได้โอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถึงราว 50%ของผู้ติดเหล้าทั้งปวง ทานอาหารเค็มบ่อย ตลอด ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการออกกำลังกาย เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนและก็โรคเบาหวาน ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด อาทิเช่น ยาในกรุ๊ปสเตียรอยด์
  • วิธีการรักษาโรคความดันเลือดสูง การวิเคราะห์โรคความดันเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงวินิจฉัยจากการที่มีความดันโลหิตสูงตลอดระยะเวลา ซึ่งตรวจเจอต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรห่างกัน 1 เดือน แต่ถ้าหากว่าตรวจเจอว่าความดันโลหิตสูงมาก (ความดันตัวบนสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวข้างล่างสูงขึ้นยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดธรรมดาของลักษณะการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็นับว่าวินิจฉัยเป็นโรคความดันโลหิตสูง และจะต้องรีบได้รับการรักษา หมอวินิจฉัยโรค   ความดันโลหิตสูงได้จาก ประวัติความเป็นมาอาการ ประวัติป่วยหนักในอดีตและก็เดี๋ยวนี้ เรื่องราวรับประทาน/ใช้ยา การวัดความดันเลือด (ควรจะวัดที่บ้านร่วมด้วยถ้าหากว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือ เนื่องจากบางคราวค่าที่วัดถึงที่เหมาะโรงหมอสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่าที่วัดพอดีบ้าน) เมื่อวิเคราะห์ว่าเป็นความดันเลือดสูง ควรจะตรวจร่างกาย รวมทั้งส่งตรวจอื่นๆเพิ่มเติมอีกเพื่อหามูลเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยง นอกจากนั้น จำต้องตรวจหาผลพวงของความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆยกตัวอย่างเช่น หัวใจ ตา และก็ไต ยกตัวอย่างเช่น ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลและก็ไขมันในเลือด มองรูปแบบการทำงานของไต และค่าเกลือแร่ภายในร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมองแนวทางการทำงานของหัวใจ แล้วก็เอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเสริมเติมต่างๆจะขึ้นกับอาการผู้ป่วย และก็ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
สโมสรความดันเลือดสูงที่เมืองไทย ได้แบ่งระดับความรุนแรงของความดันเลือดสูง ดังต่อไปนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
คนที่มีความดันเลือดสูงควรจะควบคุมระดับความดันโลหิตให้น้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทแล้วก็ใน คนที่มีภาวะเสี่ยงควรควบคุมระดับความดันเลือดให้ต่ำยิ่งกว่า 130/80 มม.ปรอท และก็ลดปัจจัยเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดคุ้มครองความพิการและลดการเกิดภาวการณ์แทรกซ้อมต่ออวัยวะเป้าหมายที่สำคัญของร่างกายตัวอย่างเช่นสมองหัวใจไตและตารวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับเพื่อการรักษาและควบคุมระดับความดันโลหิตให้เข้าขั้นธรรมดาประกอบด้วย 2 แนวทางเป็นการดูแลรักษาใช้ยาและการดูแลและรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือวิธีการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินชีวิต
การรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) จุดมุ่งหมายสำหรับเพื่อการลดความดันโลหิตโดยการใช้ยาเป็นการควบคุมระดับความดันเลือดให้ลดต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยลดแรงต่อต้านของเส้นเลือดส่วนปลายรวมทั้งเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูงก็เลยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของคนเจ็บแต่ละรายและควรจะใคร่ครวญต้นสายปลายเหตุต่างๆเช่นความรุนแรงของระดับความดันเลือดปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้สำหรับการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงสามารถแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มดังนี้
ยาขับปัสสาวะ  (diuretics) เป็นกรุ๊ปยาที่นิยมใช้ในคนไข้ที่มีการดำเนินงานของไตรวมทั้งหัวใจเปลี่ยนไปจากปกติ ยากลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่น ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) เมโทลาโซน (metolazone)
ยาต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่ศีรษะใจรวมทั้งหลอดเลือดแดงเพื่อยั้งการโต้ตอบต่อประสาทซิมพาธิติกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงรวมทั้งความดันโลหิตลดลง ยาในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะครั้งโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์ขวางตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินเพิ่มขึ้นยากลุ่มนี้ ดังเช่นว่า แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) เป็นต้น
ยาต่อต้านแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยับยั้งการเขยื้อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามเนื้อฝาผนังเส้นโลหิตคลายตัวอาจทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ดังเช่นว่า ยาเวอราปามิวล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิปีนป่าย (nifedipine)
ยาต่อต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต้านโพสไซแนปติกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) และก็ออกฤทธิ์ขยายเส้นโลหิตส่วนปลายทำให้เส้นโลหิตขยายตัว ยาในกลุ่มนี้ตัวอย่างเช่น พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยับยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนสินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนซินสำหรับในการเปลี่ยนแปลงแองจิโอเทนสินวันเป็นแองจิโอเทนสินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้ได้แก่อีที่นาลาพริล (enalapril)
ยาขยายเส้นเลือด (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเรียบที่อยู่บริเวณเส้นเลือดแดงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวรวมทั้งยาต้านทางในฝาผนังหลอดเลือดส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้ดังเช่นว่าไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลและรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำนงชีพ (lifestylemodification)  เป็นความประพฤติสุขภาพที่จำเป็นต้องปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อลดความดันเลือด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญคนไข้โรคความดันโลหิตสูงทุกราย ควรจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิตพร้อมกันไปกับการรักษาด้วยยา ผู้เจ็บป่วยควรจะมีพฤติกรรมช่วยเหลือสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ดังต่อไปนี้ การควบคุมของกินแล้วก็ควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดอาหารที่มีเกลือโซเดียม  การออกกำลังกาย การงดดูดบุหรี่ การลดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์  การจัดการกับความเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันเลือดสูง โรคความดันเลือดสูงเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจาก สภาวะแรงกดดันเลือดในเส้นเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐาน โดยเหตุนั้นโรคความดันโลหิตสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันเลือดสูง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
  • การลดหุ่นในคนที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าในตอนแรกควรลดความอ้วน อย่างต่ำ 5 โล ในคนไข้ความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดจำนวนโซเดียม (เกลือ) ในของกิน ลดโซเดียมในของกิน เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดปริมาณแอลกอฮอล์ หรือจำกัดจำนวนแอลกอฮอล์ไม่เกิด 20 – 30 กรัมต่อวันในผู้ชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในผู้หญิง

จากการศึกษาเล่าเรียนของกินสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงเราชอบได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นของกินที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ แล้วก็ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดปริมาณไขมัน และก็ไขมันอิ่มตัวในของกิน
ตารางแสดงตัวอย่างของกิน DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน



 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
บริหารร่างกาย การบริหารร่างกายสำหรับคนที่มีความดันโลหิตสูง ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกสิเจน)หมายถึงการบริหารร่างกายที่มีการเคลื่อนโดยตลอดในตอนช่วงเวลาหนึ่งของกล้ามเนื้อผูกใหญ่ๆซึ่งเป็นการใช้ออกสิเจนสำหรับการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นเลือด อย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกๆวัน อย่างต่ำวันละ 30 นาที ถ้าเกิดว่าไม่มีสิ่งที่ไม่อนุญาต
                บริหารคลายเครียด การจัดการระงับความเครียดในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลและหลักจิตวิทยามีอยู่ 2 วิธี
-              มานะเลี่ยงเรื่องราวหรือภาวะที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเคร่งเครียดมากมาย
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตัวเอง ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้เราเครียด
กินยารวมทั้งรับการดูแลและรักษาตลอด กินยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา และก็เจอแพทย์ตามนัดทุกหน ไม่ควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตัวเอง สำหรับผู้ป่วยที่ทานยาขับเยี่ยว ควรกินส้มหรือกล้วยเป็นประจำ เพื่อตอบแทนโปแตสเซียมที่สูญเสียไปในปัสสาวะรีบพบแพทย์ข้างใน 1 วัน หรือ รีบด่วน มีลักษณะดังต่อไปนี้  ปวดศีรษะมาก อ่อนล้าอย่างมากกว่าธรรมดามาก เท้าบวม (ลักษณะของโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลมเป็นแล้ง (อาการจากโรคเส้นโลหิตหัวใจ ซึ่งต้องเจอหมอรีบด่วน) แขน โคนขาแรง กล่าวไม่ชัดเจน ปากเบี้ยว คลื่นไส้ อาเจียน (อาการจากโรคเส้นโลหิตสมอง ซึ่งจะต้องเจอหมอรีบด่วน)

  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคความดันโลหิตสูง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะคุ้มครองการเกิดโรคความดันเลือดสูง เป็นการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเรื่องการกิน การออกกำลังกายโดย

-              ควรควบคุมน้ำหนัก
-              กินอาหารที่เป็นประโยชน์ ครบ 5 กลุ่ม ในจำนวนที่สมควร เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารประเภทไม่หวานมากให้มากมายๆ
-              ออกกำลังกาย โดยออกยาวนานกว่า 30 นาที และออกแทบทุกวัน
-              ลดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-              พักผ่อนให้เพียงพอ
-              รักษาสุขภาพจิต แล้วก็อารมณ์
-              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมถึงวัดความดันโลหิต เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี จากนั้นตรวจสุขภาพบ่อยมากตามแพทย์ แล้วก็พยาบาลชี้แนะ
-              ลดของกินเค็ม หรือเกลือแกง น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) ทานอาหารพวกผัก และก็ผลไม้มากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อแนะนำสำหรับในการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนแนวทางในการเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋อง ผักดองและก็อาหารสำเร็จรูป
ถ้าจำเป็นต้องเลือกซื้ออาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรอ่านฉลากของกินทุกคราว แล้วก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับพลเมืองทั่วๆไปควรจะบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักแล้วก็เนื้อสัตว์ที่ใช้เตรียมอาหารให้สะอาด เพื่อชะล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือแล้วก็เครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศแล้วก็สมุนไพรที่มีจำนวนโซเดียมต่ำ ยกตัวอย่างเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหรี่ แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือและเครื่องปรุงรสต่างๆเป็นต้นว่า ซอส  ซีอิ๊วขาวรวมทั้งน้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อชิมของกินก่อนรับประทาน ฝึกหัดการรับประทานอาหารที่มีรสชาติพอดี ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ทำกับข้าวทานอาหารเองแทนการกินอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้ออาหารสำเร็จรูป
อาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง ได้แก่ ของกินที่ใช้เกลือแต่งรส เช่น  ซอสรสเค็ม (เช่น น้ำปลา ซี้อิ๊ว ซอสหอยนางรม เต้าเจี้ยว), ซอสหลายรส  (ตัวอย่างเช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซี้อิ๊วหวาน) ของก
122  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพร ทองหลางฝรั่ง เป็น ยาถ่ายได้ดีอีกด้วย เมื่อ: เมษายน 20, 2018, 12:47:23 pm

สมุนไพรทองหลางฝรั่[/b]
ทองหลางฝรั่ง Hura crepitans Linn.
บางถิ่นเรียก ทองหลางฝรั่ง (จังหวัดกรุงเทพมหานคร) โพทะเล โพฝรั่ง โพศรี (จังหวัดบุรีรัมย์) โพศรีมหาโพ (กึ่งกลาง).
ไม้พุ่ม หรือ ไม้ต้น สูงได้ถึง 13 ม. ใบ เดี่ยว เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ กว้าง 5-12 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ หรือ จะตื้นๆโคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบมากมาย สีอ่อน ข้างบนหมดจด ข้างล่างตามเส้นกึ่งกลางใบมีขนยาว ก้านใบยาว 4-20 ซม. ปลายใบมีก้านใบมีต่อม 2 ต่อม หูใบ รูปไข่ ยาว 9-15 มม. ดอก แยกเพศแม้กระนั้นผู้อยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อที่ยอด ก้านช่อยาว 2.5-8 ซม. ช่อดอกยาว 2.5-6 เซนติเมตร [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/u][/url]  มีดอกจำนวนไม่น้อย   กลีบรองกลีบดอกไม้ รูปถ้วย ยาว 2-3 มิลลิเมตร ขอบเรียบ หรือ หยักบางส่วน เกสรผู้ 11-30 อัน ชิดกันเป็นแท่งสีแดง โดยเรียงเป็นวง 2-3 วง. ดอกเพศเมีย ออกผู้เดียวๆใกล้กับช่อดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 1.25-1.75 เซนติเมตร ต่อมาจะยาวได้ถึง 6 ซม. กลีบรองกลีบรูปครึ่งวงกลม ล้อมรังไข่ ยาว 4-6 มม. ขอบกลีบเรียบ รังไข่ด้านในมี 11-14 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่เป็นแท่ง ปลายท่อเป็นรูปใบบัวเล็กๆหรือ รูปกรวย สีม่วงเข้ม มีหยักมนๆ11-14 หยัก กว้าง 1.5-2.5 ซม. ผล กลมแป้น ห้อยลง ปลายแหลมเป็นต้องอย มีสันตามแนวยาว แข็ง เส้นผ่าศูนย์กลาง 8-9 ซม. ยาว 4-5 ซม. เม็ด แบน.

นิเวศน์วิทยา
: มีบ้านเกิดในอเมริกา ปลูกเป็นไม้ประดับ.
คุณประโยชน์ : ใบ น้ำสุกใบกินแก้ปวดเรื้อรัง เมล็ด ใช้เป็นยาถ่ายและก็ทำให้อ้วก
123  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรยาต้นหญ้าถอดปล้อง สามารถนำมาเป็นยารักษาอาการเกี่ยวกับกระดูกได้ดี เมื่อ: เมษายน 07, 2018, 02:24:36 pm

สมุนไพรต้นหญ้าถอดปล้อ[/size][/b]
หญ้าถอดข้อ Equisetum debile Roxb.
บางถิ่นเรียกว่า หญ้าถอดข้อ หญ้านางเงือก ต้นหญ้าหูหนวก (เหนือ) เครือเซาะปอยวา แยปอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ต้นหญ้าบ้อง ต้นหญ้าสองบ้อง (กึ่งกลาง).
    ไม้ล้มลุก ลำต้นสีเขียว ตั้งตรง สูง 30-100 ซม. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-5 มิลลิเมตร เป็นปล้องๆด้านในกลวง ด้านนอกมีร่องตามทางยาว. ใบ ชิดกันเป็นรูปทรงกระบอกหุ้มห่อรอบข้อ ยาว 4-12 มิลลิเมตร สีเขียว ขอบแยกเป็นแฉกๆสีน้ำตาล หรือ ขาว แฉกกลุ่มนี้แห้งรวมทั้งตกง่าย แตกกิ่งตามข้อๆละ 1-4 กิ่ง. อวัยวะสืบพันธุ์ กำเนิดที่ยอด เป็นรูปขอบขนานแกมรูปรี สร้างหน่วยขยายพันธุ์เรียกสปอร์ สปอร์มีลักษณะกลม สีเขียว แล้วก็มีสายยาวๆ4 สาย พันอยู่รอบๆปลายของสายทั้ง 4 นี้ พองออกเป็นรูปตะบอง.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามริมสายธารทางภาคเหนือ.
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำต้มอีกทั้งต้น รับประทานเป็นยาขับเยี่ยว เป็นยาเย็น ตำเป็นยาพอกบาดแผล พอกกระดูกที่เดาะ หรือ หัก และพอกแก้ปวดตามข้อ
124  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ยาสมุนไพร เม้าเเดง ตามตำหรับโบราณ สามารถนำมาเป็นยาเสริมกำลังได้อีกด้วย เมื่อ: เมษายน 07, 2018, 08:45:12 am

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรเม้าแด
เม้าแดง Lyonia ovalifolia (Wall.) Drude
ชื่อพ้อง pieris ovalifolia D. Don เม้าแดง (จังหวัดเชียงใหม่).
     ต้นไม้ ขนาดเล็ก สูง 4-8 มัธยม เปลือกเรียบ ลอกออกเป็นแผ่นเล็กๆกิ่งสะอาด. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปไข่ ปลายแหลม โคนกลม หรือ มน ขอบใบเรียบ กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 ซม. เส้นกึ่งกลางใบ รวมทั้งเส้นกิ่งก้านสาขาใบนูน เส้นกิ้งก้านใบมีข้างละ 6-8 เส้น ด้านล่างมีขน ก้านใบยาว 3-10 มิลลิเมตร เกือบจะเกลี้ยง. สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 5-10 เซนติเมตร มีใบประดับที่โคนช่อดอก ก้านดอกยาว 3-4 มม. มีขนน้อย กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมชิดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบเชื่อมชิดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบและแยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบดอกไม้เชื่อมติดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบแล้วก็แยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ มีขนประปราย เกสรผู้ 8-10 อัน ก้านเกสรยาว มักมีขน และก็มีจงอย ลักษณะก็จะคล้ายเขาเล็กๆ2 อัน อยู่ใกล้ปลายก้าน อับเรณูรูปไข่ หรือ รูปขอบขนาน เมื่อแก่จะมีรูปเปิดออกทางด้านบน เกสรภรรยาข้างในมี 5 ช่อง. ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 มม. แก่จัดจะแตกตามยาว มีเม็ดจำนวนหลายชิ้น.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือ และก็ตะวันออกเฉียงเหนือ.
คุณประโยชน์ : ใบ และ ผล กินได้ บำรุงร่างกาย แม้กระนั้นทั้งต้นมีพิษ โดยเฉพาะยอดอ่อน ใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช ใบแห้งทำเป็นยาผง ทาแก้โรคผิวหนังบางจำพวก

Tags : สมุนไพร
125  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตามตำหรับยา ต้นหญ้าผมหงอก เป็นสมุนไพรที่สามารถรักษาอาการปวดข้องกระดูกได้ดีอีด้วย เมื่อ: เมษายน 05, 2018, 09:10:08 am

สมุนไพรหญ้าผมหงอ[/size][/b]
หญ้าผมหงอก Eriocaulon sexangulare Linn.
ต้นหญ้าผมหงอก (เมืองจันท์).
  พืชล้มลุก ใบเลี้ยงเดี่ยว. ใบ แบบใบหญ้า ออกเป็นกลุ่มที่โคนต้น มีขนาดกว้าง 3-6 มิลลิเมตร ยาว 7-30 ซม. ปลายแหลม เกลี้ยง มีเส้นใบขนานกันตามแนวยาว 15-17 เส้น. ดอก ออกเป็นช่อ ก้านช่อยาว 10-20 ซม. หมดจด เป็นสัน 5 สัน มีดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศภรรยาอยู่บนช่อเดียวกัน ดอกอัดกันแน่นเป็นหัวแทบกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มิลลิเมตร มีใบประดับช่อดอกราวๆ 10 ใบ รูปไข่ป้อมๆยาวโดยประมาณ 2.5 มิลลิเมตร ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอกไม้ 2 กลีบ เชื่อมชิดกันเป็นหลอด สีขาว สะอาด กลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นหลอด ปลายกลีบมี 3 หยัก ยาว 1.5 มม. เกสรผู้ 6 อัน เรียงเป็นสองวง อับเรณูรูปรี. [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/url] ดอกเพศภรรยา มีกลีบรองกลีบดอก 2 กลีบ ไม่ติดกัน โค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม มีขนาดกว้างโดยประมาณ 1 มิลลิเมตร ยาว 2 มิลลิเมตร ปลายแหลม หรือ มน กลีบดอก 3 กลีบ รูปช้อนออกจะยาว ยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ไม่ติดกัน ปลายกลีบมีต่อมสีดำขนาดเล็ก 1 ต่อม หลอดรังไข่สั้นมาก ปลายแยกเป็น 3 อัน. ผล แก่จัดจะแห้ง รวมทั้งแตก ผลมีเปลือกบาง ชอบมี 3 พู. เมล็ด รูปไข่ ยาวราวๆ 0.6 มม. มีขนสั้นๆแล้วก็นุ่มเรี่ยราย.

นิเวศน์วิทยา
: ถูกใจขึ้นตามที่ลุ่ม
คุณประโยชน์ : ต้น ต้นสดใช้เข้าเครื่องยา เป็นยาสงบประสาท ลดไข้ แก้ปวด และก็ขับฉี่
126  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไมเกรน - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 04, 2018, 02:47:16 pm

โรคไมเกรน (Migraine)
โรคไมเกรนคืออะไร โรคไมเกรนมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ ได้แก่ โรคปวดศีรษะไมเกรน , โรคปวดศรีษะด้านเดียว , โรคลมตะกัง ฯลฯ  โรคไมเกรนเป็นโรคที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ ลักษณะของการปวดหัวนั้นชอบปวดด้านเดียว หรือเริ่มปวดด้านเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดชอบย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้  แต่ว่าบางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งแต่ทีแรก  ลักษณะของการเกิดอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆเป็นระยะๆแต่ว่าก็มีบางขณะที่ปวดแบบทื่อๆส่วนใหญ่จะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก  โดยจะเบาๆปวดเยอะขึ้นที่ละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อยๆบรรเทาอาการปวดลงจนถึงหาย  ในเวลาที่ปวดศีรษะก็มักจะมีลักษณะอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย   ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แม้กระนั้นจำนวนมากจะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที  ได้แก่ สายตาพร่ามัว หรือ แลเห็นแสงสว่างกระพริบๆอาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายบางครั้งอาจจะปวดมากยิ่งขึ้นลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกว่าตื่นยามเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
            ลักษณะของการปวดหัวไมเกรนไม่เหมือนกับลักษณะของการปวดหัวปกติตรงที่ว่า ลักษณะของการปวดศีรษะปกติมักจะปวดทั่วอีกทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดทื่อๆที่ไม่รุนแรงนัก รวมทั้งมักจะไม่มีอาการอื่น ตัวอย่างเช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย  โดยมากจะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่ คนไข้โรคนี้ส่วนมากเป็นผู้หญิง โดยเฉลี่ยพบว่า หญิงราวๆ 15% จะเป็นโรคนี้ ใน ในช่วงเวลาที่ผู้ชายเจอเป็นโรคนี้เพียงประมาณ 6% โดยมีอัตราการเป็นโรคไมเกรนสูงสุดทั้งในสตรีรวมทั้งในเพศชายอยู่ที่ช่วงอายุ 30 -40 ปี ดังนี้เกือบจะไม่พบคนป่วยที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย แต่ปัจจุบันโรคนี้มียาที่สามารถรักษาทุเลาอาการ แล้วก็ยาที่คุ้มครองปกป้องอาการกำเริบของโรค มีการทำนองว่าใน 24 ชั่วโมง ทั่วทั้งโลกจะมีผู้เจ็บป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนราวๆ 3,000 คนต่อมวลชน 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาคือคนอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป ทวีปเอเชีย และแอฟริกา                                                                             
สาเหตุขอโรคไมเกรน[/url] มูลเหตุที่แท้จริงของไมเกรนยังไม่ทราบเด่นชัด แต่มีการสันนิษฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสำหรับในการปฏิบัติงานของระบบประสาทแล้วก็หลอดเลือดในสมองเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า ซีโรโทนิน หรือ serotonin (ซึ่งพบว่ามีปริมาณน้อยลงขณะที่มีลักษณะอาการกำเริบ) แล้วก็สารเคมีในสมองกลุ่มอื่นๆดังเช่น โดปามีน  ก่อให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ ๕ ที่ เลี้ยงบริเวณใบหน้าแล้วก็ศีรษะ และทำให้เส้นเลือดแดงในแล้วก็นอกกะโหลกศีรษะมีการอักเสบ และก็มีการหดแล้วก็ขยายตัวผิดปกติ หลอดเลือดในกะโหลกจะมีการหดตัวทำให้เปลือกสมองมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ส่วนเส้นโลหิตนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัว ทั้งสิ้นนี้ก่อให้เกิดอาการแสดงต่างๆของโรคไมเกรน
ตอนนี้พบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าโดยประมาณจำนวนร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ที่เป็นไมเกรน   มีประวัติว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้ด้วย ส่วนมูลเหตุกำเริบเสิบสานของไมเกรนนั้น คนเจ็บมักบอกได้ว่า แต่ละครั้งที่มีลักษณะปวดหัวจะมีแรงกระตุ้นหรือเหตุกำเริบแจ่มกระจ่าง ซึ่งแต่ละคนอาจมีเหตุกำเริบที่นาๆประการ และมักจะมีได้หลายๆอย่างด้านในการกำเริบครั้งเดียวเหตุกำเริบเสิบสานที่พบได้บ่อยๆเป็นต้นว่า

  • มีแสงไฟจ้าเข้าตา ดังเช่น ออกกลางแดดแรงๆแสงสว่างจ้า แสงกะพริบ แสงสีระยิบระยับในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์
  • การใช้สายตาเพ่งดูอะไรนานๆเช่น หนังสือ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บปักถักร้อย
  • การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ ได้แก่ ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก
  • การสูดดมกลิ่นฉุนๆอย่างเช่น กลิ่นสี กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสารเคมี ควันที่เกิดจากบุหรี่
  • การดื่มกาแฟมากๆก็อาจกระตุ้นให้ปวดได้
  • ยานอนหลับ เหล้า เบียร์สด ไวน์ ถั่วต่างๆกล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล ของกินทอดน้ำมัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม ยากันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
  • การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น อากาศร้อน หรือหนาวจัด
  • การอดนอน (นอนพักผ่อนน้อยเกินไป) หรือนอนมากเหลือเกิน การนอนตื่นสาย
  • การงดข้าว ทานข้าวไม่ถูกเวลา หรือกินอิ่มจัด เชื่อว่าเกี่ยวกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ บางครั้งพบว่า ผู้ป่วยไมเกรนเมื่อเป็นโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) อาการปวดจะหายไป
  • การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเครื่องบิน
  • การจับไข้ ดังเช่นว่า ตัวร้อนจากหวัด ไข้หวัดใหญ่
  • การบริหารร่างกายกระทั่งอ่อนแรงเกินความจำเป็น
  • ร่างกายเมื่อยล้า
  • การถูกกระแทกแรงๆที่ศีรษะ (อย่างเช่น การใช้หัวโหม่งฟุตบอลหรือตะกร้อ) ก็อาจจะก่อให้ปวดศีรษะทันที
  • อิทธิพลของฮอร์โมนเพศสำหรับผู้เจ็บป่วยหญิง มีผลต่อการเกิดอาการไมเกรนอย่างยิ่ง เช่น บางรายมีลักษณะปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือมีเมนส์ และก็มีไม่น้อยที่หายปวดไมเกรนขณะท้อง ๙ เดือน (มีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนสูง) บางรายกินยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโตรเจน) ทำให้ปวดบ่อยครั้งขึ้น พอหยุดรับประทานยาก็
  • ความตึงเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์ขุ่นหมอง ตื่นเต้น ตระหนกตกใจ
ซึ่งในอดีตกาลมีการค้นพบทฤษฏีที่เกี่ยวกับการเกิดอาการของไมเกรนเป็น

  • แนวความคิดเกี่ยวกับเส้นโลหิต (Vascular theory) แนวคิดนี้ถูกคิดขึ้นมาในช่วงปี พุทธศักราช 2483 โดย Wolff (หมอชาวอเมริกัน) ซึ่งอธิบายว่า อาการนำก่อนปวดศีรษะประเภทออรา (มีลักษณะนำ) มีเหตุมาจากเส้นโลหิตในสมองมีการหดตัว รวมทั้งเมื่อเส้นเลือดที่หดตัวขยายตัวออก จะทำให้มีอาการปวดหัวตามมา โดยหลักฐานช่วยเหลือคือ พบเส้นโลหิตนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัวและก็เต้นตุ้บๆและการให้ยาช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ลักษณะของการปวดศีรษะดียิ่งขึ้น ส่วนการให้ยาที่ขยายหลอดเลือด ทำให้อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็แล้วแต่ แนวคิดนี้ไม่สามารถชี้แจงอาการนำก่อนปวดหัวจำพวกไม่มีออรา (ไม่มีอาการนำ) และก็อาการร่วมที่เกิดระหว่างไมเกรนว่ากำเนิดได้เช่นไร นอกจากนี้ ยาบางตัวซึ่งไม่เป็นผลสำหรับการหดตัวของหลอดเลือด แต่ก็สามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ และการตรวจภาพหลอดเลือดสมองก่อนเกิดอาการและก็ระหว่างเกิดอาการ ก็ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้ ด้วยเหตุดังกล่าวปัจจุบันแนวความคิดนี้ก็เลยไม่ค่อยเป็นที่ยอบรับ

  • ทฤษฎีเกี่ยวกับเซลล์ประสาท เส้นเลือด รวมทั้งสารสื่อประสาทร่วมกัน (Neurovascu lar theory) Leao (แพทย์ชาวบราซิล) เป็นผู้เสนอแนวคิดนี้ในปี พุทธศักราช 2487 ซึ่งชี้แจงว่า เซลล์ประ สาทในสมองบางตัวเกิดการตื่นตัว รวมทั้งปลดปล่อยสารสื่อประสาท (สารเคมีที่มีบทบาทส่งต่อสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท) กระตุ้นเซลล์ประสาทใกล้เคียงให้ตื่นตัว รวมทั้งส่งต่อสัญญาณไปเรื่อยการที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้นนี้ เอามาอธิบายการเกิดอาการนำก่อนที่จะมีการปวดศีรษะของคนเจ็บได้ ส่วนอาการปวดศีรษะของคนไข้ชี้แจงได้จาก เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นไปเรื่อยๆกระทั่งไปกระ ตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทเฉพาะ เรียกว่า Trigerminal nucleus ซึ่งจะปล่อยสารเคมีหลายแบบที่มีผลนำมาซึ่งลักษณะของการปวดเข้าสู่เส้นโลหิต เว้นเสียแต่สารเคมีกลุ่มนี้ส่งผลให้เกิดลักษณะของการปวดแล้ว ยังส่งผลทำให้ เส้นเลือดขยายตัวอีกด้วย จากแนวความคิดพวกนี้ มีผู้ค้นพบเพิ่มต่อไปอีกมากมายในปัจจุบัน

อาการโรคไมเกรน เมื่อกำเนิดอาการปวดหัวด้านเดียว หลายๆท่านรู้เรื่องว่าเป็นโรคปวดไมเกรน เพราะว่าพวกเราเคยเรียกโรคปวดไมเกรนกันว่า โรคปวดหัวข้างเดียว จึงทำให้เข้าใจผิดคิดว่าถ้ามีลักษณะอาการปวดหัวด้านเดียวแปลว่าเป็นไมเกรน   โดยความเป็นจริงอาการปวดไมเกรนนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปวดศีรษะเพียงแค่ข้างเดียว บางทีอาจปวดสองข้างก็ได้ ในทางตรงกันข้าม อาการปวดหัวฝ่ายเดียวอาจไม่ใช่ไมเกรนก็ได้   โดยลักษณะโรคไมเกรนเป็นผลจากการขยายและก็หดของเส้นโลหิตที่กะโหลกศีรษะ โดยมักมีลักษณะอาการนำ (aura) ก่อนลักษณะของการปวด แม้กระนั้นปัจจุบันพบว่าบางทีอาจไม่มีอาการนำก็ได้  ที่สามารถแบ่งอาการโรคไมเกรนเป็น 4 ขั้น ตัวอย่างเช่น ระยะอาการนำ (Premonitory Symptom แล้วก็ Singn) ระยะอาการเตือน (Aura phase) ระยะปวดหัว (Headache) และระยะหายปวด    (Postdrome) ซึ่งคนเจ็บอาจไม่แสดงอาการในทุกขั้นก็ได้

อาการรวมทั้งอาการแสดงของ ไมเกรน แบ่งได้เป็นระยะต่างๆดังนี้

  • ระยะอาการนำ (Premonitory symptom แล้วก็ singn) มีอาการและก็อาการแสดงทางสมอง ซึ่งแสดงออกในรูปของความผิดปกติของหลักการทำงานของสมองแบบธรรมดา ความแปลกของระบบทางเดินอาหาร สมดุลย์ของน้ำในร่างกาย และก็อาการทางกล้ามเนื้อ ซึ่งปรากฎการณ์นี้ เจอราวๆ 40% ของคนไข้ไมเกรน อาการพวกนี้มักเอามาก่อนราว 3 ชั่วโมงก่อนเกิดลักษณะของการปวดหัวรวมทั้งบางทีอาจเกิดเร็วใน 1 ชั่วโมง หรือกำเนิดก่อนนานถึง 2 วัน อาการกลุ่มนี้มีทั้งอาการแสดงทางด้านจิตใจ อาการทางระบบประสาทและการเปลี่ยนแปลงในระบบอื่นๆของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น สมาชิเสีย อารมณ์รำคาญ เก็บเนื้อเก็บตัว ทำอะไรรวดเร็ว ทำอะไรซ้ำซากจำเจ คิดช้าทำช้า หรือทำอะไรงุ่มสวย บางคราวอารมณ์ร้าย ผู้ป่วยอาจมีหาวบ่อยครั้ง อยากนอนมากทนต่อแสงเสียงไม่ค่อยได้ ผิวหนังบางทีอาจไวต่อความรู้สึกทนต่อการสัมผัสมิได้ นอนมาก อิดโรยง่าย กล่าวไม่ชัดเจน คิดคำพูดไม่ออก กล่าวน้องลง กล้ามคอบางทีอาจตึง มีลักษณะอาการหมดแรงทั่วไป รู้สึกหนาวต้องห่มผ้าสำหรับห่ม หน้าซีด ขอบตาคล้ำ หนังตาหนักๆหรือตาลึก อาการทางเดินอาหารก็มีได้ทั้งยังอยากของกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่มีรสหวาน ไม่อยากกินอาหาร อุจจาระหลายครั้ง ท้องผูก ท้องขึ้น เจ็บท้อง อาการอื่นๆได้แก่ ปัสสาวะบ่อย อยากดื่มน้ำ บวมจึงทำให้มั่นใจว่าไมเกรน น่าจะเป็นปรากฎการณ์ของการเปลื่ยนแปลงทางวิชาชีวเคมีในเซลล์ประสาทรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเส้นเลือดในระยะปวดหัวเป็นปรากฎการณ์ที่ตามมาคราวหลัง
  • ระยะอาการเตือน (Aura phase) เป็นอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่ซึ่งกำเนิดก่อนลักษณะของการปวดหัวราว 30 นาที แล้วก็ส่วนใหญ่จะมีลักษณะอาการอยู่นาน 20-30 นาที โดยทั่วไปจะหายเมื่อกำเนิดลักษณะของการปวดศีรษะขึ้นมาแล้ว ซึ่งอาการที่พบได้มากคือ อาการไม่ปกติทางทางแลเห็น เป็นต้นว่า การเห็นแสงสี มองเห็นแสงระยิบ เห็นแสงสว่างดาวกระพริบ และอาจมีอาการชารอบๆนิ้วมือ แขนรวมทั้งบริเวณใบหน้า รวมทั้งบางทีอาจเจอภาวะพูดตรากตรำร่วมด้วย
  • ระยะปวดหัว (Headache) มักจะเริ่มเป็นช้าๆในเวลา 30-60 นาที ก่อนจะปวดศีรษะมากมายสุด แม้กระนั้นบางรายอาจสังเกตว่าปวดศีรษะหลังตื่นนอน ซึ่งทำให้ไม่เคยรู้ว่าตามที่เป็นจริงอาการปวดศีรษะเริ่มเป็นเมื่อใดรวมทั้งรวดเร็วเท่าใด บางรายความรุนแรงของลักษณะของการปวดศีรษะก็ดำเนินไปอย่างช้าๆกินเวลาครึ่งวันหรือทั้งวัน และก็ชอบค่อยๆหายไป แต่ในเด็กอาการเหล่านี้จะหายอย่างเร็ว วันหลังอ้วก ลักษณะปวดหัวนี้มีไม่ถึง 50% ที่ปวดแบบตุ๊บๆส่วนที่เหลือมักปวดตื้อๆหรือปวดราวกับมีอะไรมารัด ลักษณะปวดที่สำคัญในไมเกรน คือ อาการปวดในตำแหน่งต่างๆจะย้ายที่ได้และก็ย้ายข้างได้ ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นสำหรับการเป็นแต่ละครั้งหรือในการปวดครั้งเดียวกัน และก็อาการปวดกลุ่มนี้จะเป็นมากเมื่อมีการขยับเขยื้อนศีรษะ อาการร่วมขณะปวดหัวมักเป็นอาการทางระบบประสาทแล้วก็อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งในบางรายอาการกลุ่มนี้จะกำเนิดในระยะอาการนำซึ่งในแต่ละคนอาการจะต่างกันรวมทั้งอาการในคนๆเดียวกันการปวดหัวแต่ละครั้งก็อาจแตกต่างได้ด้วย อาการกลุ่มนี้เช่น ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเดิน รู้สึกเย็นปลายมือ ปลายตีน กลัวแสงสว่างกลัวเสียง ไม่ชอบให้ผู้ใดมาแตะตัว ไม่อาจจะทนต่อการสั่นสั่นสะเทือน บางบุคคลไวต่อกลิ่น หงุดหงิด ปวดต้นคอ อ่อนแรง คัดจมูก เดินตุปัดตุเป๋ หรือเหมือนจะเป็นลม อาการปวดหัวจะหายไปวันหลังได้นอน 45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หรือคราวหลังดื่มเครื่องดื่มร้อนๆหรือ ตอนหลังคลื่นไส้หรือได้ยาพารา
  • ระยะหายปวด (Postdromes) อาการที่สำคัญเป็นเมื่อยล้า ซึ่งบางรายจะมีลักษณะอ่อนกำลังของกล้ามและปวดกล้าม มีลักษณะเคลิบเคลิ้ม หรือมีอารมณ์ไม่แจ่มใส ขาดสมาธิ อารมณ์เสีย หาวมากมายเปลี่ยนไปจากปกติกินอาหารได้น้อย ฉี่มากหรืออยากดื่มน้ำ อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่นาน 1 ชั่วโมง ถึง 4 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน

นอกจากโรคไมเกรนแล้ว โรคปวดหัวยังมีอีกหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียด (tension headache) โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (cluster headache) แล้วก็ โรคปวดศีรษะเนื่องจากมีแรงดันในสมองสูง(increase intracranial pressure) เป็นต้น ซึ่งโรคกลุ่มนี้ก่อให้เกิดการปวดศีรษะเพียงแค่ฝ่ายเดียวได้
ซึ่งโรคปวดหัวที่อาจส่งผลให้หลงผิดคิดว่าเป็นไมเกรนหมายถึงโรคปวดหัวที่เกิดขึ้นมาจากความเครียด ซึ่งเป็นสภาวะที่พบได้ทั่วไปโดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีความรู้สึกหนักใจและก็เครียดตลอดระยะเวลา จำต้องดำเนินการกับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันวันละหลายๆชั่วโมง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและแขนมีการเกร็งตึง เป็นสาเหตุของการเกิดลักษณะของการปวดตึงรอบๆท้ายทอย ร้าวขึ้นไปที่ขมับข้างที่มีการตึงของกล้ามเนื้อ หรือเกิดอาการปวดรอบหัวคล้ายถูกรัด ซึ่งหากมีลักษณะอาการไม่มาก เมื่อพัก นวดเพื่อคลายกล้ามที่เกร็งรวมทั้งตึง อาการจะหายไปเอง แต่ว่าในรายที่มีอาการหนักบางทีอาจปวดต่อเนื่อง อย่างไรก็แล้วแต่ โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความเคร่งเครียดจะไม่กำเนิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาฟาง หรือเห็นแสงสี
โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ก็มีลักษณะปวดหัวฝ่ายเดียวได้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าจะปวดร้ายแรง ปวดบ่อยมาก มักปวดรอบตาและขมับ มีตาแดง ร้องไห้ และคัดจมูกในด้านเดียวกัน จะไม่มีคลื่นใส้อาเจียน ส่วนโรคปวดหัวที่เกิดเพราะเหตุว่ามีแรงดันในสมองสูงนั้น เกิดจากมีเรื่องผิดปกติในสมอง อาทิเช่น มีเนื้องงงวยอกในสมอง เลือดออกในสมอง น้ำคั่งในสมอง ฯลฯ ซึ่งจะต้องปรับปรุงแก้ไขที่ต้นสายปลายเหตุ
ด้วยเหตุนั้นก่อนที่จะสรุปว่าเป็นโรคปวดหัวไมเกรน ควรจะไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้กระจ่างแจ้งก่อน ไม่สมควรคิดเอาเองว่ามีอาการปวดศีรษะข้างเดียว มีความหมายว่าเป็นโรคปวดหัวไมเกรนแน่นอนแล้วไปหาซื้อยาแก้ไมเกรนมารับประทาน เพราะเหตุว่า การกินยาไมเกรนไม่ถูกควรจะมีอันตรายอย่างยิ่ง
กรรมวิธีรักษาโรคไมเกรน ขั้นตอนการวิเคราะห์ไมเกรนใช้หลักเกณฑ์ของ International Headche Society (IHS) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ป อาทิเช่น
ซึ่งปัจจุบันแพทย์มักจะวินิจฉัยจากอาการชี้แจงของผู้เจ็บป่วย ได้แก่ อาการปวดตุบๆที่ขมับ แล้วก็คลำได้เส้น (หลอดเลือด) ที่ขมับ เป็นๆหายๆเป็นบางโอกาส แล้วก็มีเหตุกำเริบเสิบสานแจ่มกระจ่าง โดยที่ตรวจร่างกายด้านอื่นๆ ให้ละเอียดแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติที่จะนำมาซึ่งลักษณะของการปวดศีรษะ
ฉะนั้น  การที่จะทราบว่าลักษณะของการปวดหัวนั้นมีต้นเหตุที่เกิดจากโรคไมเกรนหมอต้องกระทำวิเคราะห์จากลักษณะเจาะจงของอาการปวดหัว  อาการที่เกิดร่วมด้วย และก็ผลของการตรวจร่างกายระบบต่างๆแล้วก็การทำงานของสมองที่ปกติ  แต่ว่าอย่างไรก็ตาม โรคไมเกรนบางประเภทก็อาจจะส่งผลให้สมองปฏิบัติงานแตกต่างจากปกติไปชั่วครั้งชั่วคราวในขณะที่กำเนิดอาการปวดขึ้นได้ หมอควรต้องทำการวิเคราะห์แยกโรคให้ได้ โดยมีหลักสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ จากลักษณะเฉพาะเจาะจงคือ

  • ลักษณะต่างๆของลักษณะของการปวด : ตำแหน่ง ความร้ายแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
  • อาการที่เกิดร่วมด้วย ดังเช่น อาเจียน วิงเวียน
  • ความเปลี่ยนไปจากปกติของแนวทางการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่างๆที่อาจก่อให้กำเนิดลักษณะของการปวด อย่างเช่น ความคิดความอ่านเฉื่อย แลเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด ดังเช่นว่า ความเครียด แสงจ้าๆของกินบางจำพวก
  • สาเหตุดีขึ้นลักษณะของการปวด อาทิเช่น การนอน การนวดหนังหัว ยา

ในบางรายหมออาจชี้แนะการตรวจอื่นๆเพื่อจำกัดวงของต้นเหตุที่นำไปสู่ลักษณะของการปวด โดยยิ่งไปกว่านั้นกับคนป่วยที่มีอาการมากมายเปลี่ยนไปจากปกติ อาการสลับซับซ้อน หรือมีลักษณะที่ร้ายแรงรุนแรง เช่น

  • การพิสูจน์เลือด หมออาจให้มีการตรวจเลือดเพราะว่าอาจมีการติดเชื้อที่เส้นประสาทไขสันหลัง หรือสมอง รวมทั้งกำเนิดพิษในระบบร่างกายของคนเจ็บ
  • การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) แพทย์จะให้มีการตรวจแนวทางลักษณะนี้ถ้าหากสงสัยว่าผู้เจ็บป่วยมีการติดเชื้อโรค มีเลือดออกในสมอง
  • การใช้งานเครื่อง CT scan (Computerized Tomography) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา เป็นการใส่ความไม่ปกติต่างๆในร่างกาย โดยทำให้เห็นภาพของสมอง ให้แพทย์สามารถวินิจฉัยความเปลี่ยนไปจากปกติต่างๆได้มากขึ้น
  • การใช้งานเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเสมือนจริงของอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย โดยอาศัยแนวทางของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์เนื้องอก การอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง มองอาการการเลือดออกในสมอง การติดเชื้อ และสภาวะอื่นๆในสมองและระบบประสาท

การรักษาผู้เจ็บป่วยเป็นโรคไมเกรน    กระบวนการรักษาคนป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญดังเช่นว่า การบรรเทาอาการปวดศีรษะ   และการปกป้องไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดหัว  เมื่อตรวจเจอว่าเป็นไมเกรน หมอจะเสนอแนะข้อพึงปฏิบัติตัวต่างๆโดยเฉพาะ การหลีกเลี่ยงเหตุกำเริบเสิบสาน รวมทั้งจะให้ยารักษาดังต่อไปนี้

  • การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นต่างๆได้แก่ การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการนอนมากเกินความจำเป็น ความเคร่งเครียดการถูกแดดมากเกินความจำเป็น การได้รับประทานของกิน หรือเครื่องดื่มบางสิ่ง ดังเช่นว่า กาแฟ ชอคโกแลต อื่นๆอีกมากมาย อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ ส่วนใหญ่สาเหตุกระตุ้นกลุ่มนี้มักกำเนิดร่วมกันหลายๆอย่าง และก็ครั้งคราวเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ การออกกำลังกายที่บ่อยเป็นทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆพวกนี้ได้
  • การใช้ยารักษา การใช้ยารักษาควรใช้คราวที่มีความจำเป็นยาหวานใจษาพอเพียงสรุปได้ดังต่อไปนี้
ยาในการรักษาลักษณะของการปวดไมเกรนแบบเฉียบพลัน  ยกตัวอย่างเช่น

  • ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) อย่างเช่น ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen sodium, Paracetamol, Aspirin เป็นต้น
  • กลไกการออกฤทธิ์ : ยั้งเอมไซม์ cyclooxygenase (COX) นำมาซึ่งการทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างสาร prostaglandins จึงลดอาการอักเสบได้
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง
  • ขนาดยาที่ใช้
  • Ibuprofen รับประทานครั้งละ 200-600 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 3.2 กรัมต่อวัน
  • Naproxen sodium กินครั้งละ 275-550 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 1.65 กรัมต่อวัน
  • Paracetamol กินครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน
  • Aspirin รับประทานครั้งละ 650-1300 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน
  • อาการข้างเคียง: แผลในกระเพาะ
  • Ergot alkaloid ยกตัวอย่างเช่น ergotamine+caffeine tablet (Cafergot?)
  • กลไกการออกฤทธิ์: nonselective 5-HT receptor agonists โดยผลที่อยากได้หมายถึงทำให้หลอดเลือดที่สมองหดตัว
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาอาการปวดรุนแรง โดยเป็นยา first line สำหรับรักษาอาการปวดหัวไมเกรนทันควัน
  • ขนาดยาที่ใช้: Cafergot? (ergotamine 1 มก. แล้วก็ caffeine 100 มิลลิกรัม) รับประทานครั้งแรก 2 มก. ซ้ำได้ทุก 30 นาที ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 6 เม็ดต่อวันหรือ 10 เม็ดต่ออาทิตย์
  • อาการข้างเคียง: อ้วก คลื่นไส้
  • Triptans อาทิเช่น Sumatriptan, Naratriptan
  • กลไกการออกฤทธิ์: selective 5-HT receptor agonists โดยทำให้เส้นเลือดที่สมองหดตัวแต่ว่าเพราะเหตุว่าเป็น selective จึงมิได้ไปกระตุ้น receptor อื่นที่ทำให้เกิดอาการอาเจียน คลื่นไส้ เสมือนใน ergot alkaloid นำมาซึ่งการทำให้ไม่กำเนิดอาการคลื่นไส้ อ้วก
  • ข้อบ่งใช้: ทุเลาลักษณะของการปวดรุนแรงและกะทันหันรวมทั้งอาการที่ดื้อต่อยาแก้ปวดขนานอื่นๆโดยจัดเป็นยา first line สำหรับรักษาอาการปวดศีรษะ ไมเกรนทันควัน
  • ปริมาณยาที่ใช้:
  • Sumatriptan รับประทานทีละ 25-100 มก. แล้วก็สามารถกินซ้ำในชั่วโมงที่ 2 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน
  • Naratriptan รับประทานครั้งละ 2.5 มิลลิกรัมและก็สามารถรับประทานซ้ำในชั่วโมงที่ 4 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อวัน
  • อาการข้างเคียง: อาการแน่นหน้าอก, บริเวณใบหน้าร้อนแดง, อาเจียนอ้วก
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไมเกรน  คือ

  • กรรมพันธุ์ ราว 70% ของผู้เจ็บป่วยจะมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคปวดหัวไมเกรน รวมทั้งถ้ามีพี่น้องที่เป็นโรคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแบบมีอาการนำชนิดออรา (Auraหมายถึงอาการที่เกี่ยวกับความรู้สึก ดังเช่นว่า มองเห็นแสงสว่างวาบ มองเห็นจุดดำๆหรือรู้สึกซ่าในใบหน้าแล้วก็มือ) โอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีประมาณ 4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วๆไป โดยส่วนมากยังไม่ทราบว่ามีการถ่ายทอดผ่านยีน ตัวไหนชัดเจน แต่ว่าพบว่าอาจสามารถถ่าย ทอดผ่านทางจีนจากแม่สู่ลูกได้

แต่ บางชนิดของโรคปวดหัวไมเกรน ทราบตำแหน่งยีนที่แตกต่างจากปกติแน่ชัดเป็นโรคไมเกรนประเภทมีอัมพาตครึ่งด้านร่วมด้วย (Familial hemiplegic migraine) มีสาเหตุจากมีความผิด ธรรมดาที่บางตำแหน่งบนหน่วยพันธุกรรม (โครโมโซม/chromosome) คู่ที่ 1 หรือ 19 ซึ่งถ่าย ทอดทางพันธุกรรมได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะปวดศีรษะแบบมีลักษณะแขนขาอ่อนเพลียครึ่งส่วนเลว คราวร่วมด้วย

  • การเป็นโรคบางชนิด บุคคลที่มีโรคบางสิ่งจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ได้แก่ โรคลมชักบางประเภท โรคไขมันในเลือดสูงแบบที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคหืด ผู้ที่มีฝาผนังกั้น ห้องหัวใจห้องบนรั่ว โรคซึมเซา วิตกกังวล และโรคพันธุกรรมอีกหลากหลายประเภท

การติดต่อของโรคไมเกรน  โรคไมเกรนเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากความแตกต่างจากปกติของระดับสารเคมีในสมอง รวมทั้งการสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานไม่ดีเหมือนปกติของเส้นโลหิตสมอง ซึ่งถึงโรคไม
127  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคริดสีดวงทวาร - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 03, 2018, 01:36:16 pm

โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids/Piles)
โรคริดสีดวงทวาร เป็นยังไง โรคริดสีดวงทวาร มาจากคำสองคำประสมกัน เป็นคำว่า "ริดสีดวง" + "ทวาร"   คำว่า "ริดสีดวง" จะหมายคือ เรื่องผิดปกติที่เป็นติ่ง หรือเนื้อยื่นออกมาจากร่างกาย ซึ่งนิยมใช้เรียกโรคริดสีดวง ที่เกิดขึ้นที่ทวารหนักเสียเป็นส่วนมาก จนกระทั่งบางทีจะเรียกสั้นๆว่า  ริดสีดวงž ก็เป็นที่เข้าใจว่าเป็นโรคริดสีดวงของทวารหนัก
                ในอดีตมีอีกโรคหนึ่งที่ใช้คำว่าริดสีดวงเช่นกัน คือโรคริดสีดวงของจมูก ซึ่งหมายถึง เนื้องอกแตกต่างจากปกติในโพรงจมูก พบได้มากในผู้ป่วย โรคภูมิแพ้ประเภทเรื้อรัง ซึ่งตอนนี้ไม่นิยมเรียกว่าริดสีดวงจมูกแล้ว แต่จะเรียกเนื้อผลิออกในโพรงจมูกแทน
โรคริดสีดวงทวาร ก็คือ โรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการอักเสบ แล้วก็การบวมของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ที่อยู่ข้างในทวารหนักและก็บริเวณปากทวารหนัก โดยเนื้อเยื่อกลุ่มนี้มีบทบาทช่วยปกป้องเนื้อเยื่อทวารหนักในตอนมีการถ่ายอุจจาระ และช่วยทำให้ปากทวารหนักปิดสนิทตอนไม่ปวดขี้
โดยริดสีดวงทวารจะเกิดความผิดแปลกขึ้นในส่วนของรูทวารหนัก ที่เรียก ว่า หมอนรอง หรือ เบาะรอง (Cushion) หมอนรองจะอยู่ลึกเข้าไป ราวๆ 3-4 เซลเซียสม. ลักษณะเป็นก้อนนูนออกมา ภายในมี เส้นเลือดรวมทั้งกล้าม ซึ่งจะต่อกับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักแล้วก็อยู่ใต้ ต่อจากเยื่อบุทวารหนัก ริดสีดวงทวารหนักเกิด จากการเคลื่อนลงมาของหมอนรองมีการยืดตัวของกล้ามเนื้อรวมทั้งการ โป่งพองของกลุ่มเส้นโลหิตรวมทั้งเยื่อรอบๆส่วนปลายของลำไส้ตรง ในคนธรรมดาจะมีริดสีดวง (hemorrhoid tissue) ทุกคน โดยจะอยู่รอบๆ ส่วนล่างของทวารหนัก เนื้อเยื่อริดสีดวงจะมีอยู่ 3 กรุ๊ปใหญ่ๆเมื่อบวมหรืออักเสบจะมีพยาธิภาวะเป็น หัวริดสีดวง แล้วอาจมีการปริแตกของฝาผนังเส้นโลหิตในขณะเบ่งขี้ จึงทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว โดยชอบมีลักษณะอาการของโรคเกิดขึ้นในเวลาท้องผูกหรือเกิดท้องเสียบ่อยครั้ง ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีอาการร้ายแรงหรืออันตราย โดยบางครั้งอาจจะเป็นๆหายๆเรื้อรัง ทำให้น่าเบื่อหน่าย หรือทำให้วิตกกังวลได้
โรคริดสีดวงทวาร แบ่งได้เป็น 2 จำพวกหมายถึง

  • ริดสีดวงด้านใน (Internal Hemorrhoids) คือ ริดสีดวงที่อยู่เหนือเส้นสมมุติที่เรียกว่า dentate line (รอบๆ แถวๆรอยที่หยักๆ) เป็นกลุ่มเส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุไส้ด้านในรูทวารหนักปูดพอง (ขอด) ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อใช้กล้องส่องตรวจ
  • ริดสีดวงทวารนอก (External Hemorrhoids)หมายถึงริดสีดวงที่อยู่ใต้เส้น Dentate line เป็นกลุ่มหลอดเลือดดำที่ อยู่ใต้ไม่ถูกหนังบริเวณปากทวารหนักปูดพอง (ขอด) ที่สามารถเห็นรวมทั้งลูบคลำได้ไพเราะเพราะพริ้งผิวหนังรอบๆทวารจะถูกดันจนโป่งออกมาคนเจ็บก็เลยรู้สึกปวด

โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคพบได้มาก ในสหรัฐฯเจอคนไข้มีลักษณะอาการจากโรคนี้ได้โดยประมาณ 5% ของประชาชนคนแก่ทั้งผอง โดยพบได้สูงในช่วงอายุ 45-65 ปี โดยสตรีและผู้ชายได้โอกาสเกิดโรคได้ใกล้เคียงกันสิ่งที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร  มีสาเหตุจากกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดดังที่กล่าวมาแล้วได้รับบาดเจ็บ หรือมีการหมุนเวียนเลือด ไม่ดีจากสาเหตุต่างๆจนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการโป่งพอง บวม อักเสบ หรือกำเนิดมีลิ่มเลือดในกรุ๊ปเยื่อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมูลเหตุ จำนวนมากมีเหตุมาจากการเบ่งอึบ่อยๆนานๆซึ่งได้ผลสำเร็จของท้องผูก การตั้งท้อง พฤติกรรมการดำรงชีพ และก็ลักษณะของการถ่ายอุจจาระ ซึ่งการเบ่งอุจจาระเป็นประจำนานๆจะมีผลเพิ่มระดับแรงดันในช่องท้อง ทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดโลหิตดำรอบๆทวารหนักไม่สะดวก มีการยืด ย่น คด งอ พอง รวมทั้งโตขึ้นเป็นติ่งเนื้อ ราวการเป่าเติมลมเข้าไปในลูกโป่ง เมื่อลูกโป่งโตขึ้น ก็จะมีความดกของฝาผนังลดน้อยลง เมื่อใดก็ตามที่มีของแข็งๆมาเสียดสี ดังเช่นว่า อุจจาระแข็งหรือเพิ่มระดับแรงกดดันขึ้นอีก ก็จะมีผลให้มีการปริแตกหรือฉีกจนขาดของหลอดเลือดดำ กระตุ้นให้เกิดเลือดออกมาเป็นเลือดใหม่ๆได้
    นอกจากการเบ่งอึนานๆซึ่งเป็นต้นเหตุ หลักแล้ว ยังพบว่าระดับความดันเลือดในตับที่สูง (ซึ่งเกิดได้จากความอ้วน หรือโรคตับ) อายุที่มากขึ้น อาการท้องเดินเรื้อรังยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของโรคริดสีดวงทวารได้อีกด้วย
อาการโรคริดสีดวงทวารภายในเป็นคนเจ็บส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเลือดออกทางทวารหนัก โดยไม่เคยรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังถ่ายอุจจาระเสร็จ เลือดที่ออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นเลือดสีแดงสด ออกปนมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลหยดลงในโถส้วม และก็บางทีอาจสังเกตว่ามีเลือดเลอะเทอะบนกระดาษชำระ เลือดจะออกมาในลักษณะอาบก้อนอุจจาระ ไม่มีมูกผสม รวมทั้งเลือดชอบหยุดไหลได้เอง ซึ่งอาการพวกนี้จะมีลักษณะเป็นๆหายๆถ้ามีเลือดออกมากหรือเป็นเรื้อรัง อาจก่อให้เกิดอาการซีดเซียวตามมาได้ ในรายที่เป็นมาก เส้นเลือดจะบวมมากมาย ทำให้หัวริดสีดวงโผล่ออกมานอกปากทวารหนัก หรือเห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่มๆปลิ้นโผล่ออกมา ซึ่งในสภาวะแบบนี้จะมีผลให้เกิดอาการปวดหรือเจ็บที่ทวารหนักได้ ในบางรายอาจจะก่อให้เกิดอาการคันรวมทั้งอาการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ โดยทั่วไปแบ่งความร้ายแรงของโรคริดสีดวงข้างใน เป็น 4 ระดับตามความรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น

  • ระดับ 1 เส้นเลือดที่โป่งพอง ยังเกิดอยู่ภายในทวารหนักรวมทั้งลำไส้ตรง
  • ระดับ 2 หลอดเลือด พร้อมเนื้อเยื่อบริเวณเส้นเลือดปลิ้นโผล่ออกมาที่ปากทวารหนักในขณะอุจจาระ แม้กระนั้นก้อนเนื้อนี้สามารถกลับเข้าไปด้านในทวารหนักได้เองหลังสิ้นสุดอุจจาระ
  • ระดับ 3 ก้อนเนื้อไม่กลับเข้าภายในทวารหนัก หลังสุดอุจจาระแล้ว แต่ว่าสามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปได้
  • ระดับ 4 ก้อนเนื้อกลับเข้าไปข้างในทวารหนักมิได้ ค้างอยู่หน้าปากทวารหนัก ถึงแม้จะใช้นิ้วช่วยดันแล้วหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งระยะนี้ผู้เจ็บป่วยจะเจ็บมากมาย ที่มา : Wikipedia

และก็จะต้องรีบเจอหมอเป็นการรีบด่วน ก่อนที่จะก้อนเนื้อจะเน่าตายจากการขาดเลือด
อาการโรคริดสีดวงภายนอก คือ มีติ่งเนื้อสีชมพูคล้ำออกมาจากปากทวารหนักเมื่อมีลักษณะท้องผูกหรือท้องร่วง ทำให้คนไข้มีลักษณะอาการปวด บวม เจ็บ แล้วก็ระคาย รวมทั้งหากมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในเส้นเลือดที่โป่งพองจะมีผลให้เกิดลักษณะของการปวด บวม เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มักจะไม่ค่อยพบว่ามีเลือดออกมาจากติ่งเนื้อนี้ ซึ่งปกติแล้วมักจะหายเจ็บได้ข้างใน 2-3 วัน อย่างไรก็ดี กว่าจะหายบวมอาจจำต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 2-3 อาทิตย์ เมื่อหายก็ดีแล้วอาจจะยังมีผิวหนังเป็นติ่งหลงเหลืออยู่ และแม้หัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ก็อาจจะก่อให้เกิดการเคืองหรือคันรอบๆรอบปากทวารหนักได้ด้วย
แนวทางการรักษาโรคริดสีดวงทวาร แพทย์จะวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารได้จาก ความเป็นมาอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจก้อนเนื้อรอบๆทวารหนัก รวมทั้งการส่องกล้องตรวจทวารหนักรวมทั้งลำไส้ตรง ในบางครั้งอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เมื่อต้องแยกจากโรคมะเร็ง โดยแพทย์จะวิเคราะห์ในอาการสำคัญๆพวกนี้เป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น

  • มีเลือดแดงสดหยดออกมา หรือพุ่งออกมาขณะเบ่งถ่าย หรือหลังถ่ายอุจจาระ จำนวนแต่ละครั้งไม่มากมายหนัก ไม่มีอาการปวดหรือแสบของทวาร
  • มีก้อนเนื้อปลิ้นจากข้างในขณะเบ่งอุจจาระ แล้วก็ยุบกลับเข้าเมื่อหยุดเบ่ง เมื่อเป็นมากจำเป็นต้องดันก็เลยจะกลับเข้าไป และก็ขั้นตอนสุดท้ายบางทีอาจย้อนอยู่ภายนอกตลอดระยะเวลา
  • มีก้อนแล้วก็ปวดที่ขอบทวารเกิดขึ้นเร็วใน 1 วัน รวมทั้งเจ็บมากในช่วงเวลา 5-7 วันแรก

ขั้นตอนการรักษาโรคริดสีดวงทวาร เช่น ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร และการใช้ยาต่างๆตัวอย่างเช่น ยาทาลดอาการคัน ยาเหน็บทวารลดอาการบวม ปวด และก็ยาพารา ฯลฯ แม้กระนั้นเมื่อการดูแลรักษาในลักษณะประคับประคองไม่ได้ผล การดูแลรักษาขั้นถัดไปหมายถึงการดูแลและรักษาทางศัลยกรรม ที่มีหลายรูปแบบ ได้แก่ การจี้ด้วยไฟฟ้า หรือ เลเซอร์ การฉีดยาเข้าเส้นโลหิต เพื่อให้เส้นเลือดยุบยุบ การผูกหลอดเลือด หรือการผ่าตัดหลอดเลือด ทั้งนี้ ขึ้นกับความรุน แรงของโรค ข้อชี้ชัด และก็ดุลยพินิจของแพทย์ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • การดูแลรักษาแบบทะนุถนอมอาการ ดังเช่นว่า การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันในกรุ๊ปเนื้อเยื่อเส้นเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร และการใช้ยาต่างๆซึ่งมักใช้ในกรณีที่เป็นริดสีดวงทวาร โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุที่ร้ายแรง ตัวอย่างเช่น
  • กระทำตามคำเสนอแนะของหมอ ดังเช่น การใส่ยาทาบริเวณศีรษะริดสีดวง การเหน็บยา หรือการกินยาต่างๆตามที่หมอสั่ง
  • ระวังอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำผู้ป่วยควรรับประทานผักและก็รับประทานผลไม้ที่มีกากใยสูงๆให้มากมายๆและก็กินน้ำให้มากๆอย่างต่ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มและก็ถ่ายออกได้ง่าย
  • ฝึกฝนขับถ่ายอุจจาระให้ตรงเวลา ไม่กลั้น และไม่เบ่งอุจจาระมากเกินความจำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด
  • การดูแลและรักษาทางศัลยกรรม (ถ้าเกิดใช้วิธีการรักษาแบบเกื้อกูลมาสุดแต่ไม่เป็นผล) ดังนี้ ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ข้อบ่งชี้ แล้วก็ดุลยพินิจของหมอ เป็นต้นว่า
  • การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงทวาร ตัวยาจะก่อให้หลอดเลือดดำฝ่อและหัวริดสีดวงยุบไป มักใช้กับโรคริดสีดวงในระยะที่ 2 แนวทางนี้เป็นวิธีที่สบาย ปลอดภัย ไม่มีความเจ็บปวด หมอชอบนัดหมายมาฉีดสัปดาห์ละครั้งประมาณ 3-5 ครั้ง สามารถช่วยให้หายสนิทได้โดยประมาณ 60-70%
  • การดูแลและรักษาโดยวิธีการใช้ยางรัด (Rubber band ligation) หรือยิงยางรัดโคนหรือหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมา ซึ่งจะก่อให้หัวของริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเองข้างใน 5-7 วัน วิธีจะใช้ได้ผลในด้านที่ดีในระยะ 2 โดยเฉพาะเมื่อหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ ผู้เจ็บป่วยมักไม่มีลักษณะของการเจ็บปวด แต่แม้รัดยางใกล้กับแนวเส้นประสาทมากเกินไป จะทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บอย่างหนักโดยทันที
  • การทำลายเนื้อเยื่อด้วยการเผา เป็นขั้นตอนการรักษาที่ใช้กับโรคริดสีดวงระยะที่ 2 แต่ว่ายังไม่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ปกติแล้วแพทย์จะใช้เฉพาะเมื่อวิธีอื่นไม่ได้เรื่อง ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายแนวทาง ได้แก่ การเผาเนื้อเยื่อด้วยการใช้ไฟฟ้าจักจี้, การฉายรังสีอินฟราเรด, การใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัด, การผ่าตัดด้วยการใช้ความเย็น เป็นต้น (การทำลายเยื่อด้วยแสงอินฟราเรดบางทีอาจเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับในกรณีที่เป็นโรคในระยะที่ 1-2 ส่วนระยะที่ 3-4 การกลับมาเป็นซ้ำจะมีอัตราที่สูง)
  • การผ่าตัดริดสีดวงทวาร มักทำให้ในกรณีที่เป็นมากแล้วในระยะที่ 3-4 หรือเมื่อมีลิ่มเลือด หรือมีการขาดเลือดของริดสีดวงทวาร ความเป็นจริงแล้วการผ่าตัดริดสีดวงไม่ใช่เรื่องน่าสะพรึงกลัว และไม่เจ็บในขณะผ่าตัด เพราะหมอจะให้ยาสลบหรือฉีดยาชาเข้าไขสันหลังก่อนเสมอ หลังการผ่าตัดผู้เจ็บป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดบ้าง แต่ว่าก็ไม่มากมายก่ายกองแต่อย่างใด รวมทั้งสามารถหยุดได้ด้วยการกินยาแก้ปวด นอนพักฟื้นในโรงหมอประมาณ 3-4 วันก็กลับไปอยู่ที่บ้านได้

ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคริดสีดวงทวาร เหตุที่กระตุ้นให้เกิดโรคริดสีดวง

  • พันธุกรรม
  • อาชีพ อย่างเช่น คนที่ต้องยืนนานๆ
  • มีเหตุมาจากโรคแทรกของโรค อาทิเช่น โรคตับแข็ง ซึ่งจะมีลักษณะโรคท้องมานในระยะในที่สุด และก็เมื่อมีน้ำในท้องมากมายๆจะส่งผลไปกดการไหลเวียนของโลหิตในท้อง เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ดีนัก
  • ท้องผูก จะต้องเบ่งถ่ายอุจจาระเสมอๆ
  • หญิงท้อง เพราะมีการเพิ่มระดับความดันในช่องท้อง การขยายตัวของเส้นเลือดที่ปากทวารหนักร่วมกับท้องผูก
  • โรคอ้วนและก็น้ำหนักตัวเกิน ทำให้เพิ่มแรงกดดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานสูงมากขึ้น เลือดจึงคั่งในกลุ่มเยื่อเส้นเลือดเช่นเดียวกับในหญิงตั้งท้อง
  • ท้องเดินเรื้อรัง การอุจจาระบ่อยๆจะเพิ่มความดัน และก็/หรือการเจ็บต่อกรุ๊ปเนื้อเยื่อเส้นเลือด ด้วยเหมือนกัน
  • โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในเส้นเลือดดำในเยื่อเส้นเลือดซึ่งช่วยสำหรับเพื่อการไหลเวียนของโลหิต จึงเกิดภาวะเลือดคั่งในเส้นเลือด ก็เลยเกิดเส้นเลือดโป่งพองง่าย
  • การนั่งแช่นานๆรวมทั้งนั่งอุจจาระนานๆจะกดทับกรุ๊ปเยื่อหลอดเลือด จึงเพิ่มระดับความดัน/การเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
  • การมีเซ็กส์ทางทวารหนัก ก็เลยเกิดการกดแทรกทับ/เจ็บต่อกรุ๊ปเยื่อเส้นโลหิตส่วนนี้เรื้อรัง จึงมีเลือดคั่งในเส้นโลหิต กำเนิดโป่งพองได้ง่าย

การติดต่อของโรคริดสีดวงทวาร โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการอักเสบ รวมทั้งการบวมของเยื่อหลอดเลือดของทวารหนัก รวมทั้งเมื่อมีของแข็งๆมาเสียดสี หรือมีการเพิ่มระดับแรงกดดันในช่องท้องขึ้น ก็เลยกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรคริดสีดวงทวารขึ้น ซึ่งโรคริดสีดวงทวารนี้มิได้เป็นโรคติดต่อแต่อย่างได
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร

  • ทายาทาบริเวณก้น/รอบๆริดสีดวง หรือ เหน็บยาตามหมอชี้แนะ
  • รับประทานยาต่างๆแล้วก็ยาแก้ปวดตามหมอเสนอแนะ
  • เมื่อมีก้อนเนื้อบวมออกมารอบๆตูด บางทีอาจประคบด้วยน้ำเย็น ซึ่งอาจช่วยลดบวมได้
  • เมื่ออุจจาระ/ฉี่ ไม่สมควรทำความสะอาดด้วยกระดาษชำระที่แข็ง ควรจะชุบน้ำ หรือ ใช้กระดาษชำระประเภทเปียก (มีขายในท้องตลาดแล้ว)
  • เมื่อเลือดออกมาก ใช้ผ้าขนหนูสะอาดกดบริเวณก้นไว้ให้แน่น ถ้าเกิดเลือดไม่หยุด ควรจะพบหมอเป็นการรีบด่วน
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆอย่างต่ำวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำ
  • กินผัก ผลไม้ชนิดมีกากใยสูงมากมายๆอาทิเช่น ฝรั่ง แอบเปิ้ล มะละกอสุก เพื่อป้องกันท้องผูก
  • ฝึกฝนอุจจาระให้ตรงเวลา ไม่กลั้น และไม่เบ่งอุจจาระ
  • ไม่ควรนั่ง หรือ ยืนนานๆและก็นั่งส้วมนานๆไม่นั่งอ่านหนังสือนานๆขณะอุจจาระ
  • เจอแพทย์ตามนัดหมายเสมอ รวมทั้งรีบพบก่อนนัดเมื่อมีลักษณะอาการแตกต่างจากปกติไปจากเดิม หรือ เมื่ออาการต่างๆเหลวแหลกลง หรือเมื่อเป็นห่วงในอาการ

การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคริดสีดวงทวาร

  • หลบหลีกอาการท้องผูก ด้วยเหตุว่าท้องผูกเป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของริดสีดวงทวารหนัก ทั้งที่ยังไม่ตายที่มาของการเบ่ง และทำให้อุจจาระแข็ง ซึ่งมีทางแก้ไขอาการท้องผูกด้วยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ดังนี้
  • รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ตัวอย่างเช่น ผัก ผลไม้ แล้วก็ธัญญาหาร เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น
  • ควรกินน้ำอย่างต่ำวันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร อย่างสม่ำเสมอ
  • ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แล้วก็กาเฟอีน เช่น สุรา เบียร์สด เหล้าองุ่น กาแฟ ชา น้ำวัวล่า เพราะเหตุว่าจะมีผลให้ร่างกายขาดน้ำ อุจจาระแข็ง รวมทั้งถ่ายตรากตรำขึ้น
  • ควรหลบหลีกกลั้นอุจจาระ
  • ไม่สมควรนั่งหรือเบ่งอุจจาระโดยไม่รู้จักสึกปวดจะถ่าย
  • ควรเลี่ยงการขัดเช็ดรอบๆทวารหนักอย่างหนัก เนื่องจากว่าจะยิ่งเคืองริดสีดวงทวารหนัก
  • ควรจะบริหารร่างกายสม่ำเสมอ เพราะเหตุว่าจะช่วยเพิ่ม กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้อึได้ง่าย
  • เลี่ยงการใช้ยาระบายอย่างหนัก หรือการสวนทวาร
  • พักผ่อนนอนให้เพียงพอ
  • หลบหลีกความเครียด ทำจิตใจให้สบายอยู่เป็นประจำ
  • เมื่อมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน หรือ มีภาวการณ์อ้วนควรจะลดความอ้วนเพื่อลดระดับความดันในช่องท้องแล้วก็อุ้งเชิงกราน
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษาโรคริดสีดวงทวาร
เพชรสังฆาต
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Cissus quadrangularis  L.
สกุล :   Vitaceae
สารเคมี :  เถา มีผลึก calcium oxalate รูปเข็มจำนวนไม่ใช่น้อยต้นสด 100 กรัม ประกอบด้วย carotene 267 มิลลิกรัม, ascorbic acid (Vitamin C.) 398 มก.
สรรพคุณ :  เถา – ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก
แก้ริดสีดวงทวาร  ใช้เถาสด 2-3 องคุลีต่อหนึ่งมื้อ กินสดๆถ้าเกิดเคี้ยวจะคันปากคันคอ เพราะในสมุนไพรนี้จะมีสารเป็นผลึกรูปเข็มอยู่มากมาย เป็นสารลักษณะเดียวกันกับที่เจอในต้นบอน ต้นเผือก การรับประทานจึงใช้ใส่ไส้ในกล้วยสุก หรือมะขาม แล้วกลืนลงไป รับประทาน 10-15 วัน จะได้ผล
ครอบฟันสี
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Abutilon indicum (L.) Sweet
ชื่อสามัญ :   Country mallow, Indian mallow
ตระกูล :   Malvaceae
ราก มี Asparagin
คุณประโยชน์ : ราก - ปวดท้อง ท้องร่วง ริดสีดวงทวาร ขับปัสสาวะ
แก้ริดสีดวงทวาร  ใช้ราก 150 กรัม ต้มเอาน้ำข้นๆดื่มโดยประมาณ 1 ถ้วยชา ที่เหลืออุ่นเอาไอรมที่ตูดเพียงพออุ่นๆทนได้ ใช้รมวันละ 5-6 ครั้ง เอาน้ำอุ่นๆชำระล้างแผลริดสีดวงทวาร
ขลู่
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Pluchea indica  (L.) Less.
ชื่อสามัญ :  Indian Marsh Fleabane
สกุล :   Asteraceae (Compositae)
สรรพคุณ :
ทั้งยังต้นสด หรือแห้ง - ปรุงเป็นยาต้มรับประทานขับเยี่ยว แก้โรคนิ่วในไต แก้ฉี่ทุพพลภาพ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ริดสีดวงจมูก
เปลือก ใบ เมล็ด  - แก้ริดสีดวงทวาร ริดสีดวงจมูก
ใบ - มีกลิ่นหอมสดชื่น แก้ริดสีดวงทวาร
ยาริดสีดวงทวาร ใช้เปลือกต้น ต้มน้ำ เอาไอรมทวารหนัก แล้วก็รับประทาน แก้โรคริดสีดวงทวาร หรือใช้เปลือกต้น (ขูดเอาขนออก) แบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 นำมาตากแห้ง ทำเป็นยาสูบ
ส่วนที่ 2 เอามาต้มน้ำกิน
ส่วนที่ 3 ต้มน้ำเอาไปรมทวารหนัก
ว่านหางจระเข้
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe vera  (L.)  Burm.f.
ชื่อพ้อง : Aloe barbadensis  Mill
ชื่อสามัญ :  Star cactus, Aloe, Aloin, Jafferabad, Barbados
สกุล :  Asphodelaceae
สารเคมี:   ใบมี Aloe-emodin, Alolin, Chrysophanic acid Barbaboin, AloctinA, Aloctin B, Brady Kininase Alosin, Anthramol Histidine, Amino acid , Alanine Glutamic acid Cystine, Glutamine, Glycine.
คุณประโยชน์ :
ยางในใบ - เป็นยาระบาย
เนื้อวุ้น - เหน็บทวาร รักษาริดสีดวงทวาร
เป็นยาถ่าย/ยาระบาย ใช้น้ำยางสีเหลืองที่มีรสขม อ้วก อ้วก น้ำยางสีเหลืองที่ไหลออกมาระหว่างเปลือกนอกของใบกับตัววุ้น จะให้ยาที่เรียกว่า ยาดำ
สารเคมี - สารสำคัญในยาดำเป็น G-glycoside ที่มีชื่อว่า barbaloin (Aloe-emodin anthrone C-10 glycoside)
รักษาริดสีดวงทวาร นอกเหนือจากการที่จะช่วยรักษาแล้ว ยังช่วยบรรเทาลักษณะของการปวด อาการคันได้ด้วย โดยทำความสะอาดทวารหนักให้สะอาดและก็แห้ง ควรปฏิบัติภายหลังการอุจจาระ หรือข้างหลังอาบน้ำ หรือก่อนนอน เอาว่านหางจระเข้ปอกส่วนนอกของใบ แล้วเหลาให้ปลายแหลมบางส่วน เพื่อใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ถ้าหากจะให้เหน็บง่าน นำไปแช่ตู้แช่เย็น หรือน้ำแข็งให้แข็ง จะมีผลให้ใส่ได้ง่าย จำเป็นต้องหมั่นเหน็บวันละ 1-2 ครั้ง กระทั่งจะหาย
ไฟทวาร
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Clerodendrum serratum  (L.) Moon. var.wallichii  C.B.Clarke
สกุล :   Limiaceae (Labiatae)
สรรพคุณ : ใบ, ราก, ต้น – ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร
ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร

  • นำรากหรือต้นยาว 1-2 องคุลี ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆทาที่ริดสีดวงทวาร เป็นยาเกลื่อนหัวริดสีดวง
  • นำใบ 10-20 ใบ มาตากแห้ง บดให้เป็นผง แล้วคลุกกับน้ำผึ้งรวง ปั้นเป็นเม็ดขนาดเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ทุกๆวันต่อเนื่องกัน 7-10 วัน
  • ใช้ใบแห้งป่นเป็นผุยผง โรยในถ่านไฟ เผาเอาควันรมหัวริดสีดวงผลิออกทวารหนัก ให้ยุบฝ่อ
เอกสารอ้างอิง

  • ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด.ยารักษาโรคริดสีดวง.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่337.คอลัมน์การใช้ยาพอเพียง.พฤษภาคม.2550
  • ขลู่.กลุ่มยารักษาริดสีดวงทวาร.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • แนะนำการปฏิบัติตัวโรคริดสีดวงทวาร.เอกสารเผยแพร่.ห้องตรวจศัลยกรรม.งานพยาบาลผู้ป่วยนอก กลุ่มภารกิจบริการวิชาการโรงพยาบาลราชวิถี.
  • Mounsey, A., Halladay, J., and Sadiq, T. (2011). Am Fam Physician. 84, 204-210. http://www.disthai.com/[/b]
  • เพชรสังฆาต.กลุ่มยารักษาริดสีดวงทวาร.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Chen, Herbert (2010). Illustrative Handbook of General Surgery. Berlin: Springer. p. 217. ISBN 1-84882-088-7.
  • ครอบฟันสี.กลุ่มยารักษาริดสีดวงทวาร.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 551-553.
  • ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. “ผ่าตัดริดสีดวงทวารอย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย)”.  (ผศ.ดร.นพ.วรุตม์ โล่ห์สิริวัฒน์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : si.mahidol.ac.th.  [05 มี.ค. 2016].
  • อัคคีทวาร.กลุ่มยารักษาริดสีดวงทวาร.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • ธีรพล อังกูรภักดีกุล.(2546).ริดสีดวงทวาร.Healthtoday,ปีที่3(ฉบับที่25),หน้า68-73.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ท้องผูกและริดสีดวงทวาร.(พิมพ์ครั้งที่1).กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน(2546).
  • ว่านหางจระเข้.กลุ่มยารักษาริดสีดวงทวาร.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • รศ.นพ.วิรุณ บุญชู.ริดสีดวงทวาร.ภาควิชาศัลยศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
128  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคโรคลมชัก (Epilepsy) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 03, 2018, 09:58:52 am

โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชักเป็นยังไง โรคลมชัก หรือ โรคลมหวน มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ:  คือ ยึด ครอง หรือ ทำให้ป่วยหนัก โดยเป็นกลุ่มโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากจนเกินไปของเซลล์ประสาท ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรคลมชัก ก็คือโรคที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งปฏิบัติภารกิจสำหรับการควบคุมการทำงานของร่างกาย จนกระทั่งกระตุ้นให้เกิดอาการชัก
                โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบได้ทั่วไป ในรายงานการเรียนรู้โดย World Health Organization (WHO) และก็ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ พบว่าปริมาณร้อยละ 72.5 ของประเทศเหล่านี้บอกว่าโรคลมชักพบได้มากเป็นชั้นสองรองจากโรคปวดศีรษะ ในเวลาที่โรคเส้นเลือดสมองเป็นชั้นสามเป็น ปริมาณร้อยละ 62.7 ประมาณว่าทั้งโลกน่าจะมีคนที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะเท่ากับหนึ่งในสี่ของจำนวนคนที่เป็นโรคลมชักทุกอายุ และก็ในทุกๆปี คงจะมีคนที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่เป็นโรคลมชัก ราว 3.5 ล้านคน ซึ่งร้อยละ 40 จะเป็นผู้เจ็บป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังพัฒนา
                ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงคือตอนทารกแรกเกิดรวมทั้งเด็กตัวเล็กๆ สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดโรคลมชักในตอนวัยแรกเกิดมักจะเป็นพยาธิสภาพที่เกิดในช่วงการคลอดอาทิเช่นผลการขาดออกซิเจน การต่อว่าดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนชราเป็นตอนๆที่มีโอกาสกำเนิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในตอนนี้คงจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยชราเพิ่มขึ้นขณะที่ในตอนวัยทารกลดน้อยลงเนื่องมาจากความสามารถทางด้านการแพทย์สำหรับเพื่อการดูแลผู้ป่วยดีขึ้น ปัญหาด้านสุขภาพแตกต่างจากเดิม การติดเชื้อที่ระบบประสาทที่บางทีอาจจะเป็นสาเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มลดน้อยลงจากการที่มีวัคซีนคุ้มครองโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคเส้นเลือดสมองซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาความประพฤติสำหรับในการทานอาหารไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้น อื่นๆอีกมากมาย สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็ก เนื่องมาจากปัญหาสุขอนามัยโรคติดเชื้อ ความสามารถสำหรับการดูแลรักษาคนป่วยยังจำกัด มีการประมาณว่าคนไทยทั้งประเทศ เป็นโรคลมชักโดยประมาณ 450,000 คน แล้วก็ประชากรโดยธรรมดายังมีความรู้ความเข้าใจต่อโรคลมชักไม่มากมาย
                ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคลมชัก หากได้รับการรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ตอนแรกเกิดอาการ คนไข้จะสามารถดำรงชีพได้แก่คนธรรมดา เรียนหนังสือ ดำเนินการ เล่นกีฬา ออกสังคม รวมถึงสามารถสมรสได้ แต่ว่าถ้าเกิดปล่อยปละละเลยไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง ปลดปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจจะส่งผลให้โรคสมองเสื่อม บางรายบางทีอาจทุพพลภาพหรือตายเพราะว่าอุบัติเหตุที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างชัก ได้แก่ จมน้ำ ขับรถชน ตกจากที่สูง ไฟเผา น้ำร้อนลวก เป็นต้น
สาเหตุของโรคลมชัก
โรคลมชักส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบต้นสายปลายเหตุชัดแจ้ง (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) เชื่อว่ามีความ พร่องของสารเคมีบางอย่างสำหรับเพื่อการควบคุมกระแสไฟฟ้าในสมอง (โดยที่ส่วนประกอบของสมองปกติดี) ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยไฟฟ้าอย่างไม่ดีเหมือนปกติของเซลล์สมอง ทำให้มีการเกิดอาการชัก รวมทั้งหมดสติชั่วครู่ คนไข้กลุ่มนี้ชอบมีลักษณะอาการคราวแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี และอาจมีประวัติความเป็นมาว่ามีบิดามารดาหรือญาติเป็นโรคนี้ด้วย  และมีส่วนน้อยที่สามารถหาต้นเหตุที่แจ่มแจ้งได้ (Symptomatic หรือ Secondary  Epilepsy)  อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความเปลี่ยนไปจากปกติของโครงสร้างสมอง เป็นต้นว่า สมองพิการแต่กำเนิด สมองได้รับกระทบระหว่างคลอด สมองทุพพลภาพตอนหลังการติดเชื้อ แผลเป็นในสมองข้างหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้มักพบในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 2 ปี) ภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ สภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษเหล้า สารเสพติด (เป็นต้นว่า การเสพยาขยันเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางประเภทที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบได้มากในคนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป)
ทั้งนี้ อาการในผู้ป่วยโรคลมชักบางทีอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้กำเนิดอาการ แต่ก็มีในบางครั้งบางคราว หรือการใช้สารบางสิ่งที่ส่งผลให้เกิดอาการชักได้ เป็นต้นว่า ความเครียด การพักผ่อนน้อยเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางชนิดหรือกการใช้สารเสพติด ภาวการณ์มีประจำเดือนของหญิง ยิ่งไปกว่านี้ยังมีคนเจ็บจำนวนหนึ่งแต่เป็นจำนวนน้อยที่สามารถเกิดอาการชักได้ถ้าเห็นแสงสว่างแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดขึ้นมาจากต้นเหตุนี้เรียกว่า โรคลมชักที่ผู้ป่วยไวต่อแสงกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
ลักษณะของคนไข้ลมชัก โรคลมชัก ต่างจากการชักจากโรคอื่นๆเป็น อาการชักจากโรคลมชัก ต้องมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งดังนี้ อันที่จริงแล้ว โรคลมชักเอง มีลักษณะอาการชักได้ 3 แบบ ตัวอย่างเช่น
1.อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดสังกัดสมอง 2 ส่วน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทย่อยๆเป็น
   อาการชักแบบเหม่อ (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่สะดุดตาคือการใจลอย หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงนิดหน่อย ดังเช่นว่า การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้นๆได้
   อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยชอบเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขนและก็ขา จนกระทั่งทำให้คนป่วยล้มลงได้
             อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Atonic Seizures) อาการชักที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการชักประเภทนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ กระทั่งทำให้คนเจ็บล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างกระทันหัน
   อาการชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ก่อกำเนิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนไปจากปกติ โดยอาจจะก่อให้เกิดการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า รวมทั้งแขน
             อาการชักแบบชักแล้วก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่มีผลต่อกล้ามในร่างกายทุกส่วน นำมาซึ่งอาการกล้ามเนื้อเกร็งและก็กระตุก มีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มลง และหมดสติ บางรายบางทีอาจร้องไห้ในช่วงเวลาที่ชักด้วย และหลังจากอาการบรรเทาลง ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจรู้สึกอิดโรยเนื่องจากอาการชัก
   อาการชักแบบชักตกใจ (Myoclonic Seizures) อาการชักชนิดนี้มักเกิดขึ้นแบบกะทันหัน โดยจะกำเนิดอาการชักกระตุกของแขนแล้วก็ขาคล้ายกับการโดนกระแสไฟฟ้าช็อต ส่วนมากชอบเกิดภายหลังจากตื่นนอน บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกรุ๊ปเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักจำพวกนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงแต่บางส่วน ก่อให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแค่นั้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักชนิดนี้ ตอนที่เกิดอาการ คนไข้จะยังคงมีสติครบสมบูรณ์ โดยผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆข้างในท้อง บ้างก็บางทีอาจรู้สึกเหมือนมีลักษณะเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกประหนึ่งว่าเคยพบเจอหรือเกิดเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่มาก่อน แม้ว่าไม่เคย อาจเกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวอย่างกะทันหัน แล้วก็ได้กลิ่นหรือรับรู้รสแปลกไป รู้สึกชาที่แขนรวมทั้งขา หรือมีอาการชักที่แขนและก็มือ ฯลฯ ดังนี้ อาการชักดังที่กล่าวถึงแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักชนิดอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้สามารถช่วยให้คนป่วยรวมทั้งคนรอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
    อาการชักโดยไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยอาจจะไม่ทราบตัวและไม่สามารถจำได้ว่ากำเนิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในขณะเกิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักชนิดนี้ไม่สามารถที่จะเดาได้โดยอาจมีอาการอย่างเช่น ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปรอบๆจับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในอิริยาบถแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนบางอย่าง นอกจากนั้น เวลาที่เกิดอาการ คนป่วยจะไม่อาจจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายได้เลย
3.อาการชักสม่ำเสมอ (Status Epilepticus) อาการชักประเภทนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักตลอดที่คนป่วยไม่สามารถคืนสติในระหว่างที่ชัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ทั้งนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกประเภทคือ การที่คนไข้มีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติทางระบบประสาทดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่ว่าอาการพวกนั้นจะเกิดบ่อยๆรวมทั้งอาการไม่ปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ก่อนจะชัก บางคนอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน ดังเช่นว่า รำคาญ เครียด กลัดกลุ้ม เวียนหัว กล้ามเนื้อกระตุก เป็นต้น แล้วก็ก่อนจะหมดสติเพียงไม่กี่วินาที ผู้ป่วยอาจมีอาการเตือน ดังเช่น ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีลักษณะชะตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุๆก ฯลฯ ถ้าเกิดมิได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบเสิบสานซ้ำได้ปีละหลายคราว โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้น (ดูหัวข้อ “การรักษาตนเอง”) ผู้ป่วยจะไม่มีลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะของการเกิดอาการดังกล่าวค่อนข้างเป็นลักษณะเฉพาะของโรคลมชัก ถ้าหากเคยได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จะนึกออกตลอดไป
ส่วนอาการชักซึ่งเป็นผลมาจากโรคลมชัก มีมูลเหตุมีเหตุที่เกิดจากการที่กลุ่มของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในปริมาณสูงอย่างผิดปกติ แล้วก็สอดคล้องต้องกัน ผลลัพธ์นำมาซึ่งการก่อให้เกิดคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ โดยปกติภายหลังเซลล์ประสาทที่ได้รับการปลุกเร้า ปฏิบัติงานหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะทนทานต่อการผลิตศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจัยส่วนใดส่วนหนึ่งบางทีอาจสำเร็จของลักษณะการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยั้ง ความเคลื่อนไหวไฟฟ้าภายในเซลล์ประสาทที่ได้รับการกระตุ้น แล้วก็ผลพวงของอะดีโนซีน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคลมชัก

  • กินยาปกป้องโรคลมชักตามขนาดที่หมอสั่งเป็นประจำ อย่าให้หยุดยาเอง หรือกินๆหยุดๆกระทั่งแพทย์จะไตร่ตรองให้หยุด ซึ่งบางทีอาจใช้เวลา 2-3 ปี
  • ไปตรวจกับแพทย์ประจำตามนัด อย่าเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงหมอโดยไม่จำเป็น
  • เลี่ยงตัวกระตุ้นให้เกิดอาการชัก ได้แก่ อย่าอดนอน หรือนอนไม่ตรงเวลา หรือพักไม่พอ  อย่าดำเนินการทุกข์ยากลำบากคร่ำเครียดหรืออ่อนล้าเกินไป  อย่าไม่กินอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา  อย่ากินเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  อย่าเข้าไปในที่ๆมีเสียงอื้ออึง หรือมีแสงสว่างจ้า หรือแสงวอบแวบ  เมื่อมีไข้สูง จะต้องรีบกินยาลดไข้แล้วก็เช็ดตัวให้ไข้น้อยลง มิเช่นนั้นบางทีอาจกระตุ้นให้ชักได้
  • เลี่ยงความประพฤติหรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงภัย ดังเช่น ว่าย ป่ายปีนขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ทำงานกับเครื่องจักร ขับขี่รถ ขับเรือ เดินข้ามถนนตามลำพัง ฯลฯ ด้วยเหตุว่าถ้ากำเนิดอาการชักขึ้นมา บางทีอาจได้รับอันตรายได้
  • ควรเปิดเผยให้เพื่อนที่ทำงานหรือที่สถานศึกษาได้ทราบถึงโรคที่เป็น รวมทั้งควรจะพกบัตรที่บันทึกข้อความเกี่ยวกับโรคที่เป็นและก็แนวทางรักษาพยาบาลเบื้องต้นเพื่อว่าเมื่อกำเนิดอาการชัก คนที่พบเห็นจะได้ไม่ตระหนกตกใจ รวมทั้งหาทางช่วยเหลือให้ไม่มีอันตรายได้
  • บริหารร่างกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะควรจะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงเยอะขึ้น ทั้งยังยังช่วยลดอาการภาวะเหงาหงอยได้ แม้กระนั้นก็ควรจะดื่มน้ำให้พอเพียง และก็ควรพักผ่อนถ้าหากรู้สึกอิดโรย
  • คุ้มครองป้องกันการเจ็บที่สมอง ด้วยแนวทางดังนี้
  • ขับขี่รถโดยสวัสดิภาพ ใช้เครื่องมือคุ้มครอง คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกนิรภัย ถ้าผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กๆควรจะจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
  • เดินให้ละเอียด เพื่อปกป้องการหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กแล้วก็คนวัยแก่ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะตกหกล้มได้ง่าย โดยเหตุนั้นต้องมีคนรอดูแลอยู่เป็นประจำ

การป้องกันตัวเองจากโรคลมชัก แม้ว่าการกำเนิดโรคลมชักในหลายสาเหตุนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายมูลเหตุรวมทั้งจะไม่สามารถที่จะปกป้องได้ แต่ความพากเพียรที่จะลดการบาดเจ็บแถวๆศีรษะ การดูแลเด็กทารกที่ดีในขณะข้างหลังคลอด บางทีอาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีต้นเหตุ)ได้ และก็เมื่อมีลักษณะอาการชักเกิดขึ้นแล้ว ควรหาทางคุ้มครองป้องกันไม่ให้อาการกำเริบขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่หมอเสนอแนะ และก็ผู้ป่วยจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงต้นเหตุที่กระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีก
ดังนี้ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้คุ้มครองการเกิดโรคลมชักได้ประสิทธิภาพที่ดี 100% และแพทย์ไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองการชัก แพทย์จะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีลักษณะอาการชักเกิด ขึ้นแล้ว เพื่อปกป้อง/ลดช่องทางมีการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษโรคลมชัก[/url] เวลานี้ยังมิได้รับแถลงการณ์ว่าสมุนไพรชนิดไหนซึ่งสามารถคุ้มครอง/รักษาโรคลมชักได้แต่มีการนำสมุนไพรของไทยไปศึกษาวิจัยและก็ทดสอบในสัตว์ทดลองและได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจแต่ยังมิได้มีการนำไปทดสอบในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น

  • พริกไทยดำ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ piper nigrum Linn. อยู่ในสกุล Piperraceae เมื่อเร็วๆนี้มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดพริกไทยดำมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคมะเร็ง ต่อต้านโรคลมชัก โดยต้านทานการกระตุ้นสมองของสารสื่อประสาทกลุ่มกลูตาเมตผ่านตัวรับประเภท NMDA ซึ่งฤทธิ์โต้ลมชักนี้จะสอดคล้องกับคุณประโยชน์ของพริกไทยดำที่มีการกล่าวอ้างไว้ทั้งในตำราเรียนแพทย์แผนไทยและก็แพทย์แผนจีน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่าหนูอ้วนที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยการให้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงที่ได้รับพริกไทยดำจะหรูหราความเครียดออกซิเดชัน (oxidation stress) น้อยกล่ากรุ๊ปที่มิได้รับพริกไทยดำ
  • พรมไม่ มีชื่อสามัญว่า Thyme-leaf Gratiola แล้วก็ชื่ออังกฤษว่า Dwarf bacopa มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bacopa monnieri Wettst อยู่ในสกุล Scrophulariaceae ในพรมมิมีสารสำคัญในกรุ๊ปแอลค้างลอยด์ อย่างเช่น บรามิน (brahmine), นิโคติน รวมทั้งสารกลุ่มซาโปนิน มีคุณลักษณะช่วยสำหรับในการเรียนรู้แล้วก็จำ ช่วยลดอาการกังวล ลดอาการกลัดกลุ้ม รวมทั้งต้านอาการชัก ซึ่งมีการทดลองที่สำคัญ ได้ดังนี้
  • ฤทธิ์ต้านอาการชัก (Anticonvulsive action)การแพทย์แผนไทย มีการนำประพรมมิมาใช้เป็นสมุนไพรแก้ลมหวน ซึ่งในตอนนี้ มีการนำพรมไม่มาทดลองในสัตว์ทดสอบ (หนูถีบจักร) พบว่า สารสกัดน้ำจากพรมมิขนาด 1-30 กรัม/กก. (น้ำหนักตัว) สามารถควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ได้อย่างดีเยี่ยมโดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
เอกสารอ้างอิง

  • Magiorkinis E, Kalliopi S, Diamantis A (January 2010). "Hallmarks in the history of epilepsy: epilepsy in antiquity". Epilepsy & behavior : E&B 17 (1): 103– PMID 19963440. doi:10.1016/j.yebeh.2009.10.023.
  • รศ.นพ.อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์ . อาการชัก และโรคลมชัก. บทความประกอบการบรรยายในการประชุมวิชาการ วิทยาการก้าวหน้าทางการพยาบาลเด็ก.2555
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคลมชัก-ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่166.คอลัมน์แนะยา-แจงโรค.กุมภาพันธ์ 2536
  • Liu Y, Yadev VR, Aggarwal BB, Nair MG. Inhibitory effects of black pepper (Piper nigrum) extracts and compounds on human tumor cell proliferation, cyclooxygenase enzymes, lipid peroxidation and nuclear transcription factor-kappa-B. Nat Prod Commun. 2010 ;5(เจ๋ง:1253-7
  • โรคลมชัก.ความหมาย,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • ชาญชัย สาดแสงจันทร์.พรมมิ สมุนไพรที่คนแก่ต้องกิน.วารสารธรรมศาสตร์เวชสาร.ปีที่13.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม.2556
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่363.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2553
  • Hi RA, Davies JW. Effects of Piper nigrum L. on epileptiform activity in cortical wedges prepared from DBA/2 mice. Brother Res 1997; 11(3): 222-225
  • Hammer, edited by Stephen J. McPhee, Gary D. (2010). "7". Pathophysiology of disease : an introduction to clinical medicine (6th ed. ed.). New York: McGraw-Hill Medical. ISBN 978-0-07-162167-0.
  • Nisha P, Singhal RS, Pandit AB. The degradation kinetics of flavor in black pepper (Piper nigrum L.).Journal of Food Engineering 2009; 92: 44-49.
  • Chang BS, Lowenstein DH (2003). "Epilepsy". N. Engl. J. Med. 349 (13): 1257–66. PMID 14507951. doi:10.1056/NEJMra022308.


Tags : โรคลมชัก
129  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไส้ติ่งอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 02, 2018, 04:26:01 pm

โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
โรคไส้ติ่งอักเสบคืออะไร  ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเสมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบแล้วก็ยาว มีขนาดกว้างเพียงแค่ 5-8 มม. และมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในผู้ใหญ่) ด้านในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ฝาผนังข้างในของไส้ติ่งมีเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเยื่อเกิดการอักเสบได้ง่าย โดยเนื้อเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากมายช่วงวัยรุ่น จึงเจอไส้ติ่งอักเสบกำเนิดได้บ่อยครั้งในวัย รุ่น ไส้ติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ทำหน้าที่ในการย่อยรวมทั้งซับอาหาร ด้วยเหตุว่าเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบจึงทำให้เนื้อผนังไส้ติ่งเน่าตายรวมทั้งเป็นรูทะลุในเวลาอันรวดเร็วทันใจได้
ไส้ติ่งอักเสบคือ อาการบวมและติดเชื้อของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันรวมทั้งอันตราย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างรีบ ด่วน เพราะว่าถ้าทิ้งไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง และก็บางทีอาจเป็นสา เหตุรุนแรงจนถึงติดโรคในกระแสโลหิตจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยการเสียชีวิตโดยมากของโรคไส้ติ่งอักเสบมีสาเหตุมาจากภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบแล้วก็ภาวการณ์ช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการอธิบายเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พ.ศ. 2429 ปัจจุบันนี้ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นเลิศในสาเหตุของลักษณะของการปวดท้องร้ายแรงรุนแรงที่มักพบที่สุดทั้งโลกรวมทั้ง โรคไส้ติ่งอักเสบยังพบเป็นสาเหตุอันดับแรกๆของโรคปวดท้อง ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยแนวทางผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยที่ค้นพบว่าคนไข้ปล่อยให้มีอาการปวดท้องนานหลายวันแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยมาโรงหมอ  ซึ่งมักจะพบว่าเป็นถึงขั้นไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนกระทั่งคนชรา และก็ยังรวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ แม้กระนั้นจะมักพบในช่วงอายุ 10-30 ปี (พบได้น้อยในคนชรา เนื่องจากไส้ติ่งตีบยุบมีเยื่อหลงเหลือน้อย แล้วก็ในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 3 ปี ด้วยเหตุว่าโคนไส้ติ่งยังค่อนข้างจะกว้าง) ในสตรีรวมทั้งเพศชายมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน และมีการคาดทำนองว่าในทั้งชีวิตของผู้คนจะได้โอกาสเป็นโรคนี้ราวๆ 7% ในปีๆหนึ่งจะมีคนป่วยเป็นโรคนี้โดยประมาณ 1 ใน 1,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากมีสภาวะอุดกันของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่เคยรู้ต้นสายปลายเหตุเด่นชัด แม้กระนั้นส่วนหนึ่งมีเหตุมาจากมีเศษอุจจาระแข็งๆเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกั้นอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งปริมาณน้อยเกิดการเจริญรุ่งเรืองขยายพันธุ์แล้วก็รุกล้ำเข้าไปในฝาผนังไส้ติ่ง จนเกิดการอักเสบตามมา ถ้าหากปลดปล่อยไว้เพียงแต่ไม่กี่วัน ฝาผนังไส้ติ่งก็มีการเน่าตายรวมทั้งแตกทะลุได้ รวมทั้งมูลเหตุที่พบได้รองลงมาคือ มีเหตุที่เกิดจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ผนังไส้ติ่งที่ดกตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย นอกนั้นอาจเกิดขึ้นจากสิ่งแปลกปลอม (เป็นต้นว่า เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญเป็น พยาธิไส้เดือน พยาธิด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางเวลาก็อาจเกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่นำมาซึ่งการทำให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย และก็ต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งมีการปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปปิดกั้นไส้ติ่ง และทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่กำเนิดอาการอักเสบท้ายที่สุด ในคนป่วยบางรายบางทีอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus)  ซึ่งมักจะพบได้ในผู้ป่วยเอดส์ รวมทั้งบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่แพทย์ไม่รู้ต้นเหตุเลยก็ได้
อาการโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นคือ คนป่วยจะมีลักษณะเจ็บท้องที่มีลักษณะต่อเนื่องรวมทั้งปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป หากมิได้รับการรักษาก็มักจะปวดอยู่นานหลายวัน กระทั่งผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวจะต้องพาส่งโรงหมอ ซึ่งอาการของไส้ติ่งอักเสบนั้นอาจแบ่งออกเป็นสองจำพวก เป็นจำพวกตรงไปตรงมาและก็ประเภทไม่ตรงไปตรงมาดังนี้ จำพวกขวานผ่าซากเดิมอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะ บางคนบางทีอาจปวดบิดเป็นพักๆรอบๆสะดือ คล้ายลักษณะของการปวดแบบท้องร่วง อาจเข้าส้วมหลายครั้ง แม้กระนั้นถ่ายไม่ออก (แม้กระนั้นบางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ถัดมาจะมีอาการอาเจียน อ้วก ไม่อยากกินอาหารร่วมด้วย ลักษณะของการปวดท้องชอบไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะรับประทานยาพาราอะไรก็ตาม ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา และก็จะเจ็บมากขึ้นเมื่อมีการขยับตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้เจ็บป่วยจะนอนนิ่งๆถ้าเกิดเป็นมากคนเจ็บจะนอนงอขา เอียงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น  เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งแจ้งชัด มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้คนเจ็บนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้กำปั้นตีเบาๆตรงรอบๆไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมากมาย (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) ผู้เจ็บป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนชนิดไม่ไม่อ้อมค้อมนั้นอาจเริ่มต้นจากมีอาการปวดเริ่มที่ท้องข้างล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องเดิน และมีการดำเนินโรคที่ยาวนานค่อยๆเป็น ค่อยๆไปกว่าชนิดขวานผ่าซาก แม้ไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจก่อให้มีอาการเยี่ยวบ่อยครั้ง ถ้าเกิดไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ข้างหลังลำไส้เล็กตอนท้ายอาจมีอาการอ้วกรุนแรงได้ บางรายอาจรู้สึกปวดเบ่ง

ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีมีท้อง อาจมีอาการบางสิ่งที่ต่างจากคนโดยปกติทั่วๆไป ดังนี้

  • ในกรุ๊ปคนไข้ที่เป็นเด็ก เด็กที่แก่ต่ำว่า 2 ปี ลงไป จะมีอาการที่เห็นได้ชัดคือ อาเจียนมากมาย ท้องเฟ้อ แม้ใช้มือกดบริเวณท้องจะรู้สึกเจ็บ ส่วนเด็กที่แก่มากยิ่งกว่า 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มชี้อาการได้ ซึ่งอาการก็จะไม่แตกต่างจากคนทั่วไป
  • ในกลุ่มคนเจ็บที่เป็นสตรีตั้งครรภ์ เพราะว่าอวัยวะต่างๆที่ถูกดันให้สูงขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ไส้ติ่งของสตรีมีท้องจะเขยื้อนไปอยู่ที่รอบๆหน้าท้องส่วนบน ซึ่งหากมีลักษณะอาการไส้ติ่งอักเสบจะมีผลให้ปวดรอบๆพุงส่วนบนทางด้านขวาแทน นอกจากนี้อาจมีลักษณะของการปวดบีบที่ท้อง มีแก๊สในกระเพาะ หรืออาการแสบร้อนที่กึ่งกลางอก บางรายบางทีอาจพบอาการท้องร่วง หรือท้องผูกควบคู่กัน

ผู้ป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาโดยการผ่าตัดข้างใน 24-36 ชั่วโมงหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดกลายเป็นเนื้อเน่าและก็ตาย ท้ายที่สุดฝาผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยยุ่ยจะแตกทะลุ หนองและก็สิ่งสกปรกข้างในไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้กลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) และแม้เชื้อแบคทีเรียแผ่ขยายเข้าสู่กระแสโลหิตก็จะเกิดการติดโรคในกระแสโลหิต ก่อให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
กรรมวิธีการรักษโรคไส้ติ่งอักเสบ[/url] เป็นโรคที่มีปัญหาในการวิเคราะห์ให้ที่ถูกต้องค่อนข้างจะมากมาย คนไข้บางรายได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคนี้ แต่ว่าเมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ ผู้ป่วยบางรายแม้จะไปพบหมอแต่ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น ตราบจนกระทั่งไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการดูแลและรักษาวินิจฉัยที่ถูก เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายมักจะวินิจฉัยโรคนี้ได้ภายหลังการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กเล็กและผู้เจ็บป่วยสูงอายุพบว่าอาจเกิดปัญหารุนแรง ถ้าหากได้รับการวิเคราะห์รวมทั้งรักษาโรคช้าเพราะว่ามีภูมิต้านทานต่ำ
                การวิเคราะห์โรคไส้ติ่งอักเสบ การวินิจฉัยโรคในคนไข้จำนวนมากอาศัยลักษณะทางสถานพยาบาล (clinical menifestation) คืออาการและการตรวจเจอเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการแล้วก็การค้นหาทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มอื่นๆมีความสำคัญน้อย เป็นประโยชน์เฉพาะในคนไข้บางรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่ชัดแจ้งเพียงแค่นั้นโดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังนี้

  • การวินิจฉัยอาการของไส้ติ่งอักเสบ เป็น
  • ลักษณะของการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ช่วงแรกมักจะปวดบริเวณสะดือ หรือบอก มิได้แจ่มแจ้งว่าปวดที่บริเวณใดแต่ว่าระยะต่อมาลักษณะของการปวดจะชัดเจนที่ท้องน้อยทางด้านขวา (right lower quadrant-RLQ)
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมด้วยเป็น

                          - อาเจียน คลื่นไส้ อาการนี้เจอได้ในคนป่วยแทบทุกราย
                          - ไข้ ชอบกำเนิดภายหลังจากเริ่มลักษณะของการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
                          - เบื่อข้าว
                          - ท้องเสีย เจออาการในผู้ป่วยบางราย ชอบกำเนิดภายหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ ชี้แจง ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum

  • ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยลักษณะของลำไส้อุดตันได้
  • การตรวจร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการวินิจฉัยโรค
  • การกดเจ็บเฉพาะที่ (local tenderness) เกือบ 100%จะมี maximal tenderness ที่ RLQ และอาจมี guarding แล้วก็ rebound tenderness ด้วย ในคนป่วยไส้ติ่งแตกทะลุ tenderness และ guarding มักตรวจพบบริเวณกว้างขึ้นหรือเจอทั่วบริเวณท้องน้อยข้างล่างทั้งยัง 2 ข้าง จากการมี pelvic peritonitis ในรายที่เป็นก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักคลำได้ก้อนที่ RLQ
  • การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) ถือว่าเป็นคุณประโยชน์มากมาย จะพบว่ากดเจ็บที่ทางขวาของ cul-de-sac แต่ไม่นิยมทำในเด็กตัวเล็กๆด้วยเหตุว่าแปลผลประโยชน์ตรากตรำ ในเด็กสาวอาจมีประโยชน์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรคที่มีสาเหตุมาจาก twisted ovarian cyst เพราะเหตุว่าบางทีอาจคลำได้ก่อน ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะ pelvic inflammatory disease นอกเหนือจากการที่จะได้ประวัติการมีเพศสัมพันธ์แล้วการตรวจด้านใน (per vagina examination - PV) จะให้คุณประโยชน์มากมาย
  • การตรวจอื่นๆอาจได้ผลบวกในการตรวจ เช่น

                          - Rovsing sign
                          - Obturator sign
                          - Psoas sign

  • การตรวจทางห้องปฎิบัติการ ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไรนักในคนป่วยส่วนมาก โดยเฉพาะเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวิเคราะห์ได้อยู่แล้ว แม้กระนั้นจะทำเป็นเบื้องต้นเพื่อการดูแลระหว่างการดูแลและรักษาถัดไป ตัวอย่างเช่น
  • complete blood count พบได้บ่อยว่า เม็ดเลือดขาวสูงกว่าธรรมดาแล้วก็มี shift to the left
  • การตรวจปัสสาวะ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักสำหรับการวินิจฉัยแยกโรค แม้กระนั้นช่วยแยกโรคอื่น ดังเช่น มีเม็ดเลือดแดงในฉี่อาจจะต้องระลึกถึงนิ่วในท่อไต
  • การตรวจพิเศษ ในรายที่ลักษณะทางคลินิกบ่งชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบกะทันหัน การตรวจพิเศษเพิ่มเติมก็ไม่สำคัญ แต่ว่าในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่แน่ชัดนั้น การตรวจพิเศษอาจมีคุณประโยชน์สำหรับในการวิเคราะห์แยกโรค เป็นต้นว่า
  • การถ่ายภาพรังสีของช่องท้อง อาจเจอเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของช่องท้อง หรือ barium enema ไม่จำเป็นในผู้ป่วยโดยมาก แม้กระนั้นอาจช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรคในผู้เจ็บป่วยบางรายที่มีปัญหาในการวินิจฉัยโรค

ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพราะเหตุว่าจะช่วยรักษาอาการแล้วก็ช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในตอนนี้เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที เหมาะกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงนัก ถ้าหากร้ายแรงถึงกับขนาดไส้ติ่งแตก ก็ต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะนอกจากจะต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจำต้องชำระล้างข้างในท้อง รวมทั้งใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยหมอจะใคร่ครวญผ่าตัดรักษาดังนี้

  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกระบุว่าน่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ เสนอแนะให้การรักษาด้วยการใช้การ ผ่าตัดโดยเร่งด่วน หลังจากการเตรียมคนไข้ให้พร้อมและก็สมควรต่อการให้ยาสลบรวมทั้งการผ่าตัด
  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่แน่ชัดว่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แต่มีสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าบางทีอาจจะเป็นโรคนี้ ควรรับตัวไว้พินิจอาการในโรงหมอ เพื่อติดตามประเมินลักษณะทางสถานพยาบาลต่อเป็นช่วงๆโดยงดน้ำและก็ของกิน และไม่ให้ยาปฎิชีวนะ เมื่อลักษณะทางสถานพยาบาลชี้แจ่มแจ้งขึ้นว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน จะได้นำคนเจ็บไปทำการผ่าตัดรักษาอย่างทันเวลา
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลระบุชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบกะทันหัน ไม่แตกทะลุ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ยายาปฏิชีวนะทั้งก่อนและข้างหลังผ่าตัด แต่ว่าแพทย์ผู้ดูแลอาจพินิจให้ยาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดก็ได้ เมื่อผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาต่อ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่อาจจะแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุชัดเจน นิยมให้ยายาปฏิชีวนะ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด ถ้าหากผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่แตกทะลุ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อหลังผ่าตัด แต่ถ้าเกิดพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยาปฏิชีวนะต่อ
  • ในรายที่การตรวจร่างกายชี้ว่ามี peritonitis ซึ่งมีเหตุมาจากการแตกของไส้ติ่งอักเสบ ในเด็กมักมีลักษณะ generalized peritonitis ส่วนคนแก่จะเป็น pelvic peritonitis ก่อนนำผู้ป่วยไปกระทำผ่าตัดควรจะใช้แนวทางรักษาแบบเกื้อกูลให้อยู่ในสภาพที่สมควรสำหรับการให้ยาสลบและการผ่าตัด ตัวอย่างเช่นการให้ intravenous fluid ที่สมควรให้เพียงพอซึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง มองว่าคนไข้มีฉี่ออกก็ดี ให้ยาปฎิชีวนะที่สมควร ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายน้อยลงถ้าหากเป็นไข้สูง ถ้าเกิดท้องขึ้นมากมายควรใส่ nasogastric tube ต่อ suction บางทีอาจใช้เวลาสำหรับเพื่อการเตรียมผู้เจ็บป่วย 3-4 ชั่วโมงก่อนนำผู้ป่วยไปผ่าตัด
  • กรณีที่ไส้ติ่งแตกทะลุระหว่างการผ่าตัด หรือไส้ติ่งไม่แตกทะลุ แต่ว่าร้ายแรงถึงกับขนาด gangrenous appendicitis แนะนำให้ยาปฏิชีวนะระหว่างการผ่าตัด และก็ต่อเนื่อง 1-3 วันแล้วแต่พยาธิสภาพ
  • ในรายที่มีลักษณะมายาวนานหลายวันรวมทั้งการตรวจร่างกายพบว่ามีก้อนที่ RLQ ที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็น appendiceal phlegmon หรือ abscess ควรจะรักษาโดยวิธีเกื้อกูลโดยให้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างใหญ่ ถ้าเกิดคนป่วยสนองตอบดีต่อการดูแลรักษา เป็นต้นว่า ลักษณะของการปวดท้องดียิ่งขึ้น ก้อนเล็กลง ให้รักษาต่อโดยวิธีจุนเจือ และนำคนป่วยไปทำ elective appendectomy จากนั้น 6 สัปดาห์ - 3 เดือน แต่ถ้าการรักษาด้วยยาปฎิชีวนะดังที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้รับการโต้ตอบที่ดีอาจต้องผ่าตัดเลย ถ้าหากพยาธิภาวะรุนแรงมากมาย อาจทำเพียงแค่ระบายหนอง แม้กระนั้นหากพยาธิภาวะไม่ร้ายแรง และก็สามารถตัดไส้ติ่งออกได้เลย ก็ชี้แนะให้ทำ

กลุ่มอาการที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ มีลักษณะอาการเจ็บท้องที่มีลักษณะไม่เสมือนลักษณะของการปวดโรคกระเพาะ ท้องเดิน หรือปวดรอบเดือน ก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรรีบไปพบหมอ ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ปวดร้ายแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • กดหรือเคาะเจ็บตรงรอบๆที่ปวด
  • คลื่นไส้บ่อย กินอะไรก็ออกหมด
  • มีลักษณะอาการหน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง ใจหวิว ใจสั่น
  • มีไข้สูง หรือหนาวสั่น
  • ใบหน้าซีดเหลือง
  • รับประทานยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ทุเลาหรือกลับรุนแรงขึ้น
  • ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย ถ้าเกิดพบว่ามีลักษณะเจ็บท้องร้ายแรงกว่าธรรมดา ก็ห้ามรับประทานยาถ่าย หรือกระทำการสวนทวาร

การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งเจือปนต่างๆทำให้ไส้ติ่งมีการอักเสบติดเชื้อโรครวมทั้งแตกท้ายที่สุด ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้เจ็บป่วยแต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนข้างๆอะไร
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ  เหตุเพราะโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน จะต้องไปพบหมอโดยทันที ที่ห้องรีบด่วนของโรงหมอเพื่อกระทำผ่าตัดและไม่ควรจะกินยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีอาการท้องผูกร่วมด้วย เพราะเหตุว่าอาจจะก่อให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น

  • การปฏิบัติตัวก่อนที่จะมีการผ่าตัดไส้ติ่ง คนไข้ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

o    เมื่อมีลักษณะของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบแพทย์ผู้ป่วยต้องงดเว้นอาหารรวมทั้งน้ำไว้ด้วยเพื่อเตรียมการในการผ่าตัดฉุกเฉิน
o   ในเรื่องที่มีลักษณะอาการเจ็บท้องแต่ว่าคนไข้ยังไม่เคยรู้ปัจจัย ห้ามกินยาแก้ปวด แต่ควรจะรีบไปพบหมอเพื่อตรวจวิเคราะห์ก่อน ด้วยเหตุว่ายาแก้ปวดจะไปบดบังอาการปวดทำให้แพทย์แยกโรคได้ทุกข์ยากลำบาก
o  งดเว้นการใช้ครีมรวมทั้งเครื่องแต่งตัวทุกประเภท รวมทั้งทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อให้แพทย์พินิจอาการไม่ดีเหมือนปกติจากการขาดออกซิเจนได้

  • การกระทำตัวข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง 24 ชั่วโมง คนเจ็บจะต้องทำการลุกจากเตียง เพื่อไส้มีการเคลื่อนไหวเร็วขึ้น งดอาหารและก็น้ำข้างหลังผ่าตัดวันแรก ส่วนการดูแลแผลผ่าตัด ห้ามให้ผ้าปิดแผลเปียกน้ำ ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามเกา รวมทั้งเวลาไอหรือจามให้ใช้มือพยุงแผลไว้ด้วยเพื่อคุ้มครองป้องกันแผลที่เย็บแยกออก ถ้าเกิดถ้าหากแผลยังไม่แห้งดีอย่าเพิ่งอาบน้ำ แต่ว่าให้ใช้กรรมวิธีการเช็ดตัวแทน นอกจากนั้นคือการรับประทานยาตามที่หมอสั่งอย่างสม่ำเสมอ เน้นการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะจะช่วยให้แผลติดเร็วมากขึ้น นอกจากนั้นเป็น การขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ และก็พักให้เพียงพอ

การคุ้มครองตัวเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบ ในตอนนี้ยังไม่คราวการศึกษาและทำการค้นพบวิธีปกป้องอาการไส้ติ่งอักเสบ เนื่องจากไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการกะทันหันที่ไม่อาจจะหาสาเหตุที่แจ่มชัดได้ แต่ว่ามีข้อคิดเห็นว่า ประชาชนที่นิยมรับประทานอาหารพวกผักผลไม้มาก (ตัวอย่างเช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่ทานผักและผลไม้น้อย (ยกตัวอย่างเช่น ชาวต่างชาติ) จึงมีการเสนอแนะให้มานะกินผักและผลไม้ให้มากมายๆทุกวี่วัน ซึ่งเกิดผลดีต่อการปกป้องโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และก็ยังมั่นใจว่าบางทีอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และก็โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
นอกนั้นมีการเรียนรู้ที่ค้นพบว่า ภาวะท้องผูกมีส่วนสโมสรกับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าคนไข้ไส้ติ่งอักเสบจะมีปริมาณครั้งสำหรับในการอุจจาระต่ออาทิตย์น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมทั้งยังพบว่า คนป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่รวมทั้งโรคมะเร็งลำไส้ตรงมักจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบนำมาก่อน ทั้งยังส่งผลการศึกษาหลายงานที่ค้นพบว่า การกินอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนสำหรับเพื่อการกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/ทุเลาโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องแต่การรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้การผ่าตัดเพียงแค่นั้นและก็ในตอนนี้ยังไม่มีการรับรองว่าสมุนไพรจำพวกไหนที่จะช่วยปกป้องหรือ ทุเลา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมถึงยังไม่มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยชิ้นไหนที่กล่าวว่าสมุนไพรจำพวกไหนสามารถช่วยปกป้องหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้
เอกสารอ้างอิง

  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป     หน้า 525-527.
  • Fitz RH (1886). "Perforating inflammation of the vermiform appendix with special reference to its early diagnosis and treatment". Am J Med Sci(92): 321–46.(อังกฤษ)
  • ไส้ติ่งอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • Adamis D, Roma-Giannikou E, Karamolegou K (2000). "Fiber intake and childhood appendicitis". Int J Food Sci Nutr51: 153–7. (อังกฤษ)
  • รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ไส้ติ่งอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่301.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2547
  • SCHWARTZ, Principle of Surgery , McGRAW HILL
  • Wangensteen OH, Bowers WF (1937). "Significance of the obstructive factor in the genesis of acute appendicitis". Arch Surg34: 496–526. (อังกฤษ)
  • โรคไส้ติ่งอักเสบ(APPENDICITIS).แนวทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางศัลยกรรม.ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.


Tags : โรคไส้ติ่งอักเสบ
130  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 02, 2018, 01:12:58 pm

โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กตัวเล็กๆ แต่ว่าก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกหัดนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเท้าหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติที่ไปที่มาดังต่อไปนี้
         โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ แปลว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้รวมทั้งผื่น นอกจากที่กล่าวมานี้อาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคฝึกหัด ตัวอย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานคราวแรกโดยหมอและก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed แล้วก็ใน ค.ศ.1954 Panum และก็คณะ ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์และก็ให้ข้อสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราว 2 อาทิตย์ รวมทั้งข้างหลังติดเชื้อคนเจ็บจะมีภูมิต้านทานตลอดชีพ
โรคหัดถือได้ว่าเป็นโรคที่มีความหมายมากมายโรคหนึ่ง เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกส่งผลให้เสียชีวิตได้ และแต่ในปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีคุณภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แม้กระนั้นมีอุบัติการณ์สูงในช่วงม.ค.ถึงเดือน และโอกาสสำหรับในการกำเนิดโรคในเพศหญิงและผู้ชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีคนเสียชีวิตด้วยโรคฝึกจากทั่วทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนเจ็บโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน และก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนอายุที่พบผู้เจ็บป่วยโรคนี้เยอะที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 และก็ 25.85 ของแต่ละปี
ต้นเหตุของโรคฝึก โรคหัดมีต้นเหตุจากการต่อว่าดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus รวมทั้ง Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มโอบล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 ชนิด อาทิเช่น H protein ปฏิบัติหน้าที่ให้ผนังเชื้อไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความสำคัญสำหรับในการแพร่เชื้อไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องจากว่าเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦เซลเซียส) แสงสว่าง สภาพการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันได้แก่อีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศรวมทั้งบนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนแค่นั้น
อาการของโรคฝึกหัด  ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก และก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจเจอตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากอาหารรวมทั้งท้องร่วงร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นแล้วก็พบ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวคละเคล้าเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ โดยมากเจอบริเวณกระพุ้งแก้มตรงกันข้ามกับฟันกรามล่างซี่แรก (first molar) พบได้มาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ ไข้จะเบาๆสูงมากขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้าและก็ไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นรอบๆช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และอาจสโมสรกับความร้ายแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดน้อยลง อาการอื่นๆจะ ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและกลายเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งได้ผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วหลังจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักพิจารณาไม่เจอเนื่องจากว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลับกลายปกติไม่มีไข้ประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกครั้งและมีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกโดยประมาณ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรจะตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจเจอนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดที่พบบ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝน เจอได้ปริมาณร้อยละ 30 ของคนเจ็บโรคฝึกหัด พบได้มากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็คนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีและก็คนแก่ที่แก่กว่า 20 ปี กำเนิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยจำนวนมากเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและผลของการกดภูมิต้านทานจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังนี้

  • หูศูนย์กลางอักเสบ (otitis media) พบโดยประมาณจำนวนร้อยละ 10
  • ปอดอักเสบ (pneumonia) ซึ่งเกิดได้ 2 ระยะ ช่วงแรกที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในพักหลัง ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรก จะเป็น bronchopneumonia
  • อุจจาระร่วง (diarrhea) มักเกิดในช่วงแรกที่เป็นไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
  • สมองอักเสบ (encephalitis) พบได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งเกิดในตอน 2-5 วัน ภายหลังผื่นออก มีอาการไข้ อ้วก ปวดหัว ซึม ซึ่งถ้าหากกรวดน้ำไขสันหลัง จะเจอเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
  • Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) เจอได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดภายหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยๆเป็น ค่อยๆไป มีความประพฤติปฏิบัติผิดไป เชาวน์เสื่อมลง มีลักษณะอาการชัก อาการทางประสาทจะชั่วช้าลงเรื่อยถึงโคมา แล้วก็มรณะในที่สุด ถ้ากรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG เจอ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
วิธีการรักษาโรคฝึกหัด
การวิเคราะห์ โรคหัดใช้การวินิจฉัยจากวิธีสำหรับซักประวัติความเป็นมาแล้วก็ตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนเจ็บจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง แล้วก็พบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การพบ  Koplik spots (จุดภายในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยในการวินิจฉัย ในกรณีที่อาการและก็อาการแสดงไม่แน่ชัดอาจตรึกตรองส่งไปทำการตรวจทางห้องทดลองดังนี้เพิ่มเติมอีกเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์

  • การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของดินแดนติเตียนบอดีต่อไวรัสฝึก แนวทางที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เพราะเหตุว่าทำง่าย ราคาไม่แพง มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีประเภท IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาดินแดนตำหนิบอดีชนิด IgG 2 ครั้งใน acute และก็ convalescent phase serum ห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อมองการเพิ่มขึ้นของระดับดินแดนติเตียนบอดี  (fourfold rising of  antibody)  เพื่อรับรองการวินิจฉัย โดยแนวทางนี้จะสามารถตรวจพบหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดราวๆ 14 คราวหน้าผื่นและจะหายไปใน 1 เดือน ช่วงเวลาที่เสนอแนะให้ตรวจเป็น 7 คราวหลังผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้

แนวทาง ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแต่ครั้งเดียวตอน 4-30 วันหน้าเจอผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง คอยกระทั่งเลือดแข็ง ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วนำไปวิเคราะห์ถัดไป

  • การตรวจสารพัดธุกรรมของไวรัสฝึก โดยวิธี polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

ปิดฉลาก ชื่อ-ชื่อสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายภายในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วนำไปวิเคราะห์ถัดไป
                การดูแลรักษา เหตุเพราะการตำหนิดเชื้อไวรัส ฝึกฝนไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จำเป็นจะต้องให้การรักษาตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวการณ์ขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชื้นแล้วก็ออกสิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย อย่างเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพิเคราะห์รักษาด้วยการใช้ยาต่อต้านจุลชีพที่สมควรฯลฯ
                ยิ่งไปกว่านี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดได้และก็ยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคฝึกหัดได้อีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าวแพทย์จึงมักพินิจจะให้วิตามินเอแก่คนเจ็บที่มีข้อบ่งชีดังต่อไปนี้

  • ผู้เจ็บป่วยอาการร้ายแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศล้าหลัง หรือในบริเวณที่อนาถาของประเทศที่กำลังปรับปรุง
  • คนไข้เด็กอายุ 6-24 เดือน แล้วก็จะต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคฝึกฝนที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • ผู้ป่วยที่มีสภาวะภูมิต้านทานขัดขวางโรคผิดพลาด
  • คนไข้ขาดสารอาหาร
  • ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
  • คนไข้ที่มีปัญหาเรื่องไส้ซึมซับไม่ดี (ก็เลยมักขาดวิตามิน เอ)
  • ผู้เจ็บป่วยที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคหัดสูง

ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคฝึกฝน

  • เด็กหรือคนแก่ที่ไม่ได้รับการฉีดซีนป้องกันโรคหัดมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัดได้
  • สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนคึกคกไม่น้อยเลยทีเดียวชอบเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคหัด ดังเช่นว่า สถานศึกษา สถานรับเลี้ยงเด็กฯลฯ
  • ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินเอ มักจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากกว่าคนปกติ
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ความแตกต่างจากปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบระเบียบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)

การติดต่อของโรคหัด โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่สู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายแล้วก็เสมหะของผู้เจ็บป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อคนป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลรวมทั้งแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนธรรมดามาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่จำเป็นที่จะต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติโรคหัด[/url]ได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกข้างหลังของคนไข้โดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของคนเจ็บ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอย่างเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่มีไว้เช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเล่น เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือคนเจ็บ หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมาพร้อมกับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะไอและมีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณเชื้อไวรัสถูกขับออกมาเยอะที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 วันหลังสัมผัสโรค เชื้อไวรัสหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายทำให้มีการเกิดอาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนเจ็บรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มิได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหัดได้โอกาสมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกฝนหากอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกฝน

  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆขั้นต่ำวันละ 6-8 แก้ว โดยบางทีอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • พักผ่อนให้มากๆไม่ทำงานหนักหรือบริหารร่างกายมากเกินความจำเป็น
  • ของกินที่กินควรเป็นอาหารอ่อนๆเป็นต้นว่า ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆเป็นต้นว่า ชาร้อน น้ำขิง
  • มานะกินอาหารให้ได้ตามปกติ โดยควรเป็นของกินที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญเป็นผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดของแสลง เนื่องจากโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรจะเน้นการรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนให้มากมายๆตัวอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมทั้งของกินที่มีวิตามินเอ มากมายๆยกตัวอย่างเช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับโค ฟักทอง อื่นๆอีกมากมาย
  • อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น และก็ควรใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลาจับไข้สูง
  • งดเว้นการสูบบุหรี่ หลบหลีกควันของบุหรี่ รวมทั้งงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • เลี่ยงการไปในที่สาลำธารที่ที่มีคนจอแจ
  • กินยารวมทั้งประพฤติตามข้อเสนอของแพทย์อย่างเคร่งครัว
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคฝึก

  • ในตอนที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ควรจะหลบหลีกการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัดคับแคบ แต่หากเลี่ยงมิได้ ควรจะสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือทามือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่บางทีอาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสลดของผู้เจ็บป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าเกิดยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับผู้เจ็บป่วย รวมทั้งควรจะหลบหลีกการสัมผัสมือกับผู้ป่วยโดยตรง แม้ไม่ได้สวมถุงมือป้องกัน
  • อย่าใกล้หรือนอนรวมกับผู้เจ็บป่วย แต่จะต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะใส่หน้ากากอนามัย และก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอภายหลังสัมผัสกับผู้ป่วยหรือข้าวของของคนเจ็บ

แม้กระนั้นทั้งนี้ วิธีที่เยี่ยมที่สุดที่จะคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดได้หมายถึงฉีดวัคซีนป้องกัน ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง ทีแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองได้สามโรค คือ โรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/หัด แล้วก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จวบจนกระทั่งมีการลงบัญชีการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี คริสต์ศักราช1963 อีกทั้งวัคซีนจำพวกเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีน 2 ชนิดได้เพียง 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคหัดจำพวกเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากว่าพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อสายประเภท Edmonston ประเภท B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักแล้วก็ chick embryo cell แต่เจอปัญหาใกล้กันที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการพัฒนาวัคซีนประเภทเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกรรมวิธีการผลิตชนิดเดียวกันแม้กระนั้นทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลกระทบก็เลยน้อยลง ต่อมาในปี คริสต์ศักราช1971 มีการจดทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างมากมายจนกระทั่งเดี๋ยวนี้สำหรับประเทศไทยเริ่มมีการใส่วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหัดยามเช้าไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิต้านทานโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็ในปี พุทธศักราช 2539 จึงเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จนกว่าปี พุทธศักราช2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมป้องกันโรคฝึก-คางทูม-โรคเหือด  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็เปลี่ยนแปลงวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคฝึกฝน – คางทูม – โรคเหือด (MMR) เช่นเดียวกัน
สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาอาการของโรคฝึกฝน ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคหัดมีดังนี้

  • สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มกระทั่งเหลือน้ำ 5 ลิตร ยกลงทิ้งไว้รอให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง กระทั่งจะหาย แล้วก็ต้องระวังอย่าอาบตอนที่เม็ดฝึกฝนผุดขึ้นมาใหม่ๆแม้กระนั้นให้อาบในช่วงที่เม็ดฝึกฝนออกเต็มที่แล้ว
  • ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้หัดหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น แล้วก็ต้นต่อไส้ 1 กำมือ นำมาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอเหมาะพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารรุ่งเช้าแล้วก็เย็น ทีละ 1 ถ้วยชา
  • ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นนำมาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึกฝน

 ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังเจาะจงไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาแล้วก็บาเทาลักษณะของโรคฝึกฝนได้ โดยในอดีตกาล ที่จริงการใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย มิได้มีเป้าประสงค์สำหรับการยั้งเชื้อไวรัส แต่ว่าต้องการกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด คนป่วยจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายความว่าไม่เกิดผื่นด้านใน โดยเหตุนั้นจึงมีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยที่กินยาเขียวแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยก็เลยแนะนำให้ใช้ทั้งยังวิธีกินรวมทั้งทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษข้างในให้ออกมาที่ผิวหนัง และก็การชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับวิธีการหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปได้ที่ยาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่จับไข้เป็นผื่น ดังเช่น ฝึกฝน อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งหายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นส่วนประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และก็ใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีคุณประโยชน์ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น เป็นการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากจนกระทั่งจำเป็นต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ตัวอย่างเช่นที่พบในไข้เป็นผื่น ฝึก อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
  • ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
  • รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
  • ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
  • Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
  • Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
  • Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
  • Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
  • Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
  • แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
  • Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
  • Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
  • Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
  • American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
  • Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
  • Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
  • Krugman S. Further-attenuated measles vaccine: Characteristics and use. Rev Infectious Dis. 1983;5:477-81.
  • Bellini W
131  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 02, 2018, 09:44:06 am

โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกเป็นอย่างไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกมากมาย รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ อาทิเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  กระทั่งในขณะนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของความก้าวหน้าเด็กแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว  เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของวิวัฒนาการหลายด้าน คือ กรุ๊ปอาการความแปลก 3 ด้านหลักเป็น

  • ภาษาแล้วก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติปฏิบัติและความพึงพอใจแบบเฉพาะเจาะจงซ้ำเดิมซึ่งชอบเกี่ยวข้องกับงานกิจวัตรรวมทั้งการเคลื่อนไหว ซึ่งอาการกลุ่มนี้เกิดในช่วงต้นของชีวิต มักเริ่มมีลักษณะอาการก่อนอายุ 3 ปี

คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งหมายความว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตน เปรียบเสมือนมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กันบุคคลเหล่านี้ออกจากสังคมรอบข้าง
ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานคนป่วยเป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานผู้เจ็บป่วยเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะอาการแปลกๆอย่างเช่น บอกเลียนเสียง บอกช้า ติดต่อไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆเกลียดความเคลื่อนไหว ไม่สนใจคนอื่นๆ เล่นไม่เป็น แล้วก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กพวกนี้แตกต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย เล่าถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมทุกข์ยากลำบาก หมกมุ่นอยู่กับวิธีการทำอะไรบ่อยๆประหลาดๆแต่กลับพูดเก่งมากมาย และก็ดูเหมือนจะฉลาดเฉลียวด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พุทธศักราช2524 Lorna Wing เอามาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มากมาย นักค้นคว้ารุ่นหลังจึงสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ว่าในเนื้อหาที่แตกต่าง ซึ่งในตอนนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder”
                จากการเรียนรู้ระยะเริ่มต้นพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แต่ว่ารายงานในช่วงหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งส่วนใดมาจากความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้งานเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณคนป่วยที่อาจมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ โรคออทิสติกพบในผู้ชายมากกว่าเพศหญิงอัตราส่วนโดยประมาณ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงขึ้นในกรุ๊ปเด็กที่มีอาการน้อยและในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนผู้ชายต่อเพศหญิงต่ำลงในกลุ่มที่มีสภาวะปัญญาอ่อนร้ายแรงร่วมด้วย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก  มีความมานะบากบั่นในการศึกษาถึงสิ่งที่ทำให้เกิดออทิสติก แต่ก็ยังไม่รู้สาเหตุของความไม่ดีเหมือนปกติที่แน่ชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานช่วยเหลือแจ้งชัดว่าเกิดจากแนวทางการทำงานของสมองที่ไม่ปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสภาพแวดล้อม
            ในสมัยก่อนเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุเป้าหมายในเรื่องงาน จนความเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเหินเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบว่า เป็นพ่อแม่ตู้แช่เย็น) แต่จากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้แจ่มชัดว่า แบบการชุบเลี้ยงไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ว่าถ้าอุปการะอย่างเหมาะควรก็จะสามารถช่วยทำให้เด็กปรับปรุงดีขึ้นได้มาก
           แต่ในปัจจุบันนักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุด้านพันธุกรรมสูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง เป็นต้นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และก็ 16p เป็นต้น รวมทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดราวกับ ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นเดียวกัน ได้โอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นมากยิ่งกว่าคู่แฝดไม่ราวกับอย่างเห็นได้ชัด
                และก็การศึกษาเล่าเรียนทางด้านกายตอนรวมทั้งสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งทางภาพถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ เจอความแตกต่างจากปกติหลายประเภทในคนป่วยออทิสติกแม้กระนั้นยังไม่เจอแบบที่จำเพาะ ในทางกายตอนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วไป รวมทั้งนิดหน่อยของสมองมีขนาดเปลี่ยนไปจากปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความไม่ดีเหมือนปกติของเนื้อสมอง อาทิเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                นอกนั้นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้เจ็บป่วยออทิสติก เจอความแตกต่างจากปกติจำนวนร้อยละ 10-83 เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของคลื่นกระแสไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจง  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นมากยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปคือ พบร้อยละ 5-38 ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลากหลายประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  serotonin ที่พบว่าสูงมากขึ้นในคนป่วยบางราย แต่ก็ยังมิได้บทสรุปที่กระจ่างถึงความเกี่ยวพันของความเปลี่ยนไปจากปกติเหล่านี้กับการเกิดออทิสติก
                ในปัจจุบันนี้สรุปได้ว่า สาเหตุส่วนมากของออทิสติกมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์แบบหลายสาเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวเนื่องหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูเขามิไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุมากจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ
อาการของโรคออทิสติก การที่จะรู้ดีว่าเด็กคนไหนกันแน่เป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มต้นจะดูได้จากความประพฤติปฏิบัติในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่บางครั้งก็อาจจะมองเห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์ด้านสังคมกับคนอื่นๆ  ด้านการสื่อความหมาย    มีความประพฤติที่ทำอะไรบ่อยๆ    พฤติกรรมจะเริ่มแสดงแจ่มชัดมากเพิ่มขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏกระจ่างในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและก็การใช้ภาษา      ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมพินิจได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางและก็ท่าทีเสมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับผู้ใดกัน  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน ดังเช่น

  • ความบกพร่องในการมีปฏิสัมพันธ์ด้านสังคม (impairment in social interaction) ความบกพร่องในการมีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความร้ายแรงที่นาๆประการ หากว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความผูกพันโดยมานะที่จะอยู่ใกล้คนเลี้ยงดู แม้กระนั้นสิ่งที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปเป็น การขาดความรู้สึกและความพึงพอใจร่วมกับคนอื่น  (attention-sharing behaviours) ไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง เป็นต้น

แม้เด็กออทิสติกที่มีระดับปัญญาปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ดังเช่น ไม่เคยทราบแนวทางการเริ่มหรือจบทบเจรจา พ่อแม่บางคนอาจมองเห็นความผิดแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และเมื่อเด็กไปสู่วัยศึกษา อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่สามารถเข้าใจหรือรับทราบว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรเข้ากับเพื่อนได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลกโปกฮา

  • ความบกพร่องสำหรับการติดต่อ (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนใหญ่มีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ปกครองพาเด็กมาเจอแพทย์ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในลักษณะของการท่องจำบ่อยๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำด้านหลังประโยค ใช้คำสรรพนามผิดจำต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงทำนองเพลงการพูดที่แตกต่างจากปกติ

เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มบอกคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการกล่าวทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราเชาวน์ธรรมดาหรือใกล้เคียงปกติจะมีความเจริญทางภาษาที่ออกจะดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคสำหรับการติดต่อได้เมื่ออายุประมาณ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยยิ่งไปกว่านั้นการสนทนาโต้ตอบ อาจพูดจาวกวน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ รวมทั้งมีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ออกกาลเทศะ

  • พฤติกรรมรวมทั้งความพึงพอใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมเพียงแค่ไม่กี่จำพวก (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติบ่อยๆเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด จึงช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรคได้ดิบได้ดี การกระทำต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้อาจเป็นการกระทำทางร่างกายแล้วก็การเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความสนใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่จำพวก อย่างเช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก และเมื่อมีความตื่นเต้นหรือมีภาวะบีบคั้น การเคลื่อนไหวซ้ำๆมักพบได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางคนสนใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้อื่นมองข้าม

เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดกี่ โดยสิ่งที่สนใจนั้นบางทีอาจเกิดเรื่องที่เด็กธรรมดาพึงพอใจ แต่เด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นเป็นอย่างมาก อาทิเช่น จดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ และก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พอใจอาจเป็นความทราบทางด้านวิชาการบางสาขา ตัวอย่างเช่น คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานที่เรียน ก็เลยช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในโรงเรียนเจริญขึ้น
นอกนั้นเด็กออทิสติกบางครั้งก็อาจจะดื้อรั้นมากมายแล้วก็มีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้พอใจเป็นพิเศษ กระทั่งบางทีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาการของออทิสติกไม่ชัดเจน ในเด็กที่มีพัฒนาการช้าอย่างมากบางทีอาจเจอความประพฤติปฏิบัติรังควานตัวเอง เช่น โขกศีรษะหรือกัดตนเอง ฯลฯ
ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้และมีความเข้าใจพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุ๊ป high functioning อาจสามารถจำตัวหนังสือแล้วก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกลุ่มสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
แนวทางการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวิเคราะห์ว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือไม่  ไม่มีเครื่องตวงที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่อาจมีการตรวจประกอบการวินิจฉัยจากพฤติกรรม
                โดยมาตรฐานการวินิจฉัโรคออทิสติก[/url]ตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ว่า DSM-III (พุทธศักราช 2523) แล้วก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในขณะนี้ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์ตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติในด้านความก้าวหน้าหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 ชนิด อย่างเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และpervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในปัจจุบันได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกลุ่มออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะมองอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความเจริญหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของเด็กที่มีพัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และก็มีลักษณะอาการ จากข้อ (2) แล้วก็ข้อ (3) ขั้นต่ำข้อละ 2 อาการ ดังนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่มโรคออทิสติก 70% มีภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วยนอกจาก โรค Asperger’s disorder จะมีระดับเชาวน์ปัญญาธรรมดา
  • ชัก เด็กกลุ่มโรคออทิสติก มีโอกาสชักสูงขึ้นยิ่งกว่าราษฎรทั่วๆไป รวมทั้งพบว่าการชักสัมพันธ์กับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกลุ่มที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แม้กระนั้นพบอาการชักในกลุ่มมี IQ ธรรมดาเพียงแค่ 5% โดยมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่มีโอกาสชักเยอะที่สุดคือ 10 -14 ปี
  • การกระทำกระด้างรวมทั้งความประพฤติรังแกตนเอง พบได้มาก มีต้นเหตุจากการไม่สามารถติดต่อสื่อสารความต้องการได้ และก็กิจวัตรประจำวันที่ปฏิบัติเสมอๆไม่สามารถที่จะทำได้ตามธรรมดา เจอปัญหานี้หลายครั้งขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนความประพฤติรังแกตัวเองมักพบในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • การกระทำซุกซน/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้ทั่วไป มีผลเสียต่อปัญ หาการเรียน รวมทั้งแนวทางการทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอน เจอปัญหาเกี่ยวกับการนอนได้บ่อยในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยเฉพาะปัญหานอนยาก นอนน้อย และนอนไม่ตรงเวลา
  • ปัญหาเกี่ยวกับการกิน รับประทานยาก/เลือกกิน หรือรับประทานอาหารเพียงแต่บางประเภท หรือกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรซิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวโยงกับความผิดปกติทางพันธุกรรม ถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรซิสนำไปสู่ก้อนเนื้อนิ่มๆแตกออกขึ้นมาที่อวัยวะและก็สมองของเด็ก แม้ว่าจะไม่มีต้นสายปลายเหตุเด่นชัดว่าเนื้องอกเกี่ยวกับอาการออทิสติกอย่างไร แต่ว่าจากศูนย์ควบคุมและก็คุ้มครองป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) รายงานว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรซิสสูง

การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แจ่มแจ้งแน่นอนแม้กระนั้นส่งผลการศึกษาวิจัยจำนวนมากระบุว่า เกี่ยวข้องกับต้นสายปลายเหตุด้านกรรมพันธุ์ รวมทั้งข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ ด้วยเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัต
132  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขางปอย ตำหรับสมุนไพร ที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่มีความสามารถรักษาคนเป็นโรคไข้มาเ เมื่อ: มีนาคม 31, 2018, 06:55:18 pm

สมุนไพรขางปอ[/size][/b]
ขางปอย Alchornea rugosa (Lour.) Muell Arg.
ชื่อพ้อง A. javanensis (Bl.) Backer & Bakh.f.
บางถิ่นเรียก ขางปอย ของปอยน้ำ (กึ่งกลาง) ซ่าหมากไฟ (เลย) ดับยาง (เชียงใหม่) เปล้าน้ำ (ลำปาง).
ไม้พุ่ม สูง 3-6 ม. กิ่งแข็ง กลม ตามยอดอ่อนมีขน. ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน รูปขอบขนานปนรูปหอก หรือ รูปหอกกลับ กว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 9-16เซนติเมตร ปลายใบติ่งแหลม; โคนใบสอบแคบ โคนสุดมน หรือ เว้าเข้านิดหน่อย ขอบของใบหยักแบบซี่เลื่อยตื้นๆห่างๆตรงรอยหยักมีต่อม เส้นใบโค้ง มี 7-10 คู่ ที่โคนเส้นใบด้านล่างมีขนออกเป็นกระจุก ก้านใบยาว 7-11 มม. มีขนสั้นๆหูใบยาว ปลายแหลม. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด แยกเพศ. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อกระจัดกระจายยาว 10-20 เซนติเมตร กิ่งช่อยาวเรียว ดอกเล็ก กลม ปลายแหลมสั้น ออกหนาแน่นตลอดกิ่งช่อ กลีบรองกลีบ 3-4 กลีบ สีม่วง รูปกลม เกสรผู้ 5-8 อัน. ดอกเพศภรรยา ออกเป็นช่อสั้น และอ้วนกว่าช่อดอกเพศผู้ ก้านดอกสั้นมาก ใบเสริมแต่งเล็ก มีต่อม 2 ต่อม กลีบรองกลีบดอก 6 กลีบ รูปป้อมๆโคนกลีบเว้าเล็กน้อยเป็นรูปหัวใจ ฐานดอกครึ้ม รังไข่มีพู มีขน ท่อรังไข่อ้วน และสั้น ปลายแยกเป็นกิ้งก้านยาวๆ3 กิ้งก้าน ภายในรังไข่แต่ละช่องมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย. ผล ผลอ่อนสีเขียว แก่จัดจะแห้ง มี 3 พู กว้างราวๆ 8 มม. ยาวราว 6 มิลลิเมตร เมล็ด ค่อนข้างกลม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดงดิบแล้ง รวมทั้งป่าเขาดิบทั่วไป.
คุณประโยชน์ : ใบแล้วก็ราก น้ำต้มใบ รวมทั้งรากรับประทานเป็นยาลดไข้ แล้วก็แก้ไข้มาเลเรีย เม็ด กินเป็นยาถ่าย
133  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เมื่อย ยังเป็นสมุนไพรเเก้พิษได้ดีอย่างยอดเยี่ยม เมื่อ: มีนาคม 31, 2018, 02:04:13 am

สมุนไพรเมื่อ[/size][/b]
เมื่อย Gnetum montanum Markgraf
บางถิ่นเรียกว่า เมื่อยล้า (ตราด) ม่วย (เชียงราย อุบลราชธานี) มะม่วย (เชียงใหม่) แฮนม่วย (เลย)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันและตามข้อจะบวมพอง ใบ เดี่ยว เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ มีขนาดแตกต่างกันมาก แม้กระนั้นกว้างไม่เกิน 12 เซนติเมตร ยาวไม่เกิน 20 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบกลม มน หรือ แหลม ขอบของใบเรียบ เนื้อเรือใบแข็งครึ้ม หรือ ออกจะครึ้ม เมื่อแห้งสีออกดำ เส้นใบโค้ง ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดแล้วก็ตามลำต้น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ[/color] ช่อดอกแตกกิ่งก้านสาขามา แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และเพศภรรยา ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบแกนกลาง ช่อดอกเพศผู้ กว้างประมาณ 0.4 เซนติเมตร ยาวราว 3 ซม. แต่ละชั้นมีราวๆ 20 ดอก ช่อดอกเพศภรรยา แต่ละชั้นมี 5-7 ดอก ผล รูปรี กว้างประมาณ 1 ซม. ยาว 1.5 ซม. เมื่อสุกสีแดง ก้านผลอ้วน ยาวราวๆ 0.2 เซนติเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในระดับสูงจากน้ำทะเล 50-1,800 ม. เจอในทุกภาคของประเทศ เว้นเสียแต่ภาคกึ่งกลาง
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มรากกินแก้พิษบางชนิด แล้วก็แก้ไข้ไข้มาลาเรีย
134  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคหูน้ำหนวกอักเสบเรื้อรัง/หูน้ำหนวก.( Chronic Otitis media)- อาการ, สาเหตุ, การ เมื่อ: มีนาคม 30, 2018, 03:40:23 pm

โรคหูน้ำหนวกอักเสบเรื้อรัง/หูน้ำหนวก[/b].( Chronic Otitis media)[/color][/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16865819/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%81-chronic-otitis-media]โรคห[/b]ชั้นกลางอักเสบเป็นอย่างไร ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ (Otitis media) นั้น เรียกเป็นภาษาประชาชนว่า โรคหูน้ำหนวก เกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อในหูชั้นกึ่งกลาง
ซึ่งหูชั้นกึ่งกลาง (middle ear) เป็นส่วนของช่องหูที่อยู่ถัดจากเยื่อแก้วหูเข้าไป มีกระดูกค้อน กระดูกทั่ง แล้วก็กระดูกโกลนใส่อยู่ ปฏิบัติภารกิจรับคลื่นเสียงก่อนหน้าที่ผ่านมาทางหูชั้นนอก และส่งต่อไปยังหูชั้นในซึ่งมีเส้นประสาทหูรับทราบเสียง (การได้ยิน)
            ด้านล่างของหูชั้นกึ่งกลางมีท่อเล็กๆเชื่อมต่อกับคอหอย เรียกว่า ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) เมื่อมีการติดเชื้อโรคของคอหอย เชื้อโรคสามารถเดินทางผ่านท่อยูสเตเชียนเข้าไปในหูชั้นในได้ หากว่าท่อยูสเตเชียนมีการอักเสบบวม ก็จะมีการอุดตัน ทำให้เชื้อโรคถูกกักเอาไว้ในหูชั้นกึ่งกลางจนเกิดการติดเชื้อโรคของหูชั้นกลาง แล้วก็อาจอักเสบเป็นหนองขังอยู่ในหูชั้นกึ่งกลาง มีลักษณะอาการไข้สูง ปวดหู หูอื้อได้ในระยะต้น
โรคนี้ก็เลยพบได้บ่อยร่วมกับโรคติดเชื้อของทางเท้าหายใจส่วนต้น อาทิเช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น โดยเชื้อก่อโรคอาจเป็นไวรัส หรือแบคทีเรียก็ได้
โดยโรคหูชั้นกลางอักเสบ เป็นโรคที่พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก เพราะว่าในเด็กนั้น ท่อปรับความดันหูชั้นกึ่งกลางหรือท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกึ่งกลางและหลังโพรงจมูก ยังไม่ปรับปรุงสมบูรณ์สุดกำลัง ประกอบกับเด็กเกิดภาวะติดเชื้อ ตัวอย่างเช่น โรคไข้หวัดได้บ่อย ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดการอักเสบสม่ำเสมอไปยังรูเปิดของท่อปรับความดันหูชั้นกลาง ซึ่งอยู่ข้างหลังโพรงจมูก ส่งผลนำมาซึ่งภาวะหูชั้นกึ่งกลางอักเสบกะทันหัน (Acute otitis media) ขึ้น ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลและรักษา จะมีลักษณะไข้ หูอื้อ แล้วก็ปวดหูมากมาย จนตราบเท่าเมื่อแก้วหูทะลุ ลักษณะของการปวดหูรวมทั้งไข้จะเริ่มทุเลาลง แต่ว่าจะมีน้ำหนอง ซึ่งมีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากหู และถ้าเกิดยังมิได้รับการรักษาที่เหมาะสมอีก อาจกลายเป็น “โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง หรือหูน้ำหนวก (Chronic otitis media)” ถัดไป ซึ่งได้โอกาสเป็นผลข้างเคียง สอดแทรกต่างๆตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูชั้นในอักเสบ ฝีในสมอง ฝีข้างหลังหู ฝีที่คอ บริเวณใบหน้าเป็นอัมพาต อื่นๆอีกมากมาย
โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ ชอบเกิดอาการอักเสบข้างในของบริเวณหูชั้นกึ่งกลาง จำนวนมากแล้วมักมีสาเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อที่เยื่อหู จนกระทั่งส่งผลให้เกิดอาการบวมแดง อักเสบ และเกิดของเหลวที่รอบๆหลังแก้วหู
โดยระดับของการอักเสบแบ่งได้เป็น 3 ระดับดังต่อไปนี้

  • หูชั้นกลางอักเสบทันควัน (Acute otitis media – AOM) โดยปกติแล้วหากคนไข้ไม่มีอาการหูชั้นกลางอักเสบมาก่อน จะนับว่าเป็นหูชั้นกึ่งกลางอักเสบกระทันหัน เหตุเพราะอาการดังกล่าวข้างต้นจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีสภาวะ ดังนี้ จำนวนมากมักเกิดร่วมกับการต่อว่าดเชื้อในรอบๆทางเท้าหายใจส่วนต้น (คอและก็จมูก) ยกตัวอย่างเช่น หวัด ต่อมทอนซิลอักเสบ รวมทั้งบางรายหูชั้นกึ่งกลางอักเสบกระทันหันอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไอกรน ฝึกฝน ทำให้เชื้อโรคบริเวณคอผ่านท่อยูสเตเชียน หรือท่อปรับความดันหูชั้นกึ่งกลาง (Eustachain tube) เข้าไปในหูชั้นกึ่งกลางได้ แล้วก็เกิดการอักเสบขึ้นมา ทำให้เยื่อบุผิวด้านในหูชั้นกลางแล้วก็ท่อยูสเตเชียนบวม และก็มีหนองขังอยู่ในหูชั้นกลาง เพราะว่าไม่สามารถระบายผ่านท่อยูสเตเชียนที่บวมและก็ตันได้ สุดท้ายเยื่อแก้วหูซึ่งเป็นเยื่อบางๆที่กั้นอยู่ระหว่างหูชั้นกลางอักเสบกับหูชั้นนอกก็จะมีการทะลุเป็นรู หนองที่ขังอยู่ภายในก็จะไหลออกมาเปลี่ยนเป็นหูน้ำหนวกในเวลาต่อมา
  • ภาวะน้ำคั่งในหูชั้นกลาง (Otitis media with effusion-OME) เมื่อเกิดการอักเสบที่หูชั้นกึ่งกลางจะทำให้เกิดของเหลวภายในหู ซึ่งอาจมีผลต่อการได้ยินในระยะสั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นสภาวะที่มีนํ้าขังอยู่ในหูชั้นกลางโดยที่ไม่มีอาการแสดงของการอักเสบหรือติดเชื้อโรค คนเจ็บมักจะมีลักษณะอาการหูอื้อ การได้ยินต่ำลง แต่ไม่มีลักษณะของการปวดหูและไม่มีไข้ เมื่อตรวจสอบในหูจะไม่พบการบวมแดงของแก้วหู แม้กระนั้นจะมีการขยับของเยื่อแก้วหูลดลง (เพราะว่ามีน้ำขังอยู่ข้างหลัง) ภาวะนี้พบได้ทั่วไปในผู้ที่มีโครงสร้างบริเวณใบหน้าที่ไม่ดีเหมือนปกติ
  • หูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง แม้หมอพบว่ามีการฉีกจนขาดของแก้วหูบ่อยๆรวมทั้งมีร่องรอยของการอักเสบ ก็อาจจะทำให้แพทย์วิเคราะห์ได้ว่ามีการอักเสบอย่างเรื้อรังที่หูชั้นกึ่งกลางได้โดยมีภาวการณ์ดังต่อไปนี้ เป็นภาวะที่มีการทะลุของเยื่อแก้วหูและมีหูน้ำหนวกไหลแบบเรื้อรัง (โดยมากจะเริ่มเป็นมาตั้งแต่เด็ก) โดยอาจมีสาเหตุมาจากหูชั้นกึ่งกลางอักเสบกระทันหันหรือมาจากการได้รับบาดเจ็บจนกระทั่งแก้วหูทะลุก็ได้ รวมทั้งบางทีอาจพบร่วมกับผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ผนังกั้นช่องจมูกคด รวมทั้งริดสีดวงจมูก

ซึ่งโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบนี้พบมากในเด็กมากยิ่งกว่าในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เพราะเหตุว่าท่อยูสเตเชียนของเด็กสั้นกว่าและอยู่ในแนวระนาบมากกว่าในผู้ใหญ่ โดยในโรคหูชั้นกลางอักเสบนี้ ระยะของการอักเสบที่ทำให้มีน้ำหนองไหลออกมาจากรูหู (ภาษาชาวบ้านเรียกน้ำหนวก) นี้ ชอบพบในระยะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรั้ง เป็นส่วนมาก ส่วนระยะอื่นพบได้บ่อยได้ไม่บ่อยมากมาย และความร้ายแรงของโรคก็ไม่มากมายเท่าระยะเรื้อรัง ด้วยเหตุนั้นในหัวข้อต่อไปคนเขียนก็เลยจะขออธิบายเฉพาะในระยะหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรังหรือโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรังเพียงเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของนักอ่าน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ต้นเหตุของโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้องรังของ (COM) มักมีเหตุมาจาก

  • หูชั้นกึ่งกลางอักเสบรุนแรง (acute otitis media) ที่มิได้รับการรักษาทันท่วงที ทำให้โรคหนองในหูชั้นกึ่งกลางดันเยื่อแก้วหูทะลุออกมาก รวมทั้งต่อไปไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีทำให้เยื่อแก้วหูที่ทะลุนั้นไม่สามารถที่จะปิดได้เอง
  • เยื่อแก้วหูทะลุจากการเจ็บ (traumatic tympanic membrane perforation) เช่น ใช้ไม่พันสำลีปั่นช่องหู แล้วมีอุบัติเหตุกระแทกทำให้ไม้พันสำลีนั้น กระแทกเยื่อแก้หูจนกระทั่งทะลุเป็นรูและรูนั้นไม่สามารถปิดได้เอง หรือเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการผ่าตัดกรีดเยื่อแก้วหู (myringotomy) เพื่อระบายหนองออกจากหูชั้นกึ่งกลาง ในคนป่วยที่มีหูชั้นกลางอักเสบกระทันหันที่มีภาวะแทรกซ้อน หรือผ่าตัดเพื่อใส่ท่อระบายของเหลวหรือโรคหนองในหูชั้นกึ่งกลาง (ventilation tubes) รวมทั้งค้างไว้ที่เยื่อแก้วหู แล้วหลุดออกไป แม้กระนั้นรูที่เกิดจากการผ่าตัดนั้นไม่สามารถปิดได้เอง ซึ่งต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เยื่อแก้วหูที่ทะลุนั้นไม่สามารถที่จะปิดได้เองอย่างเช่น
  • มีการไหลของของเหลว อาทิเช่น มูกหรือหนองผ่านรูทะลุตลอดระยะเวลา เนื่องจากยังมีการติดโรคในหูชั้นกึ่งกลางอยู่
  • เยื่อบุผิวหนังของหูชั้นนอก (squamous epithelium) เข้ามาหุ้มที่ขอบของรูทะลุ เมื่อเยื่อแก้วหูทะลุ ทำให้กลไกสำหรับเพื่อการ

Proteus species
ที่มา : Google
ป้องกันการต่อว่าดเชื้อของหูชั้น
กลางเสียไป เมื่อเยื่อแก้วหูทะลุ ทำให้กลไกสำหรับในการปกป้องการต่อว่าดเชื้อของหูชั้นกึ่งกลางเสียไปเชื้อโรงที่เป็นต้นเหตุของการติดเชื้อแล้วก็ทำให้หูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น เชื้อแบคทีเรียแล้วก็     
        พบมาก คือเชื้อประเภทมึงรมลบ
 
Pseudomonas aeruginosa
        ที่มา : Googie                                                                                                                
 

Staphylococcus aureus
ที่มา Wikipedia
 และก็Pseudomonas aeruginosa, Proteus species, Klebsiella pneumoniae รวมทั้งเชื้อประเภทแกรมบวก ยกตัวอย่างเช่น Staphylococcus aureus และก็บางทีอาจเจอเชื้อ anaerobes เช่น Bacteroides, Peptostrep-tococcus, Peptococcus ได้ ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดย

  • มีต้นเหตุที่เกิดจากการที่เชื้อโรคจากคอ หรือ จมูก ผ่านเข้าทาง Eustachian tube ไปสู่หูชั้นกลาง
  • มีต้นเหตุจากเชื้อโรคเข้าทางรูหู ผ่านแก้วหูที่ทะลุอยู่ก่อนแล้ว เข้าไปสู่หูชั้นกึ่งกลาง รวมทั้ง mastoid air cell
  • ผ่านทางกระแสโลหิต

นอกเหนือจากนั้นยังอาจมีสาเหตุมาจาก  มีการตันของรูเปิดของท่อยุสเตเชียนจากพยาธิภาวะในโพรงหลังจมูก ตัวอย่างเช่น มะเร็งโพรงข้างหลังจมูก ต่อมอดีนอยด์โต, การอักเสบของโพรงจมูก ไม่ว่าจากการต่อว่าดเชื้อ ไหมใช่การตำหนิดเชื้อการอักเสบของโพรงข้างหลังจมูก ซึ่งมีสาเหตุจากกรดไหลย้อนที่ขึ้นมาที่โพรงข้างหลังจมูก หรือเป็นผลมาจากกรดไหลย้อนที่ขึ้นมาที่โพรงข้างหลังจมูก หรือมีต้นเหตุจากความไม่ดีเหมือนปกติแต่กำเนิดของท่อยูสเตเชียนทางกายส่วนและสรีรวิทยา ดังเช่นว่า เพดานแหว่ง (cleft palate) Down syndrome พยาธิสภาพดังที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้มีการคั่งของของเหลวที่สร้างขึ้นจากหูชั้นกลาง และมีการอักเสบของเยื่อบุหูชั้นกลาง แล้วก็ทำให้ของเหลวดังที่กล่าวถึงมาแล้วไหลออกจากหูชั้นกึ่งกลางได้
อาการของโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง หูชั้นกลางอักเสบประเภทเรื้อรัง  แบ่งเป็น 2 จำพวก คือ

  • ประเภทไม่อันตราย (safe or uncomplicated ear) รูทะลุของเยื่อแก้วหู มักจะอยู่กึ่งกลาง (central perforation) จังหวะที่เยื่อบุหูชั้นนอก (stratified squamous epithelium) หรือไคล (cholesteatoma) จะเข้าไปในหูชั้นกลางและโพรงอากาศมาสตอยด์ นำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนน้อย หูน้ำหนวกชนิดนี้เป็นจำพวกที่ไม่มีขี้ไคลนั่นเอง ชนิดนี้คนป่วยจะมีหนอง (mucopurulent discharge) ไหลจากหูเป็นๆหายๆบางทีอาจตรวจพบ granulation หรือ polyp ได้ มักไม่พบว่ามีลักษณะปวดหูร่วมด้วย ถ้าหากมีอาการปวดหูแสดงว่าอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้ผู้ป่วยมักเสียการได้ยินแบบการนำเสียงเสีย บางรายอาจมีเส้นประสาทหูเสื่อมร่วมด้วยจาก Bacterial Toxin
  • ประเภทอันตราย (unsafe or complicated ear) ชอบมีรูทะลุของเยื่อแก้วหู อยู่ที่ขอบแก้วหู (marginal perforation) ทำให้จังหวะที่เยื่อบุหูชั้นนอก หรือขี้ไคลจะเข้าไปในหูชั้นกึ่งกลางแล้วก็โพรงกระดูกมาสตอยด์ ทำให้มีการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง หูน้ำหนวกชนิดนี้เป็นจำพวกที่มีไคลนั่นเอง ประเภทนี้ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเป็น คนป่วยจะมีลักษณะอาการหนองไหลออกมาจากหูเป็นๆหายๆถึงแม้ว่ารักษาด้วยยาเต็มกำลังแล้วอาการเกิดขึ้นอีก  และมีลักษณะหูตึงจากการนำเสียงแตกต่างจากปกติ (conductive hearing loss) หรือทำลายอวัยวะที่เกี่ยวกับการได้ยินในหูชั้นใน ทำให้หูตึงจากเส้นประสาทหูดำเนินงานไม่ปกติ (sensorineural hearing loss) มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน  นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอัมพาตของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7  เกิดภาวะแทรกทางสมอง เป็นต้นว่า เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis), ฝีในสมอง (brain abscess),

การตำหนิดเชื้อของเส้นเลือดในกะโหลกศีรษะ (sigmoid sinus thrombophlebitis) มีการอักเสบของกระดูกมาสตอยด์ (mastoiditis) เนื่องด้วยมีหนองขังอยู่ในส่วนของกระดูก มาสตอยด์ แล้วไม่สามารถที่จะระบายออกไปได้ ทำให้มีการทำลายของกระดูกส่วนที่เป็นโพรงอากาศมาสตอยด์คนป่วยมีลักษณะอาการปวดหูมากยิ่งขึ้น มีหนองไหลออกจากหูเยอะขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งมีกลิ่นเหม็น  กำเนิดฝีหนองข้างหลังหู (subperiosteal abscess)
กรรมวิธีการรักษาโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากวิธีสำหรับซักประวัติอาการของผู้เจ็บป่วย การตรวจร่างกาย รวมทั้งการใช้เครื่องส่องหู (Otoscope) ส่องมอง ซึ่งจะพบเยื่อแก้วหูมีลักษณะไม่ปกติ แม้แก้วหูยังไม่ทะลุสามารถยืนยันการมีน้ำในหูชั้นกึ่งกลางได้ด้วยการตรวจ pneumatic otoscope และก็การประเมิน tympanometry หากทะลุแล้วจะมองเห็นรูทะลุรวมทั้งมีน้ำอยู่ในรูหูชั้นนอก สามารถนำน้ำในหูไปย้อมรวมทั้งเพาะหาชนิดของเชื้อได้และการตรวจนับเม็ดเลือดจะช่วยยืนยันภาวะติดเชื้อถ้าหากยังไม่มีหนองไหล นอกจากนั้นยังมีการตรวจพิเศษอื่นๆเพิ่มเติมอีกตัวอย่างเช่น

  • การถ่ายรังสีกระดูกมาสตอยด์ (plan film of mastoid) พบมากว่าโพรงกระดูกมาสตอยด์ทึบ แล้วก็บางส่วนของกระดูกมาสตอยด์บางทีอาจถูกทำลายไป
  • การตรวจการได้ยิน เพื่อตรวจระดับของการได้ยินคราวเสียไป ถ้าหากการอักเสบของหูชั้นกลางหรือ cholesteatoma ทำลายกระดูกหู (ossicular destruction) จะทำให้มีการสูญเสียการได้ยินมากมาย (conductive hearing loss) หรืออาจมีการสูญเสียของประสาทหู (sensorineural hearing loss) ได้ถ้าหากมี inner ear involvement
  • การเป่าลมเข้าไปในช่องหู เพื่อดูว่าคนเจ็บมีลักษณะเวียนหัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือมีลูกตากระตุก (nystagmus) หรือ (fistula test) หาก cholesteatoma ได้ทำลายกระดูกที่หุ้มห่ออวัยวะควบคุมการเลี้ยงตัว จนถึงเกิดทางเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลาง รวมทั้งอวัยวะควบคุมการเลี้ยงตัว การเป่าลมดังที่กล่าวมาแล้วจะทำการกระตุ้นอวัยวะควบคุมการเลี้ยงตัว ทำให้ผู้เจ็บป่วยมีลักษณะอาการเวียนหัวหรือดวงตากระตุกได้ ควรจะทำการทดลองดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วในคนไข้ทุกรายที่มี cholesteatoma โดยเฉพาะคนเจ็บที่มีลักษณะอาการเวียนหัว
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ของกระดูกเทมโพรอล (temporal bone) ใคร่ครวญทำในรายที่ใช้ยารักษาเต็มกำลังแล้วไม่ดีขึ้น (สงสัย cholesteatoma เนื้องอก,สิ่งเจือปน) หรือสงสัยว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน (ossicular or fallopian canal erosion จาก cholesteoma, subperiostea abscess)
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ของกระดูกเทมโพรอล ไต่ตรองรณาทำในรายที่สงสัยว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน (dural inflammation, sigmoid sinus thrombosis, labyrinthitis, extra-craniai and intracranial abscess)

สำหรับวิธีการรักษาโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังจำพวกไม่อันตรายคือ ชำระล้าง ดูดหนองในรูหู  ให้ยาหนอดหู fluoroquinolone ear drop 14-28 วัน
หากอาการยังไม่ดีขึ้นให้ รับประทานยาปฏิชีวนะ ร่วมด้วย ภายหลังให้การรักษาโดยใช้ ยาปฏิชีวนะอย่างเต็มที่แล้วยังไม่ดีขึ้นจึงควรประเมินหา cholesteatoma และ mastoiditis
ในผู้ป่วยบางรายข้างหลังการดูแลรักษาด้วย ยาปฏิชีวนะไปแล้ว ยังพบว่าแก้วหูทะลุอยู่ไม่สามารถปิดเองได้ซึ่งบางทีอาจพิเคราะห์รับการผ่าตัดแก้วหู (tympanoplasty) จุดมุ่งหมายหลักในการปะเยื่อแก้วหูคือ

  • เพื่อกำจัดการต่อว่าดเชื้อในหูชั้นกึ่งกลาง
  • เพื่อคุ้มครองปกป้องการตำหนิดเชื้อผ่านเยื่อแก้วหูที่ทะลุไปสู่หูชั้นกลาง
  • เพื่อช่วยให้การได้ยินดีขึ้น

และกรรมวิธีการรักษาโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรังจำพวกอันตรายเป็น กำจัดการตำหนิดเชื้อข้างในหูชั้นกึ่งกลางคุ้มครองปกป้องไม่ให้มีการติดโรคข้างในหูชั้นกึ่งกลางอีก รักษาการได้ยินให้อยู่ในสภาพดี
เว้นเสียแต่จุดมุ่งหมายสำหรับเพื่อการรักษาดังกล่าวข้างต้น 3 ข้อแล้ว ควรจะทำให้ cholesteatoma มีทางออก เพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ cholesteatoma มีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนกระทั่งไปทำลายอวัยวะที่สำคัญต่างๆ

  • การดูแลและรักษาทางยา โดยบางทีอาจให้ยาต่อต้านจุลชีพชนิดกินและก็ประเภทหยอดหู รวมทั้งให้ยาต้านทานจุลชีวินประเภทฉีดเข้าเส้นเลือด ในคนป่วย ที่มีภาวะแทรกซ้อน และก็ทำความสะอาดหู โดยนำหนองของเหลว และก็เนื้อตายในหูชั้นกลางออกให้หมด
  • กระทำการผ่าตัด mastoidectomy สำหรับผู้ป่วยที่มี cholesteatoma เก็กกักเอาไว้ภายในส่วนของแก้วหูที่เป็นแอ่ง แล้วก็แพทย์ไม่อาจจะเห็นรวมทั้งทำความสะอาดเอา cholesteatoma โดยเฉพาะส่วนในสุดของแอ่งได้ ควรทำการผ่าตัด วิธีการคือเอา cholesteatoma ออกมาให้หมด โดยทำ tympanomastoid surgery รวมทั้งเปิดทางให้ choleseatoma ที่อยู่ด้านใน มีทางออกสู่ภายนอก เพื่อป้องกันไม่ให้ cholesteatoma มีการขยายขนาดจนกระทั่งไปทำลายอวัยวะที่สำคัญต่างๆแล้วก็เกิดภาวะเข้าแทรกได้

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ปัจจัยต่างๆที่ทำให้คนป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อข้างในหูชั้นกึ่งกลางจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นการอักเสบเรื้อรังได้ ซึ่งดังเช่น

  • อายุ หูชั้นกึ่งกลางอักเสบมักเกิดขึ้นในเด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี เป็นส่วนใหญ่ เพราะท่อยูสเตเชียนของเด็กอยู่ในลักษณะแนวยาวกระตุ้นให้เกิดการระบายของเหลวไม่ดีพอเสมือนคนแก่
  • ปัญหาด้านสุขภาพ เด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่มีการเสี่ยงที่จะเกิดติดเชื้อโรคในหูชั้นกึ่งกลาง เนื่องจากความเปลี่ยนไปจากปกติดังกล่าวข้างต้นจะนำมาซึ่งการทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ท่อยูสเตเชียนและไปสู่หูชั้นกลางได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วๆไป นอกนั้น ผู้ป่วยกรุ๊ปดาวน์ซินโดรม (Down's Syndrome) ที่มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากเด็กคนทั่วๆไปจะมีโอกาสในการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดหูชั้นกลางอักเสบได้มากขึ้น
  • การดื่มนมแม่ เด็กที่มิได้ดื่มนมแม่ตั้งแต่เกิดจะมีผลให้มีภูมิต้านทานในช่วงแรกเกิดน้อยกว่าเด็กที่ดื่มนมแม่ เนื่องจากว่าในน้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีและก็ช่วยคุ้มครองการติดเชื้อต่างๆได้
  • การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ไข้หวัดมักเป็นกันมากมายในฤดูฝน รวมทั้งหน้าหนาว ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้เจ็บป่วยติดเชื้อที่หูได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเมื่อจับไข้หวัด นอกจากนั้น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อากาศก็ยังมีการเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้อีกด้วย
  • การดูแลเด็ก เด็กที่ต้องได้รับการดูแลในสถานรับเลี้ยงมีความเสี่ยงที่จะจับไข้หวัดรวมทั้งเกิดการติดโรคที่หูได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานของเด็กยังไม่ปรับปรุง รวมทั้งสถานรับเลี้ยงเด็กมักเป็นแหล่งแพร่ระบาดโรคที่ทำให้เด็กป่วยไข้ได้มากที่สุด
  • มลภาวะที่เกิดขึ้นทางอากาศ ฝุ่นละอองควันกลางอากาศรวมทั้งควันที่เกิดจากบุหรี่ อาจทำให้เกิดการต่อว่าดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และก็หูได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
  • การสั่งน้ำมูกแรงๆการมุดน้ำ การว่ายน้ำ เวลาที่มีการอักเสบในโพรงข้างหลังจมูกจะก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อในหูชั้นกลางได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

การติดต่อของโรงหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้องรังหรือหูน้ำหนวกนี้ เป็นโรคที่เกิดจากาการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ในบริเวณหูชั้นกึ่งกลางซึ่งไม่ได้เป็นโรคติดต่อและไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

  • ไม่แคะ ปั่น เขี่ย หรือเช็ดขี้หูออก หรือทำความสะอาดหูโดยใช้ไม้พันสำลี นิ้วมือ หรือวัตถุอะไรก็แล้วแต่ใส่เข้าไปในรูหู โดยมิได้รับคำแนะนำจากหมอแล้วก็พยาบาล
  • คุ้มครองป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู โดยใช้สำลีหรืออุปกรณ์อุดรูหู (Ear plug) ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านกีฬา (เป็นที่อุดหูสำหรับในการว่ายหรือดำน้ำ) และก็ทุกหนขณะอาบน้ำ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำไพเราะ
  • ในระหว่างที่มีหูน้ำหนวกไหลหรือเป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง ควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกต้องและตลอด หลีกเลี่ยงการมุดน้ำหรือเล่นน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
  • ไม่สมควรล้างหูด้วยสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยๆหรือซื้อยาหยอดหูมาใช้เอง
  • ไม่ไอแบบปิดปากแน่น หรือสั่งขี้มูก จามรุนแรงแบบปิดจมูกแน่น
  • ปกป้องตนเองไม่ให้เป็นหวัด หรือโรคทางเดินหายใจอักเสบ
  • กระทำตามข้อเสนอของแพทย์ กินยาจากที่หมอสั่งให้ถูก ครบ ไม่หยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นกว่าเดิมและจากนั้นก็ตาม เนื่องจากอาจส่งผลให้การรักษาได้ผลไม่เต็มกำลัง หรือเกิดภาวะแทรกได้
  • เมื่อมีลักษณะน่าสงสัย หรือเป็นหวัดช้านาน หรือ เป็นหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเฉียบพลัน (มีลักษณะไข้ หูอื้อ ปวดหู มีน้ำหนองซึ่งมีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากหู) ควรรีบไปพบแพทย์/แพทย์หู คอ จมูก
การป้องกันตัวเองจากโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

  • การปกป้องคุ้มครองในเด็กบางทีอาจทำเป็นโดยการลดปัจจัยเสี่ยง ดังเช่น ช่วยเหลือให้เด็กแรกคลอดรับประทานนมคุณแม่ เลี่ยงการส่งเด็กไปเลี้ยงที่ศูนย์เลี้ยงเด็กที่มีการเขตสุขาภิบาลไม่ดี
  • เลี่ยงการสัมผัสสนิทสนมผู้เป็นไข้หวัด รวมทั้งโรคติดเชื้อทางเท้าหายใจอื่นๆ
  • ฉีดยาคุ้มครองเชื้อนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบและก็ปอดอักเสบ
  • หลบหลีกการอยู่ในที่ๆมีควันที่เกิดจากบุหรี่
  • ระมัดระวังอย่าให้ทำให้เป็นอันตรายหรืออุบัติเหตุกับหู หลบหลีกการกระทบสะเทือนรอบๆหูและก็รอบๆใกล้เคียง ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้แก้วหูทะลุรวมทั้งฉีกขาดได้
  • แม้มีอาการป่วยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันควรรีบกระทำรักษาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น ระยะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง
  • ทำให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อลดความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อต่างๆด้วยการทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ให้ครบอีกทั้ง 5 หมู่ แล้วก็หมั่นบริหารร่างกาย
  • เมื่อมีลักษณะอาการน่าสงสัย หรือเป็นหวัดนาน หรือ เป็นหูชั้นกลางอักเสบทันควัน ควรรีบไปพบแพทย์
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครอง / รักษาโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

  • หูเสือหรือเนียมหูเสือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plectranthus amboinicus คุณประโยชน์ทางยาไทยพบว่า น้ำคั้นจากใบสามารถแก้ปวดหู พิษฝีในหู หูน้ำหนวก ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งยีสต์ ยั้งเชื้อรา ฆ่าแมลง ยั้งการงอกของพืชอื่น ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี protease จากเชื้อ HIV แ
135  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อหิวาตกโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 30, 2018, 09:44:32 am

อหิวาต์ (Cholera)

  • อหิวาตกโรค คืออะไร อหิวาตกโรคมีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน ได้แก่ โรคอหิวาต์, โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง, โรคลงราก หรือโรคห่า (Cholera) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไปสู่ร่างกายโดยการรับประทานเข้าไป เชื้อจะไปอยู่รอบๆลำไส้ และจะสร้างพิษออกมา ทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก นำมาซึ่งอาการท้องเสียอย่างยิ่ง

    เริ่มด้วยอาการอุจจาระเป็นน้ำเป็นอย่างมากโดยไม่มีลักษณะของการปวดท้อง บางรายอุจจาระขาวขุ่นเสมือนน้ำแช่ข้าว บางทีมีคลื่นไส้ คลื่นไส้ สูญเสียน้ำอย่างเร็วกระทั่งเกิดภาวะเป็นกรดในเลือด และการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว  คร่าวๆ 1 ใน 10 หรือคิดเป็นร้อยละ 5-10 ของคนไข้ทั้งสิ้น จะมีอาการร้ายแรง ได้แก่ ถ่ายเหลวเป็นน้ำมาก อ้วก ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่อย่างเร็วและก็นำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวการณ์ขาดน้ำรวมทั้งช็อคได้ ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษา คนป่วยสามารถเสียชีวิตข้างในไม่กี่ชั่วโมง
    อหิวาต์พบเกิดได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งคนสูงอายุ ผู้หญิงรวมทั้งผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคได้เสมอกัน เป็นโรคพบบ่อยในประเทศยังไม่พัฒนา ซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งปีและก็มีการระบาด เป็นบางครั้งบางคราวเสมอ ทั่วทั้งโลกพบโรคนี้ได้ราว 3 - 5 ล้านคนต่อปี รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ในปี 2553 ประมาณ 58,000 - 130,000 คน   ส่วนในประเทศไทยรายงานจากสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข เหตุการณ์อหิวาตก โรคที่มีสาเหตุเนื่องมาจาก 1 ม.ค. พ.ศ. 2555 ถึง 18 เดือนกันยายน ปีเดียวกัน พบโรคนี้ที่วิเคราะห์ได้แน่ๆคิดเป็น 0.05 รายต่อประชากร 1 แสนคน  ในช่วง 10 ปีที่ล่วงเลยไปทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยเรียกโรคนี้ว่า "โรคอุจจาระตกอย่างแรง" โดยอาศัยอาการรวมทั้งคุณลักษณะของเชื้อที่เป็นต้นเหตุการระบาดในประเทศไทยว่า มีต้นเหตุจากเชื้อ Vibrio cholerae O1 ไบโอไทป์ El Tor ซึ่งแทบจะไม่พบสาเหตุที่เกิดจาก V. cholerae ไบโอไทป์ classical.เลย

  • ที่มาของอหิวาตกโรค อหิวาต์มีต้นเหตุจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรีย แกรมลบที่มีชื่อว่า “วิบริโอคอเลอเร” (Vibrio cholerae) ซึ่งมีอยู่ร่วมกันหลายกรุ๊ปหลายแบบซึ่งแบคทีเรียประเภทนี้ เป็นแบคทีเรียในเชื้อสาย Vibrionaceae มีรูปร่างเป็นแท่งงอเหมือนกล้วยหอม มี flagella ที่ปลาย 1 เส้น ติดสีกรัมลบ ขยับเขยื้อนได้รวดเร็วทันใจ ไม่สร้างสปอร์ ไม่อยากออกซิเจน มีน้ำย่อย oxidase สามารถหมักน้ำตาลเดกซ์โทรส ซูโครส และมานิทอลได้ ให้ผลลบต่อไลซีนแล้วก็ การทดสอบออนิทีนคาร์บอกซิเลส. เชื้อ V. cholerae จะมีรูปร่างกลมขณะที่อยู่ภายในสิ่งแวดล้อมในระยะพัก เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะปรับพฤติกรรมเป็น active form รูปร่างยาว. การแบ่งกรุ๊ปของเชื้ออาศัย O antigen สามารถแบ่งกลุ่มต่างๆได้มากกว่า 200 ซีโรกรุ๊ป เชื้อ Vibrio cholerae serogroup O(โอ)1ที่เป็นต้นเหตุของอหิวาตกจากโรค มี 2 biotypes คือ classical รวมทั้ง El Tor แต่ละ biotype แบ่งออกได้เป็น 3 serotypes คือ Inaba, Ogawa และ Hikojima เชื้อพวกนี้จะสร้างพิษเรียกว่า Cholera toxin ก่อให้เกิดอาการป่วยคล้ายคลึงกัน ปัจจุบันนี้พบว่าการระบาดจำนวนมากมีสาเหตุจากเชื้อ biotype El Tor เป็นหลักแทบจะไม่เจอ biotype classical เลย ในปี พ.ศ. 2535-2536 มีการระบาดครั้งใหญ่ในอินเดียรวมทั้งบังคลาเทศสาเหตุเกิดขึ้นจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่เป็น Vibrio cholerae O139 ด้วยเหตุดังกล่าวในตอนนี้ ซีโรกลุ่ม O1 และ O139 เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญทำให้มีการเกิดการระบาดได้. ส่วนซีโรกลุ่มอื่น (non-O1, non-O139) อาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการอุจจาระหล่นได้แม้กระนั้นไม่พบว่านำมาซึ่งการระบาดของโรค.

แบคทีเรีย V.cholerae ถูกรายงานหนแรก ในปี ค.ศ.1854 ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี โดย Pacini ได้ตรวจเจอแบคทีเรีย รูปร่างโค้งงอไม่น้อยเลยทีเดียวในลำไส้คนไข้ แล้วให้ชื่อว่า Vibrio cholera แต่การค้นพบครั้งนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับกระทั่งกระทั่ว Robert Koch ได้เรียนรู้คนป่วยชาวอียิปติ ในปี ค.ศ.1883 และตรวจเจอเชื้อแบคทีเรียรูปร่างคล้ายตัวเขียน comma และสามารถแยกเชื้อบริสุทธิ์ จึงตั้งชื่อว่า Kommabazillen แม้กระนั้นถัดมากลายเป็น Vibrio comma รวมทั้งใช้มีชื่อเสียงกล่าวมาหลายสิบปี จนกระทั่วคณะทำงานในกรุ๊ปของ Pacini ได้เปลี่ยนแปลงชื่ออีกรอบเป็น Vibrio cholera จากประวัติเริ่มแรก พบว่าดรคนี้มีมาตั้งแต่ก่อนปี คริสต์ศักราช1800 หรือก่อนศตวรรษที่ 19 สันนิษฐานว่าจุดเริ่มมาจากแม่น้ำคงคา รวมทั้งแม่น้ำพรหมบุตร ในประเทศประเทศอินเดีย ส่วนความหมายของ cholera ได้รับอิทธิพลมาจากภาษากรีก คือ ‘bilious’ มีความหมายว่า เกี่ยวกับน้ำดี การระบาดใหญ่ทั้งโลกเจอครั้งแรกเมื่อ คริสต์ศักราช1817 ตราบจนกระทั่ง ค.ศ.1923 รวม 6 ครั้ง มีเหตุมาจาก Vibrio cholerae serogroup O1 biotype Classical สิ้นปี คริสต์ศักราช1992 เกิดโรคระบาดใหญ่คล้ายอหิวาต์อีกครั้งในทางตอนใต้และก็ตะวันออกของอินเดีย รวมทั้งบังคลเทศ ลักษณะเชื้อคล้ายกับ V.cholerae serogroup O1 biotype El Tor แต่ว่าไม่ตกตะกอนกับ antiserum ทั้งยัง 138 serogroup ที่มีอยู่เดิม จึงจัดให้เป็น V.cholerae สายพันธุ์ใหม่ serogroup O139 หรือ V.cholerae  Bengal.
อาการของอหิวาตกโรค คนที่ติดเชื้อแต่ละคน บางทีอาจแสดงอาการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่ได้รับและก็ความต้านทานทางของแต่ละบุคคล ระยะฟักตัวของเชื้อราว 1-5 วัน อาการที่เห็นได้ชัด อาทิเช่น อุจจาระร่วง ลักษณะอุจจาระในระยะเริ่มต้นมักมีเศษอาหารคละเคล้าอยู่ ต่อมามีลักษณะอาการถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำแช่ข้าว มีกลิ่นคาว ถ้าหากถ่ายนานๆอาจมีน้ำดีปนออกมาด้วย อุจจาระไม่มีมูกเลือด คนไข้อาจมีคลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนอาการปวดท้องและก็มีไข้ไม่ค่อยเจอ ในรายที่อาการไม่รุนแรงมักมีอาการคล้ายกับของโรคติดเชื้อในลำไส้จากเชื้อต่างๆดังเช่นว่า Salmonella, Shigella และ Escherichia coli เป็นต้น  แม้เป็นอย่างไม่ร้ายแรง พวกนี้มักหายด้านใน 24 ชั่วโมง หรืออย่างช้า 5 วัน มีอาการขี้เหลวเป็นน้ำ วันละหลายที แต่จำนวนอุจจาระไม่เกินวันละ 1 ลิตร ในผู้ใหญ่อาจมีเจ็บท้องหรือ คลื่นไส้อาเจียนได้   ในรายที่อาการร้ายแรง จะพบสภาวะร่างกายขาดสารน้ำรวมทั้งแร่ธาตุ ทำให้หมดแรง อยากกินน้ำ เป็นตะคิว เสียงแหบ แก้มตอบ  เบ้าตาลึก ผิวหนังและก็เยื่อเมือกต่างๆแห้ง มือและนิ้วเหี่ยวย่น  ตัวเย็น ชีพจรเบาตราบจนกระทั่งจับมิได้ เลือดข้น มีความเป็นกรดในเลือดสูง  ความดันเลือดต่ำ ลักษณะนี้ถ้าให้การรักษาไม่ถูกจะต้องและทันท่วงที คนป่วยอาจช็อก ไตวายอย่างกระทันหัน  เป็นต้นเหตุให้เสียชีวิตได้รวดเร็ว  อาการอุจจาระหล่นและอ้วกอาจจะก่อให้คนไข้สูญเสียน้ำไปมากกว่า 1 ลิตรต่อชั่วโมง หรือ 10-15 ลิตรต่อวัน (ร่างกายของคนเรามีน้ำโดยประมาณ 20-40 ลิตร) อุจจาระของผู้ป่วยจะประกอบด้วย epithelial cell, mucosa cell อีเลคโตรไลท์ แล้วก็เชื้อ V.cholerae ประมาณ 10-10 ต่อมิลลิลิตร รูปทรง ผู้ติดโรค biotype Classical และ biotype El Tor ที่ออกอาการประเภทร้ายแรงต่อประเภทไม่ รุนแรงพอๆกับ 1:5-1:10 รวมทั้ง 1:25-1:100 ตามลำดับ
       สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่อหิวาต์
แบคทีเรียวิบริโอ โคเลอรี หรือเชื้ออหิวาต์ พบมากในอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกหรืออุจจาระของคนซึ่งมีเชื้อนี้อยู่ในนั้น โดยเหตุนั้นสาเหตุที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้วก็แพร่ระบาดของโรคก็เลยมักมาจากน้ำ อาหารบางจำพวก และก็ต้นสายปลายเหตุอื่นๆดังรายละเอียดตั้งแต่นี้ต่อไป
                แหล่งน้ำ เชื้ออหิวาต์สามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้เป็นระยะเวลานาน โดยแหล่งน้ำสาธารณะที่ได้รับการปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียประเภทนี้นับว่าเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรคชั้นยอด ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดและก็ไม่มีการจัดการด้านเขตสุขาภิบาลที่ดีอย่างพอเพียงก็เลยเสี่ยงมีอาการป่วยด้วยอหิวาต์ได้
                อาหารทะเล การกินอาหารสมุทรดิบหรือเปล่าได้ปรุงสุก โดยยิ่งไปกว่านั้นอาหารทะเลประเภทหอย ซึ่งเกิดในแหล่งน้ำที่น้ำแปดเปื้อนพิษนั้น จะทำให้ร่างกายได้รับเชื้ออหิวาต์
                ผักแล้วก็ผลไม้สด พื้นที่ที่อหิวาตกโรคระบาดในท้องถิ่นนั้น ผักรวมทั้งผลไม้สดที่มิได้ปอกเปลือกมักเป็นแหล่งเพาะเชื้ออหิวาตกโรค สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่มีการใช้ปุ๋ยหมักที่ไม่ได้หมักหรือแหล่งน้ำเน่า ผลิตภัณฑ์ที่ปลูกบางทีอาจแปดเปื้อนเชื้ออหิวาตกโรคได้
                ธัญพืชต่างๆสำหรับพื้นที่ที่อหิวาตกโรคระบาดนั้น การทำอาหารด้วยธัญพืชอย่างข้าวหรือข้าวฟ่างอาจได้รับเชื้ออหิวาตกโรคปนเปื้อนภายหลังปรุงเสร็จ แล้วก็เชื้อจะอยู่ในของกินอีกหลายชั่วโมงที่อุณหภูมิระดับห้อง โดยเชื้อที่ยังคงอยู่จะกลายเป็นพาหะทำให้มีการเกิดการเติบโตของของเชื้ออหิวาต์
                การจัดการสุขาภิบาลไม่ดี เนื่องมาจากอหิวาต์จะเกิดการติดโรคและก็แพร่ระบาดผ่านทางทะเล ถ้าพื้นที่ใดมีการจัดแจงระบบสุขาภิบาลไม่ดี ก็จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย เช่น ในค่ายลี้ภัย ประเทศหรือพื้นที่ที่เจอสภาวะยากจน ขาดอาหาร เกิดการสู้รบ หรือได้รับภัยทางธรรมชาติ อื่นๆอีกมากมาย
                ภาวการณ์ไม่มีกรดในกระเพาะ (Hypochlorhydria/Chlorhydria) เนื่องแต่เชื้ออหิวาต์ไม่สามารถอยู่ได้ในภาวการณ์ที่มีกรด ด้วยเหตุผลดังกล่าว กรดในกระเพาะของมนุษย์ถือเป็นด่านกำแพงชั้นแรกที่ช่วยคุ้มครองไม่ให้ร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่มีกรดในกระเพาะต่ำ อย่างเด็ก คนวัยชรา หรือคนที่ใช้ยาลดกรดหรือยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จะไม่มีกรดมาป้องกันเชื้ออหิวาตกโรค ก็เลยเสี่ยงเป็นอหิวาต์ได้สูงยิ่งกว่าคนปกติทั่วไป
                การอยู่ร่วมกับผู้ที่มีอาการป่วยเป็นอหิวาตกโรค ผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับคนที่มีอาการป่วยเป็นอหิวาตกโรคมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้
                กรรมวิธีรักษาอหิวาต์  แพทย์สามารถวินิจฉัยอหิวาต์ได้จากประวัติความเป็นมาอาการ ความเป็นมาสัมผัสโรค ลักษณะอุจจาระ (วิเคราะห์ทางสถานพยาบาล) การตรวจอุจจาระ รวมทั้งการเพาะเชื้อจากอุจจาระดังนี้
การวินิจฉัยทางคลินิก อาศัยเรื่องราว อาการ และก็อาการแสดง แล้วก็ลักษณะอุจจาระ. ในถิ่นที่มีการระบาดเมื่อมีคนป่วยอุจจาระร่วงอย่างแรงร่วมกับอาการของภาวการณ์ขาดน้ำอย่างรวดเร็วรุนแรง ให้สงสัยว่าคนไข้ เป็นอหิวาต์ไว้ก่อน.
การวิเคราะห์ทางห้องทดลอง ทำเป็นโดยตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะไม่เจอเม็ดเลือดแดงและก็เม็ดเลือดขาว ถ้าใช้ dark-field microscope จะเห็นเชื้อ V. cholerae ขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็วไปทางเดียว กันแบบดาวตก (shooting star หรือ darting). หากมี antisera ต่อ V. cholerae O1 หรือ O139 หยดลงในอุจจาระ เชื้อจะหยุดเคลื่อนไหวในทันที น่าจะเป็น V. cholerae O1 หรือ O139 ซึ่งทำเป็นเร็ว แม้กระนั้นแนวทางลักษณะนี้ยังมีความไวและก็ความจำเพาะไม่ดีนัก.
การตรวจยืนยันด้วยการเพาะเชื้อจากอุจจาระเห็นผลแน่นอนที่สุด ควรเก็บตัวอย่างอุจจาระใน Cary-Blair transport medium ซึ่งเก็บได้นานถึง 7 วัน. การเพาะเชื้อจะใช้ใน thiosulphate citrate bile salt sucrose (TCBS) agar เชื้อขึ้นเจริญ. ห้องปฏิบัติการบางแห่งจะแยกเชื้อใน alkaline peptone water ด้วยเชื้อที่เพาะได้จะถูกทดสอบความไวของยาและทดสอบว่าเป็น V. cholerae O1 หรือ O139 การตรวจหาสายกรรมพันธุ์ ด้วย poly chain reaction (PCR) หรือ DNA probe มีความไวสูง รวมทั้งบางทีอาจรับรองว่า เชื้อมียีนก่อโรคหรือเปล่าด้วย

นอกนั้นในปัจจุบันยังมีวิธีการวิเคราะห์ใหม่ๆอาทิเช่น เคล็ดวิธีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอาร์ (Polymerase Chain Reaction: PCR) วิธีนี้เป็นการสังเคราะห์องค์ประกอบดีเอ็นเอในหลอดทดลอง ซึ่งถูกคิดค้นและก็ปรับปรุงขึ้นเพื่อนำมาตรวจชื้ออหิวาตกโรคด้วย อย่างไรก็ดี เทคนิคพีซีอาร์ยังมิได้ประยุกต์ใช้ในฐานะการตรวจแอนติบอดี้ในเลือดอย่างมากมายในขณะนี้นัก  การตรวจด้วยแถบตรวจอหิวาตกโรค วิธีนี้เหมาะกับคนที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ทุรกันดาร ไม่สามารถที่จะเข้ารับการวิเคราะห์ด้วยแนวทางตรวจแบบอย่างอุจจาระได้ โดยคนเจ็บจะรู้ผลการวิเคราะห์ได้ก่อนจากแถบตรวจดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ทำให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของอหิวาต์และก็ส่งผลให้เกิดการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลจากกรุ๊ปสาธารณสุขเพื่อควบคุมการระบาดของโรคต่อไป อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยแถบวัดนี้อาจไม่แม่นยำเสียทีเดียว แนวทางวิเคราะห์ที่เที่ยงตรงที่สุดเป็นการตรวจตัวอย่างอุจจาระคนไข้ ซึ่งทำการตรวจในห้องทดลองด้วยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
การดูแลรักษาคนป่วยอหิวาต์ที่ถูกและก็ได้ผลคือ  การทดแทนน้ำแล้วก็เกลือแร่ที่สูญเสียไปกับอุจจาระ  และก็คลื่นไส้ ด้วยปริมาณที่สมควรรวมทั้งตรงเวลาในเรื่องที่คนไข้ยังกินได้ควรให้ดื่มทางปาก แต่ว่าถ้าหากมิได้ควรจะให้ทางเส้นโลหิต  ในปริมาณที่เท่ากันกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไปโดยประมาณเป็น จำนวนร้อยละ 5 ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลในรายที่เป็นน้อยปริมาณร้อยละ 7 ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในรายที่มีอาการปานกลาง แล้วก็จำนวนร้อยละ 10 ในคนป่วยมีอาการช็อค ควรให้น้ำเกลือ isotonic ทางเส้นเลือดในทันที น้ำเกลือควรจะมีไบคาร์บอเนต (อะสิเตรต หรือแล็กเตตไอออน) 24-48 ไม่ลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตร และ 10-15 ไม่ลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตรของโปแตสเซียม  ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกเสนอแนะให้ใช้ Ringer’s lactate solution ในเด็กให้เป็นสารละลาย 2 ประเภทผสมกันในอัตราส่วน 2:1เป็นisotonic salution : isotonic sodium lactate (1/6 โมลาร์) หรือ isotonic sodium bicarbonate ส่วนน้ำตาลเกลือแร่ที่ดื่มนั้น ปัจจุบันนี้ทางองค์การอนามัยโลกให้ใช้สารละลายที่เรียกกว่า oral rehydration solution (ORS) ซึ่งในส่วนประกอบของ ORS จะให้จำนวนของอีเลคโตรไลท์ครบจากที่ร่างกายอยากได้หมายถึงNa 90, K 20, CI 80 และก็ HCO3     30 mEq/L  อย่างไรก็ตามการกำจัดเชื้อให้หมดจากอุจจาระนั้น ควรจะให้ยาปฏิชีวนะสำหรับเพื่อการรักษาร่วมเพื่อลดระยะเวลาการป่วยให้สั้นลงรวมทั้งเป็นการลดแหล่งแพร่เชื้อด้วย
ควรใช้ข้อมูลการเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อทางห้องปฏิบัติการเพื่อทราบแนวโน้มการดื้อยาประกอบกิจการตรึกตรอง เพื่อคุ้มครองการแพร่ระบาดของเชื้อดื้อยา ในขณะนี้สามารถเลือกใช้ยาที่เหมาะสม (First drug of choice) ในรายที่อาการรุนแรงให้พิเคราะห์สำหรับในการรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ tetracycline หรือยาปฏิชีวนะตัวอื่นๆจะช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง ลดการสูญเสียน้ำ ตลอดจนลดระยะของการแพร่เชื้อลง
                ยาปฏิชีวนะองค์การอนามัยโลกให้คำปรึกษาการดูแลรักษาเป็น
                เด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 8 ปี ให้ Norfloxacin 20 มก/กก/วัน นาน 3 วัน
                เด็กอายุมากกว่า 8 ปี ให้ Tetracycline 30 มก/กก/วัน นาน 3 วัน ในผู้ใหญ่ให้
Tetracycline ทีละ 500 มก.วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วันหรือ
Doxycycline ทีละ 100 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 3 วันหรือ
Norfloxacin ครั้งละ 400 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน (กรณีเชื้อซุกซนต่อ Tetracycline)

  • การติดต่อของอหิวาต์ การติดต่อ อหิวาต์เป็นโรคติดต่อเร็ว รุนแรง และก็ก่อการระบาดได้อย่างเร็ว เชื้ออหิวาต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำทะเลแล้วก็น้ำจืด คนเป็นแหล่งเก็บกักที่สำคัญของเชื้อประเภทนี้ โดยเชื้อโรคจะอยู่ในอุจจาระของผู้ติดโรค (ทั้งคนไข้รวมทั้งพาหะ) เมื่อถูกถ่ายออกมาก็จะสามารถแพร่ไปไปสู่ผู้อื่นได้จากการแปดเปื้อนในแหล่งน้ำต่างๆ(ดังเช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บ่อน้ำ) อาหาร น้ำ ภาชนะใส่อาหาร มือของผู้ติดเชื้อโรคที่ไม่ได้ล้างน้ำหลังจากถ่ายอุจจาระ สิ่งของและสิ่งแวดล้อมที่ถูกมือของผู้ติดโรคสัมผัส ทั้งนี้จะมีแมลงวันเป็นพาหะนำเชื้อ คนเราสามารถติดโรคเข้าสู่ร่างกายโดยทางใดทางหนึ่งดังต่อไปนี้
  • การดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบๆ
  • การรับประทานอาหารหรือกินน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งการปนเปื้อนเชื้ออาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะข้อใดข้อหนึ่งดังนี้แมลงวัน ที่ไต่ตอมอุจจาระของผู้ติดเชื้อโรค เป็นพาหะนำเชื้อมือของผู้ติดเชื้อโรค หรือมือของคนสนิทกับผู้ติดเชื้อโรค (จากการสัมผัสมือของผู้ติดเชื้อโรค หรือสิ่งของ)ปนเปื้อนในดินหรือน้ำที่มีเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น ผักผลไม้ที่ปลูกโดยการใส่ปุ๋ยที่ทำมาจากอุจจาระคน แล้วก็ผักผลไม้ที่ล้างด้วยน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน
  • การติดต่อจากคนสู่คน (พบได้น้อยมาก) จากการสัมผัสสนิทสนม โดยการใช้มือสัมผัสถูกมือของผู้ติดโรคโดยตรง หรือจากการสัมผัสถูกสิ่งของ แล้วนำมือที่สกปรกเชื้อนั้นไปสัมผัสกับปากของตนเองโดยตรงหรือไปเปรอะถูกของกินหรือน้ำอีกต่อหนึ่ง หรือจากการสัมผัสอุจจาระของคนเจ็บหรือการเช็ดกคนป่วยอาเจียนใส่
  • การติดต่อที่พบได้มาก การแพร่ระบาดของอหิวาต์มักมีต้นเหตุมาจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารทะเลที่นิยมกินกันแบบดิบๆ(ดังเช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ ปูแสมเค็ม) ของกินที่มีแมลงวันตอม อาหารบรรจุกระป๋องที่เสียแล้ว แล้วก็น้ำแข็ง ไอศกรีมที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยมีแมลงวันหรือมือเป็นตัวกลางสำหรับการนำพาเชื้อ
  • การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคอหิวาตกโรค
  • รักษาสุขอนามัย อย่างเคร่งครัด
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอๆทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ รวมทั้งหลังการดูแลคนเจ็บ
  • ทำลายอุจจาระด้วยการใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคคลอรีนหรือตามคำแนะนำของหมอ/พยาบาล
  • เสื้อผ้า เครื่องใช้สอย จำเป็นต้องซักล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคคลอรีนหรือน้ำต้มเดือดด้วยเหมือนกัน
  • ดื่มแต่น้ำสะอาดหรือต้มสุก ของกินทุกประเภทจะต้องปรุงสุก แล้วก็บริโภคทันทีข้างหลังปรุง ไม่ทิ้งค้าง
  • กินน้ำชาแก่แทนน้ำ หรืออาจจำเป็นต้องงดของกินชั่วครั้งคราว เพื่อลดการระคายเคืองในไส้
  • ดื่มน้ำเกลือแร่ ORS เพื่อลดการสูญเสียน้ำภายในร่างกาย สลับกับน้ำสุกสุก ถ้าหากเป็นเด็กเล็กควรปรึกษาแพทย์
  • หากท้องร่วงอย่างรุนแรง จำเป็นต้องรีบไปพบหมอโดยเร็ว
  • ไปพบหมอดังที่หมอนัดอย่างเคร่งครัด
  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากอหิวาตกโรค อหิวาต์นั้นมีต้นเหตุมาจากผู้ป่วย ทานอาหารและก็น้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรรอบคอบเรื่องของกินแล้วก็น้ำดื่ม  ตลอดจนรักษาความสะอาดตามหลักสุขอนามัย ดังนี้
  • ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆแล้วก็กินน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก ภาชนะที่ใส่ของกินควรล้างสะอาด ทุกครั้งก่อนใช้ หลีกเลี่ยงของกินหมักดอง สุกๆดิบๆของกินที่ปรุงทิ้งเอาไว้นานๆของกินที่มีแมลงวันตอม
  • ระมัดระวังการกินน้ำแข็ง
  • กินแต่ว่าอาหารปรุงสุกโดยเฉพาะอาหารทะเล
  • ผักผลไม้จะต้องล้างให้สะอาด
  • ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนกินอาหาร หรือก่อนทำอาหาร และก็หลังการขับถ่าย
  • ไม่เทอุจจาระ ฉี่และก็สิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลอง หรือทิ้งเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย จำเป็นต้องถ่ายลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และกำจัดสิ่งสกปรกโดยการเผาหรือฝัง เพื่อคุ้มครองการแพร่ของเชื้อโรค
  • ระวังอย่าให้น้ำเข้าปาก เมื่อลงเล่นหรืออาบน้ำในลำคลอง
  • หลบหลีกการสัมผัสผู้เจ็บป่วยที่เป็นอหิวาต์
  • ควบคุมแมลงวันโดยใช้มุ้งลวด พ่นยาฆ่าแมลง หรือใช้กับดัก ควบคุมการขยายพันธุ์ด้วยการเก็บและทำลายขยะโดยวิธีที่เหมาะสม
  • ผู้ที่จำต้องเดินทางไปยังท้องที่ซึ่งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงบางทีอาจกินยาปฏิชีวนะ จะช่วยป้อง กันโรคได้ สำหรับระยะเวลาสั้นๆดังเช่น ภายใน 2 สัปดาห์แม้กระนั้นเชื้อบางทีอาจดื้อยาได้
  • การให้วัคซีนปกป้องโรคอหิวาตกโรคในระหว่างที่มีการระบาดตอนนี้ไม่ชี้แนะให้ใช้แล้วเพราะว่าสามารถคุ้มครองปกป้องได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 50 และก็มีอายุสั้นเพียงแค่ 3-6 เดือน สำหรับวัคซีนประเภทกินที่ให้ภูมิต้านทานสูงต่อเชื้อหิวาตกโรค[/url]สายพันธุ์ o1 ได้นับเป็นเวลาหลายเดือนมีใช้แล้วหลายประเทศ มีสองจำพวก ชนิดแรกวัคซีนเชื้อยังมีชีวิตกินครั้งเดียว (สายพันธุ์ CVD 103-HgR) ส่วนประเภทลำดับที่สองเป็นเชื้อตายแล้วประกอบด้วยเชื้ออหิวาห์ตายแล้วกับ cholera toxin ประเภท B-subunit กิน 2 ครั้ง


  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาอหิวาตกโรค

เนื่องแต่อหิวาต์เป็นโรคติดต่อรวดเร็วรุนแรง แล้วก็ก่อการระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีต้นเหตุจากการได้รับเชื้ออหิวาตกโรคซึ่งอยู่ในอุจจาระของผู้เจ็บป่วย (ซึ่งแบคทีเรียสามารถอยู่ได้นานถึง 7 - 14 วัน) แล้วปนเปื้อนในของกิน น้ำดื่ม จากผิวน้ำในแหล่งน้ำดื่ม น้ำใช้ และก็เมื่อกินหรือดื่มของกิน/น้ำแปดเปื้อนกลุ่มนี้ก็เลยก่อการติดเชื้อโรค
ซึ่งผู้ที่ได้รับเชื้อ จะเกิดอาการได้ตั้งแต่ 1 วัน ถึง 5 วัน แม้กระนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะกำเนิดอาการข้างใน 1-2 วัน โดยเหตุนั้นอหิวาต์ก็เลยไม่เหมาะสำหรับในการใช้สมุนไพรมาทำบรรเทา เนื่องจากว่าเป็นโรคที่มีการติดต่อ การระบาดที่รวดเร็วทันใจและก็มีความร้ายแรง จนกระทั่งชีวิตได้แม้มิได้รับการรักษาอย่างทันเวลา
เอกสารอ้างอิง

  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “อหิวาต์ (Cholera)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 492-496.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • อหิวาตกโรค – อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบหมอ http://www.disthai.com/[/b]
  • ศาสตรจารย์ พญ.วันดี วราวิทย์.อหิวาตกโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่284.คอลัมน์เวชปฏิบัติปริทัศน์.สิงหาคม.2551
  • ศาสตรจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อหิวาตกโรค (Cholera).หาหมอ.
  • อหิวาตกโรค.แผนกพยาบาลอายุรศาสตร์และจิตเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Ryan, E, and Ferraro, M. Z2011). Case 20-2011. N Engl J Med. 364, 2536-2541.
  • Swerdlow,D.L. and Ries,A.A. 1993 Vibrio cholera non-O1-the eighth pandemic? Lancet. 342:382-383.
  • Hall, R.H., Khambaty, F.M., Kothary, M. and Keasler, S.P. 1993. Non-Ol Vibrio cholera. Lancet. 342:430.
  • Cholera .กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.
  • อรษา สุตเธียรกุล.2541. โรคติดเชื้อ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด
  • Kaper, J.B., Morris, J.G., Jr. and Levine, M.M. 1995. Cholera. Clin. Microbiol. Rev.8 8:48-86.
  • Benenson, A.S. 1991. Cholera. In: Evans, A.S. and Brachman, P.S. (eds.). Bacterial Infections of Humans, Epidemiology and Control.,2 nd. P.207-225.New York: Plenum.
  • Farmer,J.J.1991. The family Vibrionaceae. In Balows,A., Truper, H.G., Dworkin, M., Harder, W. and Schleifer, K.H. (eds.) The Prokaryotes, (2nd) A Handbook on the Biology of Bacteria: Ecophysiology, Isolation, Identification, Applications.p. 2938-2951.New York: Springer-Verlag.
  • Lee,JV.1990. Vibrio Aeromonas and Plesiomonas In: Parker, M.T. and Collier, L.H. (eds.). Principles of Bacteriology, Virology and Lmmunity, 8 th Vol III. P.514-524. Philadelphia: B.C. Deeker
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย