กระทู้ล่าสุดของ: มม

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 [2] 3
16  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะม่วงหาว มะนาวโห่ สรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 06, 2018, 06:35:16 pm

มะม่วงหาว มะนาวโห่
ชื่อสมุนไพร  มะม่วงหาวมะนาวโห่
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ , มะนาวไม่รู้โห่ , หนามแดง (ภาคกลาง) , หนามขี้แฮด (เชียงใหม่) , มะนาวโห่ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์    Carissa carandas L.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Carissa congesta Wight.
ชื่อสามัญ  Karanda, Carunda , Christ’s thorn , Bengal Currants.
วงศ์  APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด
มะม่วงหาว มะนาวโห[/color]คือผลไม้ในกลุ่มเบอร์ปรี่ชนิดหนึ่งที่มั่นใจว่าถิ่นเกิดอยู่แถบ Himalayas แต่ นักพฤกษศาสตร์บางท่านพูดว่ามีบ้านเกิดเมืองนอนแถบ Java มะนาวโห่มีการกระจายตัวตั้งแต่เนปาลไปจนถึงอัฟกานิสถาน และก็พบได้ในหลายๆพื้นที่ในประเทศ อินเดีย มีการกระจายตัวในเขตอบอุ่นของประเทศ อินเดีย แล้วก็ศรีลังกา โดยธรรมชาติเจริญวัยในพื้นที่ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 300 ถึง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล รวมไปถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา ประเทศพม่า จีน รวมทั้งไทย
ส่วนในประเทศไทยสามารถเจอได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนในตอนนี้ออกจะหามากินได้ยาก ด้วยเหตุว่าเป็นพันธุ์ไม้มีหนาม หลายคนไม่รู้คุณประโยชน์จึงฟันทิ้งกันไปมาก นอกจากผู้ที่รู้ท่านั้นที่เอามาปลูกไว้ สำหรับคนสมัยก่อนแล้วผลไม้ชนิดนี้ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะเป็นมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพรซึ่งมีสรรพคุณที่นานัปการ
ลักษณะทั่วไป มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีลักษณะเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้ต้นขนาดเล็ก เป็น ไม้ไม่ผลัดใบ มีสีเขียวตลอดปี มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ คือ
ลำต้น : สูง 2-3 เมตร แม้กระนั้นอาจมากถึง 5 เมตร มียาง ขาวเปลือกมีสีเทาอ่อน
กิ่ง: มีกิ่งเป็นจำนวนมากกิ่งมี ลักษณะแข็ง และก็กระจายไปทั่วต้น การแตกกิ่งจะแตก ออกเป็น 2 กิ่งตรงคู่กัน มีหนามทั้งแบบหนามลำพัง หรือ เป็นคู่ อาจยาวได้ถึง 5 เซนติเมตร หนามจะเจอรอบๆ มุมใบ หรือตามข้อของกิ่ง กิ่งแขนงมักจะมีหนามที่แข็ง และคม
ใบ: เป็นใบลำพัง ออกตรงข้าม รูปขอบขนานหรือ รูปไข่ ไม่มีหูใบ กว้าง 1.5-4 ซม. ยาว 3-7 ซม. ปลายมน หรือเว้ายุบ มีก้านในคนเดียว เส้นใบ เป็นแบบร่างแห ผิวใบเรียบ วาว มีสีเขียวเข้ม หรือ สีเขียวอมเทา
ช่อดอก: ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีลักษณะเรียงเป็นแบบช่อเชิงหลั่นเป็นกลุ่มกันอยู่ใบแต่งแต้มตรง
ดอก: ดอกมีกลิ่นหอมหวน (เหมือนดอกมะลิ) ขนาด ยาว ราวๆ 3.5-5.5 ซม. กลีบสีขาว หรือ สีชมพู รวมกันเป็นช่อ 2-3 ดอก ไร้ใบประดับประดาย่อย มีก้านดอกย่อย เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกสมมาตรตามรัศมี มีกลับดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นขน โคนเชื่อมเป็นหลอด ยาว 16-21.5 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก มีขนสั้นขนาด เล็ก วงกลีบ: กลีบดอกเชื่อมกัน 5 กลีบเป็นวง เป็น รูปใบหอก สีขาว มีขนสั้นขนาดเล็กนุ่ม หลอดมีลักษณะ ยาว และก็ขยายตรงฐานรองดอก มีขนสั้นนุ่มได้แก่ เดียวกัน
เกสรตัวผู้: มีละอองเกสรเพศผู้เยอะมากปลายยอดเกสรตัวผู้มีรยางค์ อับเรณูติดอยู่ตรงฐาน มีลักษณะหันเข้า อับเรณูแตกทางยาว
เกสรตัวเมีย: มี 1 อัน รังไข่มีลักษณะกลมรี มีวงเกสรตัวเมีย 2 วง เชื่อมกันอยู่ รังไข่เป็นsyncarpous มีหลาย locule placenta อยู่ที่แกนกลาง (axis) ของรังไข่ มี carpel แล้วก็ locule 2 อัน ยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะเป็นเส้นใย ปลายแยกเป็น 2 แฉก
ผล: ผลไม้ที่มีเนื้อสด (fleshy fruit) มี pericarp เป็นเนื้อนุ่มรับประทานได้ ผลเป็นแบบdrupe (ผลไม้ ที่มีเมล็ดแข็ง) ลักษณะรูปไข่ ขนาดกว้าง 12-17 มม. ยาว 15-23 มม. ผลเป็นผลคนเดียวออก รวมกันเป็นช่อ ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆและเบาๆเข้มขึ้นเป็นสีแดง กระทั่งสุกจึงกลายเป็นสีดำมีรสชาติ เปรี้ยว
เม็ด: เมื่อผลสุกจะมี 2-4 เม็ด เม็ดมี ลักษณะแบน รูปไข่ เอนโดสเปิร์มเป็นแบบเนื้อ (fleshy endosperm) มีลักษณะเว้า
การขยายพันธุ์
ปกติแล้ว มะม่วงหาว มะนาวโห่ นิยมแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ด เม็ด มะม่วงหาว มะนาวโห่เป็นเมล็ดที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น โดยเหตุนี้เมื่อ แยกเมล็ดออกจากผลแล้วจึงควรเพาะเม็ดในทันที (Patel, 2013) การเพาะเมล็ดนิยมเพาะในโรงเรือนช่วง เดือน เดือนสิงหาคม-เดือนกันยายน หรือนำมาเพาะใส่เข้าไปในถุงพลาสติกเพาะชำ รดน้ำให้เปียกแฉะ วางไว้ภายในที่แดดร่มๆซึ่งจะใช้เวลาเพาะประมาณ 6 เดือน แล้วเอามาปลูกในแปลง
หรือเมื่อต้น กล้าอายุได้ 1 ปี สำหรับวิธีการทำหมัน กิ่งและการชำ ในมะม่วงหาว มะนาวโห่ควรเริ่มทำ ในช่วงมรสุมรากจะออกข้างหลังตอนราว 3 เดือน โดยการเลือกตอนในกิ่งที่ ไม่อ่อนไหมแก่เดินไป อายุกิ่งไม่เกิน 1 ปี มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางกิ่งไม่เกิน0.5 เซนติเมตรมะม่วงหาว มะนาวโห่จัดเป็นพืชที่ทนภาวะแล้งก้าวหน้าจะเจริญก้าวหน้า เติบโตก้าวหน้าในเขตร้อนเขตอบอุ่น สามารถเจริญเติบโต ได้ดีในดินปนทราย แถบแนวเขาหินปูน รวมทั้งดินที่หมดสภาพ หรือดินเทือกเขา โดยสามารถเจริญวัยได้ในดินเกือบทุก ชนิด ตั้งแต่ดินเค็ม ไปจนกระทั่งดินเปรี้ยว พืชประเภทนี้จะ เจริญวัยก้าวหน้าในพื้นที่ริมตลิ่ง หรือพื้นที่ที่ไม่มีการใช้ ประโยชน์ รวมทั้งยังเป็นพืชที่อยากน้ำน้อยมาก การให้ น้ำมีความจำเป็นเฉพาะตอนหลังย้ายปลูก หรือข้างหลังให้ ปุ๋ยแค่นั้น
องค์ประกอบทางเคมี
ในผลของ[url=https://www.disthai.com/17039488/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B9%88]มะม่วงหาว มะนาวโห่
มีสาร anthocyanin สารประกอบฟีนอลิก รวมทั้ง triterpenoid acid และก็สารประเภทพวกโปรตีน ได้แก่ alanine, glycine, glutamine รวมทั้งยังพบคาร์โบไฮเดรต ฟลาโวนอยด์ ในลำต้นรวมทั้งรากเป็นพวกลิกแนน ใบเป็นพวกตรีเทอร์ปีนป่ายส์, สเตียรอยด์นอกนั้นการศึกษาเบื้องต้นพบว่า สารสกัดของมะม่วงไม่เคยรู้หาว มะนาวไม่ทราบโห่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆเป็นต้นว่า สารโฟลีฟีนอลิก (polyphenolic) ฟลาโวนอยด์(flavonoid) ฟลาวาโนน (flavanone) วิตามิน ซีอัลคาลอยด์(alkaloid) ซาโปนิน (saponin) แล้วก็ แทนนิน (tannins)
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ระบุว่าผลมะม่วงหาวมะนาวโห่สุก 100 กรัม ให้พลังงานโดยประมาณ 75 แคลอรี่ มีไขมัน 2-5 กรัม น้ำตาล 7-12 กรัม แล้วก็วิตามินซี 9-11 มิลลิกรัม
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
มะม่วงหาว มะนาวโห่ส่งผลแบบมีเนื้อหลายเม็ด (berry) นิยมนำมาใช้บริโภคสดหรือประยุกต์ใช้ในการประกอบอาหารดองในประเทศอินเดีย มีการบริโภค ภายในประเทศรวมทั้งส่งออกต่างประเทศ มะม่วงหาว มะนาวโห่เป็น ผลไม้ที่จัดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่กินก่อนที่จะกินอาหารจาน หลักได้เป็นอย่างดี โดยส่วนใหญ่แล้วผลชอบนำไปดองก่อนที่จะสุก ส่วนผลดิบมักจะใช้เป็นเครื่องดื่มคลาย้อน ประยุกต์ใช้ทำเยลลี่ แยม น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม ทาร์ต รวมทั้งของเคียง น้ำยางสีขาวในผลสุกใช้ใน อุตสาหกรรมแทนนินและก็สีผสมอาหาร ในผลสุกจะมี สารคล้ายยางเหนียวแม้กระนั้นเมื่อปรุงโดยการผ่านความร้อน แล้วทิ้งไว้ให้เย็นจะได้น้ำผลไม้ที่มีสีแดงเข้มใส เอาไปใช้เป็นเครื่องดื่มดับร้อนได้ ผลสุกของมะม่วงหาว มะนาวโห่จะมี เพ็กติเตียนนจำนวนไม่ใช่น้อย ผลสุกจำพวกที่มีรสหวานสามารถ กินได้โดยทันที แต่ว่าประเภทที่มีรสเปรี้ยวจะต้องกวนด้วย น้ำตาลเยอะมากๆก่อนก็เลยจะกินได้ ในบาง ประเทศปรุงมะม่วงหาวมะนาวโห่ร่วมกับพริกเขียวเพื่อเป็นของกิน ที่รับประทานคู่กับแผ่นโรตี นอกนั้นยังมีการน้ำนำมาทำเป็นซอสเปรี้ยวใช้สำหรับรับประทานคู่กับปลาและก็เนื้อวัวอีกด้วย
ส่วนสรรพคุณทางยาของมะม่วงหาว มะนาวโห่ตามตำรายาไทย
ระบุว่า แก่น บำรุงไขมัน เหมาะสำหรับคนผอมบาง บำรุงธาตุแก้เหน็ดเหนื่อย ใบสด ต้มน้ำกินแก้ท้องเดิน แก้ปวดหู ไข แก้เจ็บปากและก็คอ รากสดต้มน้ำดื่ม ขับพยาธิ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ตำอย่างรอบคอบผสมกับเหล้า ทาหรือพอกรักษาบาดแผลแก้คัน เปลือกลำต้น ทุเลาอาการโรคผิวหนัง แก้บิด ขับน้ำเหลืองเสีย แก้ท้องร่วงแก้กามโรค ทำยาอมรักษาแผลในปาก แก้ปวดฟัน พอกดับพิษ ผล ผลดิบ มีรสขมและก็เปรี้ยว ใช้เป็นยาสมาน แผล ดับกระหายคลายร้อน ใช้เป็นของกินเรียกน้ำย่อย ที่กินก่อนที่จะรับประทานอาหารจานหลัก แก้อาการท้องผูก ลดไข้ ละลายเสมหะแล้วก็มีประโยชน์สำหรับผู้มีอาการ อยากกินน้ำ เบื่ออาหาร ท้องเสีย อาการไข้ขึ้นสมอง และก็ อาการอ้วกเป็นเลือด ผลสุก มีรสหวานแล้วก็มี คุณประโยชน์เย็น ใช้คือผลไม้เรียกน้ำย่อย บรรเทาอาการ ลักปิดลักเปิด และมีคุณประโยชน์ต่อผู้มีลักษณะอ้วกมีเสลด ภาวะไม่อยากอาหาร แผลไหม้ โรคหิด อาการคัน และอาการอื่นๆจากโรคผิวหนังยิ่งไปกว่านี้ยังบรรเทา ภาวการณ์โลหิตจาง แล้วก็ช่วยถอนพิษ และก็ในตำราเรียนหมอพื้น บ้านกล่าวว่าผลสุกสามารถเร้าอารมณ์ทางเพศของ หญิง รวมทั้งฆ่าพยาธิในลำไส้ได้ ผลสุกมีคุณลักษณะใน การฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ รวมทั้งเชื้อราได้ น้ำคั้นจากผลใช้ล้าง แผลเพื่อคุ้มครองป้องกันการได้รับเชื้อ และบรรเทาอาการคันที่ ผิวหนัง และยังสามารถบรรเทาอาการวิกลจริตได้อีก ด้วย เม็ด แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้เนื้อหนังชาในโรคเรื้อน แก้โรคผิวหนัง แก้ตาปลา แก้เนื้องอก บำรุงไขข้อ บำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น บำรุงกำลัง บำรุงผิวหนัง น้ำยาง ทำลายตาปลา กัดทำลายพื้นที่ด้านเป็นปุ่มโต แก้เลือดไหลตามไรฟัน รักษาหูด รักษาขี้กลาก แผลเนื้องอก โรคเท้าช้าง ยอดอ่อน รักษาริดสีดวงทวาร
ส่วนในการศึกษาด้านการแพทย์แผนปัจจุบันมีผลการเรียนบอกว่า สารออกฤทธิ์ในมะม่วงหาว มะนาวโห่สามารถต้านทานอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันการเกิดเบาหวาน (antidiabetic) และก็คุ้มครองการเกิดโรคมะเร็งได้ (anticancer)
แบบ/ขนาดวิธีการใช้
รากสด ต้มกับน้ำใช้ดื่มเพิ่มความต้องการอาหาร เพิ่มแนวทางการทำงานของกระเพาะอาหาร เพิ่มการหลั่งกรด แก้ท้องร่วง ขับพยาธิ ใบต้มกับน้ำดื่ม ใช้ลดไข้ แก้ท้องร่วง แก้แผลอักเสบที่ปาก ผลสุดใช้รับประทานสดหรือทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม แก้ลักปิดลักเปิด แก้โลหิตจาง ช่วยเจริญอาหารแก้เลือดไหลตามไรฟัน แก้ท้องเดิน แก่นไม้มะม่วงหาว มะนาวโห่ใช้ต้มกับน้ำใช้ดื่ม ช่วยบำรุงรักษาธาตุ ชูกำลัง แก้อ่อนเพลีบ น้ำยางใช้ทากัดตาปลา และก็เนื้อที่ด้านแข็ง รักษาหูด กลากเกลื้อนการเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์สำหรับการต้านทานอนุมูลอิสระ พบว่าในผลสุกที่มีสีม่วงจะมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านทาน อนุมูลอิสระสูงขึ้นยิ่งกว่าผลดิบ (ผลสีชมพู) แล้วก็ผลกึ่งสุก (ผลสีแดง) รวมทั้งยังพบว่ามีจำนวนสารประกอบฟีนอลิก ทั้งปวงแล้วก็ปริมาณแอนโทไซยานินทั้งผองในผลสุก สูงกว่าผลดิบและผลครึ่งหนึ่งสุกด้วยเช่นกัน แล้วก็ยังพบว่าในรากมีสารที่สามารถต่อต้าน อนุมูลอิสระได้ โดยมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด ตั้งแต่ 1.79-4.35 GAE มก./ก. ของตัวอย่างแห้งจำนวนฟลา โวนอยด์ทั้งสิ้นระหว่าง 1.91-3.76 CE มก./กรัม ของ แบบอย่างแห้ง มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระแบบ DPPH รวมทั้งเปอร์เซ็นต์การหยุดยั้งปฏิกิริยาperoxidation ของ linoleic acid ระหว่าง 12.53-84.82% แล้วก็ 41.0- 89.21% เป็นลำดับฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านมะเร็ง การเรียนรู้ถึง ผลของสารสกัดมะม่วงหาว มะนาวโห่ที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งรังไข่ เซลล์ของมะเร็ง Caov-3 และก็เซลล์มะเร็งปอด โดยทำการสกัดจาก 3 องค์ประกอบ เป็น ใบ ผลดิบ และก็ผลสุก พบว่าสาร สกัดจากใบมะม่วงหาว มะนาวโห่ด้วย chloroform สามารถต่อต้าน กิจกรรมของเซลล์ของโรคมะเร็ง Caov-3 ได้เป็นอย่างดี ในขณะ ที่สารสกัดจากผลดิบมะม่วงหาว มะนาวโห่ด้วย hexane สามารถ ต้านทานกิจกรรมของเซลล์ของโรคมะเร็งปอดได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีการค้นพบสารตัวใหม่ที่มี อยู่ในใบของมะม่วงหาว มะนาวโห่ชื่อสาร carandinol ซึ่งเป็นสารในกลุ่มของ triterpene ซึ่งเมื่อนำมาประเมินความเป็น พิษต่อเซลล์(cytotoxicity) การสร้างภูมิต้านทาน (immunomodulatory) สารต่อต้านไกลเคชั่น (antiglycation) ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ และก็ความ สามารถสำหรับในการยับยั้งรูปแบบการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ในสภาพ ปลอดเชื้อโรค พบว่า สารจำพวกนี้สามารถก่อความเป็นพิษ กับเซลล์มะเร็งทุกหมวดหมู่ที่ทำงานทดสอบ อีกทั้ง HeLa, PC-3 และก็ 3T3 โดยจะมีความเป็นพิษกับเซลล์ของมะเร็งคอมดลูก (HeLa) มากที่สุด ซึ่งการวิจัยชิ้นนี้เป็นการ เรียนแรกที่ทำการแยกสารกรุ๊ป isohopane triterpene จากใบมะม่วงหาว มะนาวโห่
ฤทธิ์สำหรับการต้านอาการอักเสบลักษณะของการปวด และลักษณะของการมีไข้มีการนำสาร สกัดจากผลแห้งมาทำทดลองความสามารถสำหรับเพื่อการ ต้านทานอาการอักเสบในหนู พบว่า สารสกัดโดยใช้เมธา นอลเป็นตัวทำละลายมีความสามารถสำหรับการต่อต้าน อาการอักเสบในหนูได้ โดยต่ำลงได้ถึง 76.12% ก็เลย ทำให้สารสกัดนี้มีสมรรถนะสำหรับในการใช้เป็นส่วนประกอบ ของยาที่ใช้ต้านทานอาการอักเสบได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเล่าเรียนเพื่อนำสารสกัดจากใบ มะนาวโห่มาใช้เพื่อต้านอาการอักเสบรวมทั้งลดไข้ในหนู พบว่า สารสกัดที่ให้กับหนูที่ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถต่อต้านอาการอักเสบจากการ บวมที่อุ้งเท้าของหนูได้สูงถึง 72.10% ในส่วนของ ความสามารถสำหรับในการลดลักษณะของการมีไข้ พบว่าที่ความเข้มข้น 100 และก็ 200 มก./น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถลดอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากอาการไข้ลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง และ สามารถลดอาการได้นานถึง 4 ชั่วโมงภายหลังให้สารสกัดฤทธิ์สำหรับการต่อต้านอาการชักจากการเรียนฤทธิ์ในการต้านทานอาการชักที่เกิดขึ้นมาจากการกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้า และก็การกระตุ้นด้วยสารเคมี (pentylenetetrazole, picrotoxin, bicuculline รวมทั้ง N-methyl-dl-aspartic acid) ในหนูโดยใช้สารสกัดจาก รากที่ความเข้มข้น 100, 200 และก็ 400 มก./กิโลกรัม พบว่า สารสกัดทั้งยัง 4 ความเข้มข้นสามารถลดช่วงเวลาการ ชักในหนูได้ แต่ว่าเฉพาะความเข้มข้นที่ 200 และก็ 400 มก./กก. เท่านั้นที่คุ้มครองป้องกันอาการชักได้ แล้วก็ที่ความเข้มข้นนี้ยังสามารถปกป้องอาการชักจากการกระตุ้นด้วย pentylenetetrazole และชะลอการเกิดอาการชักจากการกระตุ้นด้วยสาร picrotoxin และก็ N-methyl-dlaspartic acid แต่ไม่เป็นผลคุ้มครองป้องกันอาการชักจากการกระตุ้นด้วยสาร bicuculline
ฤทธิ์ในการต้านทานเบาหวาน จากการศึกษาเล่าเรียนในสารสกัดจากผลดิบ พบว่าการสกัดด้วยเมทานอลและก็ ethyl acetate ที่ความเข้มข้น400 มก./กิโลกรัม สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจังถึง 48 รวมทั้ง 64.5% ตามลำดับเมื่อเทียบกับ ยาต่อต้านโรคเบาหวานแผนปัจจุบัน
ฤทธิ์ในการคุ้มครองความเป็นพิษต่อ ตับ สารสกัดด้วยเอทานอล จากรากมีฤทธิ์สำหรับการ ป้องกันความเป็นพิษต่อตับที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ยาพารา เซตตามอลได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการที่ สารสกัดนี้ไปยับยั้งกิจกรรมด้านชีววิทยาของสารพิษที่ เกิดขึ้นกับตับ
นอกนั้นงานศึกษาเรียนรู้ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ที่กล่าวว่ามีฤทธิ์ทำให้หัวใจบีบตัวลดน้อยลง กระตุ้นมดลูกทำให้หัวเต้นชา บำรุงหัวใจ ลดความดันเลือด เป็นต้น
การศึกษาทางพิษวิทยา
ในปัจจุบันยังไม่เจอรายงานการเล่าเรียนพิษวิทยาของส่วนผล แต่ส่วนรากแสดงความเป็นพิษเมื่อให้สารสกัดเอทานอลของรากต้นมะม่วงหาว มะนาวโห่โดยฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ฉีดเข้าท้อง และก็ให้ทางปากของแมวในขนาด 5 - 150 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าส่งผลทำให้สัตว์ทดสอบคลื่นไส้ คลื่นไส้ เซื่องซึม น้ำมูกไหล ท้องเสีย หายใจหอบและเร็ว (tachypnea) ชัก แล้วก็ตายท้ายที่สุด การให้ทางหลอดโลหิตดำจะเกิดอาการอ้วก อ้วกเร็วที่สุด คือใช้เวลา 3 - 5 นาที ภายหลังจากให้สาร ส่วนการให้ทางช่องท้อง แล้วก็ทางปากใช้เวลา 10 - 20 และ 40 - 60 นาที ตามลำดับ แมวที่ได้รับสารสกัดทางเส้นเลือดดำทุกตัวตายภายในเวลา 1 - 2 ชั่วโมงหลังจากให้สาร เมื่อผ่าอวัยวะภายในพบว่าตับแตกต่างจากปกติ มีการบวมของเซลล์ตับ (liver congestion) มีจุดเลือด (petechial hemorrhages) ที่ปอดแล้วก็ผนังลำไส้เล็ก
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรพิจารณา
ในการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา รวมทั้งพิษวิทยา ของมะม่วงหาวมะนาวโห่ในปัจจุบันล้วนเป็นการเรียนรู้ในสัตว์ทดสอบ แล้วก็ผลการทดสอบแม้กระนั้นยังไม่ปรากฏผลการศึกษาวิจัยที่ในคน จึงทำให้ไม่อาจเจาะจงคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับในการใช้รักษาโรคได้อย่างแน่ชัด โดยการใช้ในต้นแบบที่ไม่เหมาะสมหรือใช้ในจำนวนมากเกินไปอาจเสี่ยงเกิดอันตรายได้ ดังนั้นก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ให้จึงขอคำแนะนำหมอก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคประจำตัว
เอกสารอ้างอิง

  • สกุลกานต์ สิมลา.มะนาวโห่ : พืชในวรรณคดีไทยที่มากด้วยประโยชน์ .วารสารแก่นเกษตร .ปีที่ 44 ฉบับที่3 .กรกฎาคม – กันยายน .2559.หน้า 557-566.
  • มะนาวไม่รู้โห่...ไม้ประดับกินได้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ธงชัย พุ่มพวง.ประพันธ์ ชานนท์.พิมพ์ใจ ทรงประโคน. กัลยาณี วรรณศรี. ดำรงเกียรติ มาลา และ พรประภา รัตนแดง 2556.มะม่วงหาว มะนาวโห่ ผลไม้ในวรรณคดีไทยที่มากมายด้วยคุณค่าและราคาดี.นิตยสารเกษตรโฟกัส.2(20):24-39.https://www.disthai.com/[/color]
  • ณัฏฐินี อนันตโชค.มะนาวไม่รู้โห่.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่29.ฉบับที่ 1.ตุลาคม.2554.หน้า2-6
  • ณนัฐอร บัวฉุน.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอลิกของเมล็ดและเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่.วานสารวิจัยและพัฒนะ วไลขอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์.ปีที่ 13 ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2561.หน้า 53-63
  • มะม่วงหาวมะนาวโห่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สกุลกานต์ สิมลา.สุรศักดิ์ บุญแต่ง และพัชรี สิริตระกูลศักดิ์.(2556).การประเมินปริมาณสารพฤษเคมีบางประการและกิจกรรมของสารต้านอนุมูลอิสระใน Carissa carandas L. แก่นเกษตร 41 ฉบับพิเศษ:602-606.
  • มะม่วงหาว มะนาวโห่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Itankar, P.R., S.J. Lokhande1, P.R. Verma, S.K. Arora, R.A. Sahu, and A.T. Patil. 2011. Antidiabetic potential of unripe Carissa carandas Linn. fruit extract. J. Ethnopharmacol. 135: 430-433.
  • Philippine Medicinal Plants. 2012. Caranda. Available: http://goo.gl/kBShxE. Accessed Aug. 6, 2014.
  • Begum, S., S.A. Syed, B.S. Siddiqui, S.A. Sattar, and M.I. Choudhary. 2013. Carandinol: First isohopane triterpene from the leaves of Carissa carandas L. and its cytotoxicity against cancer cell lines. Phytochem Lett. 6: 91-95
  • หนามแดง.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Hati, M., B.K. Jena, S. Kar, and A.K. Nayak. 2014. Evaluation of anti-inflammatory and anti-pyretic activity of Carissa carandas L. leaf extract in rats. J. Pharm Chem Bio Sci. 1(1): 18-25.
  • Gupta, P., I. Bhatnagar, S-K. Kim, A. K. Verma, and A. Sharma. 2014. In-vitro cancer cell cytotoxicity and alpha amylase inhibition effect of seven tropical fruit residues. Asian Pac J Trop Biomed. 4(2), S665-S671.
  • Kumar, S., P. Gupta, and V. Gupta K.L. 2013. A critical review on Karamarda (Carissa carandas Linn.). Int J Pharm Bio Arch. 4(4): 637 -642.
  • Kubola, J., S. Siriamornpun, and N. Meeso. 2011. Phytochemicals, vitamin C and sugar content of Thai wild fruits. Food Chemistry. 126, 972-981.
  • Sulaiman, S.F., W.S. Teng, O.K. Leong, S.R. Yusof, and T.S.T. Muhammad. (n.d.). Anticancer study of Carissa carandas extracts. Available: http://goo.gl/ W2WjSG. Accessed May 16, 2014
  • Aslam, F., N. Rasool, M. Riaz, M. Zubair, K. Rizwan, M. Abbas, T.H. Bukhari, and I.H. Bukhari. 2011. Antioxidant, haemolytic activities and GC-MS profiling of Carissa carandas roots. Int J Phytomedicine. 3: 567-578
  • Patel, S. 2013. Food, pharmaceutical and industrial potential of Carissa genus: an overview. Rev Environ Science Biotech. 12(3): 201-208

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : มะม่วงหาว มะนาวโน่หาว

Tags : มะม่วงหาว มะนาวโห่
17  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เสาวรส สรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 03:45:53 pm


เสาวรส
ชื่อสมุนไพร  เสาวรส[/size][/b]
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  สุคนธรส (ภาคกลาง) , กะทกรกฝรั่ง กะทกรกสีดา , กะทกรกยักษ์ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์            Passiflora edulis Sims. (พันธุ์สีม่วง)
Passiflora edulis f. flavicarpa O. Deg. (พันธุ์สีเหลือง)
ชื่อสามัญ  Passion fruit  , Yellow granadilla , Jamaica honey-suckle
วงศ์      Passifloraceae
ถิ่นกำเนิด 

เสาวร มีบ้านเกิดในทวีปอเมริกาใต้ในประเทศบราซิลขว้างรากวัย แล้วก็ประเทศอาร์เจนตินา แล้วมีการกระจายจำพวกโดยการนำเสาวรสไปปลูกเพื่อคุณประโยชน์เชิงพาณิชย์ในหลายประเทศทั่วทั้งโลก อาทิเช่น อินเดีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซียเปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน อเมริกาประเทศออสเตรเลีย อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้ประเทศโปรตุเกสรวมถึงประเทศแถบทะเลแคริบเบียนและแอฟริกาทิศตะวันออก
สำหรับในประเทศไทย เสาวรสถูกนำเข้ามาทดสอบปลูกทีแรกในภาคเหนือ ราวปี พ.ศ. 2498 เดี๋ยวนี้ พบปลูกมากมายในภาคเหนือ รวมทั้งภาคตะวันออก ในแถบจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยอง รวมทั้งชลบุรี
 
ลักษณะทั่วไป
 
เสาวรสจัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ส่วนโคนเป็นไม้เนื้อแข็ง อายุนับเป็นเวลาหลายปี สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 12 เมตร มีมือเกาะ ใบลำพัง รูปคล้ายโล่ หรือรูปไข่ ออกเรียงสลับกัน ขอบใบมักเว้าลึกเป็น 3 พูปลายใบแหลม หรือเรียวแหลม โคนใบกลม หรือรูปหัวใจเว้าตื้น เนื้อใบออกจะเหนียว ขอบใบจะฟันเลื่อย มีเส้นใบ 3 เส้น ออกมาจากโคนใบก้านใบยาว 4-4.5 ซม. ที่ปลายก้านมีต่อม หูใบรูปหอก ขอบเรียบ หรือจักฟันเลื่อย
ดอกเสาวรสจัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศ สามารถผสมเกสรด้วยตัวเองได้ดี ตัวดอกแทงออกเป็นดอกคนเดียว ดอกแทงออกรอบๆซอกใบตามเถา ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง ข้างนอกกลีบเลี้ยงมีสีเขียว ข้างในมีสีขาว และก็กลีบดอกสีครีมอมม่วง 5 กลีบ กลีบดอกไม้เรียงสลับเป็น 2 ชั้นถัดมาภายในมีฝอยเป็นเส้นล้อมเป็นวงกลมเป็นจำนวนมาก โคนฝอยมีสีม่วง ปลายฝอยมีสีขาวตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียมีปลายแยกเป็น 3 แฉก เมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
ผลเสาวรสออกเป็นผลเดี่ยวผลมีรูปทรงกลมหรือรูปไข่ และอวบน้ำ ขนาดผลราวๆ 5-7 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลโดยประมาณ 35-115 กรัม ขึ้นอยู่กับขนาดผล ส่วนสีเปลือกไม่เหมือนกันตามสายพันธุ์ เป็นต้นว่า พันธุ์สีม่วงจะมีเปลือกสีม่วงเข้ม ส่วนชนิดสีเหลืองจะมีเปลือกสีเหลืองสด เปลือกผลทุกชนิดค่อนข้างครึ้ม และก็ เป็นมัน ข้างในผลประกอบด้วยเมล็ดเยอะมาก
ส่วนพันธุ์ที่พบในประเทศไทยและก็นิยมปลูกกันมากมาย มี 3 ชนิด
1. ชนิดผลสีม่วง ( Passiflora edulis) ประเภทผลสีม่วงในธรรมชาติมักพบในที่สูงราว 1,000-2,000 เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอากาศออกจะหนาวเย็นตลอดระยะเวลา ทำให้ผลมีขนาดเล็ก เมื่อผลสุกจะมีสีม่วงเข้มผิวเป็นเงา น้ำจาก จำพวกผลสีม่วง มีรสชาติดียิ่งกว่าชนิดผลสีเหลือง มีกรดต่ำสีงามแล้วก็หวาน จึงเหมาะสำหรับรับประทาน ผลสดจุดอ่อนของจำพวกนี้เป็น ค่อนข้างจะอ่อนแอต่อโรค
2. ชนิดผลสีเหลือง (Passiflora edulis, var flaicarpa) จำพวกผลสีเหลือง ตามธรรมชาติเจอขึ้นตามพื้นที่สูงในแถบประเทศชายฝั่งทะเลที่มีความสูงตั้งแต่ 800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ผลมีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดใหญ่เมื่อผลสุกจะมีสีเหลืองขมิ้น ผิวเป็นมัน น้ำคั้นของพันธุ์นี้ มีกรดมาก ซึ่งมีpH น้อยกว่า 3 เหมาะสำหรับส่งเข้าโรงงานเพื่อแปรรูปมากยิ่งกว่าการ รับประทานผลสด ข้อดีของประเภทนี้คือ ได้ผลดกและก็มีแรงต้านทานโรคและแมลงสูงขึ้นยิ่งกว่าพันธุ์ผลสีม่วง
3. จำพวกลูกผสม เป็นพันธุ์ที่เกิดขึ้นจากการผสมระหว่างพันธุ์ผลสีม่วงกับประเภทสีเหลือง เพื่อคัดเลือกต้นชนิดใหม่ ที่รวมลักษณะผลที่เด่นของแต่ละจำพวกไว้ ทำให้มีลักษณะผลใหญ่ ให้ผลดก มีรกห่อหุ้ม เมล็ดมากมายเปลือกบาง ต้านทานโรค และมีช่วงสำหรับในการให้ผลที่นาน พันธุ์นี้จะให้ทั้งผลที่มีสีม่วงแล้วก็ผลสีเหลือง สามารถเก็บผลิตผลได้ตลอดทั้งปี
 
การขยายพันธุ์
 
[url=https://www.disthai.com/17031928/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA]เสาวรส
สามารถเจริญวัยก้าวหน้าในสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเขตอากาศเย็นทางภาคเหนือ หรือเขตอากาศร้อนชื้นทางภาคกึ่งกลางรวมทั้ง ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก แต่ว่าให้ผลผลิตต่อไร่สูง
ส่วนการขยายพันธุ์เสาวรสสามารถเพาะพันธุ์ได้จากต้นกล้าที่เพาะเม็ด รวมทั้งต้นกล้าที่ได้จากการปักชำหรือการตอนเถา แต่ว่าโดยมากนิยมนำมาปลูกจากเม็ดมากที่สุด โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
การเตรียมเม็ด เม็ดที่ใช้เพาะกล้า ควรเลือกจากผลเสาวรสที่ส่งผลขนาดใหญ่ ผลมีความสมบูรณ์ เปลือกผลเป็นเงาวาว ไม่มีรอยกัดเล็มของแมลง โดยนำเมล็ดมาใส่ผ้าขาวบางแล้วนำไปขยี้ให้น้ำ และก็เยื่อหุ้มห่อเมล็ดหลุดออกมาจากเมล็ด แล้วหลังจากนั้นนำเม็ดมาล้างชำระล้าง ก่อนที่จะนำเมล็ดมาตากตากแดดให้แห้ง นาน 5-7 วัน เก็บพักไว้ภายในที่ร่มนาน 1-2 เดือน ค่อยเอามาเพาะ ภายหลังจากพักเม็ดไว้ 1-2 เดือนแล้ว ก่อนเพาะให้นำเมล็ดมาแช่น้ำไว้ 1 คืน การเพาะเม็ดบางทีอาจเพาะในถุงเพาะชำได้โดยตรง หรือหยอดเพาะในกระบะเพาะก่อน และหลังจากนั้นก็ค่อยแยกลงเพาะต่อในถุงเพาะชำได้
การเตรียมแปลงปลูก การปลูกเสาวรสในแปลงใหญ่จำนวนหลายต้นควรต้องจัดแจงแปลงก่อน โดยการไถกระพรวนดิน 1-2 รอบ พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด ต่อจากนั้น ขุดหลุมปลูกขนาดโดยประมาณ 30 ซม. โดยให้ลึกราว 30 ซม. ระยะห่างระหว่างแถว แล้วก็ระยะห่างระหว่างต้นหรือหลุม ประมาณ 2-3 เมตร จากนั้น ปลดปล่อยหลุมผึ่งแดดไว้ 3-5 วัน
ขั้นตอนการปลูก ก่อนปลูก ให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอก 3-5 กำมือ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 ถือมือ ก่อนคลุกหน้าดินลงผสม ก่อนฉีกถุงดำออก แล้วนำต้นกล้าเสาวรสลงปลูกลงในหลุม พร้อมกลบดินให้แน่นพอควร แล้ว นำไผ่มาปักข้างหลุม เพื่อให้ลำต้นอิงเติบโตสักระยะ
กระบวนการทำค้าง เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเสาวรสเป็นไม้เถาเลื้อย จึงควรเกาะเลื้อยตามสิ่งของต่างๆการเตรียมค้าง ควรจะเตรียมหลังการขุดหลุมปลูกเสร็จหรือทำร่วมกับการขุดหลุมปลูก หรือบางทีอาจทำหลังการปลูก แม้กระนั้นควรระวังไม่ให้ต้นประเภทเกิดอันตรายขณะทำค้าง
การเตรียมค้างทำเป็นโดยการใช้เสาคอนกรีตหรือเสาไม้มาฝังใกล้กับต้นเสาวรสตามแนวยาวของแถว หลังจากนั้น ใช้ลวดกางโยงแต่ละเสาตามแนวยาว แล้วค่อยขึงโยงตัดตามแนวขวางให้เป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดราวๆ 50×50 เซนติเมตร
 
องค์ประกอบทางเคมี
 
ในน้ำเสาวรสเจอสาระสำคัญ เป็นต้นว่า Carotenoid (คาโรทีนอยด์) Pectin methyhesterase (เอนไซม์ เพคทนเมทิลเอสเตอเรส) Catalase (ติดอยู่ทาเลส) Leucine (ลิวซีน) Valine (วาลีน) Tyrosine (โทโรซีน) Prline (โพรลีน) Threonine (ทรีโอนีน) Glycine (ไกลซีน) Aspertic acid (กรดแอสพาร์ทิก) Arginine (อาร์จินีน) Lysine (ไลซีน) Alkalod (อัลคาลอยด์) ส่วนค่าทางโภชนาการของเสาวร
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
เมล็ดพร้อมเยื่อห่อเมล็ดนำมาคั้นหรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่ม ให้รสเปรี้ยวจัด หรือปั่นผสมกับผลไม้อื่นที่มีรสหวาน เพื่อเพิ่มความหวาน อาทิเช่น ประเทศทางแถบอเมริกาใต้นิยมนำเยื่อหุ้มห่อเม็ด รวมทั้งเปลือกมาปั่นผสมกับน้ำตาล ได้เครื่องดื่มที่เรียกว่า refresco หรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้จำพวกอื่น อย่างเช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำพีช ฯลฯ โดยอัตราการผสมน้ำเสาวรสราวๆ 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมหวนและก็รสที่ดี ซึ่งเป็นที่นำยมกันอย่างแพร่หลายในต่างถิ่น เพราะว่านอกเหนือจากทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นหอมหวนแล้วก็รสที่ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าทางของกินสูง แล้วก็น้ำเสาวรสยังสามารถเอาไปใช้แต่งกลิ่นแล้วก็รสของไอติม เค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกอมเหล้าองุ่น เป็นต้น
แล้วก็เยื่อห่อเม็ดยังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอาทิ เสาวรสผง แยมเสาวรส รวมทั้งเยลลี่เสาวรส ส่วนเปลือกเสาวรสมีคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนสามารถเอามาตากแห้งหรือใช้สดเป็นของกินเลี้ยงวัว ควาย แกะแพะ รวมทั้งหมู ได้
นอกนั้นยังมีการนำเสาวรสเอามาสกัดสารสำหรับเป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งครีมสำหรับบำรุงผิว ด้วยเหตุว่าประกอบด้วยสารที่สามารถสะท้อนรังสียูวีได้ และก็ในงานค้นคว้าวิจัยได้เจาะจงไว้ว่า เสาวรสอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุ วิตามินแล้วก็เส้นใย ในขณะเสาวรส 100 กรัม ให้พลังงานแค่เพียง 51-60แคลอรีแค่นั้น รวมทั้งเสาวรส100 กรัม ให้วิตามินซีถึง 30 มิลลิกรัม การกินเสาวรสบ่อยๆแล้วจะไกลห่างจากไข้หวัด แล้วก็ยังช่วยทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง
เสาวรสดีต่อการขับถ่าย เนื่องจากว่ามีไฟเบอร์สูง จึงสามารถช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ ทั้งยังช่วยขับพิษในไส้ คุ้มครองปกป้องโรคมะเร็งไส้อีกด้วย
เสาวรสบำรุงสายตาได้ดีเยี่ยม เนื่องจากว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอ รวมทั้งยังมีสารฟลาโวนอยด์อย่างเบต้าแคโรทีนรวมทั้งคยึดโทแซนทินเบต้า(cryptoxanthin-ß) ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคู่ไปกับวิตามินเอที่ช่วยบำรุงรักษาสายตาได้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนสรรพคุณตามตำรายาไทยระบุไว้ว่า ยอด สามารถรับประทานเป็นผักสด แต่จะมีรสขมนิดหน่อยบางทีอาจเอามาจิ้มน้ำพริกหรือนำไปแกงยอดเสาวรสก็ได้ เนื้อไม้ ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษ และก็ใช้รักษาบาดแผล ราก แก้ไข้ รักษาผื่นคัน รวมทั้งรักษาโรคกามโรค โดยนำรากไปต้มน้ำใบ นำมาตำแล้วคั้นมัวแต่น้ำ กินเป็นยาถ่ายพยาธิได้ ดอกขับเสมหะ แก้ไอ ผลแก่ ใช้คั้นเอาน้ำเป็นน้ำผลไม้ช่วยลดไขมันในเลือดเป็นยาระบาย รวมทั้งยังมีคุณประโยชน์ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดความดับโลหิต และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แบบ / ขนาดวิธีใช้
ปกติแล้ว ชอบนำเสาวรสสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้หรือใช้รับประทานสดๆก็สามารถได้ประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ต่างๆของเสาวรสแล้วส่วนในคัดค้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรก็มีการมาใช้ เช่น นำรากเสาวรสไปต้มแล้วใช้ดื่มช่วยแก้ไข้ รักษาตามโรค แก้ผื่นคัน หรือนำใบมาต้มกับน้ำใช้กินสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ หรือจะใช้เนื้อในของผลสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม จะช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือดและช่วยทำให้ระบายได้ ฯลฯ
การเรียนทางเภสัชวิทยา
 
สำหรับการทดลองฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง (in vitro) พบว่า สารสกัดเอทานอล 80% จากเนื้อหุ้มห่อเม็ดของเสาวรสทั้งชนิดผลสีม่วงรวมทั้งผลสีเหลืองมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยแนวทาง 2,2-azino-bis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid) decolorization assay (ABTS assay), H2O2 scavenging assay และ 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging capacity assay (DPPH assay) จากผลการศึกษาเรียนรู้ดังที่กล่าวมาแล้วชี้ให้เห็นว่า น้ำเสาวรสมีคุณค่าทางโภชนาการรวมทั้งมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดื่มสำหรับดูแลสุขภาพ ใยอาหารส่วนที่ไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber-rich fraction) จากเมล็ดเสาวรสมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด เมื่อทดลองผสมลงในของกินที่มีไขมันสูง (hypercholesterolemic diet) ปริมาณ 5% แล้วก็ใช้เลี้ยงหนู แฮมสเตอร์นาน 30 วันพบว่า ไตรกลีเซอไรด์รวมทั้งคอเลสเตอรอลในเลือดแล้วก็ในตับหนูลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมทั้งพบว่ามีไขมันในน้ำดีแล้วก็ในอุจจาระที่ขับถ่ายออกมามากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แล้วก็สำหรับการป้อน น้ำคั้นเสาวรสชนิดเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทขนาด 1,000 มิลลิกรัม/กก. วันละ 2 ครั้ง นานต่อเนื่องกัน 28 วัน มีผลลดค่าไขมันแล้วก็ LDL (low-density lipoprotein) ใน เลือดรวมทั้งเพิ่มค่า HDL (high-density lipoprotein) ยิ่งกว่านั้นยังส่งผลลดค่า thiobarbituric acid reactive substance (TBARS) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึง การเกิดปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันของไขมัน (lipid peroxidation) ทำให้เห็นว่าเม็ดเสาวรสรวมทั้งน้ำจากส่วนเยื่อหุ้มห่อเม็ดมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และก็ต้านการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันได้ นอกเหนือจากนี้การป้อนส่วนเนื้อหุ้มห่อเม็ดของเสาวรสประเภทเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ขนาดวันละ 5 – 8 ก./กก. นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ส่งผลทำให้ค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวลดน้อยลง รวมทั้งพบว่าระดับglutathione ในเยื่อไตสูงขึ้น แล้วก็สามารถยับยั้งการเกิดสาร TBARS สำเร็จการทดสอบดังที่กล่าวถึงมาแล้วทำให้เห็นว่าส่วนเนื้อห่อหุ้มเม็ดของเสาวรสมีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิตรวมทั้งฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
 
การเล่าเรียนทางคลินิก
การเรียนรู้ฤทธิ์

 
ต้านทานอนุมูลอิสระของน้ำคั้นเสาวรสในกลุ่มอาสาสมัครคนวัยแก่ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีภาวการณ์ของโรครุนแรงปริมาณ 60 คน ทั้งเพศชายและหญิง โดยให้อาสาสมัครดื่ม น้ำคั้นเสาวรสอีกทั้งจากประเภทผลสีม่วงแล้วก็ผลสีเหลืองวันละ 1 แก้ว (โดยประมาณ 125 มิลลิลิตร) ภายหลังจากรับประทาน อาหารกลางวัน นานต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครทั้งตอนก่อนรวมทั้งหลังกินน้ำคั้น เสาวรส เพื่อตรวจวัดค่าทางชีวเคมีในเลือดรวมทั้งเปรียบผลการเปลี่ยน ผลจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า การดื่มน้ำคั้นเสาวรสอีกทั้งประเภทผลสีม่วงรวมทั้งสีเหลืองมีผลทำให้จำนวนวิตามินเอและก็วิตามินอีในร่างกาย เพิ่มสูงมากขึ้น รวมทั้งส่งผลเพิ่มลักษณะการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวกับขั้นตอนต้านทานการเกิดอนุมูลอิสระ เช่น superoxide dismutase (SOD) และ catalase ยิ่งกว่านั้นยังมีผลยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวพัน ในขั้นตอนอักเสบเป็น interleukin-6 (IL-6) และก็ tumor necrosing factor-α (TNF-α) อีกด้วย
ส่วนการศึกษาเล่าเรียนทางคลินิกอีกชิ้นหนึ่งบอกว่าการทดสอบโดยให้อาสาสมัคร 9 คน(อีกทั้งชายและหญิง) ที่แก่ระหว่าง 20-35 ปี กินแคปซูลสารสกัดน้ำหรือชา (เข้มข้น 10%) จากส่วนใบเสาวรส วันละ 4 แคปซูลก่อนอน ติดต่อกันนาน 1 สัปดาห์ พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่างอาสาสมัครกลุ่มที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสแล้วก็กรุ๊ปที่ได้รับยาหลอกในเรื่องผลการนอน กลับพบว่าอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสบางรายมีค่าโปรตีนรวมทั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวเนื่องกับรูปแบบการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ไตและตับเพิ่มสูงมากขึ้นดังเช่นว่า bilirubin, uric acid, creatinine phosphokinase และก็ glutamic-oxaloacetic transaminase
 
ข้อเสนอแนะ / สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง
 
1. การรับประทานเสาวรสอาจส่งผลให้เป็นผลใกล้กัน อาทิเช่น หน้ามืดศีรษะ รู้สึกงงเต็ก กล้ามเนื้อปฏิบัติงานไม่ปกติ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป เส้นโลหิตอักเสบ บางรายพบกล่าวว่ามีอาการอ้วก อาเจียน ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นแตกต่างจากปกติ
2. จากการทดสอบในหลอดทดสอบ (in vitro) น้ำคั้นเสาวรสมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์CYP450 จำพวกCYP3A4 เมื่อทดลองบนเซลล์human liver microsomes ฉะนั้นจึงต้องควรรอบคอบ การกินน้ำคั้นเสาวรสร่วมกับกรุ๊ปแผนปัจจุบันที่จำต้องอาศัยเอนไซม์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในขั้นตอนการเผาผลาญยา
3. หญิงมีครรภ์ไม่ควรรับประทานเสาวรสเพราะว่าสารเคมีบางตัวในเสาวรสอาจก่อให้มดลูกหดตัว
4. ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเสาวรสขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เนื่องจากเสาวรสอาจมีผลต่อระบบประสาทศูนย์กลางซึ่งบางทีอาจไประงับฤทธิ์ยาสลบหรือยาตัวอื่นต่อสมองในช่วงผ่าตัดรวมทั้งภายหลังจากผ่าตัดได้
 

เอกสารอ้างอิง

  • ศุภวัชร สิงห์ทอง, เสนีย์ เครือเนตร, ศุภพงษ์ อาวรณ์. ผลของน้ำเสาวรสต่อการต้านอนุมูลอิสระและต้าน การอักเสบในผู้สูงอายุและในหลอดทดลอง. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย; 2557. Report No. RDG5420047.
  • การใช้สมุนไพร.กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล.ธิดารัตน์ จันทร์ดอน.ผลไม้โครงการหลวงกับงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • "Passion Fruit: Background, Nutrition, Preparation". Exotic Fruit for Health. 25 August สืบค้นเมื่อ 18 September 2011.
  • เสาวรส/กะทกรกฝรั่ง สรรพคุณและการปลูกเสาวรส.พืชเกษตรดอทคอมพิชานันท์ ลีแก้ว . เสาวรส ผลไม้สำหรับผู้รักสุขภาพ. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/b]
  • เสาวรส.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.Mallhi TH, Sarriff A, Adnan AS, Khan YH, Qadir MI, Hamzah AA, et al. Effect of fruit/vegetable-drug interactions on CYP450, OATP and p-glycoprotein: A systematic review. Trop J Pharm Res. 2015;14(10):1927-35.
  • de Souza Mda S, Barbalho SM, Damasceno DC, Rudge MV, de Campos KE, Madi AC, et al. Effects of Passiflora edulis (yellow passion) on serum lipids and oxidative stress status of Wistar rats. J Med Food. 2012;15(1):78-82.
  • Patel SS. Morphology and pharmacology of Passiflora edulis: a review. J Herb Med Toxicol. 2009;3(1):1-6
  • Konta EM, Almeida MR, do Amaral CL, Darin JD, de Rosso VV, Mercadante AZ. Evaluation of the antihypertensive properties of yellow passion fruit pulp (Passiflora edulis Sims f. flavicarpa Deg.) in spontaneously hypertensive rats. Phytother Res. 2014;28(1):28-32.
  • Chau CF, Huang YL. Effects of the insoluble fiber derived from Passiflora edulis seed on plasma and hepatic lipids and fecal output. Mol Nutr Food Res. 2005;49(เจ๋ง:786-90
  • Tala Y, Anavia S, Reismana M, Samachb A, Tirosha O, Aron M, et al. The neuroprotective properties of a novel variety of passion fruit. Journal of Functional Foods 2016;23:359- 69.
  • Hidaka M, Fujita K, Ogikubo T, Yamasaki K, Iwakiri T, Okumura M, et al. Potent inhibition by star fruit of human cytochrome P450 3A (CYP3A) activity. Drug Metab Dispos. 2004;32(6):581-3

18  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเปล้าน้อย มีประโยชน์เเละสรรพคุณ เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 09:11:51 am

เปล้าน้อย
ชื่อสมุนไพร เปล้าน้อย
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อเขตแดน เปล้าท่าโพ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Croton fluviatilis Esser.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Croton stellatopilosus Ohba. , Croton sublyratus Kurz.
ชื่อสามัญ Thai croton
สกุล EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด
เปล้าน้อย เป็นไม้ประจำถิ่นในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เจอขึ้นกระจายในประเทศประเทศพม่าและก็ไทย ตามป่าเบญจพรรณ ป่าแดง รวมถึงป่าชายทะเลบางพื้นที่ในประเทศไทยพบได้บ่อยในหลายจังหวัด ตัวอย่างเช่น สุรินทร์ , จังหวัดอุบลราชธานี , จังหวัดนครพนม , จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี และก็ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเปล้าน้อยนี้เป็นพืชที่เจริญก้าวหน้าได้ดีในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนซุยผสมทรายที่มีการระบายน้ำก้าวหน้า โดยมีดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายน และเริ่มติดผลในเดือน มีนาคม – ส.ค.
ลักษณะทั่วไป
เปล้าน้อย จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น เป็นไม้ผลัดใบ มีความสูงของต้นราวๆ 1-5 เมตร แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ที่เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลปนเทาผิวลำต้นออกจะเรียบ
ใบเป็นแบบเรียงแบบสลับ เมื่อใบใกล้หล่นจะกลายเป็นสีส้มเหลือง ก้านใบยาว 1-3.5 มิลลิเมตร มีขนสั้นนุ่มประปราย แผ่นใบตรงแคบยาว กว้าง 1.5 -2.44 เซนติเมตร ยาว 10-17 เซนติเมตร แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ฐานใบแหลม ขอบใบจักฟันเลื่อยเป็นระยะ ขนาด 5-7 มิลลิเมตร ถึงเกือบจะเรียบ ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม ผิวใบด้านบนสะอาด ด้านล่างมีขนกระจัดกระจายบนเส้นกึ่งกลางใบเล็กน้อย หรือแทบหมดจด ไม่มีนวล มีต่อมที่ฐานของก้านใบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.0 มิลลิเมตร เส้นใบข้าง 11-16 คู่
ดอกออกเป็นช่อ กำเนิดช่อเดี่ยวเล็ก ที่ปลายยอดขนาดยาว 7-19 ซม. แกนช่อสะอาดหรือเกือบสะอาด ดอกเพศภรรยา จำนวน 4-11 ดอก อาจมีไหมมีดอกเพศผู้ ใบประดับของดอกเพศผู้รูปไข่ ขนาดยาว 2-3.5 มม. กว้าง 1.5-2 มม.บางเหมือนเยื่อ ดอกเพศผู้ปริมาณ 1-3-4 ดอกในหนึ่งใบแต่งแต้ม ก้านดอกย่อยยาว 4-5 มม. หมดจดกลีบเลี้ยง ขนาดกว้าง 1.5 มิลลิเมตร ยาว 2.5 มม. เชื่อมชิดกันนิดหน่อยที่ฐาน ปลายแหลมถึงเป็นติ่งแหลม ข้างนอกสะอาด แต่เจอขนชุดครุยที่ปลายชัดแจ้ง กลีบดอกไม้ลักษณะคล้ายกลีบเลี้ยงแม้กระนั้นแคบกว่า ขนาดกว้าง 0.5 มิลลิเมตร ยาว 2.5 มิลลิเมตร เกสรเพศผู้ 10-12 อัน ก้านชูยาว 2.0-2.5 มม. อับเรณูยาว 0.6 มิลลิเมตร ดอกเพศภรรยา ก้านดอกย่อยเกือบสะอาด ขนาดยาว 2 มม. กลีบเลี้ยง ขนาดกว้าง 1 มม. ยาว2 มม. ปลายแหลมถึงเป็นติ่งแหลม หมดจด ไม่เห็นกลีบ รังไข่ยาว 1.5 มม. ขนสั้นนุ่มหนาแน่น ก้านชูเป็นอิสระ ปริมาณยาว 3-5 มิลลิเมตร แบ่งเป็น 2 แฉก
ผลเปล้าน้อย รูปแบบของผลเป็นทรงค่อนข้างจะกลมเปลือกผลเมื่อแห้งมีสีน้ำตาลและก็แตกได้ง่าย โดยผลจะแบ่งได้เป็นพู 3 พู มีรอยกลีบเลี้ยงติดอยู่กับก้นผล ในแต่ละพูจะมีเม็ดอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดมีสีน้ำตาลผิวเรียบ มีลายเส้นตามแนวยาวสีขาวหนึ่งเส้น มีขนาดกว้างประมาณ 2-3 มม. และยาวประมาณ 3-4 มม.
การขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์เปล้าน้อยสามารถได้หลายวิธี ดังเช่นว่า เพาะเมล็ด และก็กระเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ในตอนนี้นิยมใช้กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมากกว่าเนื่องจากจะได้พันธุ์แท้โดยมีกล่าวว่าการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น สำหรับเพื่อการปลูกนั้นมีวิธีการคือ ขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซนติเมตร (โดยบางทีอาจลดหรืเพิ่มได้ขึ้นกับขนาดของต้นกล้าที่จะเอามาปลูก) จากนั้นนำดินที่ขุดออกมาผสมกับปุ๋ยมูลสัตว์ให้เหมาะ แล้วนำต้นกล้าลงปลูกโดยใช้ระยะห่าง 4x4 เมตร กลบดิน รดน้ำให้เปียกแฉะและปักไม้ค้ำจนกระทั่งกันลมพัดล้ม
องค์ประกอบทางเคมี
ในใบพบสาร (E.Z,E) -7- hydroxymethyl -3, 11, 15-trimethy-2,6,10,14-hexadecate traen-1-01 มีชื่อว่า CS-684 หรือ Plaunotol, Plaunotol A,B,C,D,E
Plaunotol
ผลดี / คุณประโยชน์
ตำราเรียนยาไทย ใบ รสร้อน แก้คันเรียกตัว รักษาแผลในกระเพาะรวมทั้งไส้ก้าวหน้า เปลือกรวมทั้งใบ รักษาโรคท้องเดินบำรุงโลหิตเมนส์ รักษาโรคผิวหนัง ราก รสร้อน แก้ลมจับเบื้องบนให้เป็นปกติ ขับโลหิตแก้ช้ำใน ผล รสร้อน ต้มน้ำดื่ม ขับหนองให้กระจาย ดอก เป็นยาขับพยาธิ เปลือกต้น รสร้อน ช่วยย่อยของกิน ใบ รวมทั้ง ราก แก้คัน รักษามะเร็งเพลิง รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน แก้พยาธิต่างๆริดสีดวงทวาร แก้ไอเป็นเลือด เป็นยาปฏิชีวนะในทางการแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า สาร plaunotol ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะและ กระตุ้นการผลิตเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหาย เร็วขึ้น มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะ ของกิน
ต้นแบบ / ขนาดวิธีใช้ ในการใช้ตามตำรายาไทยเพื่อรักษาแผลในกระเพาะแล้วก็ลำไส้ แก้คันตามตัว รักษาโรคผิวหนัง ใช้บำรุงธาตุ บำรุงเลือด แก้พยาธิต่างๆ ให้นำใบ ค่อนข้างใบอ่อน ตากแห้ง บดละเอียดแล้วเอามาต้มหรือชงน้ำดื่ม หรือใช้ รากต้มน้ำกินตอนอุ่นๆแก้โรคกระเพาะของกิน
นอกนั้นใบเปล้าน้อยยังสามารถนำไปสกัดเป็นยา “เปลาโนทอล” (Plaunotol) หรือยารักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย ความเป็นจริงแล้วสารเปลาโนทอลมีอยู่แทบทุกส่วนของต้นเปล้าน้อ[/b]แม้กระนั้นมีปริมาณมากน้อยแตกต่างออกไป แต่ว่าส่วนที่มีสารเปลาโนทอลสูงสุดเป็นส่วนของใบอ่อนที่อยู่บริเวณปลายช่อที่โดนแสงแดด ในการใช้ยา Plaunotol นั้น ควรที่จะใช้ครั้งละ 80 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 8 อาทิตย์อาการจะดียิ่งขึ้นถึง 80-90% ซึ่งอาจมีอาการข้างๆบ้างเป็น ผื่นคัน ท้องร่วง แน่นท้อง ท้องผูก
การเรียนทางเภสัชวิทยา ผลการค้นคว้าทางเภสัชวิทยาของเปล้าน้อย
ในไทยมีน้อยมาก จะมีก็เพียงแค่ผลจากการทดลองฤทธิ์ของเปลาโทนอลในคนไข้โรคกระเพาะที่มีแผลในกระเพาะอาหาร (ผลขนาดไม่เกิน 1 ซม.) สำเร็จว่า คนไข้จำนวน 8 ใน 10 คนหลังได้รับยาเปลาโนทอลเข้าไป แผลในกระเพาะอาหารจะหายสนิทภายในช่วงเวลา 6 สัปดาห์แล้วก็การเล่าเรียนทางฤทธิ์ของ Plaunotol ที่กล่าวว่า มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร รวมทั้งไส้ มีฤทธิ์กระตุ้นการผลิตเนื้อเยื่อบุลำไส้ที่เสียหาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดจำนวนการหลั่งของกรดในกระเพาะ และก็ช่วยให้ระบบคุ้มครองปกป้อง การดูดซึมซับกรดของเนื้อเยื่อบุกระเพาะซึ่งถูกทำลายด้วยสารบางจำพวก คืนดีได้
การเรียนทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมุลการศึกษาทางพิษวิทยา แม้กระนั้นมีข้อมูลกล่าวว่ายารักษาโรคกระเพาะจาเปล้าน้อย
(Plaunotol) ผ่านการเรียนถึงความปลอดภัยก่อนนำออกจำหน่าย มีคุณภาพดีและก็ส่งผลใกล้กันน้อยกว่ายาสังเคราะห์ที่มีใช้อยู่ในขณะนี้ แม้กระนั้นการใช้เปล้าน้อยที่ไม่ใช่สารสกัดหรือการใช้ในทางท้องถิ่นยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ดีการใช้เปล้าน้อยสำหรับในการรักษาโรคกระเพาะควรจะอยู่ภายใต้คำเสนอแนะของหมอเช่นเดียวกับสมุนไพรชนิดอื่น
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง
สำหรับในการใช้ยารักษาโรคกระเพาะที่สกัดมาจากเปล้าน้อย (Plaunotol) อาจมีอาการใกล้กันได้ อาทิเช่น ท้องเสีย แน่นท้อง ท้องผูก หรือมีผื่นคัน โดยเหตุนั้นในการใช้ควรจะหารือแพทย์หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเสมอ
เอกสารอ้างอิง

  • ภโวทัย พาสนาโสภณ.สารออกฤทธิ์ในสมุนไพร.คอลัมน์บทความวิชาการ.วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ปีที่27.ฉบับที่1กันยายน2556-กุมภาพันธ์2559 .หน้า120-131https://www.disthai.com/[/b]
  • Khovidhunkit,S. O., Yingsaman, N., Chairachvit, K.,Surarit, R., Fuangtharnthip,P., & Petsom, A. (2011). In vitro study of the effects of plaunotol on oral cell proliferation and wound healing. Journal of Asian Natural Products Research, 13(2), 149-159.
  • เปล้าน้อย.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • เปล้าน้อยที่ไม่ใช่สารสกัดรักษาโรคกระเพาะได้หรือไม่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เปล้าน้อย .กลุ่มยาแก้บิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.

เปล้าน้อย.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
19  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรมะระจีน สรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 04, 2018, 06:04:28 pm

มะระจีน
ชื่อสมุนไพร  มะระจีน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะระ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Momordica charantia Linn. var. maxima Williums & Ng
ชื่อสามัญ  Bitter Gourd ,Balsam apple, Leprosy Gourd,   Bitter melon
วงศ์ CUCURBITACEAE
ถิ่นกำเนิด
 มะระจีนมีบ้านเกิดในเขตร้อนทวีปเอเชีย แล้วก็ทวีปแอฟริกา เป็นพืชที่มีการปลูกไว้ในแถบประเทศเขตร้อนอย่างแพร่หลาย โดยมีการปลูกกันในหลายประเทศ อาทิเช่นจีนอินเดีย , เมียนมาร์ , ไทย , เวียดนาม อื่นๆอีกมากมาย ส่วนในประเทศไทยปลูกมากในภาคเหนือ ซึ่งมีการปลูกหลายสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นมีลักษณะเหลี่ยม เถาเลื้อยมีสีเขียว มีขนเล็กๆจะมีมือเกาะบนเถา อยู่รอบๆใต้ข้อต่อของใบ
• ใบ เป็นใบผู้เดียว ออกเรียงสลับกันคนละข้างตามเถา มีลักษณะเป็นแฉกเว้าลึก 5 แฉก โคนใบมีลักษณะกลม มีก้านใบยาว ใบมีสีเขียว มีขนสากเล็กๆมีมือเกาะยื่นออกมาจากที่ข้อ
• ราก เป็นระบบรากแก้ว รากมีลักษณะกลม แทงลึกลงดิน มีรากกิ้งก้านและรากฝอยเล็กๆแทงออกตามบริเวณมีสีน้ำตาล
• มือเกาะ มีลักษณะกลม เป็นเส้นเล็กๆคล้ายหนวดขนาดเล็กๆแตกออกรอบๆข้อใต้ใบของเถา ปริมาณมือเกาะ 1 เส้นต่อข้อ ส่วนปลายมีขนาดเล็กสุดม้วนงอ จะม้วนงอเข้ายึดเกาะรอบกาย ยึดลำต้นเพื่อเลื้อยแผ่ขึ้นที่สูง ใช้มือเกาะใช้ปลายหนวดม้วนใช้ยึดของ เป็นเกลียวพันรอบคล้ายสปริง
• ดอก ดอกเป็นดอกผู้เดียว มีลักษณะรูประฆัง กลีบดอกจะมีเหลือง ก้านดอกยาว ออกตามซอกใบ
• ผล มีลักษณะทรงยาวรี เปลือกบาง ผิวขรุขระมีร่องลึกตามทางยาว ผลใหญ่เนื้อหนา ผลดิบจะมีสีเขียวอ่อน ใช้รับประทาน เมื่อผลสุกจะมีสีแดง แม้กระนั้นกินไม่ได้ ด้านในผลจะมีหลายเมล็ด มีเนื้อชุ่มฉ่ำน้ำ มีรสชาติขม
• เม็ด จะอยู่ข้างในผล จะมีเมล็ดเล็กๆจำนวนมาก เรียงอยู่ข้างในผล เมล็ดมีลักษณะกลมแบนรี ผิวเรียบ เปลือกเม็ดแข็ง สีน้ำตาล
การขยายพันธุ์
มะระจีนเป็นพืชที่นิยมนำมาปลูกกันมากในประเทศไทย โดยมะระจีนเป็นพืชปีเดียว สามารถปลูกได้ทุกฤดู แล้วก็ปลูกขึ้นเจริญกับดินดูเหมือนจะทุกประเภท แต่ว่าดินต้องมีความชุ่มชื้นสูงเป็นประจำ และก็ควรได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน มะระจีนที่ปลูกไว้ในประเทศส่วนมากมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 45-50 วัน การเก็บมะระควรจะเก็บวันเว้นวัน เลือกผลที่โตได้ขนาด มีสีเขียวยังไม่แก่เหลือเกิน หากเริ่มมีสีขาวรวมทั้งเริ่มแตกนับว่าแก่เกินไป
สำหรับแนวทางการขยายพันธุ์สามารถขยายพันธุ์โดยกระบวนการหยอดเม็ดหรือปลูกจากต้นกล้าแค่นั้น โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
การเตรียมดิน ทำการไถพรวนดิน พร้อมกำจัดวัชพืช แล้วก็ตากแดดราวๆ 5-10 วัน ขึ้นกับชนิดดิน แล้วทำแนวปลูกด้วยการขึงเชือกหรือกะระยะ ในระยะระหว่างแถว 1-1.5 เมตร แล้วทำการไถตามจุดของแนวปลูกตามแนวยาวของแปลงให้เป็นร่องลึกราวๆ 30 ซม.ต่อจากนั้นหว่านโรยปุ๋ยธรรมชาติหรือมูลโค ปริมาณ 1000 กิโลกรัม/ไร่ รวมทั้งปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 จำนวน 30 กก./ไร่ แล้วกระทำการไถกลบหรือกลบแนวร่อง ตากดิน 2-3 วัน
การเตรียมกล้า ทำการเพาะกล้าในกระบะเพาะกล้า โดยใส่ดินผสมมูลสัตว์หรือวัสดุอื่นๆดังเช่น เถ้าถ่าน กากมะพร้าว แล้วรดน้ำให้เปียก วันละ 1-2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็น ถ้าเกิดกล้าเริ่มแตกใบ 4-6 ใบ หรือ 15-20 วัน สามารถนำมาปลูกได้
กรรมวิธีปลูก การปลูกด้วยกล้ามะระ ให้ปลูกเอาไว้ในระยะห่างของหลุม 1.5-2 เมตร แต่แม้เป็น การปลูกด้วยการหยอดเม็ด ให้หยอดเมล็ด 1-2 เม็ด/หลุม ในระยะห่างของหลุมสิ่งเดียวกัน ข้างหลังการปลูกหรือหยอดเมล็ดเสร็จ จะต้องรดน้ำหลุมปลูกให้ชุ่ม
องค์ประกอบทางเคมี
องค์ประกอบทางเคมีรวมทั้งสารออกฤทธิ์ จากส่วนต่างๆของมะระจีน ตัวอย่างเช่น ผล เมล็ด ใบ ลำต้น เอนโดสเปิร์ม แล้วก็แคลลัส มีสารสำคัญมากถึง 228 จำพวก ที่บางครั้งอาจจะออกฤทธิ์แบบโดดเดี่ยวๆหรือ ออกฤทธิ์แบบด้วยกัน charantin, polypeptide-p, vicine, momordin และสารอนุพันธ์ที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ momordinol, momordicilin, momorcharin, momordicin , Gallic acid , Caffeic acid รวมทั้ง Catechin ฯลฯส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะระจีน (100 กรัม) ประกอบด้วย ใยอาหาร2.8 กรัม เถ้า 1.1 กรัม โปรตีน 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม ไขมัน 0.17 กรัม พลังงาน 17 กิโลแคลอรี วิตามิน A 380 มก. วิตามิน B1 0.04

มก. วิตามิน B2 0.4 มิลลิกรัม วิตามิน B3 0.4 มก. วิตามิน B5 0.212 มก. วิตามิน B6 0.043 มก. วิตามิน C 84 มก. สังกะสี 0.8 มิลลิกรัม แคลเซียม 19 มิลลิกรัม ทองแดง 0.034 ไมโครกรัม เหล็ก 0.43 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม แมงกานีส 0.089 มก. ฟอสฟอรัส 31 มก. โพแทสเซียม 296 ไมโครกรัม โซเดียม 5 มก.
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
มะระจีนนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ได้แก่ ต้มกับน้ำซุปกระดูกหมู หรือแกงจืดยัดไส้หมูสับบ้างพลิกแพลง นำมะระมาหั่นเป็นแว่นบางๆชุบไข่ทอด แบบชะอมหรือมะเขือยาว หรือจะใช้ฝานเป็นแว่นบางๆจิ้มกับน้ำพริก หรือจะทำมะระผัดไข่ก็นิยมกินกันมาก ซึ่งมะระจีนถือเป็นผักที่นิยมรับประทานมากสำหรับผู้ที่มีอาการป่วยเป็นเบาหวาน เนื่องจากมีสารประกอบหลายแบบ อาทิ แคแรนทิน (charantin), โพลีเปปไทด์ พี (p-insulin) และวิสิน (vicine) ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนคุณประโยชน์ทางยาตามตำรายาไทยกล่าวว่า ราก แก้พิษ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ฝาดสมาน ยาบำรุง เถา บำรุงน้ำดี ยาระบายอ่อนๆเจริญอาหาร ใบ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับพยาธิ ขับลม ดอก แก้พิษ แก้บิด ผล ขับลม ดับพิษร้อนแก้พิษฝี แก้ฟกบวม แก้อักเสบ บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ เจริญอาหาร บำบัดเบาหวาน รวมทั้งเมล็ด แก้พิษ บำรุงธาตุนอกจากนั้นตำรายาแผนโบราณในต่างถิ่นได้มีการใช้มะระแก้โรคเบาหวาน ด้วยเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา แอฟริกาตะวันตก ประเทศฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย และอังกฤษ ฯลฯ สำหรับในการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการทำการวิจัยบอกว่า มะระจีนมีฤทธิ์ต่อต้านเบาหวาน ช่วยระบายแล้วก็ฆ่าเชื้อ โดยทางการแพทย์แผนไทยใช้เข้าตำรับยาแก้ไข้ที่มีอาการติดโรคต่างๆสารต้านทานโรคเบาหวานในมะระจีนตัวอย่างเช่นสารชาแรนทิน ซึ่งมี ฤทธิ์ต้านทานเบาหวานได้ดีกว่ายา tolbutamide นอกจากนี้ เจอ สารไวซีน (vicine) โพลีเพปไทด์-พีและสารออกฤทธิ์อื่นที่ กำลังศึกษากันอยู่ โพลีเพปไทด์-พี ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลใน เลือดเมื่อฉีดแบบอินซูลินให้กับผู้ป่วยเบาหวานชนิด ฤทธิ์ต้านเบาหวานของมะระจีนได้ถูกศึกษาเล่าเรียนอย่างมาก อีกทั้งโดยการเพาะเลี้ยงเซลล์ การเรียนในสัตว์ทดสอบ และการเรียนรู้ทางสถานพยาบาล สารจากมะระจีนให้ผลอีกทั้งในด้านการควบคุมจำนวนการหลั่งอินซูลินแล้วก็เปลี่ยนเมเกือบจะอลิซึมของเดกซ์โทรส การแพทย์หนทางของอเมริกาแนะนำการใช้น้ำคั้นผลมะระจีน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน
รูปแบบ / ขนาดวิธีใช้
• แก้อาการป่วยไข้ ให้นำมะระจีนอีกทั้ง 5 คือ ดอก ผล ใบ ราก และก็เถาอย่างละ 1 กำมือใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มจนถึงเดือด รับประทานทีละ 1 แก้ว ก่อนกินอาหาร วันละ 3 - 4 ครั้งติดต่อกันเพียงแต่ 3-4 วันก็จะหายไข้
• แก้อาการคอแหบ เสียงไม่มี เพราะเหตุว่าหวัด นำผลมะระจีนต้มกิน หรือใช้ประกอบเป็นอาหารช่วยรักษาให้ดีขึ้นกว่าเดิมจนกระทั่งหายขาดได้
• ให้นำมะระจีนใกล้สุก มาหั่นทั้งยังเนื้อรวมทั้งเม็ดแล้วก็ค่อยนำไปผึ่งแดดให้แห้ง คั่วกระทั่งหอมแล้วตำอย่างรอบคอบผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดนิ้วโป้งกินครั้งละ 1 เม็ดก่อนนอน แก้ท้องผูก
• บำรุงสายตา ให้นำผลมะระจีนรวมทั้งยอดอ่อนมาทำอาหารตามที่ใจต้องการ ควรรับประทานวันเว้นวันเป็นประจำ สายตาจะดียิ่งขึ้น
• บำรุงเลือด
• บำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถนะทางเพศ ให้นำเม็ดมะระจีนแก่จัดมาตากแห้งแล้วแกะเปลือกออก ใช้เนื้อในบดจนกระทั่งละเอียดละลายน้ำร้อนรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาวันละ 1 ครั้งที่แล้วนอน ต่อเนื่องกัน 2 อาทิตย์ เว้น 2 อาทิตย์ รับประทานอีก 2 อาทิตย์ จะมีผลให้เจริญอาหารมีพละกำลังขึ้น ยาขนานนี้ยังช่วยขับพยาธิตัวเล็กได้อีกด้วย
• ใบมะระจีนใช้ ต้มดื่ม แก้ไข้หวัด บำรุงน้ำดี ดับพิษฝี แก้ปากเปื่อย แก้ตับม้ามพิการ แก้อักเสบ ฟกช้ำบวม ใช้ทาข้างนอก แก้ผิวแห้ง ลดอาการเคือง อักเสบ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา มีการเรียนรู้ถึงผลของมะระจีนในมนุษย์หลายการศึกษาทั้งยังในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและก็คนป่วยเบาหวานจำพวกต่างๆพบว่า มีหลายการศึกษาเรียนรู้ที่แถลงการณ์ว่าสารสกัดหรือน้ำจากผลมะระมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้โดยการเรียนรู้พบฤทธิ์รักษาโรคเบาหวานของมะระจีนเริ่มตั้งแต่ปี 1942 โดยพบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในกระต่าย รวมทั้งเสริมฤทธิ์ยาลดน้ำตาลในกระต่ายที่เป็นโรคเบาหวาน ก็เลยได้มีผู้ศึกษาฤทธิ์ของมะระในสัตว์ทดลองต่างๆยกตัวอย่างเช่นกระต่าย หนูขาว หนูถีบจักร แมว gerbils ลิง ตลอดจนการทดสอบทางสถานพยาบาล ซึ่งสำหรับในการทดลองได้ใช้มะระจันอีกทั้งในรูปสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์ สารสกัดด้วยอะซีโตนสารสกัดด้วย้ำในรูปผลแห้งรวมทั้งน้ำคั้น และก็ได้มีผู้ทดลองสกัดแยกสารซึ่งมีฤทธิ์ลดเบาหวาน ตัวอย่างเช่น charantin , polypeptide , polypeptide P และก็ purified proteinสำหรับกลไกการออกฤทธิ์ พบว่ามะระจีนมีฤทธิ์เหมือนอินซูลินและกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ เพิ่มการใช้น้ำตาลกลูโคสในเยื่อต่างๆโดยไปเพิ่ม tissue respiration เมื่อให้น้ำคั้นผลมะระจีนก่อนให้น้ำตาลเดกซ์โทรส พบว่ามีการนำกลูโคสไปใช้ก็เลยมีการสะสมของglycogen ในตับแล้วก็กล้าม ซึ่งบางทีอาจเพราะว่าไปเร่งการหลั่งอินซูลิน แล้วก็เร่งการดูดซึมของกลูโคสก็ได้ นอกนั้นน้ำคั้นยังมีผลต่อ gluconegensis ในไตคล้ายกับสาร hypoglycin ซึ่งลดน้ำตาลด้วยเหตุว่าเบาหวาน และพบว่าการทดลองให้หนูที่รั้งนำด้วย strepotozotocin ให้เป็นเบาหวาน มะระจีนไม่ให้ผล บางทีอาจเพราะเหตุว่าเบต้าเซลล์ถูกทำลายไปแล้วไม่เฉพาะแต่มีการทดลองโดยใช้ผลมะระจีนแค่นั้น ยังมีการทดลองผลของเมล็ดมะระจีนอีกด้วย
จากการเรียนของนักค้นคว้าในฮ่องกง
พบว่าในเมล็ดมีสารซึ่งมีฤทธิ์เหมือนกันกับอินซูลินซึ่งถัดมาได้พบว่า คือ α-momorcharin, β-momorcharin , α-trichosantin และก็เลคติน ในเวลาใกล้ๆกัน ได้มีหัวหน้าเม็ดมะระมาสกัดด้วย 50% เมทานอล รวมทั้ง 0.9% น้ำเกลือ เมื่อนำสารสกัดไปทดลองในหนูซึ่งอดอาหาร พบว่าปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง และก็สารสกัดเมทานอลและน้ำเกลือยังป้องกันไม่ให้ adrenaline ไปรั้งนำให้เกิดโรคเบาหวานโดยมีกล่าวว่า สารสกัดมะระจีนยับยั้ง glucose optake ใน cell Ehrlich ascites tumor cell ซึ่งใช้เป็นการตรวจตราพื้นฐานของพืชที่ยับยั้งเบาหวาน มีการเรียนรู้ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของตำรับยาซึ่งมีมะระจีนเป็นส่วนผสม (ไม่เจาะจงจำพวกของสารสกัด) โดยฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร ขนาด 0.1 กรัม/กก. พบว่าลดน้ำตาลในเลือด เมื่อทดลองฉีดสารสกัดอินซูลินจากมะระจีนเข้าทางช่องท้องหรือให้ทางปากหนูขาวธรรมดา แล้วก็หนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวาน ด้วย alloxan หรือ streptozotocin พบว่าน้ำตาลในเลือดน้อยลง ต่อมามีการศึกษาผลของสารสกัดเมทานอล:น้ำ ของดอกแห้งและใบมะระจีนขนาด 10 และ 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เมื่อกรอกเข้าทางกระเพาะอาหารหนูขาว พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และก็สารสกัด 95% เอทานอลของผลสด ขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะของหนูขาวที่ใช้ streptozotocin รั้งนำให้เกิดเบาหวาน มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดลง 22% และน้ำคั้นผลดิบสดของมะระจีน(ไม่ระบุขนาด) กรอกเข้าทางกระเพาะอาหารหนูขาว มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
นอกจากนั้นเมื่อให้น้ำสกัดผลมะระจีน 2 มล.ตรงเวลา 3 สัปดาห์ ในหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลงจาก 220 มก.% เป็น 105 มก.%คิดเป็น 54% ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้มากกว่าผงแห้ง ซึ่งลดน้อยลง 25%
การเรียนรู้ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกรั้งนำโดย alloxan ทดลองใช้สารสกัดเอทานอลขนาด 250 มก./กิโลกรัม ทดลองตรงเวลา 2 สัปดาห์ พบว่ามะระมีฤทธิ์อย่างแรงสำหรับในการลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดมะระ 3 ตัวอย่างเป็น สารสกัด A เป็นผลแห้งมะระ 0.5 กก. ในเมทานอล (1:10) สารสกัด B เป็นผลแห้งมะระ 0.5 กิโลกรัม ในคลอโรฟอร์ม (1:10) สารสกัด C ได้ผลสดมะระ 0.5 กก. ในน้ำ (10:25) ในขนาด 20 มก/กก มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย alloxan เมื่อตรวจสอบและลองใช้ตรงเวลา 4 อาทิตย์ไม่พบความเป็นพิษต่อตับแล้วก็ไต และก็ตรวจสอบและลองใช้ในขนาดสูงไม่เจอพิษต่อตับและไตด้วยเหมือนกัน โดยดูจากค่า SGOT , SGPT และ lipid profile
การศึกษาที่
ประเทศในทวีปแอฟริกาใต้ ปี พุทธศักราช2549 ถึงฤทธิ์ของการใช้สารสกัดมะระจีนอีกทั้ง5เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของหนูที่ทำให้เป็นโรคเบาหวานโดยใช้สารสเตรปโทโซโทสิน พบว่าปริมาณน้ำตาลในเลือดหนูต่ำลงทั้งหนูปกติแล้วก็หนูที่เป็นโรคเบาหวาน ผลของการลดปริมาณน้ำตาลผันแปรตามปริมาณสารสกัดที่ได้รับ
ส่วนการทดสอบให้สารสกัดมะระจีนทั้ง 5 โดยการฉีดเข้าหลอดเลือดกับหนูธรรมดารวมทั้งหนูที่ถูกทำให้มีความดันสูง (hypertensive Dahl salt-sensitive rats) พบว่าลดระดับความดันช่วงบนและอัตราการเต้นของหัวใจของหนูทั้งที่ปกติและก็มีลักษณะอาการความดันสูงอย่างผันกับปริมาณสารสกัดดังกล่าวข้างต้น การให้สารอะโทรพีนต่อหนูไม่เป็นผลต่อการลดระดับความดันเลือดสำหรับเพื่อการทดลองนี้ จึง เชื่อว่าผลการลดระดับความดันดังที่กล่าวมาข้างต้นมิได้มีเหตุที่เกิดจากกลไกโคลิเนอร์จิก
ส่วนการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น ปีพุทธศักราช2549 พบว่าไทรเทอร์พีนอะไกลโคนจากสารสกัดแอลกอฮอล์ของผลมะระจีนแห้งจำนวน 2 ชนิด แสดงผลลัพธ์ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดหนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวาน (หนูโรคเบาหวานตัวผู้ จำพวก ddY) สารดังที่กล่าวมาข้างต้นเป็น epoxydihydroxycucurbitadiene แล้วก็ trihydroxycucurbitadien-al
การทดสอบทางคลินิกในคนปกติพบว่า เมื่อรับประทานผลมะระจีนสด (ไม่ระบุขนาด) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด มีการเรียนโดยใช้ใบมะระจีนพบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (postpandrial glucose level) ทั้งยังในคนปกติรวมทั้งผู้ป่วนปั่นโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 และก็ใมะระจีน[/url] ลดน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 ได้ 60% อย่างเป็นจริงเป็นจังเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับกลูโคส75 ก. (97%) แต่ระดับอินซูลินและก็กลูโคสในเลือดไม่ได้แตกต่างกัน
นอกนั้นจากผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังพบว่าทั้งมะระจีนมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV โดยออกฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน มีรายงานค้นคว้าทำการวิจัยว่าชาวประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อได้ใช้สารสกัดจากมะระจีนนาน 4 ปี พบว่ามีปริมาณ T lymphocytes เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีหมอชาวจีนแถลงการณ์ว่ามีผู้ใช้มะระจีนนาน 4 เดือน ถึง 3 ปี พบว่ามีปริมาณ T lymphocytes เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นว่ามะระจีนมีฤทธิ์สำหรับในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดพืชทั้งต้นด้วยเอทานอล(50%) เข้าใต้ผิวหนังในขนาด 20 ก./กก. หรือให้หนูถีบจักรกินในขนาด 10 ก./กก. ไม่เจอพิษ สารสกัดส่วนเหนือดินและไม่เจาะจงส่วนที่ใช้ด้วยเอทานอล (50%) เมื่อฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าพอๆกับ 681 มิลลิกรัม/กก. และมีค่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 1,000 มก./กก. แอลค้างลอยด์ที่แยกได้จากมะระจีน เมื่อให้กระต่ายกินขนาด 56 มิลลิกรัม/ตัว หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร 14 มก./กก. ไม่พบพิษ ฉีดน้ำคั้นจากผลเข้าท้องหนูขาวขนาด 15 ซีซี/กก. หรือ 40 ซีซี/กิโลกรัม พบว่าทำให้สัตว์ทดลองตายด้านใน 18 ช.มัธยมและเมื่อฉีดน้ำคั้นผลเข้าช่องท้องของกระต่ายในขนาด 15 ซีซี/กก. พบว่าทำให้กระต่ายตายข้างใน 18 ช.มัธยม แม้กระนั้นเมื่อให้เข้าทางกระเพาะของกระต่ายในขนาด 6 ซีซี/กก. พบว่ากระต่ายตายภายหลังจากได้รับสารสกัดอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 23 วัน
ส่วนน้ำต้มผลสดฉีดเข้าท้อง หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ค่า LD50 พอๆกับ 16 มคกรัม/ซีซี และ 270 มคก./ซีซี ตามลำดับ เมื่อฉีดสารสกัดผลด้วยเอทานอล (50%) เข้าท้องหนูถีบจักรพบว่าLD50 พอๆกับ 681 มก./กิโลกรัม ให้หนู gerbil รับประทานสารสกัดผลขาดเอทานอล (95%) ขนาด 1.1 กรัม/กก. นานติดต่อกัน 30 วัน และก็สารสกัด (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) ด้วยเอทานอล (95%) เมื่อผสมอาหารในขนาด 50 มคก./ตัว ในหนูถีบจักรกิน พบว่าไม่ส่งผลให้เกิดพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเม็ดด้วยน้ำเข้าช่องท้องหนูขาวพบว่า LD50 พอๆกับ 25 มิลลิกรัม/กก.สารสกัดผลด้วยคลอโรฟอร์ม เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักรในขนาด 1,000 มิลลิกรัม/กก. ทำให้สัตว์ทดลองอ่อนกำลัง รวมทั้งตายข้างหลังได้รับสารสกัดเป็นเวลา 24 ช.มัธยม
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อให้น้ำคั้นจากผล ขนาด 6 ซีซี/กิโลกรัม ในกระต่ายที่ตั้งท้อง ทำให้มีเลือดออกจากมดลูกและก็มีกระต่ายตายจากการตกเลือด เมื่อฉีดสารสกัดผลซึ่งมีสาร charantin รวมทั้งเมล็ดซึ่งมีสาร vicine เข้าทางช่องท้องของหมาในขนาด 1.75 ก./ตัว พบว่าฤทธิ์ยับยั้งขบวนการสร้างอสุจิรวมทั้งในหนูถีบจักรเพศเมีย เมื่อได้รับสารสกัด (ไม่เจาะจงจำพวก) พบว่าส่งผลยั้งการผสมพันธุ์เมื่อให้ใบรวมทั้งเปลือกลำต้น (ไม่ระบุขนาด) เข้าทางกระเพาะในหนูขาวที่ตั้งท้อง พบว่ามีเลือดออกไม่ปกติจากมดลูก น้ำคั้นผลสดเมื่อให้ในหนูถีบจักรเพศเมียมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญพันธุ์ รวมทั้งน้ำคั้นผลสดเมื่อให้เข้าทางกระเพาะของหนูขาว เมื่อให้น้ำคั้นจากผล (ไม่กำหนดขนาด)
สารสกัดด้วยน้ำ (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้) ในขนาด 200 มก./กิโลกรัม เมื่อให้หนูขาวที่ท้องกินไม่พบว่าเป็นพิษต่อตัวอ่อนหรือทำให้แท้ง รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลในขนาดที่พอๆกับ ก็ไม่พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนหรือทำให้แท้ง น้ำสุกจากใบเมื่อให้หนูขาวเพศเมียกินในขนาด 500 มิลลิกรัม/กก พบว่าไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการฝังของตัวอ่อน และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน
ผลต่อเม็ดเลือดขาว น้ำคั้นจากผลในขนาดที่มีผลทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ(lymphocyte) ตายครึ่งหนึ่ง มีค่าเท่ากับ 0.35 มก./จานเพาะเชื้อ สารสกัดด้วยน้ำเกลือ (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้) เมื่อทดสอบกับเซลล์เม็ดเลือดขาว (lymphocyte) ในขนาด 40 มคก./จากเพาะเชื้อ พบว่ามีความเป็นพิษต่อยืน (gene) lectin และโปรตีนบางจำพวกในเม็ดของมะระ มีผลยั้งบางกรรมวิธีการสังเคราะห์ DNA ของทั้งยังเซลล์เม็ดเลือดขาวธรรมดารวมทั้งเซลล์ของมะเร็ง ป้อนน้ำคั้นจากผลสดรวมทั้งเม็ดของมะระจีนให้หนูขาวเพศผู้ในขนาด 1 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม เป็นเวลา 30 วัน พบว่าทำให้ enzyme serum Ƴ-glutamyltransferase และก็ alkaline phosphatase มีความเข้มข้นสูงมากขึ้นจึงคาดว่าน่าจะมีสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ
ข้อเสนอ/ข้อควรระวัง
1. ใบมะระจีนใช้ ต้มดื่ม แก้ไข้หวัด บำรุงน้ำดี ดับพิษฝี แก้ปากเปื่อย แก้ตับม้ามทุพพลภาพ แก้อักเสบ บวมช้ำบวม ใช้ทาภายนอก แก้ผิวแห้ง ลดอาการเคือง อักเสบ
2. คนที่มีภาวะขาดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีจีซิกพีดี (G6PD) ไม่สมควรรับประทานเม็ดมะระ เพราะว่าอาจเป็นผลใกล้กัน ดังเช่นว่า โลหิตจาง ปวดหัว ปวดท้อง มีไข้ รวมทั้งอาจมีภาวะรุนแรงได้ในบางราย
3. หญิงตั้งท้องและก็อยู่ในช่วงให้นมลูก ไม่ควรกินมะระจีน เพราะมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารเคมีในผลหรือเมล็ดมะเบื่อหน่ายจทำให้มีเลือดออกระหว่างท้อง และก็บางทีอาจเป็นต้นเหตุให้แท้งได้
4. คนป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่จะต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด อาทิเช่น อินซูลิน ไกลพิไซด์ โทลบูตาไมด์ ไกลเบนค้างไมด์ ไพโอกลิตาโซน ฯลฯ ควรระมัดระวังสำหรับการกินมะระ เหตุเพราะมะเบื่อหน่ายจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลดลงมากเกินไป
เอกสารอ้างอิง

  • เสาวนิตย์ ดาวรัตนชัย.มะระกับเบาหวาน.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 .ตุลาคม .2546.หน้า 12-21
  • รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะระต้านเบาหวาน. คอลัมน์ บทความพิเศษ.นิตยสารหมอขาวบ้าน.เล่มที่ 336.เมษายน 2550
  • นิรามัย ฝางกระโทก.”เบาหวาน” “มะระ”. บทความวิชาการ คณะเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยบูรพา .หน้า 1-5
  • นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร , บรรณาธิการ . สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 3.กรุงเทพฯ:ประชาชน จำกัด , 2542.823 หน้า.
  • การปลูกมะระจีน .พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย.(ออนไลน์). สอบถามเรื่องมะระ.กระดานถามตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/b]
  • Rajurkar NS, Pardeshi BM.Analysis of some herbal plants from lndia used in the control of diabeter mellitus by NAA and AAS techniques. Appl Radiat lsot 1997;48(เจ๋ง:1059-62.
  • Kar A, Choudhary BK, Bandyopadhyay NG. Preliminary studies on the inorganic constituents of some lndigenous hypoglycaemic herbs on oral glucose tolerance test. J Ethnopharmacol 1999;64:179-84.
  • Singh J, Cumming E, Manoharan G, Kalasz H,Adeghate E. 2011. Medicinal chemistry of the anti-diabetic effects of Momordica charantia: Active constituents and modes of actions. Open Medicinal Chemistry Journal.5:70-77
  • Aslam M, Stoclkley IH. Lnteraction between curry ingredient (karela) and drug (chloropamide). Lancet 1979;607.
  • Khanna P. Protein/polypeptide-K obtained from Momordica charantia, a process for the extraction thereof ,and therapeutic uses for diabetes mellitus. PCT lnt Appl Won00 61,619 2000;30pp.
  • Jain SR, Sharma SN. Hypoglycaemic drugd of lndian indigenous origin . Planta Med 1967;15(4):439-42.
  • Ng TB, Wong CM,Li WW,Yeung MW. Lnsulin like molecuies in Momordica charantia seeds. J Ethnopharmacol 1986;15107-17.
  • Murakami C, Myoka K, Kasai R, Ohtani K, Kurokawa T, lshibshi S, Sadahiko D, Fabian P, Willam G, Yamasaki K. Screening of plant constituents for effect on glucose transport activity on Ehrilich escites tumor cells. Chem Pharm Bull 1993;41(12):2129-31.
  • T
20  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สรรพคุณเเละประโชน์ ชุมเห็ดเทศ เมื่อ: ธันวาคม 04, 2018, 06:48:16 am

ชุมเห็ดเทศ
ชื่อสมุนไพร  ชุมเห็ดเทศ
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก , ลับมืนหลวง , หมากกะลิงเทศ ,หญ้าเล็บมือหลวง (ภาคเหนือ) , ส้มเห็ด (เชียงราย) ,จุมเห็ด (มหาสารคาม) , ชุมเห็ดใหญ่ (ภาคกลาง) , ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ตุ๊ยเฮียะเต่า , ฮุยจิวบักทง (จีน) , ตุ้ยเย่โต้ว (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Senna alata (L.) Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Cassia alata (L.) Roxb. , Cassia bracteata L.f.
ชื่อสามัญ  Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bush
วงศ์  FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideae
ถิ่นกำเนิด
ชุมเห็ดเทศ มีถิ่นเกิดในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา อเมริกาประเทศออสเตรเลีย แล้วก็เขตร้อนในเอเซียอาคเนย์ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้บ่อยในประเทศไทย จากที่เปียกชื้น ทุกภาวะดินแต่ว่าไม่ขอบที่ร่มมาก พบได้มากทั้งยังบริเวณที่ราบรวมทั้งบนเขาที่มีความสูงไม่เกิน 1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะทั่วไป
ชุมเห็ดเทศจัดเป็นพุ่มขนาดกึ่งกลาง สูง 1.5-3 เมตร ลำต้นแข็งมีเนื้อไม้ ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นแถวขนานกับพื้นดิน กิ่งจะแบออกทางข้างๆ มีขนสั้นนุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนปลายคู่ ออกเรียงสลับ ใบย่อย 8-20 คู่ ยาว 5-15 เซนติเมตร ใบย่อยรูปขอบขนาน ยาว5-15 ซม. ปนรูปรี โคนใบมน ปลายใบมน กลม หรือเว้าน้อย ไม่มีต่อม ฐานใบมนแตกต่างกันทั้งสองด้าน ขอบของใบเรียบมีสีแดง ศูนย์กลางใบครึ้ม ยาวราวๆ 30-60 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาวราวๆ 2 เซนติเมตร หูใบรูปติ่งหู สามเหลี่ยม ยาว 6-8 มิลลิเมตร ติดทน ดอกย่อยมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 4 ซม. ก้านดอกย่อยสั้นมากมาย ใบแต่งแต้มเป็นแผ่นบางๆกลีบเลี้ยงสีเขียวปลายแหลมมี 5 กลีบ กลีบดอกไม้สีเหลืองปลายมนมี 5 กลีบ ลายเส้นที่กลีบเห็นได้ชัด เกสรตัวผู้ยาว แตกต่างกัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปแถบ ยาว แบน แล้วก็สะอาดไม่มีขน ฝักมีขนาดยาวราวๆ 10-20 เซนติเมตรรวมทั้งกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร มีสันหรือปีกกว้าง 4 ปีก ปีกกว้างราว 5 มม.ตามความยาวของฝัก ฝักมีฝาผนังกั้น ฝักเมื่อแก่จะเป็นสีดำและแตกตามยาว ภายในฝักมีเม็ดราวๆ 50-60 เม็ด เม็ดเป็นสามเหลี่ยมสีดำ มีผิวขรุขระ มีขนาดกว้างราวๆ 5-8 มม.และยาวราวๆ 7-10 มิลลิเมตร
การขยายพันธุ์ ชุมเห็ดเทศสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธีเป็นการใช้เม็ดและก็การปักชำ แต่ว่าโดยมากจะนิยมเพาะพันธุ์ด้วยเม็ดมากยิ่งกว่าซึ่งมีวิธีการปลูกดังต่อไปนี้
1. การเตรียมดินให้กำจัดวัชพืชและก็เศษวัสดุ และไถพรวนแล้วก็ตากดินไว้ 7-15 วัน ต่อจากนั้นให้ปุ๋ยคอกอัตรา 2 ตันต่อไร่
2. การเตรียมจำพวก หยุดเลือดเมล็ดที่แก่จัดแล้วเอามาแช่น้ำไว้ 1 คืน ต่อจากนั้นคลุกกับทรายในอัตรา 1: 1-2 แล้วห่อหุ้มด้วยผ้าขาวบาง รดน้ำให้เปียกแฉะ เก็บในที่ร่ม 1-2 วัน เมล็ดก็จะเริ่มแตกหน่อ
3. การปลูก ถ้าหากปลูกแบบหยอดหลุมด้วยเมล็ดที่เริ่มแตกออก ให้หยอดหลุมละ 5-6 เม็ดให้มีระยะห่างระหว่างต้น และก็ระหว่างแถว 3x4 เมตร เมื่อปลูกเสร็จใช้ผางหุ้มบางๆรดน้ำให้เปียก แม้ปลูกแบบใช้ต้นกล้าให้น้ำต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดที่มีอายุ 30 วัน หรือมีใบจริง 5-7 ใบ มาปลูกลงแปลง รดน้ำให้เปียก ปักไม้ค้ำกระทั่งถึงไว้แล้วก็ผูกใกล้กับต้นกล้าแล้วหุ้มโคนต้นด้วยผางและก็ควรจะรดน้ำให้ชุ่มเสมอในช่าง 2 เดือนแรก
ส่วนประกอบทางเคมี ชุมเห็ดเทศมีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญประกอบด้วยสารกรุ๊ป Anthraquinone โดยในใบชุมเห็ดเทศ จะต้องมีสาระสำคัญ Hydroxy-anthracene derives ไม่น้อยกว่า 1.0% w/w (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) ดังเช่น Aloe-emodin, Chrysophanol , Chrysophanic acid, lsochrysophanol, Physcion glycoside, Terpenoids, Sennoside, Sitosterols, Lectin, Rhein.

คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์ [/size][/b]
แบบเรียนยาไทย: ใช้ด้านในแก้ท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวการขึ้น สมานธาตุรักษากระเพาะอาหารอักเสบ แก้กษัยเส้น ทำหัวใจให้ธรรมดาขับปัสสาวะ ขับพยาธิ ใช้ด้านนอก รักษาฝี แล้วก็แผลพุพอง รักษากลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง อมบ้วนปาก รักษาผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน เส้นประสาทอักเสบ โดยใช้ส่วนของ ใบ เป็นยาถ่าย ใช้ข้างนอกรักษากลาก แก้แมลงสัตว์กัดต่อย และโรคผิวหนังอื่นๆใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด ใบสด ใช้รักษาขี้กลากโรคเกลื้อน ตำพอก เร่งหัวฝี ใบและก็ดอก ทำยาต้มรับประทาน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกขับเสลดในรายที่หลอดลมอักเสบ และแก้โรคหืด เม็ด มีกลิ่นเบื่อ รสเบื่อนิดหน่อยใช้ขับพยาธิ แก้ตานซาง แก้ท้องเฟ้อ แก้นอนไม่หลับ ฝัก มีรสเบื่อเบื่อ แก้พยาธิ เป็นยาระบาย ขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน ต้นรวมทั้งราก แก้กษัยเส้น แก้ท้องผูก บำรุงหัวใจเปลือกแล้วก็เนื้อไม้ ใช้ขับน้ำเหลืองเสีย ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ชุมเห็ดเทศเป็นยาระบายที่ดี เหตุเพราะมีอีกทั้งแอนทราควิโนน ซึ่งเป็นยาระบาย รวมทั้งแทนนิน ซึ่งเป็นยาฝาดสมาน จึงเป็นยาระบายที่สมานธาตุในตัว รวมทั้งในชุมเห็ดเทศยังมีพฤกษเคมีที่เป็นยารวมทั้งสารต่อต้านนุมูลิอิสระสำคัญหลายชนิด โดยมีการทดลองสารสกัดหยาบคายจากใบ เปลือกลำต้น ดอก ผล สกัด โดยใช้เอทิลอะซิเตทแล้วก็เมทานอล พบสารฟลาโวนอยด์ แอนทราควิโนน คูมาริน ซาโปนิน แทนนิน เทอร์ปินอยด์ สเตอร์รอยด์ รวมทั้งคาดิแอคไกลโคไซด์ แม้กระนั้นไม่พบสารแอลค้างลอยด์ ในทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ แล้วก็พบว่าสารสกัดทั้ง 8 ตัวอย่าง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นอกเหนือจากนั้น สารสกัดทั้งยัง 8 ตัวอย่างสารมารถต้านทานเชื้อ Bacillus subtilis และก็ Staphy-lococcus aureus ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสกัดเมทานอลจากดอกชุมเห็ดเทศชนิดเดียวแค่นั้นที่ต้านเชื้อ Pseudomonas auroginosa ได้ แต่ไม่มีสารใดที่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ E.coli การศึกษาเล่าเรียนการออกฤทธิ์ของ Senna alata (L.) Roxb. หรือชุมเห็ดเทศสำหรับในการยับยั้งการก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคพบว่าสารสกัดจากชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคได้หลายประเภท อาทิเช่น เชื้อรา แบคทีเรีย เชื้อไวรัส ปรสิต และยังมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านการก่อยั้งเนื้องอก เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ ลดการอักเสบ แก้ปวดอีกด้วย
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้

ท้องผูก ใช้ใบปริมาณ 12-15 ใบย่อย ตากแห้ง คั่ว (ถ้าไม่คั่วเสียก่อน จะเกิดอาการข้างเคียง เป็นอาจมีอาการอาเจียนอาเจียน เมื่อคั่วความร้อนจะช่วยทำให้สารที่ออกฤทธิ์ทำให้คลื่นไส้อ้วกสลายไป) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำพอเหมาะ ดื่มครั้งเดียวก่อนรับประทานอาหารรุ่งอรุณมืด หรือก่อนนอน หรือใช้ผงใบ 3-6 กรัม ชงน้ำเดือด 120 มล. ตรงเวลา 10 นาที ดื่มก่อนนอน บางทีอาจทำเป็นยาลูกกลอนก็ได้ หรือใช้ช่อดอกสด 1-3 ช่อดอก ลวก จิ้มน้ำพริก หรือใช้ดอก 1 ช่อ กินใหม่ๆเป็นยาระบาย รวมทั้งใช้ใบแล้วก็ก้านขนาดใหญ่ ประมาณ 3-5 ช่อ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน(1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำโดยประมาณ 1/2 ขัน ใส่เกลือเพียงพอมีรสเค็มนิดหน่อย ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)คราวถัดไป กินดอกทีละโดยประมาณ 1 ช่อ
การใช้ชุมเห็ดเทศรักษากลาก โรคเกลื้อน นำใบสดมาตำให้ละเอียดใช้ทาบริเวณที่เป็นขี้กลากหรือผื่นคัน หรือบางทีอาจนำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำให้รอบคอบเติมน้ำมะนาวหน่อยเดียว ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้ใบสดขยี้ถูนานๆแล้วก็เสมอๆตรงรอบๆที่เป็น
รวมถึงใช้ใบสด 4-5 ใบ ตำรวมกับกระเทียม 4-5 กลีบ แล้วเติมปูนแดงนิดหน่อย ทาบริเวณที่เป็นซึ่งได้ใช้ไม้ไผ่บางๆฆ่าเชื้อโรคแล้วขูดผิวบริเวณที่นั้นให้มีสีแดง(กรณีกลาก) ทาวันละ3-4 ครั้ง จนกระทั่งจะหาย และก็เมื่อหายแล้วให้ทาไปอีก 1 อาทิตย์ หรือจะใช้ใบสดตำแช่เหล้า เอาส่วนสุราทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย พบว่าได้ประสิทธิภาพที่ดี แต่ไม่ค่อยได้ผลในขี้กลากที่ผมแล้วก็เล็บ
รักษาฝีแผลพุพอง ใช้ใบชุมเห็ดเทศ 1 กำมือ ต้มกับน้ำเพียงพอท่วม ต้มให้เหลือ 1 ใน 3 เอามาชำระล้างฝีที่แตกแล้ว หรือแผลพุพอง วันละ 2 ครั้งตอนเช้า เย็น ถ้าเกิดบริเวณที่เป็นกว้างมากมายใช้สมุนไพร 10-12 กำมือ ต้มกับน้ำใช้อาบเช้าตรู่เย็น กระทั่งจะหาย
ใช้ใบสดตำพอก เพื่อรีบให้หัวฝีออกเร็วขึ้น หรือจะใช้ใบผสมกับน้ำปูนใสหรือเกลือหรือน้ำมันตำพอก รักษากลาก แมลงสัตว์กัดต่อย โรคผิวหนัง นอกจากนั้นยังใช้ใบตำพอกหรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำปูนใสทาหรือผสมวาสลิน ใช้ทำเป็นยาขี้ผึ้งทาได้อีกด้วย
ส่วนยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติที่เสนอแนะให้ใช้คือ กินทีละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน บรรเทาอาการท้องผูก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/โล ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ปริมาณร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเสมอกันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม ส่งผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดสอบ ในขณะที่สารกลัยโคไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบในไส้
ฤทธิ์สำหรับในการรักษาอาการท้องผูก เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 แล้วก็ 800 มก./กิโล พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย รวมทั้งเมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 และก็ 20 กรัม/กิโลกรัม จะมีผลให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/โล) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม) สาร anthraquinone glycoside จากใบเป็นต้นว่า isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, และ aloe-emodin มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย
ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีวัน สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเมทานอล รวมทั้งสาร aloe-emodin, rhein emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone แล้วก็ chrysophanol จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราที่ผิวหนังดังเช่นว่า Epidermophyton floccosum , Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum , T. mentagrophytes และก็ M. canis เมื่อเทียบกับยา tolnaftate สารสกัดด้วยน้ำรวมทั้งเอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะให้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร แต่ว่าสารสกัดจากใบด้วยน้ำและเอทานอลไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อยีสต์ น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อถึงที่กะไว้ความเข้มข้นมากยิ่งกว่า 21.8 มก./มิลลิลิตร
ผลงานวิจัยทางคลินิก (clinical pharmacology) การเรียนฤทธิ์สำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องผูก การศึกษาเล่าเรียนทางสถานพยาบาลแบบสุ่มมีกรุ๊ปควบคุมระหว่างชงชาชุมเห็ดเทศ มิสท์แอลบา แล้วก็ยาหลอก ในโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง รวมทั้งโรงพยาบาลทั่วไป 1 ที่ ผู้ป่วยที่ไม่ขี้ต่อเนื่องกันเกิน 72 ชั่วโมง ปริมาณ 80 ราย แบ่งเป็น 3 กรุ๊ป กลุ่มแรก รับยาหลอกเป็นน้ำ เพิ่มสีคาราเมล 120 มล. ปริมาณ 28 ราย กรุ๊ปลำดับที่สองรับยามิสท์แอทบา 30 มล. น้ำ 90 มล. จำนวน 28 รายแล้วก็กลุ่มที่สามรับน้ำละลายชุมเห็ดเทศ ได้จากการชงผงชุมเห็ดเทศจำนวน 3-6 กรัม ในถุงกระดาษ แช่ในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที ปริมาณ 24 ราย ผู้ป่วยอีกทั้ง 3 กรุ๊ปมีลักษณะไม่มีความต่างกัน ได้รับยารับประทานก่อนนอนประมวลผลจากการถ่ายอุจจาระหรือไม่ถ่ายอุจจาระข้างใน 24 ชั่วโมง พบว่า เห็นผลขี้ข้างใน 1 วัน ปริมาณร้อยละ 18,86 และ 83 เป็นลำดับ ซึ่งพบว่าผลของกรุ๊ปชุมเห็ดเทศแล้วก็มิสท์แอลบาดีกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่เจออาการท้องร่วงในกลุ่มที่ได้รับมิสท์แอลบามากกว่า คนไข้กลุ่มที่ได้รับชุมเห็ดเทศมีความชอบใจมากยิ่งกว่ายาหลอก สรุป ยาชงชุมเห็ดเทศมีประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาท้องผูก
ส่วนอีกการทดลองหนึ่งพบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในของกินในขนาดปริมาณร้อยละ 2 แล้วก็ 10 ของอาหาร แล้วให้หนูแรทรับประทานนาน 4 อาทิตย์ จะพบแผลในลำไส้ ตับ แล้วก็ไต และหรูหราฮีโมโกลบินรวมทั้ง packed cell volume (PCV) สูงมากขึ้น แต่ว่าปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลงใน 2 สัปดาห์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำให้หนูแรทกินนาน 14 วัน พบว่าเกิดแผลในตับ เซลล์ตับตายเรี่ยราดแล้วก็มีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสารemodin รวมทั้ง kaemferol ขนาด
10 มิลลิกรัม เข้าท้องหนูแรทต่อเนื่องกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มก. สาร rhein ขนาด 70 มิลลิกรัม เข้าท้องนาน 4 วัน พบว่ากำเนิดแผลในตับของหนูทุกกลุ่ม กรุ๊ปที่ได้รับ aloe-emodin จะพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกลุ่มหรูหราฮีโมโกลบิน และ PCV น้อยลงภายใน 14 วัน เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 และก็ 250 มก./กิโลกรัม ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะเจอระดับฮีโมโกลบินและก็ เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันหนูมีลักษณะอาการเบื่อข้าว ผอมโซแล้วก็น้ำหนักลด
การเรียนในคนไข้ที่เป็นโรคขี้กลากและโรคเกลื้อนสารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์และครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นร้อยละ 20 สามารถรักษาคนเจ็บโรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ก้าวหน้าเสมอกันกับยาขี้ผึ้ง whitfield แต่ว่าไม่เป็นผลรักษาราที่เล็บแล้วก็หนังศีรษะ ยาตระเตรียมชุมเห็ดเทศในแบบอย่างทิงเจอร์และก็ครีม(ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ให้ผลสำหรับการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคกลากเกลื้อนที่ผิวหนังได้เหมือนกันกับยาครีมโคลสามมาโซลปริมาณร้อยละ 1 สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มล.) ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน และก็ขา หรือความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ แล้วก็มือ แล้วก็ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง มีผลรักษาโรคกลากโรคเกลื้อนประเภท Pityraisis versicolor ที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้อรา Malassezia furfur ในคนป่วยจำนวน200 คนได้
การเรียนทางพิษวิทยา การทดลองความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษรุนแรง พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณร้อยละ 50 ในขนาด 15 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แต่ว่ามีความเป็นพิษเล็กน้อยเมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูเม้าส์ แล้วก็เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ85 เข้าทางท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/กิโลกรัมก็ไม่เจอความเป็นพิษ สารสกัดจากใบด้วยน้ำแล้วก็สารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณร้อยละ 50 มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์
โดยขนาดของสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ที่ทำให้หนูถีบจักรตายปริมาณร้อยละ 50 (LD50) คือ ขนาดที่ให้ทางปากแล้วก็ทางผิวหนังมากยิ่งกว่า 15 กรัมต่อกิโลและก็ทางท้อง 8.03 กรัมต่อกิโลกรัม
การทดสอบพิษครึ่งเรื้อรังของผงใบชุมเห็ดเทศในหนูขาววิสตาร์ 4 กลุ่ม กลุ่มละ 24 ตัว (เพศผู้ 12 ตัว เพศเมีย 12 ตัว) เป็นกลุ่มควบคุมและก็กรุ๊ปที่ได้รับยาใช้ภายนอกงปากขนาด 0.03 , 0.15 และก็0.75 กรัมต่อกก.ต่อวัน (ซึ่งเปรียบเทียบได้กับได้รับ 1 5 รวมทั้ง 25 เท่า ของขนาดที่รักษาในคน) ผลเป็น ไม่พบพิษทุกกรุ๊ป มีการเติบโตธรรมดาการตรวจทางเลือดวิทยาและชีวเคมีปกติ ไม่พบพยาธิภาวะแล้วก็จุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายในที่ไม่ปกติ
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 เข้าช่องท้องหนูแรทในขนาด 125 มก./กิโลกรัม ไม่มีผลทำให้แท้งและไม่พบพิษต่อตัวอ่อนแม้กระนั้นผลต่อความเคลื่อนไหวของรอบเดือนไม่กระจ่าง ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด300ไมโครกรัม/มล. มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดสอบและก็มีฤทธิ์เสริม oxytocin
พิษต่อเซลล์ การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปครึ่งเดียว แล้วก็สารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เซลล์ Vero ตายไปกึ่งหนึ่ง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ในSalmonella typhimurium strain TA98 และพบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 รวมทั้งTA100 โดยสำหรับในการออกฤทธิ์อยากเอนไซม์จากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์
คำแนะนำ/ข้อควรไตร่ตรอง

1. ระมัดระวังการใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี คนไข้ inflammatory bowel disease รวมทั้งสภาวะทางเดินอาหารอุดตัน คนชรา หญิงให้นมบุตร เนื่องจากว่าสารmetabolite บางตัวอาทิเช่น rhein ถูกคัดหลั่งทางเรือนม
2. ควรที่จะใช้ยาระบายเป็นครั้งคราว ไม่ควรใช้ติดต่อกัน เพราะเหตุว่าสารแอนทราควิโนนในใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ทำให้ไส้บีบตัวและขยับเขยื้อนเร็ว ใช้ติดต่อนานจะก่อให้ไส้ชินต่อการใช้ยา ถัดไปถ้าไม่ใช้จะก่อให้ลำไส้ไม่บีบตัวไม่เคลื่อนกำเนิดท้องผูกhttps://www.disthai.com/[/b]
3. การรับประทานยาในขนาดสูงอาจจะทำให้เกิดไตอักเสบ มีเลือดหรือโปรตีนในฉี่มากกว่าปกติ
4. การใช้ตลอดนานๆอาจมีผลลดปริมาณเม็ดเลือดแดง รวมทั้งฮีโมโกลบิตและก็อาจส่งผลให้เกิดแผลที่ตับ
5. การใช้ต่อเนื่องในขนาดสูงนานๆบางทีอาจกำเนิดระบบการดูดซึมผิดปกติ มีการดูดกลับของเหลวน้อยลง เกิดภาวะระดับโพเทสเซียมรวมทั้งแคลเซียมในเลือดต่ำ
6. ห้ามใช้ในสตรีมีท้อง
7. การใช้ชุมเห็ดเทศในทีแรกๆๆอาจจะก่อให้เกิดอาการไม่ประสงค์ เช่น ลักษณะของการปวดมวนท้องเนื่องจากว่าการบีบตัวของลำไส้ใหญ่รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ ของกินไม่ย่อยและก็เจ็บท้องได้
เอกสารอ้างอิง
1. เภสัชกรชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.ชุมเห็ดไทย/ชุมเห็ดเทศ.คอลัมน์ สมุนไพรน่าสนใจ.แมกกาซีนแพทย์ราษฎร.เล่มที่ 26 .เดือนกรกฎาคม .2524
2. ฉัตรโย สวัสดิไชย,สุรศักดิ์ อิ่มใหม่.ชุมเห็ดเทศ.ยาน่ารู้.วารสารศูนย์การเล่าเรียนแพทยศาสตร์สถานพยาบาล โรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่ 34 ฉบับที่4.ตุลาคม-เดือนธันวาคม.2560 หน้า.352-355
3. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.“ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 271-274.
4. เปี่ยม บุณยะโชติ. หนังสือเรียนโบราณกล่าวถึงโรคเด็กแล้วก็คุณผู้หญิง. จังหวัดกรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เฟื่องอักษร, 2514. หน้า 39.
5. กองวิจัยทางด้านการแพทย์. สมุนไพรท้องถิ่น เวลาที่ 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาตร์การแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, 2526. หน้า 34.
6. ดร.นิจศรี เรืองรังษี, เครื่องหมายชัย มังคละคุปต์. “ชุมเห็ดเทศChumhet Tet)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1 หน้า 108.
7. พระเทพกระจ่างเมาลี. หนังสือเรียนยากลางบ้าน. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มงกุฏราชวิทยาลัย, 2524. หน้า 140.
8. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
9. วิทยา บุญวรพัฒน์. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 208.
10. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ กำเนิดดอนแฝก. ชุมเห็ดเทศ[/url]”. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ประเภท. หน้า 74-75.
11. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ชุมเห็ดเทศ Ringworm Bush”. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีต้นไม้. หน้า 75.
12. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ม.อบ..
13. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา. บัญชียาจากสมุนไพร พุทธศักราช 2549 ตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2549 เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติพุทธศักราช 2547 (ฉบับที่ 4). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การกสิกรรมแห่งเมืองไทยจำกัด, 2549
14. วันดี กฤษณพันธ์ แม้นสรวง วุฒิอุดมเยี่ยม ดอกมะลิ ไตรอำนาจวาสนา สุภาวี อาชวาคม. การเรียนรู้ฤทธิ์ต้านทานเชื้อราของสารแอนทราควิโนนจากใบชุมเห็ดเทศ. การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และก็เทคโนโลยีที่ประเทศไทย ครั้งที่ 24, 19-21 ต.ค. ณ. ศูนย์สัมมนาแห่งชาติสิริกิตติ์ กรุงเทพมหานคร, 2541.
15. Harrison J, Garro CV. Study on anthraquinone derivatives from Cassia alata L. (Leguminosae). Rev Peru Bioquim 1977;(1):31-2.
16. จินตนาการ สุทธชนาความรื่นเริง แล้วก็แผนก. ฤทธิ์ต้านทานเชื้อราของใบชุมเห็ดเทศ. รวมบทสรุปย่อการค้นคว้าการแพทย์แผนไทยและก็แนวทางการค้นคว้าในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
17. Akah PA. Abortifacient activity of some Nigerian medicinal plants. Phytother Res 1994;8(2):106-8.
18. Plengvidhya P, Suvagondha C. A study of diagnostic contents of leaves of some members in genus Cassia. J Pharm Assoc Siam, Third series 1957;10(1):10-2.
19. เกษร นันทจิต. ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ของใบชุมเห็ดเทศ (Cassia alata Linn.). รายงานการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการศึกษาค้นคว้าแห่งชาติ, 2538.
20. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร. ฤทธิ์ต้านทานจุลอินทรีย์ของสารสกัดจากพืชสกุล Cassia sp. รายงานการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2543.
21. Thamlikitkul V, Dechatiwonges T, Chantrakul C, et al. Randomized controlled trial of Cassia Alata Linn. for constipation. J Med Assoc Thai 1990;73(4):217-21.
22. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
23. Rao JVLN, Sastry PSR, Poa RVK, Vimaladevi M. Occurrence of kaempferol and aloe-emodin in the leaves of Cassia alata. Curr Sci 1975;44(20):736-7.
24. ทุ่งนาถฤดี สิทธิสมสกุล ทรงพล ชีวะพัฒน์ เอมมโน หวังหมัด สุธิดา ไชยราช พัชรินทร์ รักษามั่น จรินทร์ จันทรฉายะ. พิษของใบชุมเห็ดเทศ. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์2534;33(4):145-54.
25. Somchit MN, Reezal I, Nur IE, Mutalib AR. In vitro ant
21  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะรุม แกงจืด หรือสูตรแกงจืด เป็นเมนูอาหารไทยที่รู้จักดี เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2018, 09:37:19 pm

มะรุม แกงจืด หรือสูตรต้มจืด เป็นเมนูอาหารไทยที่เคยชินตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะแกงจืดผักกาดขาว แกงจืดวุ้นเส้น แกงจืดปลาหมึกยัดไส้ และแกงจืดเต้าหู้หมูบด แหมyukyukykuง|คิดถึง|ระลึกrtjhtyjyukถึง|dfkลึกถึง}uilio;op;'op'sน้ำซุปร้อนๆขณะใดน้ำrthrtjyลายหกluiuilน้ำลายไหลมะรุมทุkjyukyukกทีสินะ uilสำหรับมื้อเย็นนี้หากykคนใดio;กันแน่uilอยากทำรายการอาหารแiluilกงuilจืด กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 9 สูตรแกงจืด เuilนต้นว่า แกงจืดiluuilเต้าหู้สอuyilดuilใส่ไส้เนื้อปลาuil แกงจืด uilyulฟักมะนio;io;dfrkyuklาวดอง แกงจืio;ดyuมy;uiluilะระยัดไส้uiluสับ แกงจืtkuluiดแตงร้าiluiยัดไส้ แกงจืดไข่ม้วนlหมูสับ|หมูบด}o;io;วุ้นเส้น อูย… ท้องร้อง ขอตัวปรุuyluiงอluiาหารก่อนนะคะ แกงจืด1. แกงจืดเต้าหู้ใส่ไส้เนื้อปลาขอเช็ดน้ำลายก่อนนะคะ เพียงแค่ภาพแกงจืดเต้าหู้สอดไส้เนื้อปลาก็ทำเอาไม่เป็นอันทำหน้าที่การuilงานกันเลย ตอนiluiนี้เนื้อปลารับประทานใdfkyห้ulสมใจคิluylดก็มาจดสูตรจากคุณบ่งบ๊ง สมาชิกเว็uilบlไซต์ykพันทิปดอทคอม สูตรนี้เป็นแกงluiจืดสไตtkล์สิงคโปร์ ลักษณะเukyด่นก็คือ จับเต้าหู้ใส่ไส้เนื้อปลาปรุงรส ทั้งนี้อาจเพิ่มแตงร้าน หรือมะระยัดไส้ไปได้ด้วยนะคะ มื้อนี้สงสัยytjต้อง|จะต้อง|จำต้อง|จำเป็นต้อง}ytkjyukกินข้าวสองจานแน่นอนเลยค่ะ {วิธีทำ|วิธีการทำ|แนวทางการทำ|กระบวนการทำ|jtyjtykuliuiขั้นตอนการtyแกsjงจืดเต้าหู้fyใส่ไส้เนื้อปลา 1. หั่นแบ่งเต้yukkหู้ขาวเป็น 4 ชิ้น แล้วผ่าครึ่งเพื่อมะรุมใส่ไส้เข้าไปได้ แล้วต่อจากนั้นหั่นต้นหอมและก็ผัluiเป็นท่อน พักไว้  2.likuiluilตำสามเกลอ กระเทียม พริกไทย rdhrthyและรากผักชีอย่างถี่ถ้วนแล้วyukนำมามะรุมyukคลุกเคล้าkyuกัkyukบเนื้อปลา jyu3.นำเนื้อปลาที่ปรุงรสยัดไส้jtyไปในเต้yukหู้ แลyukะก็แตงกytวา หรือมะระ (ที่สิงคโปร์เขาทำสามแบบ ไส้แตงกวาluil ไส้มะdะ แล้วก็htyjtyไส้เต้าหู้)   4. นำหม้อใส่น้ำเปล่าลงไป ตั้งไฟให้เดือkjtyด ใส่ผงซุปkuไก่ลงไปyuk (อาจใส่เห็ดหอมหั่นลงไปต้มด้วย เพื่อได้กลิ่น) 5. เมื่อน้ำเดือดจัด ใส่เต้าหู้รวมทั้งแตงกวาyยัดไส้ลงไuillป แต่งรสuilด้วยซีอิ๊วขาวมะรุม ถ้uiาเต้าหู้แล้วก็แตงuilกวาลอยขึ้นมาหมายความว่าสุyuกก็ดีluiluแล้ว  6kuilui. ก่อนปิดไฟให้แบ่งใส่ต้นหอมแล้วluilผักชีนิดหน่อยลงไป ใส่แครอทเพื่อเพิ่มuilสีสัน 7. ก่อนเสิร์ฟ โรยต้นหอม ผักชี รวมทั้งพริกไทย ใส่กระเทียมเจียวลงไปuil
22  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายส้มเเขก ละมุดมีบ้านเกิดแถบประเทศเม็กซิโก เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2018, 12:17:30 pm
ส้มเเขกมีสรรพคุณดีอย่างไร
23  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ข่า สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถานที่ เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2018, 03:44:47 am

ข่า สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถานที่ เป็นหน่วยพิทักษ์แล้วก็จัดการต้นน้ำแล้วก็ป่าดง อยู่ห่างจากที่กระทำราว 2 กมuikuik. luiluiuรวมทั้งอยู่บyukนเทือกเขาสูง 1,330 เergrehyมตtyjร จากระดับน้ำทtjttyjkjyukyukะเล โดยรอบๆข่านี้เkyukyป็นต้ykuiluiliuluiนเกิดน้ำแหง ก่อนที่จะไหลมารวมกับลำธารอื่yukนๆในhrthrtแถhtrjบที่ลุ่มน่าน ทางสถukyukyukyukาyนีyukก็เลยทำปลูyukuyhgerhกgrtkyuhrthrtป่าเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่ต้นน้ำให้สมบูrthรณ์บergerริบูรณ์ และปลูกต้นนางพญาเสือโคร่yukงไว้เป็นดงเลยtjทีเดียว อีกทั้ykuiuงข้างในสherานีแล้วก็ข้างถนนด้ulilานนอก ขุนช่างเคี่ยน เป็นเขตสถานีศึกษาluiluiค้นคว้าแล้วก็ศูนujyuuiอบรมuilในlเรื่อuiงการuilได้ข่าyuhrtkดูดอกyukไม้บานแyukล้ว ยังจะได้ชมการเพาะปลูกพืชเมืyukองหนาวที่สถานีเกษตรที่นี้อีกด้วยถ้าเกิดไjytม่ไuilด้อยากขึ้นไปเบียดเhrtสีuilยดเยียดยัeerrgดชมซากุระประkyukเทyuศkyuไทยบนขุนช่าkyukyงเคี่ยน ก็สามาyuukรถมาเก็บภาพที่ภูเkyuluilขาปุยได้เช่นเดียวกัน โดyu ดอยฟู เป็นewgrthtdrrjyut6yjtyส่วนyukนึ่งส่วนใดของอุทยานแห่งukyuyukชาติrthภูเขาuyสุyukพ-ปุย อยู่บนยอดเขาสูluiง 1,658 เมตร จluiากukyระดับน้ำทะเลปานกลาง jyukyukเป็นที่iulตั้งขอluiงหมู่บ้านชาวเขาเผ่าrthม้ง หรือบ้านแม้วภูเขาykuyukปุย พื้นที่โดยมากtjyเป็นป่าสน มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบายทั้งปีมีจุดuiดูดluiอกนางพญาเสือโคร่งที่น่าดึงดูดอยู่ 2 แrthห่ง คือ บริเวณแuiปลงดอกไม้เมืองหนาว ด้านหน้าของศูนย์วิจัยjฯ และรjtyอบๆด้านในโครงงjtyานเกษตรฯ จะมีทางเดินที่ปิดล้อมด้วยอุโมงค์hrtสีhjtyjtyชมพู “อุโมงค์ซากุระ”ก่อนนั้นมีชื่อว่า “อุทยานแห่งชาติดอยผ้าสำหรับห่มปก” แม้กระนั้นrtตอนนี้hrthข่าเhrtปลี่ยนชื่อมาเป็น “อุทยานแห่งชาuilติดอยฟ้า{ห่ukyukyukwมtyu เมตร จากระดับน้ำทะเล มีดอยสำคัญตัวอย่างเช่น ภูเขาฟ้ilาห่มปก ภูเขาliuliปู่หมื่น ดอยแหลม แล้วก็ดอยอ่างขางตั้งอยู่ใน อำเภอแม่สมั่งคั่ง จ.เชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาผีปันน้ำทางตะวันตก มีอากาศหegeนาวเย็นตลอดทั้งปี  โดยที่แห่งyukนี้ ยังขึ้นชื่อลือชาอีjtyกว่าเป็นแหล่งปลูกrthต้นนางพuญาเtyjสือโคร่งที่tyjใหญ่ที่uilสุดในประเทศไทยอีerhrthrthrthกด้วyukยดอreกราชินีเสือโคร่งที่พระตำหนักดอยหน้าผาตั้ง จะบานสลับกับyuพืชผลเมืองหนาวอื่นๆเช่น ไร่สตอเบอรี่ข่า ไร่ลูกพลับukyร่สาลี่ ฯลฯ บyukริเวณนี้มีที่เที่ยวน่าสนใจ{คือ|เป็นkม่อนน้องแกะ หรือฟาร์มแกะโครงงานหลวง สถานีหน่วยย่อยดอยผาตั้ง ที่มีบรรยากาศงามมากมายราวกับอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
24  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายส่งสลายไขมัน ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็น เมื่อ: ตุลาคม 25, 2018, 11:35:26 am
สรรพคุณสลายไขมันมีสรรพดีอย่างไร
25  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายกระชายดำ โรคหัวใจมักเกิิดจากการสั่งสมของไขมัน เมื่อ: ตุลาคม 24, 2018, 12:58:46 pm
กระชายดำมีดีอย่างไร
26  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขายพลูคาว มะแว้งเครือ รสรวมทั้งสรรพคุณั เมื่อ: ตุลาคม 23, 2018, 03:36:34 am

ขายพลูคาว มะแว้งเครือ รสรวมทั้งคุณประโยชน์ัาีyedddddkmในตำราเรียนยา ผล รสรวดร้าวrkfเปรี้ยว ผลสดตำผสมเกลือน้อย อมหรือจิi;i;บแก้ไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะจำหน่ายพลูคาว ผลแห้ง ปรุltlงเป็นยาแก้ไอ ykบปัสสาวะ เจริญอาหาร ly;ykแก้เบykาหวาน ราก รสขื่นขมเปรี้ยว แก้ไข้ykสันนิtlบาykต แก้น้ำลายเหนีuliuli;oยyk แก้i;ไอ กัดแล้io;io;วก็ขัi;บเสมหะi; ขับปัสสo9i;io;i;าวะ ขับลม แก้โลหิตออกทวารหนัก i;วารเบา ต้น รสขมekyฝาดเปรี้yl;u;yยว แก้ท้องขึ้นในหญิงlตั้งครรภ์มะแว้งมี 2 ชนิด คือมะแว้งที่เป็นพุ่มหรืi;อเป็นต้นๆulioliเรียกว่า “มะแว้งต้น” ส่วนต้นเป็นเถาเtlอยพาดพันกับต้นไtlol;ม้อื่นเรียกว่า “มะแว้งเครือyk” หรือ “มะแว้งเถาเครือi;” มีหนามตลอดต้น เก็บยาก แต่ว่ามะykแว้งเนี่ย ใบจะขายพลูคาวเสมือนมะio;เขือ ดอกก็ราวกัi;บมะเขือ ลูกมะแว้งตอนแรku8yก็จะเขียวๆแtrไปจykะเป็นสีแดง ปลูกได้i;ไม่ยาก ใl7lห้ปุ๋ยขี้วัว ครั้งเดียว กินได้ตลอดi;ปีชื่อykวิทยาศาสykตร์ : Solanum trilobatum L.สกุล : Solanaceaeชื่ออื่น : มะแว้งเถา (จ.กรุงเทพฯ ) พระจันทร์ว้งเควีย (ตาi;ก)ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไ;;op;orม้เถาเลื้อยพิงพัulนกับต้นไม้อื่น yukลำต้นกi;ลม สีเขียวi;i;าวจำหน่ายพลูคาว มีหนามแหลมตามกิ่งก้านขายพลูคาว[/b] ใบ เป็นใบเykดี่ยi;iวul ออกเรียงสลับ สีเขียววาว แผ่นใบด้านล่างมีหtli;;นามตามเส้นใบ ดอก ออกเป็นช่อตามkyukซอกใบที่ปลายกิ่ง ดluuอกสีม่วง

Tags : จำหน่ายพลูคาว
27  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หนุ่มใหญ่สาวใหญ่วัยทอง ใช้ถั่งเช่า บำรุงฮอร์โมน เพิ่มกำหนัด เมื่อ: กันยายน 13, 2018, 09:44:11 pm

หนุ่มใหญ่สาวใหญ่วัยทอง ใช้ถั่งเช่า บำรุงฮอร์โมน เพิ่มกำหนัด
 มิถุนายน 2, 2016  kungtep
อยากเพิ่มความกำหนัด เพิ่มฮอร์โมนร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มใหญ่สาวใหญ่วัยทอง ฮอร์โมนหายไป จำเป็นต้องรีบหามากิน ถ้าเกิดไม่อยากที่จะให้เซลล์ต่างๆเสื่อมแล้วก็แก่ก่อนวัย ถั่งเช่าทิเบตช่วยได้
หนุ่มใหญ่กับสาววัยทอง ถ้าเกิดต้องการรื่นเริง เพิ่มรสรักให้กับชีวิตการครองเรือน หญ้าหนอนสีทองคำหรือถั่งเช่า จะช่วยทำนุบำรุงกำลังและก็สร้างเสริมเซลล์ใหม่ ให้กับเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพหรือตายไป บำรุงสุขภาพให้กับคนสูงอายุได้เยี่ยม
ข้อมูลที่ได้รับมาจากศูนย์ศึกษาค้นคว้าสุขภาพกรุงเทพ เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ กล่าวถึงงานการวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งพบว่า มนุษย์เราไม่ว่าหญิงหรือชาย สามารถเป็นสุขกับการมีเซ็กส์ได้จนถึงอายุ 90 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพเกี่ยวกับร่างกายของแต่ละคน ถ้าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ก็เตะปี๊บดังปึ๋งปั๋งมีชีวิตชีวาได้ ผมเห็นด้วยกับงานค้นคว้านี้ รวมทั้งเชื่อมั่นอีกด้วยว่า ตัวผมเองก็ยังไม่แก่
ถั่งเช่าบำรุงไต เบาหวานแล้วก็โรคความดัน
ทุกๆท่านก็เช่นเดียวกัน ควรให้ความใส่ใจกับการบำรุงสมรรถภาพทางเพศ เมื่ออายุมากขึ้น อย่ายอมแก่ อย่าเห็นว่าเซ็กส์คือเรื่องของคนหนุ่มคนสาว และไม่จำต้องพึงพอใจคนไหนกันแน่จะว่า ตัณหากลับ เพราะว่าเป็นเพียงคำเม้ากันไป
ในทางการแพทย์นั้น ไม่มีคำว่าตัณหากลับ ด้วยเหตุว่าไม่มีกฎระเบียบว่า คนสูงวัยจะต้องเลิกราการมีเพศสัมพันธ์ ตัวกำหนดสุขภาพทางเพศเป็น กาย-ใจ ของเราเอง รวมทั้งฮอร์โมนเพศ
หญ้าหนอนสีทองคำ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ถั่งเช่า เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกาย และก็บำรุงสมรรถภาพทางเพศ ที่ควรหามาไว้รับประทาน อย่าไม่มีความเอาใจใส่การนอนกับแฟน รวมทั้งหมั่นกินสมุนไพรตัวนี้ไว้เพิ่มพลังอยู่เป็นประจำ
หญ้าหนอนสีทองคำ มีสารสำคัญที่สามารถ ปรับระบบลักษณะการทำงานของร่างกาย ช่วยทำให้แข็งแรง ฮอร์โมนเพศอยู่ในระดับสมดุล ควบคุมระบบประสาท ทำให้เลือดลมดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงของลับ ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งดีในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เพศหญิงรับประทาน จะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ผิวพรรณดี เนื่องด้วยฮอร์โมนเพิ่ม เลือดฝาสาวก็เพิ่มตาม

การทำงานของระบบฮอร์โมนเพศที่สมบูรณ์ จะช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศ อย่างไรก็แล้วแต่ ท่านจำเป็นต้องไม่ลืมเลือนที่จะเลือกกินอาหารอย่างมีคุณภาพ และก็ทุกวี่วันต้องตื่นมาบริหารร่างกาย หรือเปล่าว่าเวลาใดที่สะดวกให้รีบบริหารร่างกายทันที อย่าเกียจคร้านเด็ดขาด พักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่อถึงเวลา หากทำได้ดังนี้ ไม่มีแก่ สมรรถภาพทางเพศไม่เสื่อมโทรมถึงแม้ว่าอายุจะเพิ่มมากขึ้นก็ตาม
หญ้าหนอนสีทอง หรื[/url][/color] เหมาะกับวัยหนุ่มสาว คนที่ผ่านเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ไปจนถึงวัยทอง รับประทานต่อเนื่อง เพิ่มความสุขทางเพศ และก็เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ หาซื้อไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง ต้นหญ้าหนอนสีทอง เพาะเลี้ยงได้ในไทย ประสิทธิภาพมาตรฐานเดียวกับถั่งเช่าทิเบตต่างชาติ หากท่านพอใจ สามารถหาข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับต้นหญ้าหนอนสีทองได้ หรือติดต่อฟาร์มเชียงดาว เนเจอร์ฟูด
เชียงดาว เนเจอร์ฟูด แหล่งเพาะเลี้ยงต้นหญ้าหนอนสีทองคำ ผลิตเป็นถั่งเช่าแคปซูลโดยโรงงานแม่คำป้อ ยารักษาโรค ประสิทธิภาพได้มาตรฐาน ด้วยเหตุว่าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก เป็นถั่งเช่าบริสุทธิ์ ชนิดแคปซูลบรรจุขวด และแพ็คถุง ไม่มีการปนสารอื่นใด ผู้ซื้อวางใจได้ ปัจจุบันนี้ถั่งเช่าทิเบตมีจำนวนมาก บางท่านซื้อมารับประทานโดยมิได้ตรวจสอบละเอียดลออ เจอถั่งเช่าสังเคราะห์ รับประทานแล้วไม่ได้ผลดี
ถ้าสนใจถั่งเช่าบริสุทธิ์ เชียงดาว เนพบร์ฟูด เชื่อถือได้ 100% ท่านสามารถโทรหารือ หรือ ถามไถ่ข้อมูลถั่งเช่า เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ได้ในราคาส่งโรงงาน

Tags : ถั่งเช่า
28  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เป็นโรคนอนไม่หลับ หลับไม่สนิทไม่ลึก การมีเซ็กส์ช่วยคุณได้ เมื่อ: กันยายน 13, 2018, 09:51:52 am

เป็นโรคนอนไม่หลับ หลับไม่สนิทไม่ลึก การมีเซ็กส์ช่วยคุณได้
 กรกฎาคม 6, 2016  kungtep
เซ็กส์ช่วยทำให้หลับสนิท ผู้ใดนอนไม่หลับ ใช้”เซ็กส์”เป็นตัวช่วยบำบัด แม้กระนั้นถ้าหากเซ็กส์เสื่อม ควรกระตุ้นด้วย อาหารเสริมถั่งเช่า ช่วยคลายความเครียด เพิ่มความสบายสำหรับการมีเพศเซ็กส
เซ็กส์ช่วยทำให้หลับสบาย  เครียดน้อยลง เพิ่มความสุขสำหรับในการมีเพศสัมพันธ์
ปลดปล่อยเต็มที่ หลั่งอสุจิแบบเต็มพลัง ยิ่งมีเพศสัมพันธ์มาก ยิ่งหลับดี แต่ว่าจะต้องเป็นกิจกรรมบนเตียงที่สุขสบายสมอารมณ์หมาย เร็วไป หรือนานเหลือเกิน ก็ไม่ดี ระยะเวลาที่สมควรสำหรับเพื่อการหลั่งน้ำเชื้อ จะช่วยให้หลับสบาย
ใครที่มักบ่นว่านอนไม่หลับ ลองใช้วิธีแบบนี้ ภายหลังการร่วมเพศ ท่านจะรู้สึกเสมือนได้ออกกำลังกายมาอย่างเหนื่อยล้า ทำให้หลับสบาย ยิ่งบ่อยมากยิ่งหลับได้นานขึ้น
ยิ่งกว่านั้นระยะเวลาของการมีเพศสัมพันธ์ ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เราจะหลั่งสารแห่งความสบาย ทำให้บรรเทา หายเครียดได้ หลังการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยให้หลับได้ลึก หลับสนิทดีขึ้น ปัญหาสำหรับบางคนก็คือ ขาดความกำหนัด ขาดความรู้สึกทางเพศ และก็อาจอยู่ในภาวการณ์หย่อนสมรรถนะทางเพศ ทำให้ไม่สามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์ที่ดีได้

หญ้าหนอนสีทอง หรื[/url][/color] ชาวจีนนิยมใช้บำรุงร่างกาย ที่ช่วยเพิ่มความสามารถทางเพศอย่างได้ผลดี รับประทานตลอดช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ หรือสิ่งที่มีความต้องการร่วมเพศให้มากเพิ่มขึ้น ซึ่งมีคุณประโยชน์ที่เลื่องลือมาก
คนไทยและคนต่างชาติ รู้จักและกินถั่งเช่า เพื่ออยากได้บำรุงสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งก็พิสูจน์กันมาหลายชั่วอายุคนแล้วว่าสำเร็จจริง สรรพคุณนี้ยังได้รับการทดสอบทางด้านวิทยาศาสตร์แล้ว
 มีข้อมูลรายงานจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถึงผลการทดสอบคุณประโยชน์ทางยาของถั่งเช่าเบต สำหรับการสร้างเสริมสมรรถนะทางเพศ ท่านสามารถเรียนรู้มองเพื่อเป็นประโยชน์ ในการเลือกใช้สมุนไพร บำรุงร่างกายได้อย่างถูกต้อง 
เดี๋ยวนี้ถั่งเช่าทิเบต ได้รับการพัฒนาดัดแปลงออกมาหลายประเภท ต้นหญ้าหนอนสีทองเป็นถั่งเช่ามีทั้งเพาะขึ้นมาเอง เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติและก็มีเหตุมาจากการสังเคราะห์
ถั่งเช่า ที่เกิดขึ้นจากการเพาะเลี้ยง และก็เกิดขึ้นเองธรรมชาติ มีคุณประโยชน์ใกล้เคียงกัน สามารถใช้บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท ปรับอารมณ์ บรรเทาจิตใจ แล้วก็มีสารช่วย เสริมสร้างรูปแบบการทำงานของต่อมหมวกไต ช่วยสำหรับเพื่อการหลั่งอสุจิเพศชาย ข้างหลังการปลดปล่อย ท่านจะหลับสนิท พักผ่อนได้เต็มที่ ลองกินมองครับผม รับรองว่าได้ประโยชน์มากยิ่งกว่าใช้ยากระตุ้นที่เป็นสารเคมีอย่างไม่ต้องสงสัย ยากระตุ้นที่มีฤทธิ์รุนแรง อาจใช้ได้เฉพาะในช่วงของการร่วมเพศ แต่มิได้บำรุงร่างกายในระยาว
ถั่งเช่าจำพวกสังเคราะห์ สรรพคุณต่ำ มีฤทธิ์ทางยาน้อย ไม่ควรหามากิน ส่วนถั่งเช่าเพาะเลี้ยงเอง จะต้องเป็นต้นที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ยให้ฮอร์โมน จำเป็นต้องเลี้ยงโดยวิธีธรรมชาติ ถึงจะได้ฤทธิ์ทางยาดี
หากท่านจะลองรับประทานถั่งเช่า หญ้าหนอนสีทอง ขอให้ตรวจดูข้อมูลตัวสินค้าอย่างระมัดระวังก่อนเสมอ เพื่อคุ้มครองปกป้องการถูกหลอก ซื้อผลิตภัณฑ์มิได้คุณภาพ หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับถั่งเช่าแท้ ถั่งเช่าราคาส่ง ประเภทแคปซูล ขอชี้แนะสินค้าของฟาร์มเชียงดาว เนพบร์ฟูด ผลิตโดยโรงงานแม่คำป้อ ยา ภายใต้การควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข เป็นถั่งเช่าทิเบตคุณภาพ ไม่เจือปนสารเคมีหรือส่วนประกอบอื่นที่มีอันตราย ผลิตจากต้นหญ้าหนอนสีทองคำ ถั่งเช่าบริสุทธิ์ 100%

Tags : ถั่งเช่า,ถั่งเช่าทิเบต
29  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถั่งเช่าบำรุงไต เสริมสร้างระบบสืบพันธุ์ เมื่อ: กันยายน 12, 2018, 12:43:22 pm

ถั่งเช่าบำรุงไต เสริมสร้างระบบสืบพันธุ์
 เดือนพฤษภาคม 2, 2016  kungtep
ไตแข็งแรง ของลับแข็งตัว หมอแมะบอกมา แบบเรียนหมอลู่ทางจีน รับประทานถั่งเช่าบำรุงไต เสริมสร้างระบบสืบพันธุ์ข้ามไปฝั่งจีนบ้าง พบเจอแม้กระนั้นคนแข็งแรง ชาวจีนเน้นสุขภาพ และก็สมรรถนะทางเพศ สมุนไพรจีนก็ชื่อเสียงมีชื่อเสียง เนื่องจากรับประทานแล้วดี ได้ฟังหมอแมะ หมอแผนจีนแล้วยังอึ้ง ท่านต่างพูดถึงเรื่องของสุขภาพ
สุขภาพทางเพศ และก็การสืบพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญถั่งเช่า แล้วก็บอกว่า เครื่องเพศของคนเรานั้น เกี่ยวโยงกับไตความสามารถทางเพศจะดีได้ จำเป็นต้องบำรุงไตให้แข็งแรง คนจีนเป็นจำนวนมากจึงเลือกกินถั่งเช่า เพราะมีฤทธิ์บำรุงไต คนเป็นโรคไตก็นำมาใช้รับประทานกันมาก เพื่อช่วยบำบัดรักษาอาการ

แพทย์แผนจีน มีมุมมองว่าการทำงานของไตจะเกี่ยวกับระบบฮอร์โมน
สำหรับหญิง ไตจะแข็งแรงสมบูรณ์สูงที่สุดก็ตอนเป็นสาว และก็ต่างหากคือช่วงเวลาที่ผู้หญิงเริ่มมีเมนส์ คนที่ไตแข็งแรงมากมาย เลือดลมก็จะดี เมนส์ปกติ เลือดฝาด ผ่องใส อารมณ์ทางเพศสูง
ส่วนผู้ชายนั้น ไตจะแข็งแรงที่สุดตอนเป็นชายหนุ่มเหมือนกัน และก็ถั่งเช่าจะแสดงความแข็งแรงได้ด้วยการหลั่งน้ำเชื้อ คนที่ไตสมบูรณ์ น้ำกามจะมีจำนวนมาก น้ำอสุจิแข็งแรง อวัยวะสืบพันธุ์แข็งตัวดี แต่ว่ามนุษย์เราพออายุมากขึ้น ไตจะอ่อนแอลง ถั่งเช่าทิเบตสมรรถภาพทางเพศเสื่อม จะมีความคิดเห็นว่าหญิงรอบเดือนหมด แล้วก็หมดความสามารถสำหรับในการขยายพันธุ์
ในทางกลับกัน หากคนเรามีสมรรถภาพทางเพศดี ก็จะกลับไปเสริมแนวทางการทำงานของไต ไตไม่เสื่อม ตามที่หมอแมะท่านว่า มีเพศสัมพันธ์บ่อยๆไตก็ได้แข็งแรงไปด้วย ข้อนี้สำคัญทีเดียว รู้อย่างนี้จะรออะไร ซื้ถั่งเช่า[/url]ทิเบตบำรุงไตมารับประทาน แต่ว่าไม่ต้องไปไกลถึงจีน ตอนนี้มีขายหลายตราสินค้า หาซื้อมากินได้เลย แม้กระนั้นที่สำคัญเป็น เรื่องคุณภาพ ควรจะมีประสิทธิภาพและไม่ตามมาตรฐานGMP มีทะเบียนยารับประกันโดยกระทรวงสาธารณสุขไทย
ถ้าอยากได้ถั่งเช่าแคปซูลราคาขายส่ง ได้มาตรฐานGMPแล้วก็มีทะเบียนยา ผมแนะนำสินค้าของโรงงานเชียงดาว เป็นถั่งเช่าเพื่อส่งออกต่างถิ่น หากประสิทธิภาพมิได้มาตรฐานเป็นไปไม่ได้ผ่านกฎเหล็กอย่างแน่แท้ โดยโรงงานแม่คำป้อ ยา เป็นผู้ผลิตเชื่อถือได้ 100%
การรับประทานแล้วจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน มิได้ขึ้นอยู่กับถั่งเช่าทิเบตอย่างเดียว อาหารเสริมทุกประเภทไม่ใช่ของกินหลัก แล้วก็การรับประทานอาหารเสริมสิ่งเดียว ถ้าหากไม่ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีด้วย ยากจะเห็นผล ท่านสามารถซักถามข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ รวมทั้งรายละเอียดของถั่งเช่าบำรุงไตพอดีเจ้าหน้าที่และก็เภสัชกรโรงงาน

Tags : ถั่งเช่า,ถั่งเช่าทิเบต
30  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส เมื่อ: สิงหาคม 21, 2018, 05:01:21 pm
[/b]
พญาย[/size][/b]
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ
ขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบขอพญายอ[/url]สามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม
[/b]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี

รากพญาย[/b]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
[url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/
[/b]
หน้า: 1 [2] 3
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย