แสดงกระทู้
|
หน้า: [1] 2 3 ... 50
|
1
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรกัญชาเทศ
|
เมื่อ: เมษายน 30, 2019, 09:47:26 am
|
[/b] สมุนไพรกัญชาเทศกัญชาเทศ Leonurus sibiricus L.บางถิ่นเรียก กัญชาเทศ (ราชบุรี) ซ้าซา (นครพนม) ส่าน้ำ (เลย) ไม้ล้มลุก -> สูง 1-1.50 ม. ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม กลวง มีขนนุ่ม หรือ เกลี้ยงใบ - กัญชาเท[/b][/i]> เดี่ยว ออกตรงข้าม ใบที่อยู่ใกล้ยอดลักษณะเป็นแถบ ยาว 4-5 ซม. ส่วนใบที่อยู่ใกล้โคนต้นเป็นแฉกไม่สม่ำเสมอ ยาว 5-7 ซม. ใบอ่อนด้านบนมีขน ขนจะค่อย ๆ หลุดร่วงไปตามอายุ ด้านล่างสีอ่อนมีขนละเอียดประปราย มีขนมากตามเส้นกลางใบ และเส้นใบ ก้านใบยาว 2-4 ซม. ดอก - กัญชาเทศ> ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ดูเผิน ๆ คล้ายออกรอบกิ่ง ริ้วประดับรูปลิ่มหัวกลับ หรือ คล้ายหนามยาว 4-10 ซม. กลีบเกลี้ยงเชื่อมกันเป็นรูปกรวย ยาว 4-5 มม. เกลี้ยง หรือ มีขนประปราย ปลายกลีบเป็นแฉกรูปลิ่มกลับ 5 แฉก กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นปาก ยาว 10-11มม. ปากบนตั้งตรง รูปไข่กลับ ขอบเรียบ ด้านนอกมีขน ปากล่างมี 3 หยัก หยักกลางปลายเว้า มีขนละเอียดเกสรเพศผู้มี 4 อัน อยู่ใต้ปากบนของกลีบดอก ติดเป็น 2 คู่ คู่ล่างมีก้านเกสรยาวกว่าคู่บน อับเรณูมี 2 พู ก้านเกสรเพศเมียปลายแยกเป็น 2 แฉก ผล - กัญชาเทศ> รูปรี ยาวประมาณ 2 มม. ด้านบนตัด มีกลีบเลี้ยงซึ่งขยายโตตามผล ติดอยู่ 6-7 มม. [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960669/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8][/b] นิเวศน์วิทยาขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป หรือ ปลูกเป็นไม้ประดับ สรรพคุณใบ กัญชาเทศและราก -> น้ำยางที่ใช้เป็นยาลดไข้ ยาบำรุง แก้น้ำเหลืองเสีย ตำเป็นยาพอกแก้ปวดศีรษะ ใบแห้งสูบได้ แต่มีฤทธิ์ไม่เท่ากับกัญชา alkaloid leonurine ที่พบในใบ จะออกฤทธิ์คล้ายกับ curarc มาก โดยจะกดปลายประสาททำให้ชา ต้น น้ำต้ม ใช้ขับน้ำคาวปลา ขับระดู และแก้เยื่อบุมดลูกอักเสบ เมล็ด - [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960669/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8]กัญชาเท[/b][/i]> จีนใช้เข้าเครื่องยาขับเสมหะ ยาบำรุงและช่วยการไหลเวียนของโลหิต ขับปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ขยายหลอดเลือด และลดความดันโลหิต Tags : กัญชาเทศ
|
|
|
2
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรแมงกะแซง
|
เมื่อ: เมษายน 25, 2019, 11:58:02 pm
|
[/b] สมุนไพรแมงกะแซงแมงกะแซง Ociumum americanum L.บางถิ่นเรียก แมงกะแซง (ประจวบคีรีขันธ์)ไม้ล้มลุก -> สูง 30-100 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา มีกลิ่นหอมแรงเหมือนการบูร ลำต้นรวมทั้งกิ่งมีสันตามยา ปกคลุมด้วยขนสั้นๆหรือขนสะอาด ใบ - แมงกะแซง> โดดเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปใบหอกถึงรูปรี กว้าง 0.9-2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ หรือหยักมนห่างๆผิวใบมีต่อมเป็นจุดๆทั้งข้างบนแล้วก็ด้านล่าง ไม่มีขน ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. ดอก - [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960657/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%87]แมงกะแซง[/url][/color]> ออกเป็นช่อแบบกระจะที่ยอดแล้วก็ที่ปลายกิ่ง เป็นช่อผู้เดียวหรือแตกกิ่งก้านสาขา ยาว 7-15 ซม. ริ้วเสริมแต่งรูปใบหอกแกมรี ยาว 2-3(-5) มม. ปลายแหลม มีขน ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยงสีเขียว เชื่อมกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2-2.5 มม. (เมื่อสำเร็จยาว 3-4.5 มม.) ปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนแบนกว้างแล้วก็ใหญ่ (เมื่อเป็นผลจะโค้งกลับ) ขอบมีขน ปากล่างมีแฉกแหลม 4 แฉก รูปลิ่มกลับปนรูปใบหอก มีต่อมเป็นตุ่มกลมมีก้านยกพบทั้งด้านในและข้างนอก ด้านในปกคลุมด้วยขนยาวรวมทั้งนุ่ม ภายนอกมีขนสีขาว กลีบดอกสีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 4-6 มิลลิเมตร สะอาด หรือมีขนสั้นๆปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนตัด มีหยัก 4 หยัก ขนาดเกือบจะเท่ากัน ปากล่างยาว ขอบเรียบโค้งลง เกสรเพศผู้ 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ ก้านเกสรเล็ก ยาวพ้นปากหลอด เกสรคู่บนมีติ่งใกล้โคนก้านเกสร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ก้านเกสรสีชมพู ผล - แมงกะแซง> ขนาดเล็ก รูปรีแคบ ยาว 1.2 มม. สีดำ มีจุดใสๆเมื่อนำไปแช่น้ำจะมีวุ้นห่อรอบเมล็ด [/b] นิเวศน์วิทยาขึ้นตามที่รกร้าง พบที่ จ.ประจวบฯ สรรพคุณทั้งยัง ต้น - แมงกะแซง[/i][/color]> ราษฎรนำมาใช้เพื่อไล่ยุงและก็แมลง Tags : แมงกะแซง
|
|
|
3
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรลิ้นงูเห่า
|
เมื่อ: เมษายน 05, 2019, 02:58:13 am
|
[/b] สมุนไพรลิ้นงูเห่าชื่อพื้นเมืองอื่น ลิ้นงูเห่า (จันทบุรี)ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus siamensis Bremek.ชื่อตระกูล ACANTHACEAEชื่อสามัญ Lin gnu hao.ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์ไม้เถาล้มลุก (HC) -> ลักษณะพุ่มเลื้อย คล้ายต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย ลำต้นกลมสีเขียวเรียวยาว ใบ ลิ้นงูเห่[/b][/i]-> เป็นใบผู้เดียว ลักษณะใบรูปหอกหรือรูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบเล็กกลม แผ่นใบมีสีเขียวเข้ม ใบดกแล้วก็หนาทึบ ดอก -> มีดอกเป็นช่อกระจุก สีแดงปนส้ม แต่ละข่อมีดอกย่อยอัดแน่น 10-15 ดอก ลักษณะซึ่งคล้ายดอกเสมหะพังพอนตัวเมีย กลีบเลี้ยงสีเขียวเป็นรูประฆังตื้นๆโคนดอกติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็นกลีบดอก 2 กลีบมีเกสรตัวผู้เป็นสีเหลืองแทงพ้นกลีบดอก ผล ลิ้นงูเห่า-> เมื่อแห้งแตกได้ ภายในมีเมล็ด นิเวศวิทยากำเนิดตามที่รกร้างว่างเปล่าธรรมดา นิยมนำมาปลูกตามสถานที่ต่างๆอีกทั้งสวนสาธารณะ วัด รวมทั้งบ้านเมือง เพื่อเป็นไม้ประดับแล้วก็ใช้ประโยชน์ทางยา การปลูกรวมทั้งแพร่พันธุ์เป็นไม้กลางแจ้ง ชอบแดดจ้า น้ำไม่ขัง เจริญเติบโตได้ในดินร่วนซุย นิยมปลูกเป็นแปลงหรือเป็นแนว ขยายพันธ์ฺด้วยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำกิ่ง ส่วนที่ใช้ รส และก็คุณประโยชน์ ราก -> รสจืดเย็น โขลกพอกดับพิษแมลงกัดต่อย ใบ [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960588/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%B2]ลิ้นงูเห่า[/i]-> รสจืดเย็น โขลกหรือขยี้ทาแก้พิษร้อน โรคผิวหนัง พิษอักเสบและก็ปวดฝี รักษาแผลไฟลุก น้ำร้อนลวก ลดอาการอักเสบ วิธีใช้รวมทั้งจำนวนที่ใช้- เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ใบสด 10-20 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาโขลกอย่างถี่ถ้วน ใช้ทาและก็พอกบริเวณที่เป็น วันละ 2-3 ครั้ง บ่อยๆ จวบจนกระทั่งจะหาย
- ลดลักษณะของการปวดแสบปวดร้อนของตุ่มแผลงูสวัด โดยใช้ใบสด 10-20 ใบ ล้างให้สะอาดเอามาตำอย่างรอบคอบผสมสุราโรงนิดหน่อย เอามาทาและก็พอกบริเวณที่มีอาการ ตอนเช้า-เย็น เสมอๆ
ข้อควรรู้สีจากน้ำคั้นจะติดอยู่นาน ลิ้นงูเห่าจำเป็นจะต้องระวังการเปื้อนเปรอะเสื้อผ้ารวมทั้งร่างกายส่วนอื่นๆ
|
|
|
5
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเสลดพังพอน
|
เมื่อ: มีนาคม 30, 2019, 07:15:46 am
|
[/b] สมุนไพเสลดพังพอน[/url][/size][/b] ชื่อท้องถิ่นอื่น พิมเสนต้น เสลดพังพอน เสมหะพังพอนเพศผู้ (ภาคกลาง) เช็กเชเกี่ยม (จีน)ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria lupulina Lindl.ชื่อตระกูล ACANTHACEAEชื่อสามัญ Salet phangphon tuapuu.ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์ไม้พุ่ม (S) -> แตกกิ่งก้านสาขาเยอะมากบริเวณลำต้น สูงประมาณ 1 เมตร มีหนามสีน้ำตาลคู่ ตามข้อและก็โคนใบ แขนงมีสีน้ำตาลแดง ใบ เสลดพังพอ[/b][/i]-> เป็นใบโดดเดี่ยว ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ๆลักษณะใบรูปยาว เรียวแคบ โคนแล้วก็ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบสะอาด พื้นใบมีสีเขียวเข้มแล้วก็มัน ก้านใบสั้น ก้านใบตลอดจนเส้นกลางใบมีสีแดง ที่โคนกว้างมีหนามแหลม 1 คู่ สีม่วง ชี้ลง ดอก เสลดพังพอน -> ออกดอกเป็นช่อตามยอดหรือที่ปลายกิ่ง เมื่อดอกยังอ่อนมีใบประดับประดาหุ้มมิด เมื่อดอกบานจะโผล่เลยใบประดับออกมากึ่งหนึ่ง ใบเสริมแต่งรูปกลมรี ตอนท้ายมีสีน้ำตาลอมแดง กลีบรองกลีบสีเขียวมี 5 กลีบ กลีบดอกสีเหลืองจำปา ตรงโคนเป็นหลอดตรงปลายแยกเป็น 5 กลีบ ผล เสลดพังพอน-> เป็นฝัก ลักษณะรูปมนรี แบนรวมทั้งยาว โคนกว้าง ปลายแหลม ข้างในผลมีเมล็ด 2-4 เม็ด นิเวศวิทยาเป็นไม้ที่โล่งแจ้งที่ไม่ขึ้นทั่วไป มีแม้กระนั้นเฉพาะตามบ้านซึ่งปลูกเอาไว้ใช้ การปลูกรวมทั้งเพาะพันธุ์ [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960585/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99]เสลดพังพอน[/i]เจริญวัยได้ดีในดินร่วนซุย มีความชื้น ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือตัดลำต้นปักชำ โดยตัดเป็นท่อนๆยาวโดยประมาณ 1-2 คืบ ปักชำในแปลงที่ตระเตรียมไว้หรือปักชำในที่ชุ่มชื่นก่อน เมื่อออกรากก็ดีแล้วก็เลยย้ายไปปลูกลงในแปลง [/b] ส่วนที่ใช้ รส และคุณประโยชน์ใบ -> รสจืดเย็น ตำกับเหล้าคั้นเอาน้ำดืื่ม เอากากพอกแก้พิษงู แก้ไฟลามทุ่ง แผลฟกช้ำจากาเกลื่อนกลาดระทบกระแทก แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ยกตัวอย่างเช่น ผึ้ง ตะขาบ ฯลฯ ราก -> รสจืดเย็น ฝนกับเหล้าหรือเหล้าโรงทาแก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย วิธีการใช้และปริมาณที่ใช้- เสลดพังพอนรักษาอาการปวดฝี ถอนพิษ ปวดอักเสบปวดร้อน โดยที่ใช้ใบสด 1 กำมือ หรือโดยประมาณ 20 กรัม โขลกให้ถี่ถ้วนผสมกับเหล้าพอกรอบๆที่เป็นฝี หรือบริเวณที่เป็นวันละ 3 เวลา
- รักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย โดยใช้ใบสด 1 กำมือ ตำอย่างละเอียดคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็น หรือตำผสมเหล้าโรงน้อยด็ได้
ข้อควรจะรู้ในประเทศมาเลเซีย ใช้แก้ปวดฟันและแก้งูกัด แล้วก็ถือกันว่าฯลฯไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มภัยอันตรายต่างๆได้ด้วย
|
|
|
6
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ไก่บ้าน
|
เมื่อ: มีนาคม 15, 2019, 03:38:00 pm
|
[/b] ไก่บ้านมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus (Linnaeus)อยู่ในวงศ์ Phasianidaeมีชื่อสามัญว่า domestic fowl [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16959969/%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99]ไก่บ้าน[/url][/color] หรือไก่เลี้ยง เป็นสัตว์ ๒ ขา มีขนปกคลุมตัว รวมทั้งมีปีก เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์มาแม้กระนั้นสมัยก่อน ปัจจุบันนี้มีการพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆมากมาย มีทั้งที่เลี้ยงเพื่อกินเนื้อ เรียกไก่เนื้อ รวมทั้งชนิดที่เลี้ยงเพื่อรับประทานไข่ เรียกไก่ไข่ เป็นไก่ที่มีสายพันธุ์มาจากไก่ป่า (junglefowl) ก็เลยมีลักษณะทั่วๆไปเหมือนไก่ป่า ข้อแตกต่างที่ดูได้ง่ายระหว่าง ไก่บ้านกับไก่ป่าก็คือ หน้าแข้งของ ไก่บ้านมีสีได้หลากสี เช่น สีขาว สีเหลือง แต่ของไก่ป่ามีเพียงแค่สีเดียวคือสีเทาเข้ม
|
|
|
7
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พิกัดโกษฐ์ มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง
|
เมื่อ: มีนาคม 07, 2019, 12:48:49 pm
|
พิกัดโกษฐ์โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย หนังสือเรียนโบราณเขียนชื่อพิกัดยาพวกนี้แตกต่างออกไปหลายแบบ ในศิลาจารึกหนังสือเรียนที่วัดราชบุตรชายสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แม้กระนั้นครั้งพระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระผู้เป็นเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความกรุณาเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน พิกัดโกษฐ์ เมื่อทรงซ่อมวัดนี้ใน พ.ศ. ๒๓๖๔ มอบให้เป็นพระราชบุญกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยเดี๋ยวนี้เป็น โกด ทั้งหมด เช่น (พิมพ์ตาอักขระที่ปรากฏในศิลาจารึก) ถ้าบุคคลคนใดกันแน่จับไข้เพื่อเสมหะ ปิตะ วาตะ สมุถานดีแล้ว ทำให้หิวโหยหาแรงมิได้ ให้ระสลากกินแบ่งไป ให้ใจขุ่นหมองมิได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังไม่ได้ หากจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งยังห้า เทียรทั้งยังห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี หญ้าแห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด สักขี ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เเช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลทรายก็ได้ น้ำค้างคืนก็ได้ รับประทานแก้เสียกระบวนแลดับพิษไข้ทั้งผอง ทำให้คลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลชูกำลังยิ่งนักฯ ส่วนศิลาจารึกตำราเรียนที่วัดพระเชตุๆพนกระจ่างมังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงซ่อมแซมปรับปรุงใหญ่เมื่อปี พุทธศักราช ๒๓๗๕ และคณะอาจารย์สถานที่เรียนแพทย์แผนโบราณได้เก็บรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ในตำรายาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในพักนี้เป็น โกฐ ทั้งผอง ได้แก่แผ่นจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖ แผ่น ๔ ดังต่อไปนี้ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ กล่าวถึงลักษณะสันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔ เมื่อจะมีขึ้นแก่บุคคลใดก็ดี ก็ทำให้ลงดุจกินยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิบเคลิ้มไปพบสติมิได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นอันมาก ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจมิได้ขาด ถ้าหากเเลลักษณะเป็นดังกล่าวข้างต้นมานี้ ฯ ถ้าจะแก้เอาสมออีกทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลกระดอม จันทน์ทั้งยัง ๒ โกญสอ โกฐเขมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกญน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กาทั้งยัง ๒ ใบสันมีดพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทแขนก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เท่าเทียมต้มตามวิธีให้รับประทาน แก้สันนิบาตอันบังเกิดเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวคือดีรั่วนั้นหายวิเศษนักฯสำหรับ หนังสือแพทย์แผนไทยแผนโบราณ ซึ่งเก็บโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน คำเลื่องลือแผ่กว้าง) เขียนชื่อพักนี้เป็น โกฏ ทั้งหมด อาทิเช่นยาแก้คอแห้งในคู่มือเล่ม ๓ ในตอนที่เกี่ยวกับเสลดพิการและก็ยาแก้ ดังนี้ ยาแก้คอแห้งผาก แก้เสมหะเหนียว แก้อ้วก เอาโกฏทั้งยัง ๕ เทียนทั้ง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู หว้านน้ำ ประพรมมิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อ้วกละลายน้ำลูกยอต้มรับประทาน ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณทุ่งนา – หนังสือเรียนหมอแบบเก่าซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจพิศาล ตามตำราของพระยาประเสริฐศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นพ่อ บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งหมด เป็นต้นว่า ยาเทพนิมิตรในเล่ม ๔ ดังนี้ ถ้าจะเอายาชื่อเทวดานิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ พยาน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นประพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมทะเล ๑๖ ส่วน เบ็ญจเราล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำแก่นไม้ต้มแทรกพิมเสนให้กิน แก้โลหิตปกติโทษอันมีขึ้นแต่ว่ากระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล ก็เลยมองเห็นได้ว่าแบบเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ ไม่เหมือนกันไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกจำพวกเป็นของที่มี พิกัดโกษฐ[/b][/i]กำเนิดในต่างถิ่น และมีพ่อค้าต่างประเทศนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานแล้ว ขั้นต่ำก็ก่อนสมัยสมเด็จพระทุ่งนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เนื่องจากในตำราเรียนหมอแผนไทยซึ่ง หนังสือเรียนพระยาพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม คือคัมภีร์โรคนิทาน และคัมภีร์มหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้ล้นหลามหลายขนาน และใหหลายขนานในแบบเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์เอง แต่ชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรจะเขียนเป็นเยี่ยงไร มีที่มารวมทั้งความหมายอย่างไร ยิ่งกว่านั้นเครื่องยาหมู่นี้บางจำพวกเป็นอย่างไร มีที่มาที่ไปยังไงอย่างเป็นข้อพิพาทที่ยังหาบทสรุปมิได้ สิ่งที่ทำให้เกิดคำ โกษฐ์โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังต่อไปนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรจำพวกหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลายชนิด แบบเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยผู้รู้ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แต่ว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งแพทย์แผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) ก็เลยน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แต่ คำ โกฐ นี้แสดงว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีหมายความว่า ลำไส้ ท้อง คำอีกทั้ง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร ยิ่งกว่านั้น คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แม้กระนั้นก็บอกคำจำกัดความที่ไม่เหมือนกัน เป็นต้นว่าโกส แสดงว่า ผอบ; แสดงว่าซูบผอมมาตราวัดความยาวเท่ากับ ๕๐๐ เลวธนู โกฏิ แปลว่า ๑๐ ล้าน โกษ แสดงว่า อัณฑะ หีบศพ แสดงว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลังเก็บของ คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อและก็พิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรจะเขียนยังไงนั้น คงจะสืบหาต้นเหตุของคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้สูงที่สุด เพื่ออาจความหมายเดิมให้เยอะที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งสิ้นเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีรวมทั้งใช้กันมาในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนแล้วก็ประเทศใกล้เคียง แล้วก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่มีความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้ก็เลยน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น บางทีอาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปและก็การแพทย์แผนจีนมีอิทธิพลอย่างสูงในการพัฒนาการแพทย์ทางด้านการแพทย์รวมทั้งเภสัชกรรมแผนแพทย์แผนไทยมาแต่โบราณ แต่คำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ดังนั้น คำที่ออกเสียง โกด ก็เลยน่าจะมีที่มาจากภาษาท้องถิ่นใดในประเทศอินเดียหรือเปอร์เซียในหนังสืออายุรเวทของอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาประเภทหนึ่งในภาษาพื้นเมืองของประเทศกัษมิระ และตำราเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาประเทศอิหร่านหรืออิหร่าน ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีและก็เบงกาลีเป็น kut ภาษาทมิฬเป็น kostum หรือ goshtam ตำราเรียนยาไทยเรียกเครื่องยาชนิดนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) ก็เลยได้บทสรุปในชั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้น่าจะมาจากภาษาอิหร่าน และคำนี้สื่อความหมายยังไง ความหมายของคำ โกษฐ์เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาอิหร่าน จึงจำต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาเปอร์เซีย โดยเฉพาะคำในภาษาดังที่ได้กล่าวมาแล้วที่ใช้กับยาบำบัดโรคในตำราอูนานิ (Unani) แพทย์โอนาไม่หลังจากที่ได้บากบั่นค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายสิบปี เมื่อเร็วๆนี้เองก็เลยได้เจอคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ หนังสือเรียนยาที่การแพทย์ตะวันออกของแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงคำเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์ที่หมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน และนายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือไม่ได้ระบุปีที่พิมพ์และสำนักพิมพ์) ในหนังสือเรียนดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังนี้ kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively. จึงสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เทียบเสียงเป็น kushta และควรจะเทียบเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ ก็เลยจะตรงกับคำในภาษาเดิมสูงที่สุด แล้วก็ให้คำจำกัดความที่ไม่บางทีอาจเป็นอย่างอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้อาจจะเข้ามาสู่แว่นแคว้นไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของเปอร์เซีย แล้วก็การแพทย์โบราณที่ประเทศไทยคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลายประเภท ซึ่งแม้จะใช้เพลงจำนวนบางส่วน แต่ว่าก็ทรงพลังสำหรับเพื่อการบำบัดโรคในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทยหมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนแล้วก็เครื่องยาเทศหลายชนิดในยาไทย การแสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันฉลาดเฉลียวเฉลียวฉลาด พิกัดโกษฐ์ของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างประเทศในยาไทย เครื่องยาพวกนี้หลายอย่างเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์ ทั้งยัง ๗ โกษฐ์ ทั้ง ๙ รวมทั้งโกษฐ์พิเศษ นอกจากนั้นยังมีกดอีกหลายประเภทที่ไม่ได้จะเข้าเอาไว้ภายในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์ เครื่องยา ชื่อพฤษศาสตร์ของที่มา วงศ์ ส่วนของพืช โกษฐ์เชียง Angelica sinensis (Oliv.) Diels Umbelliferae รากแห้ง โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.) Benth. Hook.f. ex France&Sav. Umbelliferae รากแห้ง โกษฐ์หัวบัว Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong Umbelliferae เหง้าแห้ง โกษฐ์เขมา Atractylodes lancea (Thunb.) DC. Compositae เหง้าแห้ง โกษฐ์จุฬาลัมพา Artemisia annua L. Compositae ใบและเรือนยอดที่-มีดอก โกษฐ์ก้านพร้าว Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh. Scrophulariaceae เหง้าแห้ง โกษฐ์กระดูก Saussurea lappa Clarke Compositae เหง้าแห้ง โกษฐ์พุงปลา Terminalia chebula Retz. Combretaceae ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนและใบ โกษฐ์ชฎามังษี Nardistachys grandiflora DC. Valerianaceae รากรวมทั้งเหง้าแห้ง โกษฐ์กะกลิ้ง Strychnos nux-vomica L. Loganiaceae เม็ดแก่จัดเหง้าแห้ง โกษฐ์กรักกรา Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f. Anacardiaceae ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน โกษฐ์น้ำเต้า Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel Polyganaceae รากรวมทั้งเหง้าแห้ง โกฐทั้งยัง ๕ (ห้าโกษฐ์) เป็นพิกัดเครื่องยาไทยตัวอย่างเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงเลือด รวมทั้งแก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแต่ว่าโบราณ นอกเหนือจากนั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากมายทั้งยังในอดีตกาลและก็ยาไทย โกษฐ์ ทั้ง ๗ (สัตตโกษฐ์) เป็นพิกัดตัวยา มีเรื่องยา ๗ ประเภท คือโกษฐ์อีกทั้ง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว แล้วก็ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ ชนิด หนังสือเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาหมู่นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูกโกษฐ์อีกทั้ง ๙ (เนาวโกษฐ์) เป็นพิกัดตัวยา ประกอบด้วยโกษฐ์ทั้ง๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีแล้วก็โกษฐ์พุงปลาอีก ๒ จำพวก แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่าย่าโมนี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้หืดหอบไอ แก้ไข้จับสั่น แก้พิษร้อน แก้ลมเสียดแทงชายโครง กระจัดกระจายลมในกองริดสีดวง แก้ลมในกองเสลด แก้สะอึก แก้ไข้ในกองอว่ากล่าวสาร แก้โรคในปาก กระจัดกระจายหนอง ฆ่าพยาธิ แก้ไส้ขาดไส้ลุกลาม ขับโลหิตร้ายอันกำเนิดแม้กระนั้นกองปิตตะสมุฏฐาน โกษฐ์พิเศษมีเครื่องยา ๓ ประเภท ยกตัวอย่างเช่น โกษฐ์กะกลิ้ง โกษฐ์กักกรา และโกษฐ์น้ำเต้า [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16959690/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C]พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอติเตียนสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในลำไส้ แก้โรคหนองใน ขับระดูร้าย เพื่อช่วยให้เด็กนักเรียนวิชาการปรุงยาแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งสิ้นได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้แต่งกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ชนิดต่างๆในพิกัดยาไทยจัดตามลำดับดังต่อไปนี้ เชียงสอขอหัวบัว เฉมาชั่วช้าลักจุฬา ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกเอาไว้ภายในชฎา กะกลิ้งและกรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามสาเหตุ โกษฐ์เชียงโกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels สกุล Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น มีความหมายว่าผู้ที่มาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ริมน้ำ) ก็ได้ แม้กระนั้นในที่นี้หมายความว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ เซนติเมตร ร่างเจ้าเนื้อหนา ทรงกระบอก แยกเป็นรากกิ่งก้านสาขาหลายราก มีกลิ่นหอมยวนใจแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนนกสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ ซม. ยาว ๒-๒.๓ ซม. ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (ละเว้นบริเวณเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ ซม. โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ ซม. ใบประดับประดามี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดไม่เท่ากัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบตกแต่งย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มม. ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (บางคราวสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลปีกยื่นออก ผลได้ผลแบบผักชี ด้านล่างแบนข้าง รูปขอบขนานปนรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ มิลลิเมคร ยาว ๔-๖ มม. สันด้านล่างครึ้มแคบ ข้างๆมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่ว่ามี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชชนิดนี้มีเขตการกระจายชนิดในป่าดิบ ตามเทือกเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของจีน เป็นบริเวณมณฑลกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อชวน (เสฉวน) รวมทั้งหยุยงนหนาน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร ออกดอกในมิถานายนถึงกรกฎาคม เป็นผลในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พืชประเภทนี้ถูกปรับปรุงสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกภายในประเทศจีนมานานนับพันปีแล้ว ตอนนี้ปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง ต้นแบบทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ แขนง หรือมากกว่า ยาว ๑๕-๒๕ ซม. ผิวนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕-๔ เซนติเมตร มีแอนนูลัส ปลายมนรวมทั้งกลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นแล้วก็จากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากกิ้งก้าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ ซม. ตอนบนครึ้มตอนล่างเรียวเล็ก โดยมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นมาจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากดก มีร่องแลกเปลี่ยนจุดเยอะมากๆ ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมแรง รสหวาน ฉุน รวมทั้งขมเล็กน้อย ชาวจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆเยอะแยะ ด้อยกว่าก็แต่ว่าชะเอม (licorice) เท่านั้น จีนใช้ขวดเชียงต่างกันคือ รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากกิ้งก้านน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับระดู แพทย์แผนจีนใช้เครื่องยาชนิดนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี ยกตัวอย่างเช่น ยาขับประจำเดือน ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดไหลทุกประเภท แก้หวัด แก้ท้องอืด ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้คือ ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น อวัยวะสืบพันธุ์ เพื่อให้ปฏิบัติสามีก้าวหน้ารวมทั้งเมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย ตำราบริบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมยวนใจ รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้ทิ่มแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ประเภทหนึ่งใน พิกัดโกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์อีกทั้ง ๗ และโกษฐ์ทั้งยัง ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาครอคอยล (carvacrol) เป็นต้น นอกเหนือจากน้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลากหลายประเภท อย่างเช่น สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกสิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid) โกษฐ์สอเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ อย่างเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรหมายความว่าขาว หนังสือเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก ป๋ายจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจักจี้ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากยิ่งกว่า อาจแยกกิ่งก้านสาขาตรงปลาย มีกลิ่นหอมยวนใจแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน อวบสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๕ เซนติเมตร (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขน หรือหยักลึกแบบขน ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่แกมสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ ซม. ยาวถึง ๕๐ เซนติเมตร แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกปนรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ ซม. ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบน้อย ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบด้านบนรถรูปเหลือเพียงแค่กาบที่เกือบจะไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบเสริมแต่งมี ๐-๒ ใบ คล้ายกาบ ป่องออกห่อช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางครั้งบางคราวถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบตกแต่งย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกแกมรูปแถบ ยาวเกือบเท่าดอกย่อย กลีบเลี้ยงฝ่อ กลีบดอกไม้มี ๕ กลีบ รูปไข่กลับ ขนาดเล็ก ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลเป็นปีกยื่นออก ผลได้ผลแผนผักชี ข้างล่างแบนราบ รูปรีกว้าง กว้างถึง ๔-๖ เซนติเมตร ยาว ๔-๗ เซรดีเมตร สันด้านล่างครึ้มกว่าร่อง สันข้างๆแผ่เป็นปีกกว้าง มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่มี ๒ ท่อ ตรงแนวเชื่อม ดอกบานราวเดือนกรกฎาคมคงจะถึงเดือนสิงหาคม แล้วก็สำเร็จราวส.ค.ถึงกันคุณยายน พืชนี้มีเขต ผู้กระทำระจายชนิดในประเทศจีน ญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี แล้วก็รัสเซีย (ไซบีเรีย) ชนิดที่เจอทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจีนเป็นจำพวก A. dahurica (Fisch. ex Hoffm.) Benth. & Hook.f. ex Franch. & Sav. var dahurica มากขึ้นจากเทือกเขาสูงรวมทั้งเปียกชื้น ในซอกเขา ริมน้ำ แล้วก็ชายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตเหอเปย์ เฮย์หลงเจียง จี๋หลิน เหนียวหนิง และระเบียงซี ชนิดนี้ได้รับการพัฒนาเป็นพืชปลูก ที่นิยมกันมาก สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ A dahurica cv.Oibaizhi (ปลูกมากมายที่บริเวณเหอครึ้มน) ส่วนพันธุ์ที่พบทางภาคเหนือของเกาะไต้หวันเป็น A.dahurica (Fisch. ex Hoffm.)Benth. & Hook.f. ex Franch. & Sav. var. formosana (H. Boissieu) ประเภทนี้รังไข่และก็ผลมีขน ซึ่งจะแตกต่างจากประเภททางภาคเหนือ จำพวกนี้กฌได้รับการพะฒนาเป็นพิชปลูกเหมือนกัน แล้วก็ที่นิยมนำมาปลูกกันมากมี ๒ สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์ A. dahurica cv. Hangbaizhi (ปลูกมากมายที่มณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยน เจียงซู เจ้อเจียง และก็ถายวาน) สายพันธุ์ A. dahurica cv.Chuanbaizhi (ปลูกมากที่เขตซื่อชักชวน รากของพืชนี้จะถูกขุดขึ้นมาในช่วงฤดูร้อนแล้วก็ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อต้นเริ่มเฉารวมทั้งใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วหลังจากนั้นเอามาล้างน้ำให้สะอาด ตัดรากแขนงออก แล้วตากแดดหรือตากในที่ร่มจนแห้งสนิท หมอแผนไทยเรียกรากแห้งที่ได้ว่า โกษฐ์สอ โกษฐ์สอเป็นรากแห้งรูปกรวย ยาว ๑๐-๒๕ ซม. ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๒.๕ ซม. เกือบจะกลมหรือเป็นสี่เหลี่ยม ปลายมนหรือมีรอยหัก ข้างนอกสีน้ำตาลอมเทาหรือสีน้ำตาลอมเหลือง มีรอยย่นตามแนวยาว มีรอยแผลเป็นของรากกิ่งก้านสาขา เหมือนช่องอากาศนูนขึ้นมาตามแนวขวาง เรียงเป็นแถวตามทางยาว ๔ แถว โคนรากมีรอยแผลเป็นของลำต้น เนื้อรากแน่น รอยหักสีขาวหรือสีขาว
|
|
|
8
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชีววิทยาของเสือโคร่ง
|
เมื่อ: มีนาคม 06, 2019, 08:55:12 pm
|
[/b] เสือโคร่งเสือโคร่งเป็นสัตว์ชนิดแมวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris (Linnaeus) ชนิดที่พบในประเทศไทยเป็นชนิดย่อย Panthera tigris corbetti (Mazak) จัดอยู่ในสกุล Felidae เสือลายพาดร้อยกรอง ก็เรียก ชีววิทยาของเสือโคร่งเสือโคร่งเมื่อโตสุดกำลังมีความยาวลำตัวราว ๒๑๐ ซม. หางยาวราว ๑๐๕ เซนติเมตร สูงราว ๙๕ เซนติเมตร (วัดจากหัวไหล่) น้ำหนักตัว ๑๐๐-๒๑๐ กก. ตัวผู้ที่โตสุดกำลังบางทีอาจหนักได้ถึง ๓๐๐ กก. มีเล็บแหลมคม ซ่อนได้ มีเขี้ยวบน ๒ เขี้ยว ข้างล่าง ๒ เขี้ยว หน้าสั้น มีหนวดแข็ง ตากลมโต ระยิบระยับ ขมตามตัวเป็นเส้นเล็กละเอียด สีเหลืองผสมเทา หรือสีเหลืองอมสีน้ำตาลแดง ท้องสีขาว มีแถบลายดำพิงข้ามหลังลงมาข้างๆลำตัวตลอดตั้งแต่หัวถึงปลายหาง หางมีข้อสีดำสลับเหลือง ปลายหางสีดำ หลังใบหูมีสีดำ แล้วก็มีจุดสีนวลใหญ่เห็นได้ชัด เสือโคร่งเป็นสัตว์ขี้ร้อน ถูกใจเล่นน้ำหรือแช่น้ำมาก ปีนต้นไม้ได้ อาศัยในป่าได้ดูเหมือนจะทุกชนิดที่มีของกิน น้ำ และแหล่งหลบแบบอย่างเพียงพอ ดังเช่น ถ้ำ หลืบหิน ขอนไม้ใหญ่ ป่าที่รกทึบ ออกล่าเหยื่อตั้งแต่ตอนเวลาเย็นไปจนถึงรุ่งเช้า อาหารที่กินได้แก่ กวาง เก้ง หมูป่า โค ควาย และสัตว์อื่นๆ ชอบอยู่สันโดษ ละเว้นตัวเมียที่กำลังเลี้ยงลูกอ่อน ตามปรกติตัวเมียเป็นสัดทุก ๕๐ วัน และเป็นสัดอยู่นาน ๕ วัน คลอดลูกครอกละ ๑-๗ ตัว มีท้องนาน ๑๐๕-๑๑๐ วัน ในธรรมชาติ แก่ได้ ๒๐-๒๕ ปี เคยมีผู้ประมาณว่า ในประเทศไทยมีเหลืออยู่ในธรรมชาติไม่เกิน ๕๐๐ ตัว พบในเทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาใหญ่ แล้วก็ในป่าดิบทางภาคใต้ ในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่ในไซบีเรียไปจนกระทั่งทะเลสาบแคสเปียน ในประเทศประเทศอินเดียแล้วก็ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเกาะเกะสุมาตรา ชวา และบาหลี ที่เลี้ยงกันทั่วๆไปในประเทศไทยเป็นเบงกอล อันเป็นประเภทย่อย ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris tigris (Linnaeus) พบที่ประเทศอินเดีย เนปาล บังกลาเทศ รวมทั้งประเทศพม่า จำพวกย่อยนี้ตัวโตกว่าประเภทย่อยที่พบในธรรมชาติในไทย [/b] ประโยชน์ทางยาหมอแผนไทยรู้จักใช้ส่วนต่างๆของ เสือโคร่งดูเหมือนจะทุกส่วนเป็นเครื่องยา ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเขี้ยว กระดูก หนัง ดีเสื้อ เอ็นเสือ ตาเสือ ไตเสือ แล้วก็เนื้อเสือ แต่ที่ใช้มากมายมี ๑. น้ำมันเสือ หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า น้ำมันเสือมีรสเผ็ด ใช้ต้มผสมกับสุรา กินแก้อาเจียนคลื่นไส้ แก้ผมหงอกก่อนวัย ใน ตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ มียาขนานหนึ่ง เป็นขนานที่ ๖๙ สีผึ้งบี้พระเส้น เข้า “น้ำมันเสือ” เป็นเครื่องยาด้วย ๒. เขี้ยวเสือ โบราณว่ามีรสเย็น มีสรรพคุณดับไข้พิษ ไข้รอยแดง แก้พิษร้อน พิษอักเสบ พิษตานซาง เขี้ยวเสือเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดยาไทยที่เรียก “นวเขี้ยว” หรือ “เนาวเขี้ยว” เช่น เขี้ยวหมูป่า เขี้ยวหมี เขี้ยวเสือ เขี้ยวแรด เขี้ยวสุนัขป่า เขี้ยวปลาพะยูน เขี้ยวจระเข้ เขี้ยวเลียงเขาหิน แล้วก็งา ๓. กระดูกเสือ ตำรายาโบราณว่ามีรสเผ็ดคาว เป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงไขข้อรวมทั้งเนื้อหนัง แก้ปวดบวมตามข้อ แก้โรคปวดข้อ เป็นยาระงับประสาท แก้โรคลมเหียน แก้ปวดตามข้อ เข่า กระดูก บำรุงกระเพาะ ยาขนานหนึ่งใน พระคัมภีร์ไกษย ชื่อ “ยาเนาวหอย” เข้า “กระดูกเสือเผา” เป็นเครื่องยาด้วย กระดูกเสือในยาจีนกระดูกเสือเป็นเครื่องยาที่ใช้ในยาจีน หายากแล้วก็ราคาแพงแพง มีชื่อเครื่องยาในภาษาละตินว่า Os Tigris จีนเรียก หูกู่ (แมนดาริน) ได้จากกระดูกแห้ง (ทุกชิ้น) ของ [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16959780/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87]เสือโคร่[/b][/i]Panthera tigris (Linnaeus) ตำราเรียนยาจีนว่า กระดูกเสือมีรสเผ็ด ฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณไล่ “ลม” และแก้ปวด จึงใช้รักษาโรคลมจับโปง แล้วก็มีสรรพคุณเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูกรวมทั้งกล้าม ใช้แก้อาการอ่อนแรงของกระดูกแล้วก็กล้ามอันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากตับแล้วก็ไต “พร่อง” ขนาดที่ใช้เป็นวันละ ๓-๖ กรัม โดยมักจัดแจงเป็นยาเม็ดลูกร้อยกรอง ยาผง แล้วก็ยาดองเหล้า ก่อนนำกระดูกเสือมาใช้เป็นเครื่องยา ต้องละเนื้อออกให้หมด ตากให้แห้ง แล้วเลื่อยออกเป็นชิ้นเล็กๆหรืออาจเอากระดูกชิ้นเล็กๆมาทอดด้วยน้ำมันสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วทำให้เย็นก่อนนำมาใช้ เพราะเหตุว่ากระดูกเสือเป็นเครื่องยาหายากรวมทั้งมีราคาแพง จึงมีของปลอมขายในตลาดมาก ส่วนใหญ่เป็นกระดูกโค ๔. น้ำนมเสือ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่ามีรสมันร้อน มีคุณประโยชน์บำรุงกำลังแก้หืด ดับพิษร้อน มียาหยอดตาขนานหนึ่งใน พระคู่มือปฐมจินดาร์ เข้า “นมเสือ” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ ยาหยอดตาสำหรับกัน ขนานนี้ท่านให้เอา นอแรด ๑ นมเสือ ๑ ผลสมอเทศ ๑ รากตำลึงเพศผู้ ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน บดทำแท่ง ฝนด้วยน้ำค้าง หยอดแก้สารพันตานทรางทั้งหมดขึ้นตา แล้วจึงแต่งยาชื่อว่าคุณประโยชน์ลิกานั้น สำหรับแก้ตานขโมย พวกนี้ถัดไป
|
|
|
9
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สีเสียด เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าทึ่ง
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2019, 04:43:40 pm
|
[/b] สีเสียดชื่อสมุนไพร สีเสียด[/size][/b] ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น สีเสียดเหนือ ,สีเสียดไทย (ภาคกึ่งกลาง),สีเสียด,ขี้เสียด,สีเสียดเหลือง(ภาคเหนือ),สีเสียดแก่น(ราชบุรี),สะเจ(ไทยใหญ่)ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia catechu (L.f.) Willd.ชื่อสามัญ Black Catechu ,Catechu Tree, Cutch tree,Acacia catechu, Cutchสกุล LEGUMINOSAE- MIMOSACEAEบ้านเกิดสีเสียดเสียดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดในทวีปเอเชียตั้งแต่ ตะวันตกของปากีสถาน ศรีลังกาอินเดียไปจนกระทั่งพม่าจีน,ไทยและก็ประเทศต่างๆในรอบๆห้วงมหาสมุทรประเทศอินเดีย ถัดมามีการกระจายจำพวกไปในประเทศต่างๆในรอบๆใกล้เคียง สำหรับในประเทศไทยมักขึ้นเรี่ยราดตามป่าโปร่งและป่าละเมาะ บนที่ราบ แล้ง โดยสามารถขึ้นเป็นกรุ๊ปๆบนพื้นที่เสื่อมโทรมที่มีสภาพดินหยาบช้าแล้วก็มีก้อนกรวดหินผสมปนเป มีการระบายน้ำดี เป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกใจแสง คงทนต่อสภาพแห้งแล้ง สามารถแตกหน่อได้อย่างรวดเร็ว ลักษณะทั่วไปสีเสียดสีเสียดจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลาง สูง 10-15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดโปร่ง ตามลำต้นและก็กิ่งมีหนามแหลมโค้งออกในลักษณะเป็นคู่ เปลือกเป็นสีเทาคล้ำหรือสีเทาอมน้ำตาลตะปุ่มตะป่ำแตกล่อนเป็นแผ่นยาว แก่นสีน้ำตาลปนแดง ใบ เป็นแบบใบประกอบแบบขนสองชั้น เรียงสลับ ช่อใบกิ้งก้านเรียงตรงข้ามกัน 10-20 คู่ ใบย่อย 30-50 คู่ เรียงตรงข้าม ใบรูปแถบ กว้าง 0.5-1 มิลลิเมตร ยาว 4-7 มิลลิเมตร ปลายใบมน โคนใบเบี้ยว ใบหมดจด หรือมีขนบางส่วนเส้นแขนงใบข้างละ 6-7 เส้น ก้านใบหลักยาวราว 3-4 ซม. มีขน ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดเหมือนช่อหางกระรอกตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อยาว 5-9 เซนติเมตร ดอกย่อยขนาดเล็ก สีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน กลีบ 5 กลีบ ยาว 0.2-0.3 ซม เกสรเพศผู้จำนวนหลายชิ้น เป็นเส้นเล็กสีขาว ดอกบานเต็มที่กว้าง 2-3 มม. มีกลิ่นหอมยวนใจ ผลออกเป็นฝักแห้งแตก ฝักแบนรูปขอบขนานหัวด้านหลังแหลม ยาว 5-10 เซนติเมตร ฝักแก่สีน้ำตาลคล้ำเป็นเงา เม็ด มี 3-7 เมล็ดต่อฝัก ลักษณะแบน สีน้ำตาลอมเขียว เนื้อไม้ มีสีแดงเข้มถึงน้ำตาลปนแดง เป็นเงาเลื่อม เศษไม้สน เนื้อแน่น แข็งเหนียว ส่วนแก่นของต้นมีสีน้ำตาบแดง และก็ทน เลื่อยผ่า ตบแต่งได้ยาก การขยายพันธุ์สีเสียดสีเสียดสามารถแพร่พันธุ์ได้ 2 แนวทาง เป็น แบบอาศัยเพศ ใช้เม็ดเพาะในแปลงเพาะ โดยการทำการเก็บฝักแก่จากต้น โดยจะสังเกตว่าฝัหมีสีน้ำตาลคล้ำเป็นเงา นำไปผึ่งแดดให้แห้ง 2-3 วัน ฝักจะแตกอ้าตามรอยตะเข็บข้างๆเมล็ดแก่จะมีสีน้ำตาลอมเขียว เป็นมัน แล้วนำเม็ดไปเพาะในแปลงเพาะ ซึ่งจะมีเปอร์เซ็นต์การงอกประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ และก็เมล็ดจะใช้เวลาในการงอก 10 วัน ก็เลยย้ายชำต้นกล้าลงถุงพลาสติกที่ได้ตระเตรียมดินไว้แล้ว แล้วต่อจากนั้นดูแลรักษากล้าราวๆ 4-5 เดือน ก็เลยนำไปปลูกลงในพื้นที่ที่อยากต่อไป สำหรับเพื่อการเพาะเมล็ด อาจจะใช้วิธีหยอดเม็ดลงในถุงพลาสติกโดยตรงแล้ว รักษาต้นกล้าให้เจริญเติบโตจนกระทั่งระยะปลูกก็ได้เหมือนกัน แบบไม่อาศัยเพศ โดยการใช้เหง้าปลูก ด้วยเหตุว่าไม้แก่นเป็นไม้โตเร็ว จึงสามารถแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติด้วยการแตกหน่อได้ด้วย สำหรับในการระบุระยะ ถ้าเกิดอยากใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ควรปลูกระยะห่าง 2x3 เมตร หรือ 4x4 เมตร แม้กระนั้นถ้าเกิดปลูกเพื่ออยากผลิตไม้ฟืนหรือถ่าน ควรปลูกระหว่าง 2x2 หรือ 2x4 เมตร และหากปลูกเพื่ออยากได้เก็บเม็ดสำหรับในการทำแหล่งเมล็ดพันธุ์ ควรปลูก 2x2 หรือ 2x4 ส่วนประกอบทางเคมีสาระสำคัญกรุ๊ปหลักที่พบใน สีเสียดไทย คือ สารกรุ๊ปแทนนิน (tannins) ที่ทำให้พืชสมุนไพรประเภทนี้รสฝาด ได้แก่ catechutannic acid ในปริมาณ 20-35%, acacatechin 2-10%, epicatechin, phlobatannin, protocatechu tannins, pyrogallic tannins, epicatechin-3-O-gallate, epigallocatechin3-O-gallate นอกจากนี้ยังเจอสารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ (flavoniods) ประกอบด้วย quercetin, quercetagetin, fisetin flavanol dimers, flavonol glycosides, 5,7,3´,4´-tetrahydroxy-3-methoxy flavone-7-O-β-D-galactopyranosyl-(1→4)-O-β-D-glucopyranoside รวมทั้งยังเจอสารกรุ๊ปอื่นๆยกตัวอย่างเช่น catechu red แล้วก็ caffeine และถ้าแยกเป็นแต่ละส่วนออกมาจากสารต่างๆดังนี้ ใบ พบ Catechin, Isoacacatechol, Tannins isoaca catechol acetate เปลือกต้นพบสารพวก Catechol, Gallic acid, Tannin, แก่นมีสาร Catechin, Dicatechin, 3′ ,4′ ,7′ , -Tri-O-methyl catechin, 3′ ,4′ ,5 , 5′ , 7-sPenta-O-methyl gallocatechin, ใบมีสาร -(+)-Chatechin, Isoacacatechol, Tannins isoacacatechol acetate ส่วนอีกทั้งต้นมีสาร Epicatechin สรรพคุณเสียดสีในประเทศไทยมีการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆเยอะมาก เช่น มีการเปลือกต้นแล้วก็ก้อน มาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้าและฟอกหนังสัตว์ โดยเนื้อไม้หรือแก่นของจะให้สีน้ำตาล ซึ่งสามารถนำมาใช้ย้อมผ้า แห อวน และหนังได้ หรือจะใช้เปลือกต้นนำมาย้อมสีเส้นไหม โดยการลอกเอาเฉพาะเปลือกต้นแล้วนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆต้มสกัดสีกับน้ำ ในอัตราส่วน 1:2 ซึ่งจะได้เส้นไหมสีน้ำตาล ฯลฯ สีเสียดมีเนื้อไม้สีแดงเข้มถึงน้ำตาลทรายแดง ลักษณะวาวเลื่อมเหนียว คงทน ขัดชักเงาก้าวหน้า สามารถประยุกต์ใช้ผลดีสำหรับในการทำวัสดุ เครื่องใช้ต่างๆหรือใช้ทำเสาเรือนใช้สำหรับกลึง แกะ สำหรับต้นที่ลักษณะไม่ดีก็ใช้ทำฟืนเชื้อเพลิงหรือใช้เพื่อการเผาถ่านได้ ส่วนใบใช้เป็นอาหารสัตว์ประเภท โค ควาย หรือใช้ต้นใช้เลี้ยงครั่งได้เช่นเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ชาวเขาในเชียงใหม่ ยังมีการใช้แก่นไม้ เอามาเคี้ยวรับประทานกับหมากได้อีกด้วย สำหรับสรรพคุณทางด้านสมุนไพรนั้น ตามตำรายาไทยได้มีการนำมาทำเป็นเครื่องยาโดยการนำแก่นต้น สับให้เป็นชิ้นๆแล้วต้มและเคี่ยว ต่อจากนั้นระเหยน้ำที่ต้มได้ให้เหนียวข้น จะได้ของแข็งเป็นก้อน สีน้ำตาลดำ วาว แข็ง รูปร่างไม่แน่นอน ผิวนอกหยาบคาย มีด้านในด้านหนึ่งที่แตกจะแวววาว ไม่มีกลิ่น รสขม ฝาดจัด ซึ่งมีสรรพคุณ แก้ท้องเสียเรื้อรัง ลำไส้อักเสบ รักษารอยแผล แก้ปากเป็นแผล ใส่แผลเปื่อยยุ่ยรวมทั้งริดสีดวง และการบาดเจ็บที่มีเลือดออก บดหรือต้มกินแก้ท้องเสีย คุมธาตุ แก้บิดมูกเลือด แก้ลงแดง ทารักษารอยแผล รักษาโรคผิวหนัง ต้มล้างบาดแผล ไทยเป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง ห้ามเลือดที่ออกมาจากจมูก แก้บิด ล้างแผลหัวนมแตก ล้างแผลถูกไฟไหม้ ทำให้แผลหายเร็ว และก็ยังคงใช้ส่วนต่างๆของต้นเป็นสมุนไพรได้โดยจะมีสรรพคุณดังต่อไปนี้ แก่นไม้ แก้ท้องร่วง,รักษาโรคผิวหนัง,แก้บิด,ปิดธาตุ,แก้ลงแดง เปลือกต้น แก้บิด แก้ท้องร่วง สมานแผล แก้ท้องเดิน เมล็ดในฝัก ฝนแก้โรคหิด แผลน้ำกัดเท้า นอกจากนั้นบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) ปรากฏการใช้สีเสียดไทย ในยารักษาอาการของโรคในระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ ”ยาเหลืองปิดสมุทร” มีส่วนประกอบของไทย รวมทั้งเทศ ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ทุเลาอาการท้องร่วงจำพวกที่ไม่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น อุจจาระไม่เป็นมูก หรือมีเลือดปนแล้วก็ท้องร่วงชนิดที่ไม่มีไข้ได้อีกด้วย [/b] ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้สำหรับเพื่อการนำก้อนมาใช้จำเป็นต้องเอามาบดเป็นผงราว 0.3-2 กรัม แล้วชงน้ำดื่ม หรือต้มเอาน้ำรับประทานช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน แก้บิด หรือใช้ทารักษาแผลต่างๆก็จะช่วยรักษาแผลล้างรอยแผล ใช้ห้ามเลือด และก็รักษาโรคผิวหนัง น้ำกัดเท้าได้ แก้แผลเรื้อรัง ใช้เปลือกต้น ต้มกับน้ำ ใช้ล้างแผล หัวนมแตก ใช้ล้างแผล แก้แผลเน่าเรื้อรัง น้ำกัดเท้า แก้โรคหิด ใช้เมล็ดฝัก ฝนทาแก้โรคหิด แผลน้ำกัดเท้า หรือจะใช้ผง สีเสียดเป็นยาฝาดสมาน แก้อาการท้องเดิน โดยผสมกับผงอบเชย ในปริมาณเท่าๆกัน ถ้าเกิดท้องเดินมากมายใช้ 1 กรัม ถ้าเกิดน้อยใช้ 1/2 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ต้มหนึ่งชั่วโมง กรอง รับประทานทีละ 4 ช้อนแกง (โดยประมาณ 30 มล.) วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงผสมกับน้ำมันพืช ทาแผลน้ำกัดเท้า การศึกษาทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ต้านจุลชีวิน มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านจุลชีวิน พบว่าสารสกัดน้ำ เมทานอล และก็เฮกเซน จากไทยมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli O157:H7, Pseudomonas aeruginosa, Salmonella typhi, Bacillus subtilis, Bacillus cereus, Staphylococcus aureus รวมทั้ง methicillinresistant S. aureus ได้ นอกนั้นยังพบว่าสารสกัดเฮกเซนจากเปลือกต้นไทยมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา Candida albicans รวมทั้ง Aspergillus niger ได้ ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย มีการทดลองพบว่ามีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ทดสอบสารสกัดเอทานอล (80%) จากลำต้นแห้ง ความเข้มข้น 6.25 มก./มล. กับเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ในจานเพาะเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์อ่อนๆเมื่อเปลี่ยนแปลงมาใช้สารสกัดเอทานอล (95%) จากเรสินของ [url=https://www.disthai.com/17063033/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94]สีเสีย[/b][/i] พบว่ามีฤทธิ์ มีการทดลองน้ำสกัด สารสกัดเฮกเซน และก็สารสกัดเอทานอล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ของพืชหลายชนิดในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียประเภทต่างๆโดยวิธี agar well diffusion จากผลของการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลจากเปลือกของ มีฤทธิ์ต้าน S. aureus ส่วนน้ำสกัดมีฤทธิ์อ่อนๆแล้วก็สารสกัดเฮกเซนไม่มีฤทธิ์ ฤทธิ์ต้านทานอาการท้องเสีย สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์น้ำจากเปลือกต้น (Acacia catechu Willd.) ซึ่งประกอบด้วยสารกรุ๊ป catechins อย่างเช่น (-)-epicatechin แล้วก็ (+)-catechin มีฤทธิ์ลดความถี่และก็ความแรงในการหดเกร็งตัวของลำไส้ใหญ่และก็ลำไส้เล็กส่วนปลายที่แยกได้จากหนูตะเภา โดยฤทธิ์การขัดขวางจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนสารสกัดที่ให้ สารสกัดจากต้นสามารถเสริมฤทธิ์ของ calcium antagonist สำหรับเพื่อการต่อต้านการหดเกร็งบริเวณลำไส้ใหญ่มากกว่าส่วนของลำไส้เล็กส่วนปลาย แล้วก็สามารถออกฤทธิ์คลายการหดเกร็งของลำไส้ใหญ่รวมทั้งลำไส้เล็กส่วนปลายจากการเหนี่ยวนำด้วยสาร carbachol ซึ่งเป็นการรับรองว่าเปลือกต้นมีฤทธิ์ต้านทานการยุบเกร็งของไส้ผ่านการหยุดยั้ง muscarinic receptors แล้วก็ Ca2+ channels ของเซลล์ จากการทดลองฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลให้เกิดอาการท้องเดิน พบว่าสารสกัดจากต้นสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ Campylobacter jejuni, Escherichia coli และก็ Salmonella spp โดยไม่เป็นผลต่อเชื้อจุลินทรีย์ชนิด Bifido แล้วก็ Lactobacillus ในลำไส้เมื่อให้ที่ความเข้มข้น 5 เท่าของฤทธิ์ต้านการหดเกร็ง ก็เลยสามารถสรุปได้ว่าสารสกัดจากต้นออกฤทธิ์ทุเลาอาการท้องเดิน โดยการต้านการยุบเกร็งในลำไส้มากกว่าฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงน่าจะเป็นผลดีต่อการรักษาอาการท้องเสียที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการได้รับเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ต่อต้านอักเสบ การทดลองนำสารสกัดผสมระหว่าง baicalin จาก Scutellaria baicalensis และก็ (+)- Catechin จาก A. catechu มาทดสอบฤทธิ์ลดการอักเสบ พบว่าสารผสมดังที่ได้กล่าวมาแล้วสามารถยั้งลักษณะการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase (COX) และ 5-lipoxygenase (5-LOX) ได้ โดยมีค่า IC50 (50% inhibitory concentration) ต่อ ovine COX-1 and COX-2 peroxidase enzyme และก็ potato 5-LOX enzyme พอๆกับ 15 g/mL แล้วก็ 25 g/mL เป็นลำดับ ฤทธิ์ต่อต้านออกซิเดชั่น การเรียนฤทธิ์ต้านทานออกซิเดชั่นของส่วนสกัดเอธานอลจาก A. catechu (L.f.) Willd. ด้วยแนวทาง 1,1-Diphenyl-2-picrylhydrazyl (DPPH)assay โดยเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน Buthylated Hydroxyl toluene (BHT) รวมทั้ง Quercetin ได้ค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (IC50) เท่ากับ 10.45μg/ml และก็ 2.73 μg/ml เป็นลำดับ การศึกษาทางพิษวิทยาการทดลองความเป็นพิษทดลองฉีดสารสกัดเอทานอล (50%) จากลำต้น เข้าทางท้องหนูถีบจักร พบว่าความเข้มข้นสูงสุดที่สัตว์ทดลองทนได้ คือ 100 มิลลิกรัม/กก. พิษต่อเซลล์ทดสอบสารสกัดเอทานอล (50%) จากลำต้นกับ CA-9KB โดยมี ED50 มากกว่า 20 มคก./มิลลิลิตร พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีพิษต่อเซลล์ มีการทดสอบสารสกัดจากเปลือกกับเซลล์จากปลายรากของหอมหัวใหญ่ จากการทดสอบพบว่า สารสกัดจากเปลือก มีฤทธิ์ยั้งการแบ่งเซลล์เมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์เมื่อทดสอบสารสกัดจากแก่นไม้แห้ง (ไม่ระบุชนิดสารสกัด) ความเข้มข้น 250 มคก./จานเพาะเชื้อ กับ Salmonella typhimurium TA100, TA1535, TA1538, TA98 พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่มีฤทธิ์ ข้อเสนอ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง การเลือกใช้สีเสียดเป็นยาสมุนไพร ควรพิจารณาถึงความปลอดภัย เช่นเดียวกับสมุนไพรประเภทอื่น เป็น ไม่สมควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน และไม่ควรจะใช้เกินจำนวนที่กำหนดตามตำรายา เพราะว่าบางทีอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ ในการเลือกใช้ สีเสียดก้อนนั้นควรคิดถึงความสะอาดแล้วก็ควรจะเลือกก้อนที่ไม่มีสิ่งเจือปนอื่นๆติดมาหรือควรเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เอกสารอ้างอิงนพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และนงลักษณ์ เรืองวิเศษ.วิเคราะห์ วิจัยคุณภาพเครื่องยาไทย.คอนเซพท์ เมดิคัส จำกัด กรุงเทพมหานตรา 2551.หน้า502-510 จงรัก วัจนคุปต์. การตรวจหาสมุนไพรไทยที่มีอำนาจทำลายเชื้อแบคทีเรีย. Special Project Chulalongkorn Univ, 1952. ผศ.ดร.ศิริมา สุวรรณกูฏ. สีเสียด.สมุนไพรแก้ท้องร่วง.บทความสมุนไพรฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นิจศิริ เรืองรังสี และธวัชชัย มังคละคุปต์.สมุนไพรไทย เล่ม 1.สำนักพิมพ์บี เฮลท์ตี้ กรุงเทพฯ2547.หน้า305. .ฐานข้อมูลสมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เหนือ Catechu Tree / Cutch Tree”. หน้า 32. ฤทธิ์ต้านอาการท้องเสียของต้น.ข่าวความเคลื่อนไหนสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. เหนือ.กลุ่มยารักษาน้ำกัดเท้า.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิดโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี(ออนไลน์) สมสุข มัจฉาชีพ.พืชสมุนไพร.รุ่งศิลป์การพิมพ์.กรุงเทพฯ.พิมพ์ครั้งที่2.2542.หน้า280. ศุภยางค์ วรวุฒิคุณชัย.หลิน กิจพิพิธ.ฤทธิ์ต้านเชื้อของสารสกัดสมุนไพรไทยต่อ clinical isolates ของ methicillinresistant Staphylococcus aureus. วารสารสงขลานครินทร์. 2548. 27(Suppl. 2) หน้า 525-34. ไทย.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ออนไลน์) วันดี กฤษณพันธ์ เกร็ดความรู้สมุนไพร.สำนักพิมพ์ดิคัล มีเดีย กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 2.2539หน้า125. Shen D, Wu Q, Wang M, Yang Y, Lavoie EJ, and Simon JE. Determination of the Predominant Catechins in Acacia catechu by Liquid Chromatography/Electrospray Ionization-Mass Spectrometry. J. Agric. Food Chem 2006, 54 (9): 3219-24. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สีเสียดเหนือ”. หน้า 784-785. Valsaraj R, Pushpangadan P, Smitt UW, Adsersen A, Nyman U. Antimicrobial screening of selected medicinal plants from India. J Ethnopharmacol 1997;58(2):75-83. . Saini ML, Saini R, Roy S, and Kumar A. Comparative pharmacognostical and antimicrobial studies of acacia species (Mimosaceae). J Med Plants Res 2008, 2 (12): 378-86. Shrimal SK. Antimitotic effect of certain bark extracts. Broteria Ser Trimest Cieng Nat 1978;48(3/4):55-8. Jayshree D. Patel, Vipin Kumar, Shreyas A. Bhatt. Antimicrobial screening and phytochemical analysis of the resin part of Acacia catechu. Pharmaceutical Biology 2009, 47(1): 34-7. Ray PG, Majumdar SK. Antimicrobial activity of some Indian plants. Econ Bot 1976; 30:317-20. . Burnett BP, Jia Q, Zhao Y, and Levy RM. A Medicinal Extract of Scutellaria baicalensis and Acacia catechu Acts as a Dual Inhibitor of Cyclooxygenase and 5-Lipoxygenase to Reduce Inflammation. J Med Food 2007, 10 (3): 442-51. Dhar ML, Dhar MM, Dhawan BN, Mehrotra BN, Ray C. Screening of Indian plants for biological activity: part I. Indian J Exp Biol 1968; 6:232-47. Ramli S, Bunrathep S, Tansaringkarn T, and Ruangrungsi N. Screening for free radical scavenging activity from ethanolic extract of Mimosaceous plants endemic to Thailand. J Health Res 2008, 22(2): 55-9. Nagabhushan M, Amonkar AJ, Nair UJ, Santhanam U, Ammigan N, D'souza AV, Bhide SV. Catechin as an antimutagen: its mode of action. J Cancer Res Clin Oncol 1988;114(2):177-82. Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F. Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties. J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. Tags : ประโยชน์สีเสียด,สรรพคุณสีเสียด
|
|
|
10
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์
|
เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 05:45:17 pm
|
อังกาบหนูชื่อสมุนไพร อังกาบหนูชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria prionitis Linn.ชื่อสามัญ Porcupine flowerวงศ์ ACANTHACEAEถิ่นกำเนิด อังกาบหนูเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนต่างๆทั่วโลก โดยมีเขตการกระจายประเภทในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆดังเช่น แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชารวมทั้งไทย สำหรับในประเทศไทย พบมากขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งทางภาคใต้แล้วก็ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ลักษณะทั่วไปอังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มิลลิเมตร 2-3 อัน ใบคนเดียวเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ปนวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 ซม. ยาว4.3-10.5 เซนติเมตร ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 ซม.ดอกเดี่ยวมองเหมือนช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบแต่งแต้มรูปแถบปนขอบขนาน กว้าง 2-8 มิลลิเมตร ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบประดับย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มม. ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกแฉรูปไข่ปนขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 15 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบปนใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มม. ปลายเว้าตื้น กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีแกมขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มิลลิเมตร เมล็ดรูปวงรีปนขอบขนาน 2 เมล็ด กว้าง 5 มม. ยาว 8 มิลลิเมตร มีขนเหมือนไหม การขยายพันธุ์ อังกาบหนูเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่งอกงามได้ดิบได้ดีในดินทุกประเภท โดยยิ่งไปกว่านั้นดินที่ร่วนซุยระบายน้ำก้าวหน้า และมีความชื้นในระดับปานกลาง สามารถแพร่พันธุ์ได้ ด้วยเม็ด แล้วก็การตอนกิ่ง อังกาบหนูเป็นต้นไม้ที่ดูแลง่ายดาย ไม่ค่อยชอบความร่มเงามาก เติบโตก้าวหน้าทั้งในบริเวณที่แสงตะวันจัดเต็มวันหรือแสงตะวันร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรคและแมลงมารบกวนอีกด้วย ในฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินมักจะแห้งตาย แม้กระนั้นส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกทีหนึ่งในฤดูฝน องค์ประกอบทางเคมี ใบอังกาบหนูมีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones นอกนั้นใบแล้วก็ยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein ผลดี / คุณประโยชน์ สรรพคุณของ อังกาบหนูตามยาแผนโบราณกล่าวว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยทำนุบำรุงธาตุอีกทั้งสี่ ช่วยละลายเสลด ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้กลากโรคเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้ของกินไม่ย่อย ช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ กลากเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ ยิ่งกว่านั้นอินเดียยังคงใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้โรคหืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานทีละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ โรคไอกรน ลดเสลด ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีความรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย จากการสืบค้นข้อมูลงานค้นคว้าวิจัยของอังกาบหนูจะมองเห็นได้ว่ายังการศึกษาต่ำในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเล่าเรียนในหลอดทดลองแล้วก็ในสัตว์ทดลองในฤทธิ์ต่างๆอย่างเช่น ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ต่อต้านเชื้อรา ต้านทานการอักเสบ ต้านทานอนุมูลอิสระ เป็นต้น แม้กระนั้นยังไม่มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังไม่มีคุณวุฒิวิจัยเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง เป็นเพียงแต่การบอกเล่าต่อๆกันมา ด้วยเหตุนั้นถ้าต้องการใช้ต้นอังกาบหนู สำหรับในการรักษาโรคมะเร็งควรจะใช้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาโดยกรรมวิธีการหมอแผนปัจจุบัน อย่างไรก็แล้วแต่การใช้สมุนไพรจำต้องใช้อย่างระแวดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีข่าวซุบซิบว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้นั้น แบบอย่าง / ขนาดวิธีใช้ การใช้คุณประโยชน์ทางยามีรายงานการใช้คุณประโยชน์จากส่วนต่างๆดังนี้ ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นตีนแตก ใช้ใบสดบดแก้อาการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือเอามาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้โรคกลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดไหลตามไรฟัน ราก เอามาตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้กลาก แก้ของกินไม่ย่อย หรือเอามาตำให้รอบคอบใช้ใส่รอบๆที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก รากและก็ดอก อังกาบเอามาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยเจริญก้าวหน้าธาตุไฟได้ดิบได้ดีรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษากลากโรคเกลื้อน หากนำมาใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าทั้งยัง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับแก้ข้ออักเสบได้ เปลือกลำต้น เอามาบดให้เป็นผุยผงรับประทานทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดลักษณะของการปวดจากไขข้ออักเสบ อีกทั้งต้น เอามาสกัดเอาน้ำมันมานวดหัวทำให้ผมดำ ทั้งต้นนำมาต้มดื่มครั้งละ 50-100 มิลลิลิตร แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมเรียกตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มอสุจิ โดยนำอีกทั้งต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผุยผง ใช้ทีละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน ในเรื่องที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาตีให้แหลก นำไปแช่ลงไปภายในน้ำซาวข้าว พอกรอบๆที่บวม ยอดอ่อน นำมาบดในกรณีที่เป็นแผลในปาก การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา การเรียนรู้ในหลอดทดสอบพบว่า สารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลและน้ำมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยแนวทาง DPPH และก็ ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมากว่าสารสกัดน้ำ การเรียนหาปริมาณสารประกอบฟีโนลิก รวมทั้งฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกและก็ลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีจำนวนสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมมากที่สุด โดยมีค่าเทียบเท่ากรดมึงลลิกเท่ากับ 67.48 มิลลิกรัม/ก. น้ำหนักพืชแห้ง แล้วก็มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ DPPH และhydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) พอๆกับ 336.15 แล้วก็ 568.65 มคก./มล. เป็นลำดับ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู ดังเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ป phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 พอๆกับ 0.41 มก./มล. และก็มีฤทธิ์ยับยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 12.4 ไมโครโมลาร์ นอกจากนี้เจอสารกลุ่มiridoid glycosides ได้แก่ shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside และก็ lupulinoside มีฤทธิ์ต้าน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในตอน 5–50 มิลลิกรัม/มล. ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ รวมทั้งเอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) รวมทั้ง cyclooxygenase-2 (COX-2) แล้วก็ยับยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูจำพวกที่ 3 และ ชนิดที่4 ขนาด 400 มก./กิโลกรัม นน. ตัว ให้กับหนูที่รั้งนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 และก็55.75% เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกเหนือจากนั้นเมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มก./กก. นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารคารจีแนน และก็รั้งนำให้เกิดอาการปวดด้วยกรดอะสิตำหนิก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% แล้วก็ลดลักษณะของการปวดได้ 30.6% เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มก./ กิโลกรัมนน. ตัว ที่สามารถลดการอักเสบได้ 57.5% และก็ลดลักษณะของการปวด 36.4% ตามลําดับ ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline และ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดทั้งยังต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา การเรียนในหลอดทดลองเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล และเอทานอล สามารถต้านเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae และก็ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีศักยภาพสูงที่สุด ในระหว่างที่ลำต้นรวมทั้งรากของต้ อังกาบหนู[/url]ด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน และก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้ ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดลองในหลอดทดสอบ พบว่าขนาดความเข้มข่นที่มีผลสำหรับในการต่อต้านเชื้อไวรัสที่ส่งผลให้เกิดโรคในระบบทางเท้าหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคกรัม/ มิลลิลิตร รวมทั้งขนาดความเข้มข้นที่ส่งผลสำหรับในการฆ่าเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งเดียว (ID50) มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./มล. ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มก./นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด แล้วก็เพิ่มระดับไกลวัวเจนในตับได้ ฤทธิ์คุ้มครองตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบรวมทั้งลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท และหนูเม้าส์ก่อนที่จะรั้งนำให้เกิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน รวมทั้งพาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มก./กิโลกรัม นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าวิชาชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin และก็triglyceride นอกจากนั้นยังเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี glutathione ในตับแล้วก็ลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยปกป้องรักษาเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม นน. ตัว ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดอีกทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำแล้วก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 และก็ 100 มก./มล. พบว่าฤทธิ์สำหรับเพื่อการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต แล้วก็ฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มก./มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 รวมทั้งพยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ตอนที่สารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 รวมทั้งพยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มล. ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 รวมทั้ง พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดราก อังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้มีสาเหตุจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับในการรบกวนการสร้างอสุจิ ลดจำนวนน้ำเชื้อ และทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดลง สารสกัดมีผลลดน้ำหนักอัณฑะ รวมถึงมีผลลดจำนวนโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) และกลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งส่งผลให้การผลิตอสุจิ โครงสร้างและก็หน้าที่ของอสุจิไม่ดีเหมือนปกติไป การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การเรียนรู้ ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบแล้ว ก็ลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทาน ขนาดที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ 100 - 3,000 มก. เป็นเวลา 15 วัน ไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติอะไรก็ตามและไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งเดียว LD50 มีค่ามากกว่า3,000 มก./กก. และก็ถ้าหากฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าพอๆกับ 2,530 มก./กก. ± 87 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งจัดว่าออกจะไม่เป็นอันตราย ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง1. การใช้อังกาบหนูสำหรับการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่ระบุไว้ ไม่สมควรใช้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นรวมทั้งใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานด้วยเหตุว่าอาจมีผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายได้ 2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคตับ โรคไต เบาหวาน ควรจะใช้ให้ละเอียดและก็ควรปรึกษาหมอที่ให้การรักษาด้วยเสมอ 3. ในการใช้สมุนไพรอังกาบหนูโดยตลอดจะต้องมีการเจาะเลือดดูค่าลักษณะการทำงานของตับแล้วก็ไตอยู่เสมอ 4. ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยอีกทั้งในมนุษย์แล้วก็สัตว์ทดลองว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้ ดังนั้นถ้าอยากได้จำใช้สำหรับเพื่อการรักษาโรคมะเร็งควรใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย เอกสารอ้างอิง- พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
- อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
- ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/[/b]
- Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
- Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
- Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
- Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
- Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
- Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
- Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
- . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
- Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
- Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
- Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
- Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
- Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
- Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
- Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
- Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
- Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
- Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.
Tags : อังกาบหนู
|
|
|
11
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพร เพชรสังฆาต มีประโยชน์เเละสรรพคุณ
|
เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 12:29:56 pm
|
เพชรสังฆาตชื่อสมุนไพร เพชรสังฆาตชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus quadrangularis Linn.วงศ์ Vitaceaeถิ่นกำเนิดเพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นเกิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย และก็แอฟริกาและมีการแพร่ขยายจำพวกไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว โดยพบได้ทั่วไปตามบริเวณป่าหรือที่เปียกชื้นที่หรูหราความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยมักพบตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป แล้วก็มักจะออกดอกและติดผลในตอนเดือน มิถุนายน-สิงหาคม ลักษณะทั่วไป เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันเห็นข้อข้อแจ่มกระจ่าง ลักษณะเป็นบ้องๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวโดยประมาณ 6-10 ซม. บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงกันข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบคนเดียว เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 เซนติเมตร ใบเป็นสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมครึ้ม เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า หลังใบแล้วก็ท้องใบเรียบเป็นเงา ขอบของใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนุ่ม ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวโดยประมาณ 2-4 เซนติเมตรดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มม. กลีบดอกมี 4 กลีบโคนกลีบดอกไม้ข้างนอกมีสีแดง ส่วนกลีบดอกข้างในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มที่ดอกจะงอโก่งไปทางด้านล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบดอก ผลสดรูปทรงกลม ผิวเรียบวาว ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเขียว พอสุกเป็นสีแดงหรือดำ เมล็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เม็ด การขยายพันธุ์ เพชรสังฆาตนิยมใช้กรรมวิธีการปักชำโดยมีวิธีการเป็น คัดเลือกเถาที่มีลักษณะสมควร คือ จะต้องเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งหนึ่งแก่กึ่งอ่อน นำมาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่จำนวน2 ข้อแล้ว ทำการปักชำท่อนประเภทโดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้เปียก และควรจะจัดวางถุงต้นกล้าที่ปักชำเอาไว้ในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ข้างบนจะเป็นบริเวณที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญก้าวหน้าเป็นเถาต่อไป ส่วนประกอบทางเคมี เถาของเพชรสังฆาตมีองค์ประกอบทางเคมี ตัวอย่างเช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone แล้วก็ 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกลุ่ม stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกรุ๊ป flavonoids เช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene และ calcium oxalate. คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ ตามตำรายาไทย กล่าวว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ระดูแตกต่างจากปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารทั้งยังประเภทกลีบมะไฟแล้วก็เดือยไก่ • ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก • ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้ระดูเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย • ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคลำไส้ (อาการของกินไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก นอกจากนั้นในการค้นคว้าด้านการแพทย์แผนปัจจุบันยังกำหนดไว้ว่าเพชรสังฆาต มีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับในการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยยิ่งไปกว่านั้นการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดไหล รวมทั้งกลายเป็นซ้ำ ทั้งยังในขณะนี้ได้มีงานค้นคว้าพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดไหลตามไรฟันได้อย่างดีเยี่ยม และก็ยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมากมาย และก็สารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารมิวโคโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในกรรมวิธีการสมานกระดูก นอกเหนือจากนั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตกระทั่งแปลงเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตนเองอีกด้วย ยิ่งไปกว่านี้เพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เพราะว่าเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะรูปทรงเป็นสีเหลี่ยมประหลาดตา มีดอกและก็ผลเป็นช่อสีแดงสวย สามารถนำไปปลูกสำหรับเพื่อการประดับบริเวณรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อเถาเจริญเลื้อยพันขึ้น แบบ/ขนาดการใช้ ในสมัยก่อนการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (เนื่องมาจากเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดบางทีอาจ มีการระคายเคืองทางเดินอาหารได้) ถัดมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในแบบอย่างแคปซูลเพื่อให้ไม่ยุ่งยากต่อการบริหารยา โดยในรูปยาผงบรรจุแคปซูล 250 มก. ให้รับประทานทีละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนกินอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน แบบเรียนยาประจำถิ่นจังหวัดโคราช ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้เมนส์ไม่ปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในลำไส้ ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้เลือดรอบเดือนสตรีไม่ปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก ส่วนอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นรับประทานแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการไม่ดีเหมือนปกติของระดู การเรียนทางเภสัชวิทยา ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดเลือดดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นหลอดเลือดดำ ให้มีความตึงตัวมากขึ้น คล้ายกับส่วนประกอบของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 ชนิด อาทิเช่น ไดออสมิน 90%และก็ฮิสเพอริดิน 10% ที่เจอในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบกระทันหัน สารสกัดเมทานอลยับยั้งการบวมของใบหู และก็การบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 1 แล้วก็สารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่รั้งนำด้วยสารเคมี เหมาะเวลา 30 นาที ตรวจเจอส่วนประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดปริมาณครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะของการเจ็บเจ็บท้องด้วยเหตุว่าได้รับกรดอะซีติเตียนกที่ฉีดเข้าทางช่องท้อง และลดระยะเวลาของการเลียเท้าหลังทั้ง 2ระยะ สำหรับการทดลองด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านทั้งระบบประสาทศูนย์กลาง รวมทั้งส่วนปลาย ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 และก็ 750 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูรับประทานนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 รวมทั้ง 72.6% เป็นลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มิลลิกรัม/กก. ลดการเกิดแผล 71.9% ด้วยเหตุนั้นสารสกัดขนาด 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นขนาดที่ยอดเยี่ยม เหตุเพราะออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine แล้วก็ได้ผลไม่ได้แตกต่างกับขนาด 750 มิลลิกรัม/กิโลกรัมจะลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร และก็รายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งบอกว่า การเรียนประสิทธิผลรวมทั้งผลกระทบของการใช้สมุนไพร เพชรสังฆาตในผู้เจ็บป่วยโรคริดสีดวงทวารระยะเฉียบพลัน จำนวน 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กรุ๊ป เป็น กรุ๊ปที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มิลลิกรัม/เม็ด) กลุ่มที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มิลลิกรัม/เม็ด) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในช่วง 4 วันแรก ให้รับประทานครั้งละ 3 เม็ด เช้าและเย็นหลังรับประทานอาหาร และก็ช่วง 3 ครั้งหน้า ได้รับทีละ 2 เม็ด รุ่งเช้ารวมทั้งเย็น หลังอาหาร ผู้ป่วยจะได้รับการวัดอาการต่างๆเป็น เลือดไหลทางทวารหนัก เมือก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก แล้วก็การสัมภาษณ์เพื่อถามอาการ รวมทั้งมีการตรวจเลือดและติดตามผลกระทบของการได้รับยาหรือสมุนไพรพร้อมกันไปพร้อมกันด้วย ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ป่วยในทุกกรุ๊ปจำนวนมากอาการเลือดออกฉับพลันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา แล้วก็มีลักษณะอาการดียิ่งขึ้นหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการดูแลและรักษาในผู้ป่วยทุกกรุ๊ปไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ และไม่ส่งผลข้างๆเกิดขึ้น สรุปได้ว่ เพชรสังฆาต[/url]ได้ผลสำหรับในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะรุนแรงไม่ได้มีความแตกต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์และก็ยาหลอก มีความหมายว่าเพชรสังฆาตไม่เป็นผลช่วยในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะเฉียบพลัน การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา ความเป็นพิษฉับพลัน เมื่อทดลองความเป็นพิษโดยให้หนูขาวกิน ขนาด 0.5 – 5.0 กรัม/กก ไม่เจอพิษใดๆก็ตาม ความเป็นพิษครึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวจำพวกวิสตาร์ 5 กรุ๊ปๆละ 12 ตัว/เพศ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มล./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน ช่วงเวลาที่หนูอีก 4 กรุ๊ปได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 รวมทั้ง 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเทียบเท่า 1,10 และ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน เป็นลำดับ โดยกลุ่มในที่สุดเป็นกลุ่มสังเกตอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าการเติบโตของกรุ๊ปท้ายที่สุดเป็นกรุ๊ปดูอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาพบว่าการเจริญเติบโตของกลุ่มได้รับผงยาและก็กลุ่มควบคุมไม่มีความต่างกัน ไม่ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวของค่าทางโลหิตวิทยาและก็ค่าทางซีรั่มวิชาชีวเคมี หรือจุลพยาธิสภาพของอวัยวะภายในที่มีความเกี่ยวเนื่องกับขนาดของผงยา และไม่พบความแตกต่างจากปกติใดๆที่สามารถสรุปได้ว่าเนื่องมาจากความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต ข้อเสนอ/ข้อควรระวัง การกินเพชรสังฆาตสด อาจจะทำให้กำเนิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเนื่องจากเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลตอยู่มากมาย 2. ห้ามกินติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้เกิดนิ่วในทางเดินเยี่ยว คนไข้โรคไตห้ามรับประทาน 3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรจะขอความเห็นแพทย์หรือผู้ชำนาญสำหรับในการใช้เสมอ ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้เกิดผลข้างๆที่ไม่ประสงค์ได้ เป็นต้นว่า ตาเหลือง ตัวเหลือง ฉี่น้อย แน่นท้อง ฯลฯ เอกสารอ้างอิง- นพมาศ สุนทรเจริญนนท์.เพชรสังฆาต.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- วีรพล ภิมาลย์และคณะ.การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานประสิทธิภาพในการรักษาริดสีดวงทวารหนักของเพชรสังฆาต.วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่10.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2557.หน้า403-418https://www.disthai.com[/b]
- Panthong A, Supraditaporn W, Kanjanapothi D, Taesotikul T, Reutrakul V. Analgesic, anti-inflammatory and venotonic effects of Cissus quadrangularis Linn. J Ethnopharmacology 2007; 110 : 264–70.
- เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีPanpimanmas S, Sithipongsri S, Sukdanon C, Manmee C. Experimental Comparative Study of the Efficacy and Side Effects of Cissus quadrangularis L. (Vitaceae) to Daflon (Servier) and Placebo in the Treatment of Acute Hemorrhoids. J Med Assoc Thai 2010; 93 (12): 1360-7.
- ผลของการใช้เพชรสังฆาตในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการเฉียบพลัน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.J Med Assoc Thai 2010;93(12):1360-7
|
|
|
12
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โกศเขมา สรรพคุณเเละประโยชน์
|
เมื่อ: ธันวาคม 04, 2018, 06:38:12 am
|
โกศเขมาชื่อสมุนไพร โกศเขมาชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น โกศหอม (ไทย) , ซังตุ๊ก (จีนแต้จิ๋ว) , ซางจู๋ (จีนกลาง)ชื่อวิทยาศาสตร์ Atractylodes lancea (Thunb.) DC.ชื่อสามัญ Atractylodesวงศ์ Compositaeถิ่นกำเนิด โกศขมา [/b]มีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและแมนจูเรีย แถมเขตเหอดกน เจียงซู หูเป่ย ซานตง อันฮุย เจ๋อเจียง เจียงซีเสฉวน อื่นๆอีกมากมาย แหล่งผลิตที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม เป็น มณฑลเหอดกน แต่แหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุด คือ บริเวณหูเป่ย ดังนี้ โกศเขมา มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และก็รัสเซียโดยมักจะพบหญ้า ในป่า และตามซอกหิน ลักษณะทั่วไป โกศเขมา จัดเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปี สูง30-100 ซม. เหง้าทอดนอนหรือตั้ง มีรากพิเศษขนาดเท่าๆกันเยอะแยะ โดยเหง้าค่อนข้างกลมหรือยาว ทรงกระบอกมีกลิ่นหอมมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1-2 ซม. ผิวมีลักษณะขรุขระ ปุ่มป่ำ เปลือกนอกคล้ายผิวมะกรูด มีสีน้ำตาลอมเทา สีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนดำ มีรอยย่นแล้วก็รอยบิดตามแนวขวาง เนื้อในแน่น เมื่อฝานหัวออกใหม่ๆจะเป็นสีขาวขุ่นที่เนื้อใน และมีแต้มสีแสดของชันน้ำมันอยู่กระจายทั่วๆไปมีกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะ รสหวานอมขมนิดหน่อย รวมทั้งเผ็ดร้อน โดยเหง้าใต้ดินนี้เป็นส่วนที่ใช้ทำยาโดยจะเรียกว่า “โกฐเฉมา” ส่วนลำต้นขึ้นโดดเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ไม่แตกกิ่งหรือแตกกิ่งเฉพาะตอนบน มีขนเหมือนใยแมงมุมนิดหน่อย ใบเป็นใบลำพัง เรียงเวียนแผ่นใบบางคล้ายกระดาษซึ่งมีหลายต้นแบบแต่ส่วนมากเป็นรูปหอกหยักซี่ฟัน ใบใกล้โดนต้นรูปไข่ กว้าง 5-8 ซม. ยาว 8-12 ซม. ขอบเรียบหรือหยักแบบขน 3-5 แฉก แฉกข้างรูปรีหรือรูปไข่กลับปนรี แฉกปลายรูปกลม รูปไข่กลับ รูปไข่ หรือรูปรี ก้านใบสั้น ใบรอบๆกึ่งกลางต้นรูปไข่กลับ รูปไข่กลับปนรี รูปรีแคบ หรือรูปใบหอกกลับ ช่อดอกออกเป็นแบบช่อกลุ่มแน่น ออกผู้เดียวหรือหลายช่อ ตามปลายกิ่ง วงใบประดับมี 5-7 แถวขอบมีขนเหมือนใยแมงมุมบางส่วน ปลายมน ใบเสริมแต่งวงนอกรูปไข่ถึงรูปใบหอก กว้าง 2-3 มิลลิเมตรยาว 3-6 มิลลิเมตร ใบประดับประดากลางรูปไขถึงรูปไข่ปนรี หรือรูปรี กว้าง 3-4 มม. ยาว 0.6-1 เซนติเมตร ใบเสริมแต่งวงในรูปรีถึงรูปแถบ กว้าง 2-3 มิลลิเมตร ยาว 1.1-1.2 ซม. ปลายใบประดับประดาในสุดอาจมีสีแดง ข้างบนของฐานดอกแบน มีเกล็ดหนาแน่น ดอกสีขาวเป็นดอกบริบูรณ์เพศ หรือดอกเพศเมียที่มีเกสรเพศผู้ลดรูป กลีบสะอาดเป็นขน สีน้ำตาลถึงขาวหมอง มี 1 แถว โคนชิดกันเป็นวง ยาว 7-8 มม. กลีบดอกยาวประมาณ 9 มิลลิเมตร ปลายเป็น 5 หยัก เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดที่หลอดกลีบดอก รังไข่อยู่ได้วงกลีบ มี 1 ช่อง ก้านยอดเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นสามเหลี่ยมมีขนนุ่ม เกสรเพศเมีย แยกเป็น 2 แฉก ผลแบบผลแห้งเม็ดล่อน รูปไข่กลับ การขยายพันธุ์ โกศเขมา สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เหง้า เช่นเดียวกับพืชหัวธรรมดา โดยเกฐเขมาสามารถเติบโตก้าวหน้าในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 700-2500 เมตร รวมทั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็น 15-22 องศาเซลเซียส เป็นพืชซึ่งสามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นได้ แล้วก็เป็นพืชที่มีการเติบโตดีมาก โดยสามารถเติบโตได้ในดินที่มากมายอีกทั้งบนเขา ช่องเขา ที่ราบบนเขา ซึ่งต้องการชั้นดินที่ครึ้มและลึก เป็นดินร่วนสมบูรณ์บริบูรณ์ การระบายน้ำดี เกลียดชังน้ำท่วมขัง และจะเจริญเติบโตก้าวหน้ามากมาย รอบๆพื้นดินที่ไม่สูงนักแล้วก็เป็นดินร่วนผสมทราย โกศเขมามีดอกและก็ได้ผลสำเร็จตั้งแต่มิถานายนถึงเดือนตุลาคมแก่การเก็บเกี่ยวราวๆ 2 ปี ส่วนประกอบทางเคมี โกฐเขมามีองค์ประกอบทางเคมีเป็นน้ำมันระเหยง่ายจำนวนร้อยละ 3.5-5.6 น้ำมันระเหยง่ายนี้มีสารสำคัญคือ สารเบตา-ยูเดสมอล (beta-eudesmol) สารอะแทร็กคราวโลดิน (atractylodin), beta-selinene, alpha-phellandrene, สารไฮนีซอล (hinesol) สารเอลีมอล (elemol) รวมทั้งสารอะแทร็กคราวลอน (atractylon) แล้วก็ สารกรุ๊ปpolyacetyletylenes ดังเช่นว่า1-(2-furyl)-E-nonene-3,5-diyne-1,2-diacetata, erythro-(1,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, threo-(1,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, (3E,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, (3Z,5Z,11Z)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, (3E,5Z,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate,(3Z,5E,11E),tridecatriene-7,9-diyne-5,6-diyldiacetate,(1Z)-atractylodin,(1Z)-atractylodinol,(1Z)-acetylatractylodinol(4E,6E,12E)-tetradecatriene-8,10-diyne-1,3-diyl diacetate,4,6,12-tetradecatriene-8,10-diyne-1,3,14-สารกลุ่ม polysacchaccharides เช่น arabino-3,6-galactans,galacturonic acid รวมทั้งสารกรุ๊ปอื่นๆอาทิเช่น coumarins (osthol) วิตามินเอ (vetinol) วิตามินบี (thiamine) วิตามินดี(calcifrol) กรดไขมัน (linoleic acid, oleic acid แล้วก็ palmitic acid)ผลดี/สรรพคุณ โกศเขมา เป็นสมุนไพรที่ใช้ในยาหลายตำรับมาก ทั้งในแบบเรียนหมอแผนจีนแล้วก็แผนไทย มีการการันตีอยู่ในตำรับยาที่ประเทศเมืองจีน ฉบับคริสต์ศักราช 2000 ในชื่อ Rhimosa atractylodis สำหรับเมืองไทยก็มีการใช้มาก ตัวยาสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณของอย. (อ.ย.) มี โกศเขมา ถึง 1,100 ตำรับ ซึ่งแบบเรียนตามสรรพคุณยาไทยระบุไว้ว่า โกศเขมา มีกลิ่นหอมยวนใจ รสร้อน ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ เป็นยาบำรุงกำลัง แก้โรคเข้าข้อ เป็นยาเจริญอาหาร ยาขับฉี่ แก้โรคในปากในคอ แก้หวัดคัดจมูก แก้ไข้ แก้ไข้รากสาดเรื้อรัง ระงับอาการหอบเหมือนยาอีเฟรดริน ช่วยขับลม ใช้เป็นยาบำรุง แก้โรคในปากในคอเป็นแผลเน่า แก้ทิ่มแทงสองราวข้าง แก้จุกแน่น แก้หอบหืด แก้ลมตะกัง แก้เหงื่อแตกมากมาย แก้ขาปวดบวม ขาหมดแรง ปวดข้อ แก้ท้องร่วง ยิ่งกว่านั้นโกฐเขมายังเป็นเลิศในพิกัดโกฐทั้งยัง 5 หีบศพทั้งยัง 7 และหีบศพทั้งยัง 9 ส่วนในคุณประโยชน์ยาจีนระบุว่าแพทย์แผนจีนนิยมใช้โกฐเขมามาก เข้าในยาจีนหลายขนาน ตำราเรียนยาจีนว่าใช้แก้อาการท้องเดินท้องร่วง แก้อาการบวมโดยเฉพาะอาการบวมที่ขา แก้ปวดข้อ ด้วยเหตุว่าโรคข้ออักเสบ แก้หวัดและก็แก้โรคตาบอดช่วงเวลาค่ำคืน ยิ่งไปกว่านี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้โกฐเฉมาในยารักษาอาการของโรคในระบบต่างๆของร่างกาย รวม 2 ตำรับ เป็นยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” รวมทั้งตำรับ ”ยาหอมนวโกฐ” มีส่วนประกอบของโกฐเขมาอยู่ในพิกัดโกฐทั้งยัง 9 ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับมีคุณประโยชน์ในการแก้ลมหน้ามืด แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียนอาเจียน อ้วก แก้ลมจุกแน่นในท้องยารักษากลุ่มอาการทางระบบอาหาร ปรากฏตำรับ “ยาธาตุบรรจบ” มีส่วนประกอบของโกฐเฉมาร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ ใช้บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ อาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องเดินจำพวกที่ไม่เกิดขึ้นจากการได้รับเชื้อ แบบอย่าง/ขนาดวิธีการใช้ ในแบบเรียนยาแพทย์แผนจีนกำหนดให้ใช้เหง้าต้ม รับประทานทีละ 3-9 กรัม แม้กระนั้นในบางแบบเรียนก็ระบุให้ใช้ 5-12 กรัม ส่วนในตำรายาไทยชอบใช้เป็นเครื่องยาตามตำรับยา มีวิธีการเตรียมเหง้าโกศเขมาเพื่อใช้ทำยา 3 วิธีคือ 1. ตากแห้ง โดยแช่เหง้ โกศเขมา[/url]ในน้ำสักครู่ เพื่อนุ่มลง แล้วหั่นเป็นแว่นดกๆนำไปตากให้แห้ง จะจับตัวได้ยารสเผ็ดขม อุ่น จะให้คุณประโยชน์ ขับความชื้นเสริมระบบการย่อยของอาหารแก้ความชุ่มชื้นกระทบส่วนกลาง (จุกเสียด อึดอัดลิ้นปี่ อ้วก ไม่อยากกินอาหาร ท้องเดิน) แก้ปวดข้อแล้วก็กล้าม ทุเลาอาการไข้หวัดจากลมเย็นหรือความชุ่มชื้น (ไข้ขึ้น หนาวๆร้อนๆปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว) 2. ผัดรำข้าวสาลี โดยนำรำข้าวสาลีใส่ลงในกระทะตั้งไฟปานกลางจนกระทั่งควันขึ้น แล้วนำเหง้า โกศเขมาตากแห้งใส่ลงไป คนอย่างเร็วจวบจนกระทั่งผิวของตัวยาเป็นสีเหลืองเข้ม นำออกมาจากเตา แล้วร่อนเอารำข้าวสาลีออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นจะก่อให้ความเผ็ดลดลง แต่เนื้อยาจะนุ่มนวลขึ้น และก็มีกลิ่นหอมหวน จะให้สรรพคุณ ช่วยรักษาลักษณะของม้ามแล้วก็กระเพาะดำเนินการไม่สัมพันธ์กัน (กระเพาะปฏิบัติหน้าที่ย่อยอาหารจนได้สารต้อง ส่วนม้ามปฏิบัติภารกิจลำเลียงสารจำเป็นจะต้องนี้ไปใช้ทั่วร่างกาย) แก้เสลดเหนียว แก้ต้อหิน แก้ตาบอดตอนกลางคืน 3. ผัดเกรียม โดยนำเหง้าโกศเขมาตากแห้งใส่กระทะ ผัดโดยใช้ไฟปานกลาง จนถึงผิวนอกมีสีน้ำตาลไหม้ พรมน้ำบางส่วน แล้วผัดต่อโดยใช้ไฟอ่อนๆจนถึงตัวยาแห้ง นำออกจากเตา ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นแล้วร่อนเอาเศษเล็กๆจะจับตัวได้ยารสออกเผ็ด จะให้สรรพคุณ ช่วยทำให้ลักษณะการทำงานของลำไส้แข็งแรง แก้ท้องร่วงเป็นหลัก ใช้รักษาอาการท้องร่วงเพราะเหตุว่าม้ามพร่อง โรคบิดเรื้อรัง การเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของไส้ การเล่าเรียนฤทธิ์ของสารสกัดเหง้าโกฐเขมา แล้วก็น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากเหง้า คือ β-eudesmol ต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก และระยะเวลาที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างในหนูเม้าส์เพศผู้ ที่ถูกกระตุ้นด้วย atropine, dopamine และก็ 5-hydroxytryptamine (5-HT)โดยให้สารสกัดโกฐเฉมาในขนาด 500 หรือ 1000 มิลลิกรัม/กิโลแล้วก็ β-eudesmol ขนาด 50 หรือ 100 มก./โล แล้วก็ยามาตรฐาน itopride hydrochloride ขนาด 10 หรือ 50 มิลลิกรัม/กก. ผลการทดลองพบว่าสารสกัดโกฐเขมามีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก แล้วก็ทำให้ของกินเคลื่อนผ่านกระเพาะเร็วขึ้น ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยdopamine ขนาด 1 มิลลิกรัม/โล และสารสกัดโกฐเฉมาในขนาด 1000 มก./กก. และก็ β-eudesmol ขนาด 100 มก./โล มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยatropine แม้กระนั้นไม่มีผลต่อระยะเวลาที่ทำให้กระเพาะว่างนอกเหนือจากนี้สารสกัดโกฐเขมาในขนาด 500 หรือ 1000 มก./กิโล และก็ β-eudesmol ขนาด 25, 50 หรือ 100 มก./กิโลกรัม มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก รวมทั้งทำให้อาหารเขยื้อนผ่านกระเพาะเร็วขึ้น ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย 5-HT ขนาด 4 มก./กิโลหรือ 5-HT3 receptor agonist จากงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยนี้ก็เลยสรุปว่าสารสกัดโกฐเขมาแล้วก็น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากโกฐเฉมา คือ β-eudesmolทำให้ของกินเขยื้อนผ่านกระเพาะเร็วขึ้น รวมทั้งกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ผ่านมายากลไลการยั้ง dopamine D2 receptor แล้วก็ 5-HT3 receptor สามารถเอามาปรับปรุงยารักษาอาการท้องอืดเฟ้อ อาการอาเจียน อึดอัดแน่นจากอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหาร รักษาโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากเส้นประสาทของกระเพาะอาหารถูกทำลาย (gastroparesis) ส่งผลให้กล้ามเนื้อกระเพาะอ่อนกำลัง ทำให้ไม่สามารขับของกินให้ผ่านไปยังส่วนต้นของลำไส้ (duodenum) ได้ ก็เลยมีของกินเหลือหลงเหลือในกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ต้านการปวด การทดสอบในหนูพบว่า สาร β-eudesmol มีฤทธิ์ต่อต้านปวดโดยยับยั้ง nicotinc Ach receptor channels ที่neuromuscular junction และพบว่าส่งผลต่อกล้ามของหนูที่เป็นเบาหวานมากกว่าหนูปกติ ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สาร β-eudesmol , atractylochromene , 2-(2E0-3,7-dimethyl-2,6-octadienyl -6-methyi-2,5-cyclohexadiene-1,4-dione , 2-(2’E)-3’7’-dimethyl-2’6’-octadienyl-4-methoxy-6-methylphenol,(3Z,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diynyl-1-0-(E)-fenulate มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase รวมทั้งcyclooxygenase-1 ฤทธิ์ยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดจากเหง้าของโกฐเขมาเมื่อป้อนให้หนูแรทสายพันธุ์ sprague-dawley ซึ่งถูกรั้งนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารโดยใช้กรด acetic acid ทำการเก็บเลือด แล้วก็เซลล์เนื้อเยื่อกระเพาะของหนู วัดระดับของ epidermal growth factor (EGF), trefoil factor 2 (TFF2), tumor necrosis factor-α(TNF-α), interleukin 6, 8 (IL-6, รวมทั้ง prostaglandin E2 (PGE2) ที่เกิดขึ้น โดยใช้แนวทาง (ELISA) และก็วัดการแสดงออกของ mRNA อาทิเช่น EGF, TFF2, TNF-α แล้วก็ IL-8 ในกระเพาะ จะถูกพินิจพิจารณาโดยใช้เคล็ดลับ real-time-PCR ผลของการทดสอบพบว่าการถูกทำลายจากกรดของเซลล์เนื้อเยื่อกระเพาะลดลงแล้วก็ยังยับยั้งการสร้างสารที่เกี่ยงงอนข้องกับการอักเสบยกตัวอย่างเช่นTNF-α, IL-8, IL-6, รวมทั้ง PGE2แล้วก็มีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันกระเพาะอาหารโดยเพิ่มการแสดงออกของ mRNA ของ EGF, TFF2เพิ่มการสร้างEGF, TFF2 ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน สารสกัดน้ำที่มีสาร polysaccharides ที่มีน้ำตาลเชิงลำพังเป็น galacturonic acid มีฤทธิ์กระตุ้นระบบคุ้มกันในหนูที่ติดเชื้อโรครา Candida albicans ทำให้หนูมีชีวิตรอดมากขึ้น แล้วก็สารกลุ่ม arabino-3,6-galactan มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทานในหนู ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ทำให้ของกินอยู่ในกระเพาะนานขึ้นสารสำคัญคือสารกลุ่ม polyacetylenes ฤทธิ์ต้านการขาดออกสิเจนภายในร่างกาย สารสกัดอะซิโตนมีฤทธิ์ต้านทานการขาดออกสิเจนภายในร่างกายหนูถีบจักรเนื่องมาจากสารโปแตสเซียมไซยาไนด์ สาระสำคัญคือ β-eudesmol ฤทธิ์แก้ท้องขึ้นเฟ้อ ฤทธิ์เพิ่มระยะเวลาที่ทำให้กระเพาะว่าง ของน้ำมันหอมระเหยจากเหง้าโกฐเฉมา ในหนูแรทเพศผู้ สายพันธุ์วิสตาร์ ที่อยู่ในภาวะเครียด และก็ผลของฮอร์โมนที่ควบคุมรูปแบบการทำงานของกระเพาะรวมทั้งไส้ ซึ่งหลั่งจากต่อมไฮโปธาลามัส หรือ corticotropin-releasing factor (CRF) ทดลองโดยป้อนน้ำมันหอมระเหยจากเหง้า ในขนาดต่างๆเป็น 30,60 แล้วก็ 120 mg/kg ต่อวัน แก่หนูเป็นเวลา 7 วัน พบว่าไม่มีผลเปลี่ยนตอนที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างในหนูปกติ แต่ว่ามีผลทำให้เพิ่มช่วงเวลาที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างได้ในหนูที่มีภาวการณ์เครียด น้ำมันหอมระเหยสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมน motilin (MTL) รวมทั้ง gastrin (GAS) แล้วก็ลดระดับ somatostatin (SS) และก็ CRF อย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่ากลไกสำคัญเกี่ยวเนื่องกับระดับฮอร์โมน เป็นยั้งการหลั่ง CRF ซึ่งผลเหล่านี้ทำให้เพิ่มช่วงเวลาที่ทำให้กระเพาะว่างเร็วขึ้น ก็เลยลดอาการไม่สบายท้อง ท้องเฟ้อเฟ้อจากความเครียดในหนู (ภาวะเครียดทำให้แนวทางการทำงานของกระเพาะอาหารรวมทั้งไส้ลดน้อยลง) การเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบพิษรุนแรงของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. (คิดเป็น 1,786 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) รวมทั้งให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่พบอาการเป็นพิษ ข้อแนะนำ/ใจความระวัง 1. คนป่วยที่มีลักษณะอาการท้องร่วง ที่มีอุจจาระหล่นเป็นน้ำ ควรใช้โกศเขมาด้วยความระวัง 2. สตรีท้องและสตรีให้นมลูกควรจะปรึกษาหมอ แล้วก็ผู้เชียวชาญก่อนใช้เพราะเหตุว่ายังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์และก็สตรีให้นมลูก 3. อาการข้างๆที่พบได้ในคนที่ใช้ โกศเขมาเป็น อ้วก คลื่นไส้ ปากแห้ง และก็มีกลิ่นปาก 4. ไม่ควรใช้โกฐเขมาในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นหรือใช้เป็นระยะเวลานานเพราะบางทีอาจมีผลต่อระบบต่างๆของร่างกายได้ หนังสืออ้างอิง1. วิทยา บุญวรพัฒน์.“โกฐเขมา”.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยมากในประเทศไทย. หน้า 102. 2. นพมาศ สุนทรเจริญก้าวหน้านนท์.โกฐเฉมา จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ปีที่28 .ฉบับที่ 3 เดือนเมษายน 2554.หน้า17-19 3. ชยันต์ พิเขียรสุนทร แม้นมาส ชวลิต วิเชียร จีรวงศ์.คำชี้แจงตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์.จังหวัดกรุงเทพมหานคร: สถานที่พิมพ์อมรินทร์.2542 https://www.disthai.com/[/b] 4. “โกฐเฉมา Atractylis”. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. หน้า 217. 5. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2546. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:จังหวัดกรุงเทพมหานคร. 6. โกศเขมา.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpaye&pid=277. Yu KW, Kiyohara H, Matsumoto T, Yang HC, Yamada H. lntestinal immune system modulating poly-saccharides from rhizomes of Atractylodes lancea. Planta Med 1998;64( :714-9. 8. Kimura Y, Sumiyoshi M. Effects of an Atractylodes lancea rhizome extract and a volatile component beta-eudesmol on gastrointestinal motility in mice. J Ethnopharmacology. 2012;141:530-536. 9. Yu Y, Jia T-Z, Cai Q, Jiang N, Ma M-Y, Min D-Y, et al. Comparison of the anti-ulcer activity between the crude and bran-processed Atractylodes lancea in the rat model of gastric ulcer induced by acetic acid. J Ethnopharmacology. 2015;160:211-218. 10. Nakai Y, Kido T,Hashimoto K, Kase Y, Sakakibara l, Higuchi M, Sasaki H. Effect of the rhizomes of Atractylodes lancea and its constituents on the delay of gastric emptying. J Ethnopharmacol 2003;84(1):51-5. 11. Lehner MS, Steigel A, Bauer R. Diacetoxy-substituted polyacetyenes from Atractylodes lancea. Phyto-chemistry 1997;46(6):1023-8 12. Resch M, Heilmann J,Steigel A, Bauer Rauer R. Futher phenols and polyacetyenes from the rhizomes of Atractylodes lancea and their anti-inflammatory activity. Planta Med 2001;67(5):437-42. 13. Zhang H, Han T, Sun L-N, Huang B-K, ChenY-F, Zheng H-C, et al. Regulative effects of essential oil from Atractylodes lancea on delayed gastric emptying in stress-induced rats. Phytomedicine. 2008;15:602–611. 14. Chiou LC, Chang CC. Antagonism by β-eudesmol of neostigmine-induced neuromudcular failure in mouse diaphragms. Eur J Pharmacol 1992;216(2):199-206. 15. Kimura M, Nojima H, Muroi M, Kimura l. Mechanism of the blocking action of β-eudesmol on the nicotic acetylcholine receptor channel in mouse skeletal muscles. Neuropharmacology 1991;30( :835-41. 16. Kimura M, Tanaka K, Takamura Y, Nojima H, Kimura l, Yano S, Tanaka M. Structural componets of beta-eudesmol essential for its potentiating effect on succinylcholine-induced neuromuscular blockade in mice. Biol Pharm Bull 1994;17(9): 1232-40. 17. Yamahara J, Matsuda H, Naitoh Y, Fujimura H, Tamai Y. Antianoxic action and active constituents of atractylodis lanceae rhizome. Chem Pharm Bull 1990;38(7):2033-4. 18. Lnagaki N, Komatsu Y, Sasaki H, Kiyohara H, Yamada H, lshibashi H, Tansho S, Yamaguchi H, Abe S, Acidic polysaccharides from rhizomes of Atractylodes lancea as protective principle in Candida-lnfected mice. Planta Med 2001;67(5):428-31. Tags : โกศเขมา
|
|
|
13
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพร ดาวอินคา
|
เมื่อ: ธันวาคม 03, 2018, 08:28:07 am
|
ดาวอินคาชื่อสมุนไพร ดาวอินคาชื่ออื่นๆ ถั่วดาวอินคาชื่อวิทยาศาสตร์ Plukenetia volubilis.ชื่อสามัญ sacha inchi, sacha mani , Inca peanut.วงศ์ Euphorbiaceae ถิ่นกำเนิดดาวอินคาติดอยู่ เป็นพืชตระกูล Euphorbiaceae เหมือนกันกับ ยางพารา สบู่ดำ หรือมันสำปะหลัง นับเป็นพืชเฉพาะถิ่นชนิดหนึ่ง มีถิ่นกําเนิดจากบริเวณลุ่มแม่น้ําอเมซอน ในประเทศประเทศเปรู ทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ยุคอินติดอยู่ หรือในตอนปี ค.ศ. 1438-1533 และก็ตกทอดมากันมาสู่คนพื้นถิ่นมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ซึ่งมีการนำดาวอินคามาใช้ประโยชน์หลากหลาย ดังนี้ จากแหล่งกำเนิด และก็ความเป็นมาที่ชาวอินคานำมาใช้ประโยชน์ เมืองไทยจึงเรียกพืชประเภทนี้ว่า ถั่วดาวอินติดอยู่ ในปัจจุบันก็มีการเพาะปลูกดาวอินค้างในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก็มีการนำดาวอินค้างมาแปรรูป ดังเช่นว่า น้ำมันดาวอินคาที่ได้จากการสกัด ถั่วดาวอินค้างอบเกลือ หรือถั่วดาวอินติดอยู่คั่ว สำหรับในประเทศไทยได้มีบริษัทเอกชนนำดาวอินค้างเข้ามาสนับสนุนการปลูกครั้งแรก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มที่จังหวัดหนองคายเนื่องจากเห็นว่ามีที่ตั้งภูมิศาสตร์เส้นทางการติดต่อสื่อสารที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงไปสู่กรุ๊ปประเทศอินโดจีนได้จนกระทั่งมีการปลูกอย่างมากมายในหลายพื้นที่ในขณะนี้ ลักษณะทั่วไป ดาวอินติดอยู่จัดเป็นไม้เลื้อยด้วยเหตุว่ามีลำต้นเป็นไม้เลื้อยที่มีอายุนาน 10-50 ปี ลำต้นแตกกิ่งเป็นเถาเลื้อยได้ยาวมากมายว่า 2 เมตร เถาอ่อนมีสีเขียว เถาแก่หรือโคนเถามีสีน้ำตาล แก่นเถาแข็ง แล้วก็เหนียว ใบของถั่วดาวอินค้างเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แตกใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับเยื้องกันตามความยาวของเถา ใบมีรูปหัวใจ โคนใบกว้าง และเว้าตรงกลางเป็นฐานหัวใจ ส่วนปลายใบแหลม แผ่นใบมีสีเขียวสด แล้วก็มีร่องตื้นๆตามเส้นกิ่งก้านสาขาใบ ส่วนขอบของใบหยักเป็นฟันเลื่อย มีก้านใบยาวโดยประมาณ 2-4 ซม. ส่วนแผ่นใบกว้างราวๆ 8-10 ซม. ยาวโดยประมาณ 12-18 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อตามซอกใบบนเถา แต่ละช่อมีดอกขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกมีลักษณะทรงกลม สีเขียวอมเหลือง เป็นดอกจำพวกแยกเพส แม้กระนั้นรวมอยู่ในช่อดอก แล้วก็ต้นเดียวกัน โดยดอกเพสภรรยาจะอยู่รอบๆโคนช่อดอก 2-4 ดอก ส่วนดอกเพศผู้มีเยอะมากต่อจากดอกเพศภรรยามาจนถึงปลายช่อดอก ดังนี้ ถั่วดาวอินติดอยู่จะติดดอกทีแรกเมื่ออายุราว 5 เดือน หลังเมล็ดแตกออกและผลจะแก่ที่พร้อมเก็บได้ประมาณอีก 3-4 เดือน ข้างหลังมีดอกผลเรียกเป็นฝัก มีลักษณะเป็นแคปซูลที่แบ่งออกเป็นพูๆหรือแฉก 4-7 พูขนาดฝักกว้าง 3-5 ซม. เปลือกผลอ่อนมีสีเขียวสด รวมทั้งมีประสีขาวกระจัดกระจายทั่ว แล้วค่อยๆกลายเป็นสีดำเมื่อสุก แล้วก็แก่จนแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล พร้อมด้วยเปลือกปริแตกกระทั่งมองเห็นเม็ดภายใน เมล็ดดาวอินติดอยู่ใน 1 ผลหรือฝัก จะมีปริมาณเมล็ดตามพูหรือแฉก เป็นต้นว่า ฝักมี 5 พู ก็จะมี 5 เม็ด ถ้าหากมี 7 พู ก็จะมี 7 เม็ด โดยเม็ดจะแทรกอยู่ในแต่ละพูในแนวดิ่งเมล็ดมีทรงกลม รวมทั้งแบน ขอบเมล็ดบางแหลมกึ่งกลางเมล็ดนูนเด่น ขนาดเมล็ดกว้าง 1.5-2.0 ซม. ยาว1.8-2.2 เซนติเมตร น้ำหนักเม็ดเฉลี่ย 1.5 กรัม/เม็ด เปลือกเมล็ดเป็นแผ่นบาง มีสีน้ำตาลอมดำ ต่อมาจากเปลือกเป็นเนื้อเม็ดที่มีสีขาว เนื้อเม็ดเมื่อคั่วสุกจะกรอบ รวมทั้งมีรสมันอร่อย มีน้ำมันปริมาณมาก การขยายพันธุ์ ดาวอินค้างสามารเติบโตเจริญในสภาพภูมิอากาศอุ่น ที่อุณหภูมิ 10-36 องศาเซลเซียสที่มีความสูงตั้งแต่100-2000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถปลุกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย สำหรับในการขยายพันธุ์สามารถขยายพันธุ์โดยเมล็ด โดยการนำเม็ดที่แก่แล้วมาเพาะในถุงดำ เมื่อต้นสูงราว 30 เซนติเมตร ก็เลยย้ายปลูกหรือหยอดเมล็ดในหลุมปลูกเลยก็ได้ ระยะปลูก 2 x 3 ถึง 2 x 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 200 – 300 ต้น เป็นพืชที่รังเกียจน้ำนองเฉอะแฉะในพื้นที่ต่ำควรชูร่อง ทำค้างสำหรับให้ต้นเลื้อยพัน โดยใช้สิ่งของในพื้นที่ ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้มักใช้ท่อพีวีซีเป็นเสาหลักแล้วก็ใช้สายโทรศัพท์เก่าขึงระหว่างเสาเป็นค้างสำหรับให้ยอดเลื้อยพัน ส่วนปุ๋ยที่ใช้ควรจะเป็นปุ๋ยธรรมชาติ โดยธรรมดาดาวอินคาสามารถได้ผลผลิต 600 – 800 กิโลกรัมต่อไร่และให้ผลผลิตยาวนาน 15 – 50 ปี เลยทีเดียว และน้ำมัน (35-60%) โดยมีกรดไขมันจำพวก omega-3 ดังเช่นlinolenic acid ราวๆ 45-53% (12.8–16.0 g/100 g seed) , omega-6 เป็นต้นว่า linoleic acid โดยประมาณ 34-39% (12.4–14.1 g/100 g seed) แล้วก็ omega-9 ราวๆ 6-10% ของไขมันทั้งผอง อัตราส่วนของ omega-6 /omega-3 อยู่ในช่วง 0.83–1.09 ยิ่งกว่านั้นมี phytosterols อย่างเช่น beta-sitosterol และstigmasterol สารที่มีฤทธิ์ต้านทานขบวนการออกซิเดชันอาทิเช่น วิตามินอีในรูป tocopherols สารกลุ่มฟีโนลิก และแคโรทีนอยด์ รวมทั้งกรดอะไม่โยหลายชนิดอย่างเช่น สิสเตอีน (cysteine) ไทโรซีน (tyrosine) ทรีโอนีน (threonine) และก็ทริปโตเฟน (tryptophan) ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของเม็ดดาวอินคา (คั่วเกลือจำนวน 100 กรัม) พลังงาน 607 กิโลแคลอรี โปรตีน 32.14 กรัม ไขมันทั้งสิ้น 46.43 กรัม คาร์โบไฮเดรต 17.86 กรัม น้ำตาล 3.57 กรัมแคลเซียม 143 มก. ธาตุเหล็ก 4.59 มก. โซเดียม 643 มิลลิกรัม ผลดี/สรรพคุณ เม็ดดาวอินติดอยู่สามารถใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารกินเล่น เช่น ถั่วคั่วเกลือ ถั่วทอด หรือ เอามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นต้นว่า ซอส ซีอิ้วเต้าเจี้ยว รวมถึงดัดแปลงเป็นแป้ง ดาวอินค้างสำหรับใช้ปรุงอาหารรวมทั้งทำอาหารหวาน ในตอนนี้นิยมนำเมล็ดดาวอินคานำมาสกัดน้ำมัน ซึ่งใช้ประโยชน์ประโยชน์ในหลายด้าน เป็นต้นว่า ใช้เป็นน้ำมันรับประทานเพื่อเป็นอาหารเสริมให้แก่ร่างกาย โดยมักผลิตในรูปบรรจุขวดหรือใส่แคปซูลพร้อมรับประทาน ใช้เป็นน้ำมันทอดหรือประกอบอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า ดังเช่น โฟมที่ใช้ล้างหน้า สบู่ น้ำหอม และก็ครีมสำหรับดูแลผิว น้ำมันที่สกัดได้ใช้สำหรับทานวดแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว รวมทั้งใช้ชโลมผมให้ดกดำ แล้วก็จัดทรงง่าย ส่วน สรรพคุณของดาวอินค้าง มีดังนี้ สารสำคัญที่เจอในเม็ด ดาวอินคา อย่างเช่นกรดไขมันโดยเฉพาะ omega-3 และก็ phytosterols นั้นมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือดยิ่งกว่านั้นสารต่อต้านขบวนการออกซิเดชัน อย่างเช่น tocopherols สารกลุ่มฟีโนลิก และก็แคโรทีนอยด์ สามารถต้านทานอนุมูลอิสระและก็ป้องกันการออกสิเดชันของไขมัน ก็เลยสามารถช่วย ลดไขมันในเลือด แล้วก็ป้องกันโรคหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิตได้ แล้วก็กรดไขมันโอเมก้า 3 ในดาวอินคายังมีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายซับแคลเซียมมาบำรุงกเงินรอบเดือนกได้ดิบได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาความแข็งแรงของเยื่อหุ้มห่อเซลล์ ลดการอักเสบของหลอดเลือด แล้วก็ลดการเสี่ยงโรคไขข้อได้อีกด้วย ทั้งในดาวอินคายังอุสูดดมไปด้วยวิตามินอี และวิตามินเอที่ช่วยทำนุบำรุงสุขภาพผิวและก็ผมช่วยคุ้มครองป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบ ช่วยลดริ้วรอย และช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ยิ่งกว่านั้นยังช่วยปกป้องโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (cardiovascular disease) ต้านทาน rheumatiod arthritis มะเร็ง แล้วก็คุ้มครองปกป้องเชื้อไวรัส โทวัวฟีคอยล (tocopherols) ไฟโตสเตอรอคอยล (phytosterol) สารโทวัวฟีรอคอยลรวมทั้งฟลาโวนอยด์จากถั่วดาวอินคาช่วยลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจรวมทั้งโรคมะเร็ง สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในส่วนของเปลือกรวมทั้งเม็ดเจอกรดไขมันอิ่มตัวที่มีคุณลักษณะ anti-antherogenic, anti-thrombogenic และ hypercholesterolemic effect รวมทั้งยังช่วย ช่วยคุ้มครองป้องกันการแข็งตัวของเลือด ปกป้องโรคความดันเลือดสูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และก็ปกป้องโรคเบาหวาน กระตุ้นความจำช่วยส่งเสริมความเจริญของสมองป้องกันโรคสมองเสื่อม ควบคุมความดันในดวงตา แล้วก็เส้นเลือด ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ ในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดรูปแบบ / ขนาดการใช้หรือขนาดกินดาวอินค้างอย่างแน่ชัด โดยบางการค้นคว้าบอกว่า เม็ดดาวอินคารับประทานไม่ได้ ด้วยเหตุว่ามีสารกรุ๊ปที่ยับยั้งกานดำเนินงานของเอ็นไซม์ทริปซิน (trypsin inhibitor) แต่ว่าสามารถนำมาหีบเอาน้ำมันมาใช้รับประทานเพื่อให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันดาวอินคาและบางงานศึกษาเรียนรู้ระบุว่าเม็ดดาวอินติดอยู่สามารถรับประทานได้เมื่อทำให้สุกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากอยากกินเพื่อคุ้มครองแล้วก็เยียวยารักษาโรคควรขอคำแนะนำหมอหรือผู้เชี่ยวชาญก็จะเป็นการดีที่สุด การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาก่อนหน้าที่ผ่านมามีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยทางคลินิกที่ศึกษาถึงผลของน้ำมันดาวอินค้าง ว่ามีคุณลักษณะที่สามารถน้ามาใช้แทนโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในน้้ามันปลาได้หรือไม่ โดยมีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เรียนผลของน้ำมันจากดาวอินค้างต่อการลดระดับไขมันในเลือด ทดลองในผู้เจ็บป่วยที่มีปัญหาคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง โดยให้รับประทานน้ำมันที่สกัดจาก ดาวอินคา 5 หรือ10 มล.เป็นระยะเวลา 4 เดือน พบว่าทั้ง 2 กรุ๊ปมีผลคลอ-เรสเตอคอยลทั้งปวงรวมทั้งไขมันที่ไม่จ้าเป็นในเลือดต่ำลง แล้วก็เพิ่มระดับไขมันเอชดีแอล แสดงให้เห็นถึงว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ที่อยู่ในดาวอินคาออกฤทธิ์คล้ายกับกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สกัดออกมาได้จากน้ำมันปลา การเล่าเรียนทางพิษวิทยา สำหรับความปลอดภัยในการรับประทานน้ำมันดาวอินค้าง ได้มีงานค้นคว้าวิจัย ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองอายุระหว่าง 25-55 ปีจัดจ้านวน 30 คน เป็นเพศผู้ 13 คน และก็ผู้หญิง 17 คน รับประทานน้ำมันดาวอินคา วันละ 10-15 มิลลิลิตร โดยเปรียบเทียบกับน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันปริมาณเท่ากัน เวลาเช้า เป็นระยะเวลา 4 เดือน พบว่าผลกระทบที่เจอเป็นหลักในกลุ่มที่รับประทานน้ำมันดาวอินค้าง เช่นอาการอาเจียน เรอ ส่วนอาการอื่นๆที่พบบ้าง เช่น ร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องผูก ส่วนผลกระทบที่เจอเป็นหลักในกลุ่มที่กินน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ดังเช่นว่าคลื่นไส้ท้องอืด ส่วนอาการอื่นๆที่พบบ้าง ดังเช่นว่า เจ็บท้อง ในส่วนของค่า รูปแบบการทำงานของตับตัวอย่างเช่น AST (Aspartate transaminase), ALT (Alanine Aminotransferase), GGT (Gammaglutamyl transferase), Alkaline Phosphatase, Total Bilirubin, Albumin, Total protein ค่าการท้างานของไต เช่น Creatinine ค่าการอักเสบ อย่างเช่น CRP แล้วก็ค่ากรดยูริค(Uric acid) ทั้งหมดนี้ไม่พบว่ามีความผิดธรรมดา ข้อแนะนำ / สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง 1. เพราะว่ายังไม่มีการกำหนดขนาดการใช้ดาวอินค้างอย่างแน่ชัด ฉะนั้นสำหรับเพื่อการใช้ปกป้องหรือบำบัดรักษาโรค ควรหารือแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ 2. ไม่สมควรใช้ติดต่อกันในปริมาณมากลเป็นเวลานานเนื่องจากว่าอาจมีผลต่อระบบต่างๆภายในร่างกาย 3. สำหรับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปของดาวอินค้าง ควรเลือดผลิตภัณฑ์ที่ตามมาตรฐานและก็ได้รับการรับรองจากหน่วยงานอาหารแล้วก็ยา เอกสารอ้างอิง- มารู้จักถั่วดาวอินคา กันเถอะ??.. จดหมายข่าว วิทย์-แพทย์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยา.ปีที่5.ฉบับที่ 2.เมษายน-มิถุนายน 2557
- Gonzales GF , Gonzales C. A randomized, double-blind placebo-controlled study on acceptability, safety and efficacy of oral administration of sacha inchi oil (Plukenetia volubilis L.) in adult human subjects. Food Chem Toxicol. 2014;65:168-76.https://www.disthai.com/[/b]
- อุดมวิทย์ ไวทยากร,กัญญรัตน์ จำปาทอง,เถลิงศักดิ์ วีระวุฒิ.ดาวอินคา พืชมหัศจรรย์ สุดยอดโภชนาการ.จดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่การวิจัยและพัฒนาการเกษตร.กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- Souza, A.H.P., Gohara, A.K., Rodrigues, A.C., Souza, N.E., Visentainer, J.V. & Matsushita, M. (2013). Sacha inchi as potential source of essential fatty acids and tocopherols: multivariate study of nut and shell. Acta Scientiarum, 35, 757-763.
- รัชนก ภูวพัฒน์.การศึกษาการเปรียบเทียบความสามารในการผลิตสารทุติยภูมิจากใบอ่อนใบเพสลาดและใบแก่ของถั่วดาวอินคาเพ่อรองรับการผลินใบชาเพื่อชุมน ของจังหวัดนราธิวาส.วารสารมหาวิทยาลัยพระธิวาสราชนครินทร์.ปีที่ 8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2559
- เปลือกถั่วดาวอินคา.กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- ธนกฤต ศิลปะธรากุล.ประสิทธิผล ของอาหารเสริมจากน้ำมันถั่วดาวอินคาในรูปรับประทาน ต่อการทำงานของสมองด้านสติปัญญา.สรุปการประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยระดับชาติครั้งที่ 3 ก้าวสู่ทศวรรษที่2:บูรณาการวิจัยใช้องค์ความรู้สู่ความยั่งยืน 17 มิถุนายน 2559 ณ.วิทยาลัยนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา.หน้า 14-21
- Maurer, N.E., Sakoda, B.H., Chagman, G.P. & Saona, L.E.R. (2012). Characterization and authentication of a nevel vegetable source of omega-3 fatty acid, sacha inchi (Plukenetia volubilis L.) oil. Food Chemistry, 134, 1173-1180.
- ถั่วดาวอินคา สรรพคุณ และการปลูกถั่วดาวอินคา.พืชเกษตรดอทคอม
- Chirnos, R., Zuloeta, G., Pedreschi, R., Mignolet, E., Larondelle, Y. & Campos, D. (2013). Sacha inchi (Plukenetia volubilis): A seed source of polyunsaturated fatty acids, tocopherols, phytosterols, phenolic compounds and antioxidant capacity. Food Chemistry, 141, 1732-1739.
- Hanssen, H.P. & Hubsch, M.S. (2011). Sacha Inchi (Plukenetia volubilis L.) nut oil and its therapeutic and nutritional uses. Nuts & Seeds in health and disease prevention, 991-994.
- Van Welzen,P.C. and K. Chayamarit. Euphorbiaceae. pp. 509 – 512. In Santisuk, T and K. Larsen (eds.) Flora of Thailand. Volume Eight. Part Two. The Forest Herbarium. National Park, Wildlife and Plant Conservation Department, Bangkok.
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : คาวอินคา
|
|
|
14
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขายส่งว่านชักมดลูก ถ้า
|
เมื่อ: ตุลาคม 28, 2018, 09:18:47 pm
|
ขายส่งว่านชักมดลูก ถ้าหากเอ๋ยถึงผลไม้ยอดนิยululมในเรื่องรสที่อร่อย แถมยัytlkuilงสามารถนำไปรัehjyukuilบประทานได้หdejykloil;ลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นควรเป็นว่านชักมดลูกราคาถูกกระท้อyukyน ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลอย่างแน่นอน ylเพราะเหตุว่ากระท้อนduilคือผลไม้ที่ถูกปาก ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลถูกใจใคulรrhykต่อใครlkuylจำนวนมาก วันนี้ulพวกเรop';าก็เลยขuนำความรู้ดีๆที่เกี่ยวกับผลไม้ykykจำพวกนี้มาฝากกัน บอกได้เลยว่าtdejyกระท้อนyuykkไม่ได้มีดีเl5redjykuiuพียงแค่รสชาติอร่อloi;ย แม้กระนั้นยังช่วยบำรุงรักษาสุullขภาพ ว่านชักมดลูกราคาถูก รวมทั้งulคุ้มภัยสุขภาพได้อีกหลายอย่างเลยกระท้อน กระท้อน (Santol) ชื่อวิทยulาpo;ศาสตร์ว่า Sandoricop'opumyuluil kouluiletjape (Burm. f.) Merr. ส่วนภาษาอังกฤษเป็uilน Santol เป็นผลไม้ที่มีต้ylulนกำเนิดในแถบอินโดจีนky โดยในykแต่ละiuluilulประเทศมีชื่อเรียกตามrfkiulเขตแดนที่ไม่เหมือนกัน ในส่วนของปfkyระเทศไทย kuภาคtkอีสานเรียกกระulท้อนว่าuilul มะจำเป็นต้อง หรือหมากจำต้อง ภาคเหนือเรียกolio; มะจำต้อง หรือ มะติ๋น ส่วนภาษาใต้เรียกผลไม้ชนิดว่านชักมดลูกราคาถูกนี้ว่า เตียน ylkuiliulล่อน ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลสะท้อน สตียา สะตู สะsdjโต คือผลไม้io;ที่อยู่uilวงศ์|ตระกูล|สกุล}เดียวiuil;กับลูกลางสาดแล้วก็ลองio;o;กอง มีทั้งสิ้น 4 ukuilสายพันธุ์ดังเช่นว่า กระท้อนประเภทปุยฝ้าย กระuliท้อนจำพวกอีล่า กระท้อนพันธุ์ทับทิม และกระท้อนจำพวกนิ่มนวลกระท้อน ระท้อนมีลัykกษณะเป็นไyukม้ยืนต้น ขนาดกึ่งกลuilางถึงขนาดจำนวนมากแล้วมักนิยiulมนำผลมารับประทานเป็นอีกทั้งของคาวหวาน ด้วยเหตุว่ามีรสชาติที่อร่อยและuilรuilสสัมผัสที่นุ่มละมุนกระท้อuilนคุณประโยชน์ของuilกระท้อน ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลอร่อยรวมทั้งดีกับสุขภาพ.ว่านชักมดลูกราคาถูก สร้luilางเสริมระบบuilภูมิต้านทาน Tags : ว่านชักมดลูกราคาถูก,ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูล
|
|
|
15
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หญ้าหวาน มะเขือเทศราชินี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มะเขือเทศเชอร์รี
|
เมื่อ: ตุลาคม 26, 2018, 12:47:08 am
|
หญ้าหวาน มะเขือเทศราชินี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มะเขือเทศเชอร์รี (Cherry tomato) ผลไม้เค้าหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ที่ใครได้รู้จักประโtyชน์เป็นจะต้tjyyukiululjtyju;องหญ้าหวานร้องว้าวอย่างไtyjม่tyjtyjต้องjytyjสงสัย ถ้าเกิดjeduikyกล่าวถึ'[oมะloเขือp[าชินีล่ะ บางคนบางครั้งอาจจะยังไม่ทราบ;ioว่ามะเขือเทศลูกเล็กอย่างมะเขือเykทศราชินีนั้นเy6นประโยชน์ขนาดไหio;น วันนี้กรioะ;ปุกดอทคอม;ioจึงขอสมัครใจพา;opทุกคนไปทำความรู้จักกับมะเขือเทศราชินีให้มากขึ้น หญ้าหวานรับรองว่าถ้าเกิดคุณได้รู้จะมะเขือเทศราชินีแล้ว คุณควรต้องหลงเสน่ห์ผลไม้ชื่อสง่านี้อ;io;ย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียวมะเขือเทศราชินีรู้จักมะเขือเทศราชินี มะเขือเทศราชินี กับ มะเขือเทศเชอร์รี (Cheriory tomato) ก็คือผลไม้ประเภทเดียวกัน มีชื่อเรียกด้านวิทยาio;ศาสตร์ว่า Soiolanum lycopersicum L. var. cerasiforme อยู่ในวงศ์ Solanaceae เป็นพืชล้io;มลุก ลำต้นตั้งชัน มีขนอ่อนๆi;oปกคลุมลำต้น ใบประกอบเป็นแoi;io;บบสลับ ใบย่อยมีขนาดแตกio;ต่างกัio;น บางใบเล็กเรียว บางใบกลมใหญ่ ปลายใ;ioบแหลม ขอ;iบใบหยัก o;เหมือนฟันเลื่อย มีขนอ่อนปกคลุม ดอกมีสีเหลือง ผลมีลักษณะกลมรี หรือทรงรี เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำน้ำ มีrthรสเปรี้ยrthวอมหวานมะเขือเทศราชินีrthมีอะไรอยู่ในมะเขือเทศราชินี ?คนใดจะไปคาดหมายว่าในมะเขือเทศราชินีลูกเล็กๆจะมีคุณค่าทางอาหารหลบซ่อนอยู่เยอะ พวกเราไปดูกันดีกว่าว่า ในมะเขือเทศราชินี 100 กรัม (ประมาณ 5-7 ลูก) มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรบ้างมีมะเขือเทศราชินีที่แหน่งใด มีไลโคปีนป่าย (Lycopene) ที่นั่นจ้ะ เชื่อว่าทุกคนคงเคยผ่o;านหูผ่านตากับชื่อของไลโคตะกายกันมาบ้างแล้ว ซึ่งไลโคตะกาyukยก็คือ สารต้านอนุมูลอิสระในกรุ๊ปtyjytkjtykแคโรทีนอยด์ (Carotenykoid) ที่yจะukช่วยลดการkjyเสี่ยงที่จะเio;ป็jntyนโรคต่างๆอันมีเหตุที่เกิดtykจากเซลyukล์ถูกทำลายได้uk อาทิเช่น โรคtjtrjมะเร็ง รับรองโดยงานวิจัยที่ถูกเผยแพร่ลงในนิตยสาร "Canadianiul Medical Association Journal" หญ้าหวานนอกจากในมะเขือ;io;เทศราชินีจะเป็serbgนแหล่งไลโคป่าrtjtyยปีนแล้ว ในมะkyเขือเทศราชินียังมีสารประกอบฟีนอลิก (Phyukenolic compounds) ที่yukจะช่วยio;ป้องกันioโuk;ioรคมะเร็ง โรคหัวใจและoi;io;ลอดเลืio;อด|เส้นเลือด|เส้นโลหิต}ได้fเป็นอย่าoi;งดี โดยจากyukการศึกษาเล่าเรียนขkyองyuคณะทรัyukluo;พukyyยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเyukทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เขตเมืองห;tdkjyfkลวง ร่วมกับ แผนกเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรื่อง "ผลขอyukงสายพันธุ์ต่อหญ้าหวานความสามารถสำหรับเพื่อกrthrtyjtjารต้านอนุมูลytkuอิio;สระรวมทั้งฤทธิ์การต้านอuilio;อกซิเดชั่นขjyukองมะเขือเทศราชิjtyนี" ในมะเขือเi;ทศราชินีสุก 4 สาjtyยพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 12005 12034 C40 และก็ G50 พบว่ามะเขือเทศราชินีสายพันธุ์ C40 มีสารประกอบฟีนอลิก(Phenolic compounds)
|
|
|
ฐานข้อมูลผิดพลาด |
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
|
|