กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 44
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชะเอมเทศ สรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 27, 2018, 06:53:51 am


ชะเอมเทศ
ชื่อสมุนไพร ชะเอมเทศ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กันเฉ่า (จีนกลาง) , กำเช่า (จีนแต้จิ๋ว)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glycyrrhiza  glabra   L.  และ  Glycyrrhiza uralensis Fisch.ex DC.
ชื่อสามัญ   Licorice Root , Sweet Root , Russian licorice, Spanish licorice, Chinese licorice
วงศ์   LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
ถิ่นกำเนิด

ชะเอมเทศ (G.glabra) เป็นพืชท้องถิ่นในประเทศแถบกลางรวมทั้งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ยกตัวอย่างเช่น จีน . ปากีสถาน , อีหว่าน , อัฟกานิสถาน รวมถึงกรุ๊ปประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีการปลูกบริเวณอ่าวเอดิเตอร์เรเนียน ในทวีปแอฟริกาและก็ทางตอนใต้ทวีปยุโรปแล้วก็ในประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ก็มีการปลูกเช่นเดียวกัน ส่วนประเทศที่ส่งออกชะเอมเทศรายใหญ่ของโลก เป็น ประเทศสมาพันธ์รัฐ รัสเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านสาธารณรัฐประเทศตุรกี และก็เมืองจีน ส่วนชะเอมเทศ (G. uralansis) เป็นพืชเขตแดนในแถบทางเหนือสาธารณรัฐพสกนิกร จีนมองดูโกเลีย และก็ไซบีเรีย โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศในพบได้ทั่วไปในมณฑลเฮยหลงเจียง จี๋หลิน เหลียวหนิง เหอเป่ย ซานตง ซานซี มองกิเลียใน ส่านซี กันสู้ ชิงไห่ สิงเจียง ซึ่งก็นับเป็นชะเอมเทศที่ใช้กันอย่างล้นหลามเช่นกัน
ลักษณะทั่วไป
ชะเอมเทศเป็นพืชแก่นับเป็นเวลาหลายปี โดยถูกจัดเป็นไม้พุ่มสูงราว 1 เมตร มีรากขนาดใหญ่เยอะมากๆลำต้นมีขนสั้นๆปลายมีต่อมเหนียว
ใบเป็นใบประกอบแบบขน ออกสลับกัน มีใบย่อย 9-17 ใบ ก้านใบย่อยสั้นมากมายแผ่นใบรูปกลมรีหรือรูปไข่ปนขอบขนาน กว้าง 1.5-3 ซม. ยาว 2-5.5 ซม.ปลายใบแหลม ฐานใบกลมมน มีขนสั้นๆทั้งสองด้าน
ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ยาว 5-12 ซม. มีดอกย่อยจำนวนไม่น้อยชิดกันหนาแน่น ดอกย่อยรูปดอกถั่ว สีม่วงอ่อนถึงขาว
ผลเป็นฝักกลมงอคล้ายเคียว มีขนปกคลุม ภายในมีเม็ด 2-8 เม็ด รูปกลมแบนหรือรูปไต สีดำเป็นเงา
ราก มีลักษณะเป็นท่อนกลมยาวมีลักษณะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อาทิเช่น Spanish liquorice (G. glabra var. typical Regal & Herd), Russian liquorice (G. glabra var. glandullifera (Wald et Kit) Regal & Herd) แล้วก็ Chinese licorice (G.uralensis Fisch.) โดยแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะดังนี้
Spanish liquorice ลักษณะรากเป็นทรงกระบอก ขนาดต่างๆกัน ผิวนอกของเปลือกมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลดำ มีรอยย่นตามทางยาว บางทีก็อาจจะเจอหน่อต้นที่เหง้าแล้วก็รากกิ่งก้านสาขาที่ราก รากที่ปอกแล้วจะมีสีเหลืองมีเส้นใย เนื้อรากมีสีเหลืองเห็นชั้นเยื่อแคมเบียมเป็นวง
Russian liquorice ลักษณะรากเป็นรูปทรงกระบอก ความยาว 15 – 40 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 5 เซนติเมตร รากขนาดใหญ่ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ซม. เปลือกนอกของเปลือกมีสีม่วงน้ำตาล รากที่ปอกแล้วจะมีสีเหลือง ประกอบด้วยเส้นใยเนื้อรากมีสีเหลืองเห็นชั้นเยื่อแคมเบียมเป็นวง
Glycyrrhiza uralansis Fisch. ลักษณะรากเป็นรูปทรงกระบอก ความยาว 20-100 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6-3.5 เซนติเมตรอาจจะมีส่วน cork หรือ ไม่มีก็ได้ ผิวนอกของเปลือกมีสีน้ำตาลปนแดง ถึงน้ำตาลเทา มีรอยย่นตามทางยาว บางครั้งอาจจะพบรากกิ้งก้านที่ราก รากที่ปอกเปลือกแล้วจะมีสีเหลืองประกอบด้วยเส้นใย เนื้อรากมีสีเหลือง มองเห็นชั้นเยื่อแคมเบียมเป็นวง
 
การขยายพันธุ์
ชะเอมเทศสามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วย การใช้เม็ด โดยมีวิธีการเช่นเดียวกับการขยายพันธุ์โดยใช้เม็ดของพืชประเภทอื่นๆส่วนสิ่งแวดล้อมที่สมควรในการปลูกชะเอมเทศนั้น โดยปกติแล้ว ชะเอมเทศเป็นพืชที่ชอบเข้ารับแสงสว่าง ทนร้อนแล้วก็ทนความแห้ง ชอบดินที่แห้งแล้งมีสีน้ำตาล มีธาตุแคลเซียมและก็เป็นดินเค็มอ่อนๆชั้นดินหนาแล้วก็ลึก สามารถระบายน้ำเจริญ เจริญเติบโตก้าวหน้ารอบๆฝั่งที่มีลักษณะดินปนทราย ไม่สามารถเติบโตได้บริเวณชายทะเลที่มีดินเค็มมากมาย หรือเป็นดินด่าง โดยชะเอมเทศจะมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 3 ปี
องค์ประกอบทางเคมี
สาระสำคัญที่เจอในชะเอมเทศ เช่น สารกลุ่ม triterpene saponins : 4 – 24% อาทิเช่นglycyrrhizin (หรือ glycyrrhizic acid หรือ glycyrrhizinc acid) ในจำนวน 5 – 9% รวมทั้ง 24 – hydroxyglyrrhizin สารพวกนี้จะมีความหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาลทราย 50 และก็ 100 เท่าตามลำดับ และก็สารที่อยู่ในรูป aglycone (glabranin A
แล้วก็ B, glycyrrhetol , glabrolide , isoglabroline)
glycyrrhizinc acid liquiritigenin
herniarin stilbenes
glabrene
สารกลุ่ม flavonoids: flavones, isoflavonoids, chalcones, liquiritigenin, liquirtin, isoliquiritigenin, isoliquiritin , formononetin , glabrone , neoliquiritin, neoisoliquirtin,
licuroside, hispaglabridin A รวมทั้ง B , licochalcone B, isobavachin, sigmoidin B1
สารกลุ่ม coumarins : herniarin, umbelliferone
สารกลุ่ม stibenes: gancaonin R
สารกลุ่มอื่นๆ: gums แล้วก็ wax
นอกจากนั้นG.glabrn L. ยังประกอบด้วยสารกรุ๊ป flavonoids รวมทั้งisoflavonoids อื่นๆเช่น sapinaretin, vitexin, pinocembrin, prunetin, glabranin, glabrene, glabridin, glabrol , kanzonol T , kanzonol W-Z , และสารกรุ๊ปcoumarins อื่นๆเช่น kanzonol U, kanzonol V
ส่วน G.uralansis ประกอบด้วยสารกลุ่ม flavonoids แล้วก็isoflavonoids อื่นๆเป็นต้นว่า licobichalcone , licocbalcone , licochalcone A , echinatin , licoflavone A , licoricone , isoliciflavonol , ononin , สารกลุ่ม coumarins อื่นๆดังเช่น glycyrol, isoglycyrol , glycycoumarin , licopyranocoumarin, สารกลุ่ม triterpene saponins อื่นๆเช่นuralsaponin A,B, uralenolide, licorice saponin A3, licorice saponin C2, licorice saponin D3, licorice saponin E2, สารกรุ๊ป pterocarpenes (glycyrrhizol A,B) สารกรุ๊ปอื่นๆได้แก่ 3-(p-hydroxyphenyl) propionic acid, (3R) – vestitol, 4-hydroxy-guaiacol apioglucoside
 
ประโยชน์ /คุณประโยชน์
ในขณะนี้มีการใช้ประโยชน์ของชะเอมเทศ เป็น รากชะเอมเทศมีสารสำคัญเป็นสาร Glycyrrhizin (Glycyrrhizic acid หรือ Glycyrrhizinic acid) และก็สาร 24-hydroxyglyrrhizin โดยสารพวกนี้เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ50-100 เท่า จึงถูกนำมาใช้เพื่อแต่งรสชาติของกิน ใช้แต่งรสหวานในขนมแล้วก็ลูกอม ใช้แต่งกลิ่นรสยาให้หวานและช่วยกลบรสขมของยาต่างๆแล้วก็ชะเอมเทศยังสามารถประยุกต์ใช้เป็นไวต์เทนนิงจากธรรมชาติ โดยสารสกัดที่ได้จากรากนั้นมีคุณสมบัติพิเศษสำหรับการช่วยลดความเข้มของเม็ดสี ลดฝ้ากระบนบริเวณใบหน้า ช่วยปรับให้ผิวหน้าสว่างกระจ่างขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยลดและต่อต้านการอักเสบของผิว จึงสามารถประยุกต์ใช้ทดแทนสารเคมีที่ช่วยทำให้ปรับผิวหน้ากระจ่างขาวใสได้ รวมทั้งยังไม่ก่อกำเนิดผลข้างเคียงต่อผิวหน้าและไม่นำมาซึ่งเป็นสิวอุดตันอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นชะเอมเทศมีคุณประโยชน์ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับลำคอแล้วก็กล่องเสียง เนื่องด้วยชะเอมเทศนั้นจะช่วยกระตุ้นการผลิตสารหล่อลื่นในรอบๆคอเหนือกล่องเสียงได้
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของชะเอมเทศบอกว่า สรรพคุณยาไทย ใช้ขับเลือดเน่า บำรุงหัวใจใช้ชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย แก้กำเดา แก้ไอ ทำให้เปียกคอ เป็นยาระบายอ่อนๆชะเอมเทศใช้แต่งรสยาให้กินง่ายโดยใช้เป็นตัวยาผสานให้ตัวยาอื่นๆในตำรับสามารถเข้ากันได้ รวมทั้งช่วยทำให้ตัวยาหลักออกฤทธิ์เร็วขึ้นแล้วก็ช่วยลดพิษ หรืออาการใกล้กันที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากยาได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้รสยาดียิ่งขึ้น แล้วก็ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ โดยตามสรรพคุณยาไทยยังสามารถแยกคุณประโยชน์จากส่วนต่างๆของชะเอมเทศได้ เป็น เปลือกของราก จะมีเป็นสีแดง แล้วก็มีรสหวานใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้คลื่นเหียนอาเจียน อ้วก ใบทำให้เสมหะแห้ง และก็เป็นยารักษาดีทุพพลภาพ ดอกใช้รักษาอาการคัน และก็รักษาพิษโรคฝีดาษ ผลจะมีรสหวาน ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง และก็อาการคอแห้ง ทำให้เปียกชื้น รากจะมีรสเปียกแฉะ ใช้เป็นยาบำรุงปอด ขับเลือดที่เน่าในท้อง รักษาพิษยาหรือพืชพิษต่างๆรักษาอาการเบื่อข้าว เหน็ดเหนื่อยจากการ ตรากตรำทำงานหนัก ปวดท้อง ไอเป็นไข้ สงบประสาท บำรุงปอด ใช้รากสดรักษาลักษณะการเจ็บคอ เป็นแผลเรื้อรัง ระบบการย่อยอาหารไม่ดี หรือของกินเป็นพิษ รวมทั้งรักษากำเดาให้ปกติ รากแห้งของพืชจำพวกนี้ใช้ทำยาระบายอ่อนๆหรือใช้แต่งรส
ส่วนในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนชะเอมเทศจัดเป็นสมุนไพรที่มีความจำเป็นถัดลงมาจากโสม แล้วก็เป็นสมุนไพรที่ใช้เยอะที่สุดในประเทศ จะเห็นได้จากตำรับยาแผนโบราณจีนกว่ากึ่งหนึ่งมีชะเอมเป็นส่วนประกอบ คุณประโยชน์ยาจีน โดยในคุณประโยชน์ของจีนกล่าวว่า ชะเอมเทศมีรสหวาน ฤทธิ์ปานกลาง มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ช่วยย่อยของกินแก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ แก้อาการใจสั่น และก็โรคลมชัก
นอกเหนือจากนั้นมีการทำการศึกษาพบว่า ส่วนของรากชะเอมเทศมีสารสำคัญที่ชื่อ Glabridin มีแถลงการณ์ว่ามีฤทธิ์ยั้งรูปแบบการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี tyrosinase ซึ่งเกี่ยวกับแนวทางการสร้างเม็ดสีของผิว ทำให้ผิวกระจ่างแจ้งใน ลดลางเลือนริ้วรอย รวมทั้งจุดด่างดำได้
ต้นแบบ / ขนาดวิธีใช้
นำชะเอมเทศไปคั่วให้เหลืองกรอบ มีกลิ่นหอมนำไปชงน้ำดื่ม จะช่วยแก้อาการชักช่วยสงบประสาท ทำให้นอนหลับได้ดิบได้ดี ถ้ามีลักษณะอาการร้อนในอยากกินน้ำ ชะเอมเทศนำไปต้มกับน้ำจับเลี้ยงแล้วใช้ดื่มจะช่วยเสริมคุณประโยชน์สำหรับการระบายความร้อนและพิษร้อนในร่างกายออกได้ รักษาอาการเส้นเลือดขอดแล้วก็อาการปอดอักเสบ โดยใช้ชะเอมเทศ 50 กรัม ต้มน้ำแบ่งรับประทานก่อนที่จะกินอาหารวันละ 3 ครั้ง รักษาอาการตัวเหลือง โดยใช้สารสกัดชะเอมเทศครั้งละ 15-20 มล. วันละ 3 ครั้ง พบว่าอาการตัวเหลืองจะหายเป็นปกติโดยใช้เวลาราว 13 วัน ใช้ภายนอกรักษาอาการอักเสบบริเวณผิวหนัง ผิวเป็นผื่นแดงและก็คัน หรือเป็นเกล็ด ใช้น้ำต้มชะเอมเทศล้างก็ช่วยลดอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้นได้
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดความดันเลือด สารสกัดแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ซึ่งสาระสำคัญเป็น glycycoumarin, glycyrin, glycyrin, dehydroglyasperin C รวมทั้ง D รวมทั้งเมื่อนำตำรับยาซึ่งมีสารสกัดรากชะเอมเทศกับสารสกัดหนอนตายต้องการ และก็น้ำมันกานพลู ฉีดเข้าท้องหนูขาวที่รั้งนำให้เกิดการไอด้วยแอมโมเนีย พบว่าส่งผลระงับการไอได้ รวมทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Streptococcus pneumonia รวมทั้ง b-Streptococcus group B เมื่อทดลองตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 1กรัม/กก. ทดสอบในหนูตะเภาซึ่งได้รับควันบุหรี่ที่เหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการไอด้วย capsaicin พบว่าสามารถหยุดการไอได้
ฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร การให้สารสกัดน้ำ สารสกัดแอลกอฮอล์ ทั้งยังทางปากฉีดเข้าท้อง หรือเข้าลำไส้เล็ก พบว่าสามารถลดการหลั่งของกรดในกระเพาะหนู และมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยกรด ยาแอสไพริน รวมทั้งยา ibuprofen สาร glycyrrhizin และก็สารที่ตัดส่วนน้ำตาลออก (aglycone) และสารสกัดชะเอมที่สกัดเอาสารกลุ่ม glycyrrhizin ออกแล้ว มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยกระตุ้นการหลั่งสารมูก สร้างสาร glycyrrhizin ที่พลังกระเพาะมากเพิ่มขึ้น และก็มีฤทธิ์ต่อต้านรูปแบบการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี pepsin ที่ปฏิบัติภารกิจสำหรับเพื่อการย่อยโปรตีน จึงทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารแก่ยืนยาว สารกรุ๊ป flavonoids (liquirtigenin และก็isoliquiritigenin) มีฤทธิ์ต่อต้านการบีบตัวของกล้ามเรียบในสัตว์ทดสอบ สาร isoliquirtitigenin มีความเฉพาะเจาะจงต่อ H histamine receptor โดยเป็น H recepior antagonist ยิ่งไปกว่านี้ยังมีฤทธิ์ลดการหลั่งของกรด และป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ
ฤทธิ์ลดการอักเสบ รากชะเอมเทศไม่ระบุขนาดกิน สามารถลดการอักเสบในคน และหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีการอักเสบด้วยcarrageenan หรือ a-chymotrypsin ส่วนสารสกัดบิวทานอล อีเทอร์ และน้ำต้มจากรากขนาด 20 กรัม/กก. และไม่กำหนดขนาด ทดลองโดยให้ทางสายยางเข้าสู่กระเพาะของกินหนูขาวซึ่งถูกรั้งนำให้มีการอักเสบด้วยฟอร์มาลีน แล้วก็ทดลองด้วยแนวทาง albumin stabilizing พบว่าสามารถลดการอักเสบได้
เมื่อนำยาชงจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ไม่กำหนดขนาดกิน พบว่าสามารถลดการอักเสบในคน สารสกัดตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ไม่ระบุขนาด ทดลองในหนูขาวซึ่งถูกรั้งนำให้เกิดการอักเสบด้วยฮีสตามีน พบว่าสามารถต่อต้านการอักเสบ นอกนั้นสารสกัดน้ำร้อนและก็เอทานอล 95 % ขนาด 18 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, 180 และ 500 มิลลิกรัม/กก., 100 และก็ 200 มิลลิกรัม/กก., 1.1 ก./กก. , 350 มิลลิกรัม/กก. และไม่กำหนดขนาดโดยป้อนทางปาก ให้ทางสายยางลงสู่กระเพาะอาหาร และก็ฉีดเข้าช่องท้อง ทดสอบในหนูขาว หนูถีบจักร และหนูเผือกซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย carrageenan, dextran, paw immersion ในน้ำร้อน , ก้อนสำลี แล้วก็ adjuvant, พบว่าสามารถลดการอักเสบได้ เมื่อให้ยาชงกับสารสกัดน้ำร้อนจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก .ทางสายยางเข้ากระเพาะของหนูขาวหรือหนูถีบจักร ซึ่งถูกรั้งนำให้เกิดการอักเสบด้วย carrageenan, dextran, paw immersion ในน้ำร้อน , adjuvant ก้อนสำลี และก็ mustard พบว่าไม่อาจจะลดการอักเสบได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดเอทานอล 95% จากเหง้าแห้งแล้วก็ราก ความเข้มข้น 25 มิลลิกรัม/หลุม ทดสอบในจานเพาะเชื้อPseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, Streptococcus epidermidis, Streptococcus pyogenes พบว่าสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้ แม้กระนั้นก็พบว่าบางการทดลอง เมื่อทดลองกับเชื้อ S. aureus, S. pyogenes สามารถต้านเชื้อได้เพียงเล็กน้อย สารสกัดน้ำจากราก ความเข้มข้น 10 มล./จานเพาะเชื้อ สารสกัดเอทานอล 95% จากราก ไม่กำหนดขนาด สารสกัดน้ำ เฮกเซน รวมทั้งเอทานอลจากราก ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดเมทานอลจากรากไม่ระบุขนาด ทดสอบในการจานเพาะเชื้อ S. aureus , P. aeruginosa พบว่าไม่สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้
นอกจากนั้นยังมีการเล่าเรียนทางสถานพยาบาลในชะเอมเทศอีกอาทิเช่นกรณีคนเจ็บโรคกระเพาะของกิน การกินรากชะเอมเทศจะมีผลให้แผลหายเร็วขึ้น 75% สาระสำคัญเป็นสารglycyrrhetic acid (enoxolone) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 15-hydroxyprostaglandin dehydrogenase แล้วก็ –prostaglandin reductase ทำให้มีการสร้างสาร prostaglandins E แล้วก็ F ที่กระเพาะ ซึ่งจะช่วยการรักษาแผลกระเพาะได้ดิบได้ดี
ส่วนในกรณีคนเจ็บโรคกระเพาะอาหารแล้วก็ไส้ เมื่อรับประทานชะเอมเทศที่มีการสกัดเอาสาร glycyrrhizin ออกไปแล้วในปริมาณ 380 มก. วันละ 3 ครั้ง พบว่าให้ผลการดูแลรักษาเสมอกันกับการให้ยาลดกรดและก็ยา cimetidine
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษในมนุษย์ เมื่อนำสารสกัดน้ำจากรากชะเอมเทศ ไปใช้เป็นยาระบายในคน เจอ 5 ราย เกิดเป็นพิษ โดยมีลักษณะความดันเลือดสูง โดยระดับโพแทสเซียมไอออนเพิ่มพลาสมาเรนิน แล้วก็ระดับ aldosterone ลดน้อยลง นอกเหนือจากนี้คนที่กินสารสกัดน้ำจากรากไม่เจาะจงขนาด พบว่ามีลักษณะภาวะความดันโลหิตสูง กระดูกจมูก ขากรรไกร นิ้วมือนิ้วเท้าโตกว่าปกติ (acromegaly) แล้วก็มีอาการบวมน้ำร่วมด้วย นอกเหนือจากนี้ยังพบรายงานอาการความดันเลือดสูงเมื่อกินรากชะเอมเทศ เป็นต้นว่า หญิงกินรากชะเอมเทศไม่เจาะจงขนาด หญิงอายุ 40 ปี กินรากชะเอมเทศขนาด 100 ก./วัน คนไข้หญิงเรื่องราวเป็นโรคเบื่ออาหารชายอายุ 36 ปี กิน ขนาด 25 ก./วัน นาน 1 เดือน และเด็กชายอายุ 15 ปี กินทอฟฟี่ที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบอยู่ 0.5 ก. นอกเหนือจากนี้ยังมีรายงานความเป็นพิษของตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ โดยส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง ดังเช่นว่าหญิงรับประทานตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 0.25 กก./วัน และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าหญิงรับประทานชาชงชะเอมเทศ ขนาด 3 ล./วัน มีอาการความดันเลือดสูง
การทดลองความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง
สารสกัดเอทานอล-น้ำ (1:1) จากราก ฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งหนึ่ง (LD50)เท่ากับ 681 มก./กก. และสารสกัดน้ำซึ่งมี glycyrrhizin อยู่ 48-58 % ฉีดเข้าช่องท้องหนูขาว หนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งเดียว (LD50) เท่ากับ 1.5 กรัม/กิโลกรัม เมื่อป้อนทางปากหนูขาว หนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว (LD50) พอๆกับ 16 ก./กก. เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูขาว หนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งเดียว (LD50) เท่ากับ 4.2 กรัม/กก.อีกการทดสอบพบว่าสารสกัดเอทานอล 30% จากรากไม่ระบุขนาดป้อนให้ทางปากหนูถีบจักรพบว่า ค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว (LD50) เท่ากับ 32 มิลลิลิตร/กก.สารสกัดจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ เมื่อฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายสูงที่สุด (MLD) พอๆกับ 23.6 ก/กก นอกจากนี้การทดลองตำรับที่มชะเอมเทศ[/url]เป็นองค์ประกอบ ทดสอบในหนูถีบจักรเพศผู้เพศภรรยา พบว่าค่า LD50 มากยิ่งกว่า 5 ก./กิโลกรัม และก็สารสกัดเอทานอลจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ทดลองในหนูถีบจักรพบว่าค่า LD50 เท่ากับ 1.8 ก./กิโลกรัม
พิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเอทานอล 40% จากราก ขนาด 1.6 มล./กก.ทดสอบในกระต่ายและก็หนูขาวที่ตั้งท้อง ไม่พบความเป็นพิษต่อตัวอ่อน นอกเหนือจากนั้นการเรียนความเป็นพิษ พบว่าเมื่อให้สารสกัดดังกล่าวเป็นเวลา 13 อาทิตย์ ไม่เจอความเป็นพิษต่อทุกระบบ ยังพบว่าสารสกัดเอทานอล95% จากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ขนาด 250 มิลลิกรัม/กก. ให้ทางสายยางเข้าไปยังกระเพาะอาหารหนูขาวที่ท้อง เจอความเป็นพิษต่อตัวอ่อนแต่ว่าผลที่เกิดไม่แน่นอน (equivocal) แล้วก็สารสกัดไม่ระบุส่วน ขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัมทดลองในหนูขาวและก็หนูถีบจักร ไม่เจอความเป็นพิษต่อระบบต่างๆของร่างกาย ยิ่งไปกว่านี้ยาชงจากรากชะเอมเทศ ไม่กำหนดขนาด ให้ทางสายยางลงไปยังกระเพราะของกินหมาและก็หนูขาว ไม่พบความเป็นพิษ
พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ความเข้มข้น 250 มคก./มิลลิลิตร และ 500 มคกรัม/มิลลิลิตรทดสอบในการเพาะเลี้ยง CA-mamary-microalveolar พบว่าความเข้มข้นขนาด 250 มคก. มีความเป็นพิษต่อเซลล์อย่างอ่อน ส่วนความเข้มข้น 500 มคก. ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์ นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดน้ำร้อนจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ความเข้มข้น 500 มคล./มิลลิลิตรทดลองสำหรับเพื่อการเพาะเลี้ยง cells-HE-1 ความเข้มข้น 250 มคลิตร/มล. ทดสอบในการเพาะเลี้ยง CA-JTC-26 พบว่าที่ความเข้มข้น 500 มคล. ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ ส่วนความเข้มข้น 250 มคลิตร พบว่าเป็นพิษต่อเซลล์ อีกการทดสอบหนึ่งพบว่าสารสกัดเอทานอล-น้ำ (1:1) จากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ขนาด 25 มคกรัม/มล. ทดลองสำหรับเพื่อการเพาะเลี้ยง CA-9KB ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 2 มก./มล. ทดสอบในการเพาะเลี้ยง Hela cells ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำ สารสกัดเมทานอลจากรากชะเอมเทศ ความเข้มข้น 100 มคก/มล. ทดลองสำหรับการเพาะเลี้ยง Vero cells ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์นอกจากนี้สารสกัดน้ำจากรากชะเอมเทศ ความเข้มข้น 10% ความเข้มข้น 400 มคลิตร/มิลลิลิตรทดลองสำหรับการเพาะเลี้ยง Hela cells แล้วก็ cell-MT2 เป็นลำดับ ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัดเมทานอลจากราก ทดสอบในการเพาะเลี้ยง Ishikava cells และ S-30 cells พบว่าค่า IC50 พอๆกับ มากกว่า 20 มคกรัม/มล. แม้กระนั้นไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดน้ำจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ไม่เจาะจงความเข้มข้น ทดสอบสำหรับเพื่อการเพาะเลี้ยง Salmonella typhimurium TA100, TA98 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง
1. ห้ามใช้ในคนเจ็บที่มีความดันเลือดสูง ตับแข็ง ภาวการณ์โปแตสเซียมต่ำ โรคไตเรื้อรัง โรคตับอักเสบ แล้วก็หญิงตั้งท้อง
2. ห้ามใช้ชะเอมเทศร่วมกับยาคอร์ติวัวสเตียรอยด์
3. หลบหลีกการใช้ชะเอมเทศร่วมกับยาขับปัสสาวะSpironolactone หรือ Amiloride เนื่องจากว่าจะก่อให้ประสิทธิผลของการรักษาโรคความดันเลือดลดลง
4. ผู้ที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรจะงดบริโภคชะเอมเทศอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพราะว่าชะเอมเทศอาจรบกวนการควบคุมความดันเลือดในระหว่างและหลังการผ่าตัด
5. ชะเอมเทศในขนาดที่มากกว่า 50ก./วัน เกินกว่า 6 สัปดาห์ จะก่อให้เกิดการสะสมน้ำภายในร่างกาย มีการบวมที่มือและเท้า สารโซเดียมถูกขับได้ลดลง ระหว่างที่สารโพแทสเซียมถูกขับมากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. ชะเอมเทศ.บทความวิชาการ สมุนไพรในตำรับยาหอม.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่28.ฉบับที่2.มกราคม 2554 หน้า 7-12
  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และ วิเชียร จีรวงศ์. คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 1 น้ำกระสายยา. พิมพ์ครั้งที่ กทม. อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. 2556. หน้า 34 – 35
  • ชะเอมเทศ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุจิตรา ทองประดิษฐ์ ยุวดี วงษ์กระจ่าง วิสุดา สุวิทยาวัฒน์ จรุงจันทร์ กิจผาติ.  การศึกษาความเป็นพิษของยาหอม.  วารสารสมุนไพร2542;6(1):1-10.https://www.disthai.com/[/color]
  • ชะเอมเทศกับความดันโลหิตสูง.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิดล.
  • ชะเอมเทศ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.Patcharin B, Pusit S, Malee L.  Preparation and evaluation of cough pills from natural products.  Special project, Faculty of Pharmacy, Mahidol University, 1984:30pp.
  • Naovi SAH, Khan MSY, Vohora SB.  Anti-bacterial, anti-fungal and anthelmintic  investigations on Indian medicinal plants.  Fitoterapia 1991;62(3):221-8.
  • Junzo K, Kayo
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะม่วงหาว มะนาวโห่ สรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 26, 2018, 12:53:09 am

มะม่วงหาว มะนาวโห่
ชื่อสมุนไพร  มะม่วงหาวมะนาวโห่
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ , มะนาวไม่รู้โห่ , หนามแดง (ภาคกลาง) , หนามขี้แฮด (เชียงใหม่) , มะนาวโห่ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์    Carissa carandas L.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Carissa congesta Wight.
ชื่อสามัญ  Karanda, Carunda , Christ’s thorn , Bengal Currants.
วงศ์  APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด
มะม่วงหาว มะนาวโห[/color]เป็นผลไม้ในกรุ๊ปเบอร์ปรี่ประเภทหนึ่งที่มั่นใจว่าถิ่นกำเนิดอยู่แถบ Himalayas แม้กระนั้น นักพฤกษศาสตร์บางคนพูดว่ามีถิ่นกำเนิดแถบ Java มะนาวโห่มีการกระจายตัวตั้งแต่เนปาลไปจนกระทั่งอัฟกานิสถาน แล้วก็เจอได้ในหลายๆพื้นที่ในประเทศ อินเดีย มีการกระจายตัวในเขตอบอุ่นของประเทศ อินเดีย และก็ศรีลังกา โดยธรรมชาติเติบโตในพื้นที่ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 300 ถึง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล รวมไปถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา พม่า จีน รวมทั้งไทย
ส่วนในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนในปัจจุบันค่อนข้างหามารับประทานได้ยาก เพราะเป็นพันธุ์พืชมีหนาม หลายคนไม่ทราบคุณประโยชน์จึงฟันทิ้งกันไปๆมาๆก เว้นเสียแต่คนที่รู้เท่านั้นที่นำมาปลูกไว้ สำหรับคนรุ่นเก่าแล้วผลไม้ชนิดนี้จัดว่ามีคุณประโยชน์เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุว่าเป็นมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพรซึ่งมีสรรพคุณที่มากมาย
ลักษณะทั่วไป มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีลักษณะเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้ใหญ่ขนาดเล็ก เป็น ไม้ไม่ผลัดใบ มีสีเขียวตลอดปี มีลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ เป็น
ลำต้น : สูง 2-3 เมตร แต่ว่าบางทีอาจสูงถึง 5 เมตร มียาง ขาวเปลือกมีสีเทาอ่อน
กิ่ง: มีกิ่งหลายชิ้นกิ่งมี ลักษณะแข็ง รวมทั้งกระจายไปทั่วต้น การแตกกิ่งจะแตก ออกเป็น 2 กิ่งตรงคู่กัน มีหนามอีกทั้งแบบหนามเดี่ยว หรือ เป็นคู่ บางทีอาจยาวได้ถึง 5 ซม. หนามจะพบบริเวณ มุมใบ หรือตามข้อของกิ่ง กิ่งแขนงมักจะมีหนามที่แข็ง และก็คม
ใบ: เป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือ รูปไข่ ไม่มีหูใบ กว้าง 1.5-4 เซนติเมตร ยาว 3-7 เซนติเมตร ปลายมน หรือเว้ายุบ มีก้านในผู้เดียว เส้นใบ เป็นแบบร่างแห ผิวใบเรียบ เป็นมัน มีสีเขียวเข้ม หรือ สีเขียวอมเทา
ช่อดอก: ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีลักษณะเรียงเป็นแบบช่อเชิงหลั่นเป็นกระจุกกันอยู่ใบประดับประดาตรง
ดอก: ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น (เหมือนดอกมะลิ) ขนาด ยาว โดยประมาณ 3.5-5.5 ซม. กลีบดอกสีขาว หรือ สีชมพู รวมกันเป็นช่อ 2-3 ดอก ไม่มีใบประดับย่อย มีก้านดอกย่อย เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกสมมาตรตามรัศมี มีกลับดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นขน โคนเชื่อมเป็นหลอด ยาว 16-21.5 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก มีขนสั้นขนาด เล็ก วงกลีบดอกไม้: กลีบเชื่อมกัน 5 กลีบเป็นวง เป็น รูปใบหอก สีขาว มีขนสั้นขนาดเล็กนุ่ม หลอดมีลักษณะ ยาว และขยายตรงฐานรองดอก มีขนสั้นนุ่มอาทิเช่น เดียวกัน
เกสรตัวผู้: มีละอองเกสรเพศผู้จำนวนไม่ใช่น้อยปลายยอดเกสรตัวผู้มีรยางค์ อับเรณูติดอยู่ตรงฐาน มีลักษณะหันเข้า อับเรณูแตกทางยาว
เกสรตัวเมีย: มี 1 อัน รังไข่มีลักษณะกลมรี มีวงเกสรตัวเมีย 2 วง เชื่อมกันอยู่ รังไข่เป็นsyncarpous มีหลาย locule placenta อยู่ที่ศูนย์กลาง (axis) ของรังไข่ มี carpel แล้วก็ locule 2 อัน ยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะเป็นเส้นใย ปลายแยกเป็น 2 แฉก
ผล: ผลไม้ที่มีเนื้อสด (fleshy fruit) มี pericarp เป็นเนื้อนุ่มรับประทานได้ ผลเป็นแบบdrupe (ผลไม้ ที่มีเมล็ดแข็ง) ลักษณะรูปไข่ ขนาดกว้าง 12-17 มม. ยาว 15-23 มิลลิเมตร ผลสำเร็จคนเดียวออก รวมกันเป็นช่อ ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆรวมทั้งค่อยๆเข้มขึ้นเป็นสีแดง จนถึงสุกก็เลยกลายเป็นสีดำมีรสชาติ เปรี้ยว
เมล็ด: เมื่อผลสุกจะมี 2-4 เมล็ด เมล็ดมี ลักษณะแบน รูปไข่ เอนโดสเปิร์มเป็นแบบเนื้อ (fleshy endosperm) มีลักษณะเว้า
การขยายพันธุ์
โดยปกติแล้ว มะม่วงหาว มะนาวโห่ นิยมแพร่พันธุ์ด้วยเม็ด เมล็ด มะม่วงหาว มะนาวโห่เป็นเม็ดที่มีอายุการรักษาสั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อ แยกเม็ดออกมาจากผลแล้วจึงควรเพาะเม็ดในทันที (Patel, 2013) การเพาะเม็ดนิยมเพาะในโรงเรือนช่วง เดือน สิงหาคม-กันยายน หรือนำมาเพาะใส่ลงไปในถุงพลาสติกเพาะชำ รดน้ำให้ชุ่ม วางเอาไว้ภายในที่แดดร่มๆซึ่งจะใช้เวลาเพาะประมาณ 6 เดือน แล้วนำมาปลูกเอาไว้ภายในแปลง
หรือเมื่อต้น กล้าอายุได้ 1 ปี สำหรับวิธีการทำหมัน กิ่งแล้วก็การชำ ในมะม่วงหาว มะนาวโห่ควรเริ่มทำ ในตอนมรสุมรากจะออกข้างหลังตอนราว 3 เดือน โดยการเลือกตอนในกิ่งที่ ไม่อ่อนหรือไม่แก่เดินไป อายุกิ่งไม่เกิน 1 ปี มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางกิ่งไม่เกิน0.5 เซนติเมตรมะม่วงหาว มะนาวโห่จัดเป็นพืชที่ทนภาวะแล้งก้าวหน้าจะรุ่งโรจน์ เติบโตเจริญในเขตร้อนเขตอบอุ่น สามารถเติบโต ได้ดีในดินปนทราย แถบเทือกเขาหินปูน รวมทั้งดินที่ย่อยสลาย หรือดินภูเขา โดยสามารถเติบโตได้ในดินดูเหมือนจะทุก ประเภท ตั้งแต่ดินเค็ม ไปจนกระทั่งดินกรด พืชประเภทนี้จะ เติบโตได้ดิบได้ดีในพื้นที่ชายฝั่ง หรือพื้นที่ที่ไม่มีการใช้ ประโยชน์ และยังเป็นพืชที่อยากได้น้ำน้อยมาก การให้ น้ำมีความสำคัญเฉพาะตอนหลังย้ายปลูก หรือหลังให้ ปุ๋ยแค่นั้น
ส่วนประกอบทางเคมี
ในผลของ[url=https://www.disthai.com/17039488/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B9%88]มะม่วงหาว มะนาวโห่
มีสาร anthocyanin สารประกอบฟีนอลิก และก็ triterpenoid acid และสารพวกพวกโปรตีน ดังเช่นว่า alanine, glycine, glutamine รวมทั้งยังเจอคาร์โบไฮเดรต ฟลาโวนอยด์ ในลำต้นรวมทั้งรากเป็นพวกลิกแนน ใบเป็นพวกสามเทอร์ป่ายปีนส์, สเตียรอยด์นอกนั้นการเล่าเรียนพื้นฐานพบว่า สารสกัดของมะม่วงไม่เคยทราบหาว มะนาวไม่เคยรู้โห่ยังประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆเป็นต้นว่า สารโฟลีฟีนอลิก (polyphenolic) ฟลาโวนอยด์(flavonoid) ฟลาวาโนน (flavanone) วิตามิน ซีอัลคาลอยด์(alkaloid) ซาโปนิน (saponin) รวมทั้ง แทนนิน (tannins)
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะม่วงหาว มะนาวโห่ กล่าวว่าผลมะม่วงหาวมะนาวโห่สุก 100 กรัม ให้พลังงานราว 75 แคลอรี่ มีไขมัน 2-5 กรัม น้ำตาล 7-12 กรัม แล้วก็วิตามินซี 9-11 มิลลิกรัม
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
มะม่วงหาว มะนาวโห่มีผลแบบมีเนื้อหลายเม็ด (berry) นิยมนำมาใช้บริโภคสดหรือประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการประกอบอาหารดองในประเทศอินเดีย มีการบริโภค ภายในประเทศและก็ส่งออกต่างประเทศ มะม่วงหาว มะนาวโห่เป็น ผลไม้ที่จัดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่กินก่อนที่จะกินอาหารจาน หลักได้เป็นอย่างดี โดยส่วนมากแล้วผลมักจะนำไปดองก่อนที่จะสุก ส่วนผลดิบชอบใช้เป็นเครื่องดื่มคลาย้อน ประยุกต์ใช้ทำเยลลี่ แยม น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม ทาร์ต แล้วก็เครื่องแนม น้ำยางสีขาวในผลสุกใช้ใน อุตสาหกรรมแทนนินและก็สีผสมอาหาร ในผลสุกจะมี สารคล้ายยางเหนียวแม้กระนั้นเมื่อปรุงโดยการผ่านความร้อน แล้วทิ้งเอาไว้ให้เย็นจะได้น้ำผลไม้ที่มีสีแดงเข้มใส เอาไปใช้เป็นเครื่องดื่มดับร้อนได้ ผลสุกของมะม่วงหาว มะนาวโห่จะมี เพ็กตินเยอะมากๆ ผลสุกชนิดที่มีรสหวานสามารถ รับประทานได้ทันที แต่ว่าชนิดที่มีรสเปรี้ยวจำเป็นต้องกวนด้วย น้ำตาลเยอะมากๆก่อนก็เลยจะรับประทานได้ ในบาง ประเทศปรุงมะม่วงหาวมะนาวโห่ร่วมกับพริกเขียวเพื่อเป็นอาหาร ที่รับประทานคู่กับแผ่นโรตี ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการน้ำเอามาทำเป็นซอสเปรี้ยวใช้สำหรับรับประทานคู่กับปลาและก็เนื้อวัวอีกด้วย
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของมะม่วงหาว มะนาวโห่ตามตำรายาไทย
ระบุว่า แก่น บำรุงไขมัน เหมาะสำหรับคนผอมบาง บำรุงธาตุแก้เมื่อยล้า ใบสด ต้มน้ำดื่มแก้ท้องเดิน แก้ปวดหู ไข แก้เจ็บปากรวมทั้งคอ รากสดต้มน้ำกิน ขับพยาธิ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ตำอย่างรอบคอบผสมกับเหล้า ทาหรือพอกรักษารอยแผลแก้คัน เปลือกลำต้น บรรเทาอาการโรคผิวหนัง แก้บิด ขับน้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเดินแก้กามโรค ทำยาอมรักษาแผลในปาก แก้ปวดฟัน พอกดับพิษ ผล ผลดิบ มีรสขมและเปรี้ยว ใช้เป็นยาสมาน แผล ดับกระหายคลายร้อน ใช้เป็นของกินเรียกน้ำย่อย ที่รับประทานก่อนรับประทานอาหารจานหลัก แก้ท้องผูก ลดไข้ ละลายเสมหะรวมทั้งมีประโยชน์สำหรับผู้มีลักษณะอาการ อยากดื่มน้ำ เบื่อข้าว ท้องเดิน ลักษณะของการมีไข้ขึ้นสมอง และก็ อาการคลื่นไส้เป็นเลือด ผลสุก มีรสหวานแล้วก็มี คุณประโยชน์เย็น ใช้คือผลไม้เรียกน้ำย่อย บรรเทาอาการ ลักปิดลักเปิด และก็มีประโยชน์ต่อผู้มีอาการอาเจียนมีเสลด สภาวะไม่อยากกินอาหาร แผลไหม้ โรคหิด อาการคัน และก็อาการอื่นๆจากโรคผิวหนังนอกเหนือจากนั้นยังบรรเทา สภาวะโลหิตจาง รวมทั้งช่วยถอนพิษ และก็ในตำราเรียนแพทย์พื้น บ้านกล่าวว่าผลสุกสามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของ ผู้หญิง รวมทั้งฆ่าพยาธิในลำไส้ได้ ผลสุกมีคุณลักษณะใน การฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ รวมทั้งเชื้อราได้ น้ำคั้นจากผลใช้ล้าง แผลเพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ แล้วก็บรรเทาอาการคันที่ ผิวหนัง รวมทั้งยังสามารถทุเลาอาการบ้าได้อีก ด้วย เมล็ด แก้กลากเกลื้อน แก้เนื้อหนังชาในโรคเรื้อน แก้โรคผิวหนัง แก้ตาปลา แก้เนื้องอก บำรุงไขข้อ บำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น ชูกำลัง บำรุงผิวหนัง น้ำยาง ทำลายตาปลา กัดทำลายพื้นที่ด้านเป็นปุ่มโต แก้เลือดไหลตามไรฟัน รักษาหูด รักษากลาก แผลเนื้องอก โรคเท้าช้าง ยอดอ่อน รักษาริดสีดวงทวาร
ส่วนในการศึกษาเรียนรู้ด้านการแพทย์แผนปัจจุบันมีผลการเรียนกล่าวว่า สารออกฤทธิ์ในมะม่วงหาว มะนาวโห่สามารถต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน (antidiabetic) รวมทั้งคุ้มครองการเกิดโรคมะเร็งได้ (anticancer)
แบบ/ขนาดการใช้
รากสด ต้มกับน้ำใช้ดื่มเพิ่มความอยากของกิน เพิ่มการทำงานของกระเพาะ เพิ่มการหลั่งกรด แก้ท้องเดิน ขับพยาธิ ใบต้มกับน้ำ ใช้ลดไข้ แก้ท้องร่วง แก้แผลอักเสบที่ปาก ผลสุดใช้กินสดหรือทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม แก้ลักปิดลักเปิด แก้โลหิตจาง ช่วยเจริญอาหารแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ท้องร่วง แก่นไม้มะม่วงหาว มะนาวโห่ใช้ต้มกับน้ำใช้ดื่ม ช่วยทำนุบำรุงธาตุ ชูกำลัง แก้อ่อนเพลีบ น้ำยางใช้ทากัดตาปลา และพื้นที่ด้านแข็ง รักษาหูด ขี้กลากโรคเกลื้อนการเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระ พบว่าในผลสุกที่มีสีม่วงจะมีฤทธิ์ในการต้าน อนุมูลอิสระสูงกว่าผลดิบ (ผลสีชมพู) และผลครึ่งหนึ่งสุก (ผลสีแดง) แล้วก็ยังพบว่ามีจำนวนสารประกอบฟีนอลิก ทั้งปวงรวมทั้งปริมาณแอนโทไซยานินทั้งผองในผลสุก สูงยิ่งกว่าผลดิบแล้วก็ผลครึ่งสุกด้วยอย่างเดียวกัน แล้วก็ยังพบว่าในรากมีสารที่สามารถต้าน อนุมูลอิสระได้ โดยมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด ตั้งแต่ 1.79-4.35 GAE มิลลิกรัม/กรัม ของตัวอย่างแห้งปริมาณฟลา โวนอยด์ทั้งหมดระหว่าง 1.91-3.76 CE มิลลิกรัม/กรัม ของ ตัวอย่างแห้ง มีฤทธิ์สำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระแบบ DPPH รวมทั้งเปอร์เซ็นต์การยับยั้งปฏิกิริยาperoxidation ของ linoleic acid ระหว่าง 12.53-84.82% รวมทั้ง 41.0- 89.21% ตามลำดับฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านทานมะเร็ง การศึกษาเล่าเรียนถึง ผลของสารสกัดมะม่วงหาว มะนาวโห่ที่ส่งผลต่อเซลล์มะเร็งรังไข่ เซลล์ของโรคมะเร็ง Caov-3 และเซลล์ของโรคมะเร็งปอด โดยการทำการสกัดจาก 3 ส่วนประกอบ คือ ใบ ผลดิบ รวมทั้งผลสุก พบว่าสาร สกัดจากใบมะม่วงหาว มะนาวโห่ด้วย chloroform สามารถต้านทาน กิจกรรมของเซลล์ของโรคมะเร็ง Caov-3 ได้เป็นอย่างดี ในขณะ ที่สารสกัดจากผลดิบมะม่วงหาว มะนาวโห่ด้วย hexane สามารถ ต้านทานกิจกรรมของเซลล์มะเร็งปอดได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีการค้นพบสารตัวใหม่ที่มี อยู่ในใบของมะม่วงหาว มะนาวโห่ชื่อสาร carandinol ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ปของ triterpene ซึ่งเมื่อนำมาประเมินความเป็น พิษต่อเซลล์(cytotoxicity) การผลิตภูมิคุ้มกัน (immunomodulatory) สารต้านทานไกลเคชั่น (antiglycation) ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ และก็ความ สามารถสำหรับในการยั้งหลักการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ในสภาพ ไม่มีเชื้อโรค พบว่า สารประเภทนี้สามารถก่อความเป็นพิษ กับเซลล์มะเร็งทุกหมวดหมู่สำนักงานทดลอง อีกทั้ง HeLa, PC-3 รวมทั้ง 3T3 โดยจะมีความเป็นพิษกับเซลล์ของมะเร็งคอมดลูก (HeLa) มากที่สุด ซึ่งการวิจัยนี้เป็นการ ศึกษาเล่าเรียนแรกที่ทำงานแยกสารกลุ่ม isohopane triterpene จากใบมะม่วงหาว มะนาวโห่
ฤทธิ์ในการต้านทานอาการอักเสบอาการปวด และก็ลักษณะของการมีไข้มีการนำสาร สกัดจากผลแห้งมากระทำการทดสอบความสามารถในการ ต้านอาการอักเสบในหนู พบว่า สารสกัดโดยใช้ความฉลาด นอลเป็นตัวทำละลายมีความรู้และมีความเข้าใจในการต้านทาน อาการอักเสบในหนูได้ โดยลดน้อยลงได้ถึง 76.12% ก็เลย ทำให้สารสกัดนี้มีประสิทธิภาพในการใช้เป็นองค์ประกอบ ของยาที่ใช้ต้านอาการอักเสบได้ นอกนั้นยังมีการศึกษาเล่าเรียนเพื่อนำสารสกัดจากใบ มะนาวโห่มาใช้เพื่อต่อต้านอาการอักเสบแล้วก็ลดไข้ในหนู พบว่า สารสกัดที่ให้กับหนูที่ความเข้มข้น 200 มก./ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถต้านอาการอักเสบจากการ บวมที่อุ้งเท้าของหนูได้มากถึง 72.10% ในส่วนของ ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการลดลักษณะของการมีไข้ พบว่าที่ความเข้มข้น 100 และก็ 200 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. สามารถลดอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากลักษณะของการมีไข้ลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ สามารถลดอาการได้นานถึง 4 ชั่วโมงภายหลังให้สารสกัดฤทธิ์สำหรับการต้านทานอาการชักจากการเล่าเรียนฤทธิ์ในการต้านทานอาการชักที่เกิดขึ้นมาจากการกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้า และก็การกระตุ้นด้วยสารเคมี (pentylenetetrazole, picrotoxin, bicuculline และก็ N-methyl-dl-aspartic acid) ในหนูโดยใช้สารสกัดจาก รากที่ความเข้มข้น 100, 200 และก็ 400 มิลลิกรัม/กก. พบว่า สารสกัดทั้งยัง 4 ความเข้มข้นสามารถลดระยะเวลาการ ชักในหนูได้ แม้กระนั้นเฉพาะความเข้มข้นที่ 200 แล้วก็ 400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เท่านั้นที่ป้องกันอาการชักได้ และก็ที่ความเข้มข้นนี้ยังสามารถคุ้มครองป้องกันอาการชักจากการกระตุ้นด้วย pentylenetetrazole และก็ชะลอการเกิดอาการชักจากการกระตุ้นด้วยสาร picrotoxin รวมทั้ง N-methyl-dlaspartic acid แต่ไม่เป็นผลคุ้มครองปกป้องอาการชักจากการกระตุ้นด้วยสาร bicuculline
ฤทธิ์สำหรับการต้านเบาหวาน จากการศึกษาเล่าเรียนในสารสกัดจากผลดิบ พบว่าการสกัดด้วยเมทานอลและ ethyl acetate ที่ความเข้มข้น400 มิลลิกรัม/กก. สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจังถึง 48 รวมทั้ง 64.5% เป็นลำดับเมื่อเทียบกับ ยาต้านเบาหวานแผนปัจจุบัน
ฤทธิ์สำหรับในการปกป้องรักษาความเป็นพิษต่อ ตับ สารสกัดด้วยเอทานอล จากรากมีฤทธิ์ในการ คุ้มครองความเป็นพิษต่อตับที่เกิดจากการใช้ยาพารา เซตตามอลได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการที่ สารสกัดนี้ไปยั้งกิจกรรมด้านชีววิทยาของพิษที่ เกิดขึ้นกับตับ
ยิ่งกว่านั้นงานศึกษาค้นคว้าวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ที่บอกว่ามีฤทธิ์ทำให้หัวใจบีบตัวน้อยลง กระตุ้นมดลูกทำให้หัวเต้นชา บำรุงหัวใจ ลดระดับความดันเลือด ฯลฯ
การเรียนทางพิษวิทยา
ในตอนนี้ยังไม่พบรายงานการเล่าเรียนพิษวิทยาของส่วนผล แต่ส่วนรากแสดงความเป็นพิษเมื่อให้สารสกัดเอทานอลของรากต้นมะม่วงหาว มะนาวโห่โดยฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ฉีดเข้าท้อง และก็ให้ทางปากของแมวในขนาด 5 - 150 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีผลทำให้สัตว์ทดลองอ้วก คลื่นไส้ เซื่องซึม น้ำมูกไหล ท้องเสีย หายใจหอบแล้วก็เร็ว (tachypnea) ชัก และก็ตายสุดท้าย การให้ทางหลอดโลหิตดำจะกำเนิดอาการอาเจียน คลื่นไส้เร็วที่สุด เป็นใช้เวลา 3 - 5 นาที ภายหลังจากให้สาร ส่วนการให้ทางช่องท้อง รวมทั้งทางปากใช้เวลา 10 - 20 รวมทั้ง 40 - 60 นาที เป็นลำดับ แมวที่ได้รับสารสกัดทางเส้นเลือดดำทุกตัวตายภายในช่วงระยะเวลา 1 - 2 ชั่วโมงภายหลังให้สาร เมื่อผ่าอวัยวะภายในพบว่าตับเปลี่ยนไปจากปกติ มีการบวมของเซลล์ตับ (liver congestion) มีจุดเลือด (petechial hemorrhages) ที่ปอดและผนังลำไส้เล็ก
ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง
ในการศึกษาทางเภสัชวิทยา รวมทั้งพิษวิทยา ของมะม่วงหาวมะนาวโห่ในปัจจุบันล้วนเป็นการเรียนรู้ในสัตว์ทดลอง รวมทั้งผลของการทดลองแต่ว่ายังไม่ปรากฏผลการศึกษาที่ในคน ก็เลยทำให้ไม่อาจเจาะจงคุณภาพและก็ความปลอดภัยในการใช้รักษาโรคได้อย่างแน่ชัด โดยการใช้ในแบบอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือใช้ในปริมาณมากเหลือเกินบางทีอาจเสี่ยงเป็นอันตรายได้ เพราะฉะนั้นก่อนใช้สินค้าต่างๆจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ให้ก็เลยปรึกษาหมอก่อน โดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคประจำตัว
เอกสารอ้างอิง

  • สกุลกานต์ สิมลา.มะนาวโห่ : พืชในวรรณคดีไทยที่มากด้วยประโยชน์ .วารสารแก่นเกษตร .ปีที่ 44 ฉบับที่3 .กรกฎาคม – กันยายน .2559.หน้า 557-566.
  • มะนาวไม่รู้โห่...ไม้ประดับกินได้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ธงชัย พุ่มพวง.ประพันธ์ ชานนท์.พิมพ์ใจ ทรงประโคน. กัลยาณี วรรณศรี. ดำรงเกียรติ มาลา และ พรประภา รัตนแดง 2556.มะม่วงหาว มะนาวโห่ ผลไม้ในวรรณคดีไทยที่มากมายด้วยคุณค่าและราคาดี.นิตยสารเกษตรโฟกัส.2(20):24-39.https://www.disthai.com/[/color]
  • ณัฏฐินี อนันตโชค.มะนาวไม่รู้โห่.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่29.ฉบับที่ 1.ตุลาคม.2554.หน้า2-6
  • ณนัฐอร บัวฉุน.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอลิกของเมล็ดและเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่.วานสารวิจัยและพัฒนะ วไลขอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์.ปีที่ 13 ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2561.หน้า 53-63
  • มะม่วงหาวมะนาวโห่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สกุลกานต์ สิมลา.สุรศักดิ์ บุญแต่ง และพัชรี สิริตระกูลศักดิ์.(2556).การประเมินปริมาณสารพฤษเคมีบางประการและกิจกรรมของสารต้านอนุมูลอิสระใน Carissa carandas L. แก่นเกษตร 41 ฉบับพิเศษ:602-606.
  • มะม่วงหาว มะนาวโห่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Itankar, P.R., S.J. Lokhande1, P.R. Verma, S.K. Arora, R.A. Sahu, and A.T. Patil. 2011. Antidiabetic potential of unripe Carissa carandas Linn. fruit extract. J. Ethnopharmacol. 135: 430-433.
  • Philippine Medicinal Plants. 2012. Caranda. Available: http://goo.gl/kBShxE. Accessed Aug. 6, 2014.
  • Begum, S., S.A. Syed, B.S. Siddiqui, S.A. Sattar, and M.I. Choudhary. 2013. Carandinol: First isohopane triterpene from the leaves of Carissa carandas L. and its cytotoxicity against cancer cell lines. Phytochem Lett. 6: 91-95
  • หนามแดง.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Hati, M., B.K. Jena, S. Kar, and A.K. Nayak. 2014. Evaluation of anti-inflammatory and anti-pyretic activity of Carissa carandas L. leaf extract in rats. J. Pharm Chem Bio Sci. 1(1): 18-25.
  • Gupta, P., I. Bhatnagar, S-K. Kim, A. K. Verma, and A. Sharma. 2014. In-vitro cancer cell cytotoxicity and alpha amylase inhibition effect of seven tropical fruit residues. Asian Pac J Trop Biomed. 4(2), S665-S671.
  • Kumar, S., P. Gupta, and V. Gupta K.L. 2013. A critical review on Karamarda (Carissa carandas Linn.). Int J Pharm Bio Arch. 4(4): 637 -642.
  • Kubola, J., S. Siriamornpun, and N. Meeso. 2011. Phytochemicals, vitamin C and sugar content of Thai wild fruits. Food Chemistry. 126, 972-981.
  • Sulaiman, S.F., W.S. Teng, O.K. Leong, S.R. Yusof, and T.S.T. Muhammad. (n.d.). Anticancer study of Carissa carandas extracts. Available: http://goo.gl/ W2WjSG. Accessed May 16, 2014
  • Aslam, F., N. Rasool, M. Riaz, M. Zubair, K. Rizwan, M. Abbas, T.H. Bukhari, and I.H. Bukhari. 2011. Antioxidant, haemolytic activities and GC-MS profiling of Carissa carandas roots. Int J Phytomedicine. 3: 567-578
  • Patel, S. 2013. Food, pharmaceutical and industrial potential of Carissa genus: an overview. Rev Environ Science Biotech. 12(3): 201-208

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : มะม่วงหาว มะนาวโน่หาว
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เตย เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 25, 2018, 08:44:07 pm

เตย
ชื่อสมุนไพร เตย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ใบเตย , เตยหอม , ต้นเตย , เตยหอมใหญ่ , เตยหอมเล็ก (ภาคกลาง) , หวานข้าวใหม่ (ภาคเหนือ) , ปาแนะวอวิง , ปาแง๊ะออริง (นราธิวาส,มาเลเซีย) ,พังลั้ง (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Pandanus amaryllifolius Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์    Pandanus ordorus Ridl.
ชื่อสามัญ  Pandanus Palm , Fragrant Pandan , Pandom wangi.
วงศ์  Pandanaceae
ถิ่นกำเนิด
เตย เป็นพืชที่ชาวไทยรู้จักกันอย่างดีเยี่ยมมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว เพราะว่าได้ประยุกต์ใช้ประโยชน์ต่างๆมากมายก่ายกอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนของใบที่พวกเราเรียกว่า ใบเตย จึงทำให้เรียกพืชจำพวกนี้ชินปากกันมาจนกระทั่งปัจจุบันว่า “ใบเตย” สำหรับบ้านเกิดของเตยนั้น เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย เมียนมาร์ลาว มาเลเซีย แล้วก็อินเดีย รวมทั้งทวีปอื่นยกตัวอย่างเช่นแอฟริกา และประเทศออสเตรเลีย ชอบขึ้นตามพื้นที่เปียก ขอบสายธารหรือรอบๆที่เปียกชื้นที่มีน้ำขังน้อย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
ลักษณะทั่วไป
เตยจัด เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นทรงกลม และเป็นข้อสั้นๆถี่กัน โผล่ขึ้นมาจากดินเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ โคนลำต้นแตกรากกิ่งก้านสาขาออกเป็นรากค้ำชูหรือเรียกว่า รากอากาศ ลำต้นสามารถแตกหน่อฯลฯใหม่ได้ ทำให้มองเป็นกอหรือเป็นพุ่มไม้ใหญ่ๆที่รวมความสูงของใบแล้วสามารถสูงได้มากกว่า 1 เมตร
ใบเตย แตกออกเป็นใบเดี่ยวด้านข้างรอบลำต้นแล้วก็เรียงสลับวนเป็นเกลียวขึ้นตามความสูงของลำต้น จนกระทั่งขอด ใบมีลักษณะเรียวยาวเป็นรูปดาบ ปลายใบแหลม สีเขียวสด ใบยกเฉแนบไปกับลำต้น แผ่นใบเป็นเงา กว้างราวๆ 2-3 ซม. ยาวราวๆ 30-50 ซม. แผ่นใบรวมทั้งขอบใบเรียบ แผ่นใบข้างล่างมีสีจางกว่าด้านบน มีเส้นกึ่งกลางใบลึกเป็นแอ่งตื้นๆตรงกลาง ใบนี้ส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา ด้วยเหตุว่ามีน้ำมันหอมระเหย และก็สาร ACPY
การขยายพันธุ์
เตย สารมารถแพร่พันธุ์ได้เองโดยการแตกหน่อ แม้กระนั้นในขณะนี้ก็สามารถปลูกด้วยการแยกเหง้าหรือย้ายหน่อปลูกได้ด้วยเหมือนกัน ทั้งนี้ เตยสามารถขึ้นก้าวหน้าในที่เปียกแฉะ และทนต่อสภาพดินเฉอะแฉะเจริญ แต่ควรเลือกพื้นที่ปลูกไม่ให้น้ำหลากขังง่าย โดยมีวิธีการดังนี้
การเตรียมแปลง แปลงปลูกเตย ควรจะไถแปลง และตากดินก่อน 5-10 วัน พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด ก่อนหว่านด้วยปุ๋ยมูลสัตว์อัตรา 2 ตัน/ไร่ และก็ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 10 กก./ไร่ พร้อมไถกลบ
การปลูกเตย ควรจะปลูกไว้ในตอนฤดูฝน เนื่องจากดินจะเปียกชื้นดี ทำให้ต้นเตยติด และตั้งตัวได้ง่าย ด้วยการขุดหลุมปลูกเป็นแนว ระยะหลุม แล้วก็ระยะแถวที่ 50 ซม. หรือที่ 30 x 50 เซนติเมตร ก่อนนำต้นชนิดเตยลงปลูก
ภายหลังปลูกเตยเสร็จ ควรจะให้น้ำทันทีแม้กระนั้นถ้าหากดินชื้นมากก็ไม่จำเป็นต้องให้ แล้วก็ให้น้ำเสมอๆทุกๆ7-10 วัน ขึ้นอยู่กับความชื้นดิน รวมทั้งฝนที่ตก
องค์ประกอบทางเคมี
จากการศึกษาทางเคมีของใบเตยพบว่ามีประโยชน์สำคัญหลากหลายประเภทเมื่อนำใบเตยหอมากลั่นด้วยละอองน้ำจะได้สารหอมที่มี แพนดานาไมน์ (Pandanamine) ไลนาลิลอะซีเตท ( linalyl acetate) เบนซิลอะซีเตท (benzyl acetate) ไลนาโลออน (linalool)รวมทั้งพบรานิออล (geraniol) มีสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมยวนใจเป็น คูมาริน (coumarin) และก็เอทิลวานิลลลิน (ethyl vanillin)สารคลอโรฟิลล์(chlorophyll) ทำให้มีสีเขียว เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) แล้วก็สารในกรุ๊ปแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ที่สำคัญ

linalyl acetate benzyl acetate
โครงสร้างของสารไลนาลิลอะซีเตท ส่วนประกอบของเบนซิลอะซีเดท


linalool Geraniol
ส่วนประกอบของไลนาโลออล ส่วนประกอบเจอรานิออล

Pandanamine Chlorophyll
โครงสร้างของแพนดานาไมน์ โครงสร้างของคลอโรฟิลล์

Anthocyanin Ethylvanillin
โครงสร้างของแอนโทไซยานิน องค์ประกอบของเอทิลวานิลลิน
นอกเหนือจากนี้ในส่วนของค่าทางโภชนาการของเตย ค่าทางโภชนาการของใบเตยสดใน 100 กรัม
ส่วนประกอบ ใบเตยสด
พลังงาน (กิโลแคลอรี่) 35
ความชุ่มชื้น (กรัม) 85.3
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 4.6
โปรตีน (กรัม) 1.9
ไขมัน (กรัม) 0.8
สายสัมพันธ์(กรัม) 5.2
แคลเซียม (มิลลิกรัม) 124
ฟอสฟอรัส (มก.) 27
เหล็ก(มก.) 0.1
วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม) 0.2
ไนอะซิน (มก.) 1.2
วิตามิน ซี (มิลลิกรัม) 8
เบตา-แคโรทีน (ไมโครกรัม) 2.987
ประโยชน์/สรรพคุณ
ใบเตย มักถูกนำมาผสมในของกิน เพื่อของกินมีกลิ่นหอมสดชื่นน่าอร่อย และก็ยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยหลายๆประเภท ยกตัวอย่างเช่น ของหวานแฉะปูน ขนมชั้น แล้วก็ยังมีการเอามาทำเป็นเครื่องดื่มอีกด้วย
นอกจากนี้ยังคงใช้ใบเตยนำมาห่อทำขนมหวาน ดังเช่นว่า ขนมตะโก้ใบเอามาผูกรวมกัน ใช้สำหรับวางในห้องน้ำห้องรับแขกเพื่อให้อากาศมีกลิ่นหอมยวนใจช่วยสำหรับเพื่อการขจัดกลิ่นหรือใช้ใบเตยสดนำมายัดหมอน ช่วยทำให้มีกลิ่นหอมยวนใจ นำมาใช้เป็นสารแต่งกลิ่นบุหรี่ เอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆนำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนใช้ชงเป็นชาดื่ม น้ำมันหอมระเหยจากเตยนำไปเป็นส่วนผสมของน้ำยาปรับอากาศ ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง ครีมทาผิว แชมพู สบู่ หรือ ครีมนวด ฯลฯ
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของเตยนั้น แบบเรียนยาไทย ได้ชี้แจงสรรพคุณทางยาของใบเตยไว้ว่าเตยเป็นประโยชน์หลายประการ ดังเช่นว่า บำรุงหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันเลือด ใช้รักษาโรคหัด เลือดออกตามไรฟัน หวัด ตับอักเสบ ดับพิษไข้ แก้โรคหัด แก้อาการท้องอืด แก้อยากกินน้ำ แก้ร้อนในขับเยี่ยว รากเตย ใช้เป็นยาขับเยี่ยว รักษาโรคเบาหวานเพราะมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดนอกจากยังคงใช้รักษาโรคตับ ไตอักเสบ และรักษาโรคโรคหืด แก้โรคหนองใน แก้พิษโลหิตแก้ตานซางในเด็ก ช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
แบบอย่าง/ขนาดวิธีการใช้
• ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำกิน ทีละ 2-4 ช้อนแกง
• ช่วยดับกระหาย นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด เอามาตำหรือปั่นอย่างรอบคอบ แล้วเพิ่มเติมน้ำเล็กน้อย คั้นมัวแต่น้ำดื่ม
• รักษาโรคฝึกฝนหรือโรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว
• ใช้รักษาโรคโรคเบาหวาน ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น
• ใช้เป็นยาขับฉี่ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือไปต้มกับน้ำดื่มหรือใช้ใบมาหั่นตากแดดให้แห้งแล้วชงดื่มแบบชาก็ได้
• ใช้บำรุงผิวหน้า โดยการกางใบเตยล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆเอามาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนถึงละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้โดยประมาณ 20 นาที
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ใบเตย มีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิตและลดอัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มความแรงสำหรับเพื่อการหดตัวแล้วก็ลดอัตราการยุบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ต้านทานอนุมูลอิสระแล้วก็มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียStaphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis แต่ยังเป็นการทดสอบในสัตว์ทดลองและก็ในหลอดทดลองแค่นั้น
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
จากการค้นหาข้อมูลตอนนี้ ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษหรืออาการไม่พึงปรารถนาจากการรับประทานใบเตย
ข้อเสนอ/ข้อความระวัง

  • ถึงแม้ว่เตย[/url]จะเป็นพืชจากธรรมชาติ แม้กระนั้นก็ควรจะบริโภคในจำนวนที่เหมาะสมและไม่บริโภคเป็นระยะเวลานานจนเหลือเกิน
    2. ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือสตรีตั้งครรภ์และก็สตรีให้นมบุตรควรขอคำแนะนำหมอและผู้เชี่ยวชาญก่อนบริโภคหรือใช้สินค้าอะไรก็ตามจากเตย เพราะสารเคมีในเตยบางทีอาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้
    3. ในกรรมวิธีจัดแจงใช้ใบเตยด้วยตนเองควรจะล้างทำความสะอาดใบเตยอย่างยอดเยี่ยมอย่าให้มีสิ่งแปลกปลอมปนไป ด้วยเหตุว่าบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้

    เอกสารอ้างอิง

  • อัจฉรา นิยมเดชา.ผลของการเสริมใบเตยหอม(Pandanus amarylifolius Roxb.) ในอาหารต่อสมรรถภาพการผลิตของนกกระทาญี่ปุ่นและคุณภาพไข่.รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปีงบประมาณ 2555.38หน้า
  • ดวงจันทร์เกรียงสุวรรณ. พืชผักผลไม้ไทยมีคุณค่าเป็นทั้งอาหารและยาเตยหอมและแตงกวา. งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรมฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่
  • ใบเตย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/color]
  • วันดี กฤษณพันธ์.2538.สมุนไพรสารพัดประโยชน์.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.กรุงเทพฯ
  • สรรพคุณของน้ำเห็ดหลินจือต้มผสมกับอ้อยดำและใบเตย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เตย/ใบเตย สรรพคุณและการปลูกเตย.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรเพื่อพืชไทยLinda S.M Ooi, Samuel S.M Sun and Vincent E.C Ooi . 2004. Purification and characterization of a new antiviral protein from the leaves of Pandanus amaryllifolius (Pandanaceae). Department of Biology. The Chinese University of Hong Kong, Shatin, N.T., Hong Kong, China.
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อัญชัน มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไร เมื่อ: ธันวาคม 25, 2018, 02:12:22 pm


อัญชัน
ชื่อสมุนไพร  อัญชัน
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น อัญชันบ้าน , อัญชันเขียง (ภาคกลาง) , เอื้องจัน , เอื้องชัน , อังจัน (ภาคเหนือ) ,แดงจัน (เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Clitorea ternatea Linn.
ชื่อสามัญ  Butterfly Pea , Blue Pea , Shell creeper.
วงศ์  Fabaceae (Leguminosae-Papilionoideae)

ถิ่นกำเนิด
อัญชันในเขตร้อนแถบทวีปเอเชียและอเมริกาใต้ (แต่ว่าบางแบบเรียนกล่าวว่าอยู่ที่ประเทศอินเดีย) แล้วมีการแพร่กระจายชนิดไปในเขตร้อนต่างๆทั่วทั้งโลกรวมไปถึงในประเทศออสเตรเลีย อเมริกา แล้วก็ภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ ยกตัวอย่างเช่น ไทย ลาว เวียดนาม เขมร เมียนมาร์เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย อัญชันน่าจะมีการแพร่ไปประเภทมานานแล้ว เนื่องจากว่าเจอในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของแพทย์ปรัดเล พุทธศักราช2416 พูดถึงอัญชันว่า"อัญชัน : เปนชื่อเครือเถาวัลอย่างหนึ่ง มันมีดอกเขียวบ้าง ขาวบ้าง ไม่มีกลิ่น" และสามารถพบได้ทั่วไปในป่าโล่งแจ้ง หรือในที่กึ่งร่ม ทั้งป่าเบญจพรรณในพื้นข้างล่างจนไปถึงป่าดิบเขาสูง
โดยอัญชันที่พบในประเทศไทย มีทั้งยังประเภทบ้านที่ผ่านการเลือกเฟ้นให้ดอกใหญ่ ดก สีแก่ เป็นต้น กับประเภทที่ขึ้นเองดังที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นชนิดดอกชั้นเดียว ดอกเล็ก และก็สีไม่เข้ม ซึ่งคนประเทศไทยโดยมาก นิยมปลูกอัญชันดอกสีน้ำเงินเข้ม กลีบดอกไม้ซ้อน ดอกขนาดใหญ่รวมทั้ง ดก เพราะนอกจากงดงามแล้ว ยังใช้ประโยชน์คุณประโยชน์ได้หลายชนิด อีกด้วย
ลักษณะทั่วไป อัญชันจัดอยู่ในวงศ์ Fabaceae ซึ่งเป็นตระกูลของถั่วในกลุ่มถั่วฝักเม็ดกลม (pea) เช่น ถั่วลันเตา (green pea) ถั่วแระต้น (congo pea) ถั่วพู(manila pea)
โดยจัดเป็นไม้ล้มลุกเลื้อยพัน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามรั้วหรือซุ้ม เถากลมเล็กเรียว สีเขียวอ่อน เถาอ่อน กิ่งอ่อน หูใบ ก้านใบ แกนใบประกอบ แผ่นใบด้านล่าง ก้านดอก ใบตกแต่ง และกลีบเลี้ยง มีขนนุ่ม แตกกิ่งก้านตามข้อใบ เถายาว 1-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ ใบย่อย 2-3 คู่ ใบบาง สีเขียว แต่ละใบมี ใบย่อย 5-9 ใบ ใบย่อยรูปวงรีปนขอบขนานหรือรูปวงรีแกมไข่กลับ กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2-5 ซม. ศูนย์กลางใบประกอบยาว 3-7 ซม. รวมก้านที่ยาว 1-3 ซม. ผิวใบมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน หรือบางคราวผิวข้างบนหมดจด ขอบใบเรียบ โคนใบสอบ ปลายใบมน ปลายเป็นติ่งแหลมสั้นๆแผ่นใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างบาง เส้นกิ่งก้านสาขาใบ ข้างละ 4-5 เส้น หูใบรูปใบหอก ขนาดเล็ก ปลายแหลมยาว ยาว 2-5 มิลลิเมตร ดอกคนเดียว ออกที่ซอกใบ มี 1-2 ดอก กลีบดอก รูปดอกถั่ว มี 5 กลีบ แบ่งเป็น 2 ปาก ปากล่างขนาดใหญ่ ขอบมน กลีบดอกย่นบาง ตรงกลางดอกมีแถบสีเหลืองขาว กลีบเลี้ยงสีเขียวมี 5 กลีบ โคนชิดกัน ยาว 1.5-2 ซม. แผ่นกลีบบาง ปลายแยกเป็น 5 แฉก แฉกลึกราวๆครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่า ปลายแฉกแหลมยาว ดอกมีสีสีน้ำเงิน ม่วง หรือขาว กึ่งกลางกลีบสีเหลืองหม่นหมองขอบสีขาว รูปดอกถั่ว แต่ละกลีบมีขนาดแตกต่างกัน มีกลีบใหญ่ที่สุด 1 กลีบ ซึ่งจะมีจุดทาสีเหลืองกึ่งกลางกลีบชนิดนี้เรียกว่าพันธุ์ดอกลา บางทีกลีบดอก 5 กลีบมีกลีบใหญ่มากกว่า 1 กลีบ ทำให้ดูเหมือนมีกลีบดอกหลายชั้น เรียกว่าจำพวกดอกซ้อน กลีบกลางรูปรีกว้างเกือบกลม ยาวราว 3.5 เซนติเมตรก้านกลีบสั้นๆในดอกสีน้ำเงินหรือชมพูมีปื้นสีขาวช่วงกึ่งกลางกลีบด้านโคน กลีบปีกและก็กลีบคู่ด้านล่าง ขนาดเล็กกว่ากลีบกึ่งกลางราวๆ ครึ่งหนึ่ง มีก้านกลีบเรียวยาวเท่าแผ่นกลีบกลีบข้างรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน กลีบคู่ข้างล่างรูปรี เกสรเพศผู้ติดสองกรุ๊ป 9 อัน ติดกันโดยประมาณ 2 ใน 3 ส่วน เกลี้ยง ยาวเท่ากลีบปีกและก็กลีบคู่ด้านล่างรังไข่ทรงกระบอก ยาวประมาณ 5 มม. มีขนยาวก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว มีขนยาวหนาแน่นช่วงปลายด้านใน ก้านช่อยาวราว 5 มิลลิเมตร ใบประดับประดาขนาดเล็กออกเป็นคู่ ยาว 2-3 มม. ใบเสริมแต่งย่อยมีขนาดใหญ่กว่าใบประดับประดา มี 1 คู่ รูปไข่กว้างเกือบกลม ขนาดประมาณ5 มม. มีเส้นใบกระจ่างแจ้ง ก้านดอกสั้นๆยาว 2-3 มิลลิเมตร ผลเป็นฝัก รูปดาบ แบนยาว ขนาดกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่ม ปลายเป็นจะงอยสั้นๆฝักอ่อนมีสีเขียว พอแก่มีสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็น 2 ฝา เมล็ดรูปไตสีดำ ยาวได้ราวๆ 5 มม. จำนวน 6-10 เมล็ด
โดยธรรมดานั้น ดอกอัญชันมี 3 สี คือ สี ขาว สีน้ำเงิน และก็สีม่วง จำพวกดอก สีม่วงนั้นบางแบบเรียนว่าเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ดอกสีขาวกับชนิดดอกสีน้ำเงิน ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่าถูกต้อง เพราะเคยเห็นอัญชันดอกขาวบางต้น มีกลีบสีขาวลายน้ำเงิน แปลว่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่างดอกขาวกับดอกน้ำเงิน แต่ว่าข่มกันไม่ลงก็เลยแสดงออกมาทั้งยัง 2 สี ไม่แปลงเป็นสีม่วงอย่างที่บอกในบางแบบเรียน
การขยายพันธุ์ อัญชันเป็นไม้เถาที่ปลูกง่าย มีความแข็งแรง ทนทาน จึงมีการปลูกทั่วๆไป โดยนิยมปลูกเป็นพืชข้างหลังบ้าน ขอบรั้ว หรือ ซุ้มไม้ ส่วนการขยายพันธุ์สามารถทำได้ด้วยการใช้เม็ด ซึ่งมีวิธีการปลูกคือ แม้ปลูกเพื่อการค้าขายให้ปรับดินโดยการไถกระพรวนแล้วใส่ปุ๋ยคอมในอัตรา 1 ต้น ต่อไร่ แล้วหว่านเมล็ดอัญชันลงไปในอัตรา 0.5-1 กก.ต่อไร่ แล้วก็ให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์ แต่ว่าโดยส่วนมากชอบนิยมปลูกในฤดูฝนเพราะว่าไม่ต้องให้น้ำ ส่วนการปลูกเป็นไม้ประดับให้ชูร่องขนาดกว้าง 1.20 เมตร ส่วนขนาดความยาวดังที่ปรารถนา หลังจากนั้นย่อยดินและผสมปุ๋ยธรรมชาติลงไปแล้วขุดหลุมหยอดเมล็ด หรือนำต้นกล้าที่เพาะได้ลงปลูก โดยใช้ระยะปลูก (กว้างxยาว) 1x1 เมตร แล้วปักหลักและทำค้างให้เถาเลื้อยเกาะ รดน้ำให้ชุ่มทุกวี่วันในช่วงสัปดาห์แรก โดยธรรมดาแล้วอัญชันถูกใจขึ้นกลางแจ้งที่ได้ รับแดดเต็มกำลังถูกใจดินร่วนผสมทรายที่ค่อนข้างร่วนซุยแต่มีการระบายน้ำก้าวหน้า ปกติอัญชันจะเลื้อย ได้ยาวโดยประมาณ ๗ เมตร เมื่อถึง ฤดูแล้งจะแห้งตายไป แม้กระนั้นแม้มีน้ำ พอเพียงรวมทั้งดูแลอย่างเหมาะสม ก็สามารถปลูกแล้วก็ได้ดอกอัญชันทั้งปี
เมล็ด มีสาร adenosine, arachidic acid, campesterol, 4-hydroxycinnamic acid, p-hydroxy cinnamic acid, Clitoria ternatea polypeptide, ethyl-D-D-galactopyranoside, hex acosan-1-ol, palmitic acid, stearic acid, oleic acid, linoleic acid, linolenic acid, delphinidin 3,3´,5´-triglucoside, ß-sitosterol, J-sitosterol, avonol-3-glycoside, 3,5,7,4´-tetrahydroxy avone, 3-rhamnoglucoside แล้วก็ anthoxanthin glucoside
ดอก มีสารในกลุ่ม ternatins ดังเช่น ternatin A1, A2, A3, B1, B2, B3, B4, D1 รวมทั้ง D2 สารที่ให้สีน้ำเงินในดอกเป็น สาร delphinidin-3,5-diglucoside, delphinidin 3-O-ß-D-glucoside, 3´-methoxy-delphinidine-3-O-ß-D-glucoside
ใบ มีสาร aparajitin, astragalin, clitorin, ß-sitosterol, kaempferol-3-monoglucoside, kaempferol-3-rutinoside, kaempferol-3-O-rhamnosyl-galactoside, kaempferol3-O-rhamnosyl-O-chalmnosyl-O-rhamnosyl-glucoside, kaempferol3-neohesperiodoside, และก็ kaempferol-3-O-rhamnosyl-glucoside
 
คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์
 
อัญชันมีการประยุกต์ใช้ทำประโยชน์หลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น สีจากดอกอัญชัน นิยมใช้ดอกสีน้ำเงินซึ่งมีสาร Anthocyanin ใช้ ทำสีขนม ดังเช่นว่า ของหวานดอกอัญชัน ของหวานช่อม่วง ทำน้ำสมุนไพร ได้ น้ำสีม่วงสวยด้วยเหตุว่าสีของดอกอัญชันละลายน้ำได้รวมทั้งสีเปลี่ยน ไปตามความเป็นกรดด่างเหมือน กระดาษลิตมัสที่ใช้ตรวจตราความเป็นกรดด่างของสารละลาย ส่วนดอกอัญชันสามารถใช้กินเป็นผักได้อีกทั้ง จิ้มน้ำพริกสดๆหรือชุบแป้งทอด
ในปัจจุบันอัญชัน ซึ่งถูกนำมาพัฒนาเป็นสินค้ายุคใหม่ เป็นต้นว่า แชมพูสระผม และยานวดผมจากดอกอัญชัน (สีน้ำเงิน) กำลัง ได้รับการพัฒนาให้ล้ำยุคและมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคุณสมบัติของดอกอัญชันในการรักษาเส้นผมให้ดกดำ คุ้มครองผมร่วงและก็ช่วยปลูก ผมให้ดกครึ้มขึ้น รวมทั้งใช้นำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องแต่งตัวหรือใช้ทำเป็นสีผสมอาหารเป็นต้น
ยิ่งไปกว่านี้หลายประเทศในแถบเอเซียอาคเนย์ นิยมใช้ดอกหุงอาหารเพื่อข้าวมีสีม่วงหรือสีน้ำเงินอ่อน ทำให้น่าอร่อยเพิ่มขึ้น แล้วก็ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้ฝักอ่อนกินเป็นผัก ประเทศมาเลเซียมักปลูกเป็นพืชปกคลุมแปลงสวนยาง บางประเทศในแถบแอฟริกาปลูกเป็นพืชปกคลุมแปลงบำรุงดิน หรือปลูกเป็นไม้ประดับตามรั้วบ้าน และใช้เป็นพืชอาหารสัตว์ ส่วนคุณประโยชน์ทางยานั้น ตามตำรายาไทย ใช้ เม็ด รสมัน เป็นยาระบาย แม้กระนั้นมักทำให้อาเจียนอ้วก ราก รสขมเย็น
(นิยมใช้ รากดอกขาว) ขับเยี่ยว แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ เป็นยาระบาย ฝนหยอดตาแก้ตาเจ็บ ตาพร่า ทำให้ตาสว่าง บำรุงดวงตา ใช้รากถูฟัน ทำให้ฟันทน แก้ปวดฟัน ราก รสเบื่อเมา ปรุงเป็นยารับประทานและพอก ถอนพิษหมาบ้า ดอก โบราณใช้อัญชันสำหรับเพื่อการปลูกผมและขนคิ้วเด็กอ่อน หยุดการตกของหนังศีรษะอ่อนแอย้อมผมหงอกให้เป็นสีดำ ใช้ตำเป็นยาพอกหรือคั้นเอาน้ำทาแก้ฟกช้ำบวม แก้พิษแมลงกัดต่อย ใบรวมทั้งรากฝนเอาน้ำหยอดตา แก้ตาแฉะ ตาฟาง ส่วนตำราเรียนยาพื้นเมือง ใช้ ราก ฝนกับรากสะอึกแล้วก็น้ำแช่ข้าว กินหรือทา แก้งูสวัด
สำหรับเพื่อการใช้ประโยชน์ในต่างชาติ ตามตำราอายุรเวทศาสตร์ของประเทศอินเดีย มีการนำส่วนรากและก็เม็ดของอัญชันใช้เป็นยาบำรุงร่างกายแล้วก็บำรุงสมอง รวมทั้งใช้เป็นยาระบายรวมทั้งขับปัสสาวะและก็ในแถบอเมริกา มีรายงานการใช้น้ำต้มจากส่วนรากเพียงอย่างเดียวหรือน้ำต้มจากรากแล้วก็ดอกร่วมกันเป็นยาบำรุงโลหิต ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาระบายขับปัสสาวะ รวมทั้งขับพยาธิ ส่วนสำหรับเพื่อการแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าดอกอัญชันมีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารสีม่วงอยู่มากมาย มีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยมเยอะขึ้นเรื่อยๆ เช่น เส้นเลือดส่วนปลาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมเยอะขึ้นเรื่อยๆ หรือทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับมองเห็นแข็งแรงขึ้น ด้วยเหตุว่ามีหลอดเลือดเยอะขึ้นรวมทั้งที่สำคัญยังช่วยลดความเสื่อมถอยของการเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตัน ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยสำหรับเพื่อการชะลอวัยรวมทั้งริ้วรอยที่วัย ช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงสมอง ช่วยล้างพิษและของเสียออกจากร่างกาย ช่วยต้านทานเบาหวานฯลฯ
รูปแบบ / ขนาดวิธีการใช้ ใช้บำรุงดวงตา แก้ตาเจ็บขับเยี่ยว แก้เหน็บชา ดอกอัญชันอบแห้ง 20 กรัม เติมน้ำที่สะอาด 500 ซีซี ต้มจนกระทั่งเดือนต่อจากนั้นต้มต่ออีก 2 นาที ชูลง ปล่อยให้เย็น กรองใส่ขวดใช้รับประทาน แก้ปวดฟัน , ช่วยให้ฟันทน ใช้รากสดถูตามฟันซีที่ต้องการ , แก้ตาเจ็บ , บำรุงดวงตา ใช้รากฝนกับน้ำแล้วหยอดตาหรือใช้รากต้มกับน้ำใช้ดื่ม เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะแก้เยี่ยวพิการ ดอกสดใช้ตำเป็นยาพอกหรือคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่ฟกช้ำแล้วก็ใช้แก้พิษแมลงกัดต่อย
 
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
 
ฤทธิ์ความเครียดน้อยลงและก็กังวล เรียนฤทธิ์ระงับความเครียดรวมทั้งตื่นตระหนกของพืชที่มีสรรพคุณบำรุงสมองตามตำราอายุรเวชศาสตร์ของอินเดีย พบว่าสารสกัดเมทานอล รากอัญชัน ขนาด มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว มีผลกังวลใจน้อยลงของหนูเม้าส์ เมื่อทดลองด้วยแนวทาง elevated plus-maze (EPM) ซึ่งเป็นกรรมวิธีทดสอบที่ทำให้หนูเกิดความกลัว แล้วก็การป้อนสารสกัดเมทานอลรากอัญชัน ขนาด 50, 100 และก็ 200 มก./กิโลกรัม น้ำหนักตัว ให้แก่หนูเม้าส์ก่อนนำไปทดลองรั้งนำให้เกิดความตึงเครียดด้วยแนวทาง forced swimming test (FST) พบว่าสารสกัดเมลานอลรากอัญชันทุกขนาด มีฤทธิ์ต่อต้านความตึงเครียด โดยทำให้ค่า immobility time period ลดลง เมื่อเทียบกับหนูที่ถูกป้อนด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แล้วก็ในการค้นคว้าฤทธิ์ผ่อนคลายความเครียดของอัญชัน ในหนูแรทด้วยแนวทาง tail suspention test (TST) และก็ FST โดยทำการป้อนสารสกัดเอทานอลรากอัญชัน ขนาด 150 รวมทั้ง 300 มิลลิกรัม/กก. น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดเอทานอลนากอัญชันทั้งคู่ขนาดมีฤทธิ์ผ่อนคลายความเครียดของหนูแรทจากการทดสอบทั้งสองชนิด โดยมีค่า immobility time period น้อยลงเมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม
การป้อนสารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของอัญชันขนาด 30,100,200 รวมทั้ง 400 มก./กิโลกรัม น้ำหนักตัว ให้แก่หนูเม้าส์ 60 นาทีก่อนนำไปทดสอบด้วยวิธีต่างๆตัวอย่างเช่น EPM, TST รวมทั้ง light/dark exploration พบว่าสารสกัดเมทานอลอัญชันขนาด 100 – 400 มก./กก.น้ำหนักตัว มีฤทธิ์คลายเครียดและกังวลเมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม นอกจากนั้นการฉีดสารสกัดเอทานอลจากดอกอัญชัน ขนาด 100 และ 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว เข้าทางช่องท้องหนูแรทมีฤทธิ์ความไม่ค่อยสบายใจน้อยลง เมื่อกระทำทดสอบด้วยต้นแบบต่างๆเป็นต้นว่า EPM, TST รวมทั้ง Rota Rod test โดยขนาด 200 มก./กิโลกรัม น้ำหนักตัว ให้ผลดีกว่าขนาด 100 มก./กก.น้ำหนักตัว

ฤทธิ์กระตุ้นการเรียนรู้และความจำเรียนรู้ฤทธิ์กระตุ้นการเรียนแล้วก็ฟื้นฟูความทรงจำของสารสกัดเอทานอลใบอัญชัน จากภาวการณ์สูญเสียความจำที่มีต้นเหตุที่เกิดจากการป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน โดยการทำการทดลองในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วยการฉีด streptozotocin จากนั้นป้อนสารสกัดเอทานอลใบอัญชันให้กับหนูขาววันละ 200-400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว นาน 75 วัน วัดความรู้ความเข้าใจสำหรับการจำตำแหน่งของวัตถุหรือสิ่งที่อยู่รอบกายด้วยแนวทางต่างๆได้แก้ Y-maze test , mirrow water maze test และ radial arm maze test ในวันที่ 71 และ 75 ของการทดลอง ผลจากการเรียนรู้พบว่า หนูที่ถูกป้อนสารสกัดเอทานอลใบอัญชันทั้งคู่ขนาด มีความเข้าใจสำหรับในการเรียนรู้แล้วก็ความจำดีขึ้นเมื่อเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม นอกจากนั้นจากการตรวจวัดค่าวิชาชีวเคมีในเลือดหนูพบว่า การป้อนสารสกัดเอทานอลใบอัญชันทั้งคู่ขนาด มีความรู้ความเข้าใจสำหรับการเรียนรู้และความจำดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับหนูกรุ๊ปควบคุม นอกนั้นจกาการตรวจวัดค่าวิชาชีวเคมีในเลือดหนูพบว่า การป้อนสารสกัดเอทานอลใบอัญชัน ส่งผลยั้งรูปแบบการทำงานของเอนไซม์ acetycholinesterase ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ปฏิบัติหน้าที่สลายacetylcholine ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท เกี่ยวเนื่องกับแนวทางในการศึกษาเรียนรู้และความจำ นอกเหนือจากนี้ยังเพิ่มระดับของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวพันกับกรรมวิธีต้านทานอนุมูลอิสระ อาทิเช่น superoxide dismutase (SOD) ,catalase (CAT) รวมทั้ง glutauhione (GSH) อีกด้วยทำให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลใบอัญชันมีฤทธิ์บำรุงสมองกระตุ้นการเรียนและก็ช่วยฟื้นความทรงจำ จากภาวะที่มีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวานในหนูทดลองได้ แล้วก็จากการเรียนรู้ฤทธิ์ความเครียดน้อยลงรวมทั้งกังวลของพืชที่มีสรรพคุณบำรุงสมองตามตำราอายุรเวทศาสตร์ของประเทศอินเดียพบว่า สารสกัดเมทานอล 80% จากรากอัญชัน ขนาด100 แล้วก็ 200 มิลลิกรัม/กก. น้ำหนักตัว เมื่อป้อนให้แก่หนูเม้าส์ มีผลกระตุ้นการศึกษารวมทั้งความจำของหนู เมื่อทดสอบด้วยวิธี step-down passive avoidance model ซึ่งเป็นแนวทางการทดลองการกระทำหลบการเสริมแรงทางลบ (negative reinforcement)
การเล่าเรียนฤทธิ์กระตุ้นการเรียนรวมทั้งความจำของอัญชันในหนูแรทแรกเกิด (อายุ 7 วัน) โดยทำการป้อนสารสกัดน้ำรากอัญชัน ขนาดวันละ 50แล้วก็ 100 มก./กิโลกรัม นาน 30 วัน แล้วนำไปทดสอบแนวทางการเรียนรู้และก็จำด้วยแนวทาง passive avoidance test และ T-maze test พบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดน้ำอัญชันให้ผลการทดลองดีกว่าหนูกรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยไม่ส่งผลต่ออัตราการเคลื่อนไหวหรือทำให้มีการเกิดอาการเซื่องซึม นอกนั้นยังพบว่าสารสกัดน้ำรากอัญชัน ขนาด 100 มก./กิโลกรัม น้ำหนักตัว มีผลเพิ่ม acetylcholine ในสมองบริเวณ hippocampus ของหนูแรททั้งในวัยแรกเกิดรวมทั้งหนูที่อยู่ในวัยบริบูรณ์พันธุ์อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านการอักเสบและแก้ปวด เล่าเรียนฤทธิ์แก้ปวดของอัญชันในหนูเม้าท์ที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดลักษณะการเจ็บปวดด้วยการฉีดกรดอะซีว่ากล่าวก (acetic acid) เข้าทางท้อง ภายหลังจากได้รับสารทดสอบ แบ่งหนูเม้าส์ออกเป็น 4 กลุ่ม กรุ๊ปที่ 1 เป็นกรุ๊ปควบคุม กลุ่มที่ 2 ป้อนยาแก้ปวด diclofenac sodium ขนาด 10 มิลลิกรัม/กก.น้ำหนักตัว กรุ๊ปที่ 3 รวมทั้ง 4 ป้อนสารสกัดเมทานอล/น้ำจากใบอัญชันขนาด 200 แล้วก็ 400 มก./กก. น้ำหนักตัวตามลำดับ แล้วต่อจากนั้นพิจารณาการกระทำการบิดงอตัวของหนู ซึ่งเป็นอาการแสดงออกถึงความเจ็บปวด ผลจากการทดสอบพบว่า หนูเม้าส์ที่ได้รับสารสกัดเมทานอลใบอัญชันทั้งคู่กรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ แล้วก็พบว่าสารสกัเมทานอล/น้ำจากใบอัญชันให้ผลดีมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ให้ยาแก้ปวด diclofenac sodium เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การต่ำลงของอาการบิดขดตัว (%inhibition of writhing) เปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม กรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเมทานอล/น้ำจากใบอัญชันขนาด 200 รวมทั้ง 400 มิลลิกรัม/กก. น้ำหนักตัวมีค่าเท่ากับ 82.67 และ 87.87 % เป็นลำดับ เวลาที่กรุ๊ปที่ได้รับยาแก้ปวด diclofenac sodium มีค่าพอๆกับ 77.72% ทำให้เห็นว่าสารสกัดเมทานอล/น้ำจากใบอัญชันมีฤทธิ์แก้ปวด แล้วก็ในการศึกษาฤทธิ์แก้อักเสบของอัญชันในหนูแรทที่ถูกรั้งนำให้มีการบวมแล้วก็อักเสบด้วยการฉีดสาร carrageenan เข้าที่เข้าทางบริเวณฝ่าตีน โดยการทำการป้อนสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ดอกอัญชัน ขนาด 200 และก็ 400 มก./กก. น้ำหนักตัว เปรียบเทียบกับการให้ยาแก้ปวด diclofenac sodium สังเกตรวมทั้งวัดอาการปวดของฝ่าเท้าหนูด้วยเครื่อง plethismometer ผลจากการทดสอบพบว่า หนูที่ได้รับสารสกัดน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ดอกอัญชันทั้งคู่ขนาดมีลักษณะบวมของอุ้งเท้าน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง และก็เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การลดน้อยลงของอาการบวมของอุ้งเท้า (%inhibition of paw) เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม กลุ่มที่ได้รับสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ดอกอัญชันขนาด 200 แล้วก็ 400 มก./กก. น้ำหนักตัว มีค่าพอๆกับ 14 แล้วก็ 21% ตามลำดับ รวมทั้งกรุ๊ปที่ได้รับยาแก้ปวด diclofenac sodium พอๆกับ 38% ทำให้เห็นว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ดอกอัญชันมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบแต่ยังมีประสิทธิภาพน้อยกว่ายา diclofenac sodium นอกจากนั้นเมื่อศึกษาค้นคว้าฤทธิ์แก้ปวดของสารสกัดน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ดอกอัญชันทั้งคู่ขนาดในหนูเม้าส์ เปรียบเทียบกับยาแก้ปวด pentazocine ซึ่งฉีดเข้าทางช่องท้องหนู โดยทดลองด้วยวิธี Eddy's hot plate method พบว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ดออัญชัน[/url]ขนาด 400 มก./กิโลกรัม น้ำหนักตัว มีฤทธิ์ต้านทานลักษณะการเจ็บปวด แม้กระนั้นยังมีประสิทธิภาพน้อยกว่ายา pentazocine
ฤทธิ์ช่วยสำหรับในการนอนหลับ เรียนรู้ฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาระบบประสาท (neurophamacological study) ของอัญชันในหนูเม้าส์ โดยการฉีดสารสกัดเอทานอลรากอัญชันเข้าท้องขนาด 50,100 และก็150 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว ก่อนนำไปทดลองด้วยวิธี head dip test รวมทั้ง Y-maze test พบว่าสารสกัดเอทานอลรากอัญชันขนาด 100 และก็ 150 มก./กก. น้ำหนักตัว มีผลลดอาการผงกหัว (head dip) รวมทั้งระยะเวลาการวิ่งในกล่องรูปตัว Y น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลรากอัญชัน มีฤทธิ์ลดความประพฤติการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติและก็ความสนใจต่อสภาพแวดล้อมของหนูเม้าส์ นอกนั้นยังพบว่า สารสกัดเอทานอลรากอัญชันเข้าทางช่องท้องของหนู 30 นาที ก่อนฉีดยานอนดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว โดยการทำให้ระยะเวลาการนอนหลับของหนูนานขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับการฉีดยาphenobarbitone เพียงอย่างเดียว

ฤทธิ์ต้านการเกาะกรุ๊ปของเกล็ดเลือด การวิเคราะห์แยกสารanthocyanin กลุ่ม ternatins ที่สกัดได้จากดอกอัญชัน รวมทั้งศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วในหลอดทดลอง (in vitro) พบว่า สาร ternatin D1 จากดอกอัญชันมีคุณลักษณะยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดกระต่ายที่เหนี่ยวนำโดย collagen แล้วก็ adenosine diphosphate (ADP)
ฤทธิ์ลดไข้ เรียนฤทธิ์ลดไข้ของอัญชันในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นด้วยการฉีดเชื้อยีสต์เข้าด้านใต้ผิวหนัง ขนาด 10 มิลลิลิตร/กก. น้ำหนักตัว จากนั้น 19 เซนติเมตรแบ่งหนูออกเป็น 5 กลุ่ม (กลุ่มละ 6 ตัว) กรุ๊ปที่ 1 ให้เป็นกรุ๊ปควบคุม กรุ๊ปที่ 2 ป้อนยาพาราเซตามอลขนาด 150 มก./กิโลกรัม น้ำหนักตัว กลุ่มที่3-5 ป้อนสารสกัดเมทานอลรากอัญชัน ขนาด 200 , 300 แล้วก็ 400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว ตามลำดับ กระทำวัดปรอทร่างการทางทวารหนักของหนูที่ชั่วโมง 0,19,20,21,22 และ 23 ของการทดสอบพบว่า สารสกัดเมทานอลรากอัญชันทุกขนาดมีผลลดอุณหภูมิร่างกายของหนูลงอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แล้วก็ได้ผลไม่ต่างอะไรจากกรุ๊ปที่ได้รับยาพาราเซตามอล
 
ฤทธิ์ต่อต้านเบาหวาน การเล่าเรียน
 
ฤทธิ์ต่อต้านโรคเบาหวานของอัญชันในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงโดยการฉีดสาร alloxan พบว่าการป้อนสารสกัดน้ำจากใบรวมทั้งดอกอัญชัน ขนาดวันละ 100-400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นาน 14-84 วัน มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดคอเลสเตอรคอยล ไตรกลีเซอไรด์ รวมถึงระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี glucose-6-phosphatase ไปเป็นน้ำตาลแล้วก็เพิ่มระดับอินซูลิน HDL-cholesterol รวมทั้งเอนไซม์ glucokinase ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมระดับกลูโคสไปเก็บสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของ glucogen ในตับและกล้าม นอกจากนี้ยังลดความเสียหายของกรุ๊ปเซลล์ Islet of Langerhans จำพวก B-cells ในตับอ่อนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ผลิตอินซูลิน จากการฉีดสาร alloxan ได้
ส่วนในการทดลองฤทธิ์ของอัญชันในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับบำรุงผิวพบว่าสารสกัดน้ำและสารสกัดเอทานอลจากดอกอัญชัน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhdrazy (DPPH) ขึ้นรถสกัดน้ำจะมีฤทธิ์มากกว่าสารสกัดเอทานอล ซึ่งมีค่าความเข้มข้นที่ยั้งอนุมูลอิสระได้ 50% (IC50) เท่ากับ 1 และก็4 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ และเมื่อนำสารสกัดน้ำดอกอัญชันไปเป็นส่วนประกอบในเจลสำหรับทารอบดวงตาพบว่าฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของอัญชันยังคงอยู่ แต่มีคุณภาพน้อยกว่าครีมมาตรฐาน ทำให้บางทีอาจสรุปได้ว่าการใช้ดอกอัญชันเป็นองค์ประกอบในเครื่องแต่งตัวสำหรับบำรุงผิวบางทีก็อาจจะได้ประโยชน์จากฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การเรียนความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน ของสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากดอกอัญชันในหนูแรทเพศภรรยาพบว่า การป้อนสารสกัดขนาด 2000 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ไม่นำไปสู่ความเป็นพิษต่อหนูแต่อย่างใด และในการศึกษาความเป็นพ
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 25, 2018, 01:40:32 pm

อังกาบหนู
ชื่อสมุนไพร  อังกาบหนู
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Barleria prionitis Linn.
ชื่อสามัญ   Porcupine flower
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด
อังกาบหนูเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนต่างๆทั้งโลก โดยมีเขตผู้กระทำระจายชนิดในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆดังเช่นว่า แอฟริกา อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย ประเทศพม่า ลาว เขมรแล้วก็ไทย สำหรับในประเทศไทย พบมากขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งแล้งทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป
อังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มม. 2-3 อัน ใบคนเดียวเรียงตรงกันข้าม รูปไข่แกมวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 เซนติเมตร ยาว4.3-10.5 เซนติเมตร ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 ซม.ดอกคนเดียวดูเหมือนช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบประดับประดารูปแถบปนขอบขนาน กว้าง 2-8 มม. ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบแต่งแต้มย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มม. ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกเปิดโปงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มม. ยาวได้ถึง 15 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบแกมใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มม. ปลายเว้าตื้น กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีแกมขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มม. เม็ดรูปวงรีแกมขอบขนาน 2 เม็ด กว้าง 5 มม. ยาว 8 มม. มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์
อังกาบหนูเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามได้ดิบได้ดีในดินทุกจำพวก โดยเฉพาะดินร่วนซุยระบายน้ำก้าวหน้า และก็มีความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง สามารถแพร่พันธุ์ได้ ด้วยเม็ด แล้วก็การตอนกิ่ง อังกาบหนูฯลฯไม้ที่ดูแลง่าย ไม่ค่อยถูกใจความร่มเงามาก เติบโตได้ดีทั้งยังในรอบๆที่แสงอาทิตย์จัดเต็มวันหรือแสงอาทิตย์ร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรครวมทั้งแมลงมารบกวนอีกด้วย ในฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินชอบแห้งตาย แม้กระนั้นส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะก้าวหน้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในช่วงฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใอังกาบหนู[/url]มีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones นอกเหนือจากนี้ใบแล้วก็ยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
ประโยชน์ / คุณประโยชน์
คุณประโยชน์ของอังกาบหนูตามยาแผนโบราณบอกว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้กลากเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบที่ทำการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยบำรุงธาตุทั้งยังสี่ ช่วยละลายเสมหะ ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้กลากเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้อาหารไม่ย่อย ช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นตีนแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ กลากโรคเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับเยี่ยว แก้ไข้
นอกเหนือจากนั้นอินเดียยังคงใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้โรคหืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง กินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ ไอกรน ลดเสมหะ ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีลักษณะอาการซึ่งรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการสืบค้นข้อมูลงานศึกษาเรียนรู้วิจัยของอังกาบหนูจะเห็นได้ว่ายังไม่มีการศึกษาในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเรียนในหลอดทดลองรวมทั้งในสัตว์ทดสอบในฤทธิ์ต่างๆดังเช่น ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านทานเชื้อรา ต่อต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น แต่ว่ายังการศึกษาต่ำวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังไม่มีคุณวุฒิวิจัยเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง เป็นเพียงการบอกเล่าต่อๆกันมา โดยเหตุนั้นหากปรารถนาใช้ต้นอังกาบหนู สำหรับการรักษามะเร็งควรจะใช้พร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโดยแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แม้กระนั้นการใช้สมุนไพรจำต้องใช้ให้รอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีข่าวซุบซิบว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น
แบบอย่าง / ขนาดวิธีการใช้ การใช้ประโยชน์ทางยามีรายงานการใช้ผลดีจากส่วนต่างๆดังต่อไปนี้
 
ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นเท้าแตก ใช้ใบสดบดแก้ลักษณะของการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือนำมาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้ขี้กลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน
ราก เอามาตากแห้งแล้วเอามาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้อาหารไม่ย่อย หรือเอามาตำอย่างละเอียดใช้ใส่บริเวณที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากแล้วก็ดอก อังกาบนำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงธาตุภายในร่างกาย ช่วยเจริญก้าวหน้าธาตุไฟเจริญรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษาขี้กลากโรคเกลื้อน ถ้าเกิดนำมาใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าอีกทั้ง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับแต่งข้ออักเสบได้
 
เปลือกลำต้น
 
เอามาบดให้เป็นผุยผงกินทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดลักษณะของการปวดจากไขข้ออักเสบ
อีกทั้งต้น นำมาสกัดเอาน้ำมันมานวดศีรษะทำให้ผมดำ ทั้งต้นเอามาต้มดื่มครั้งละ 50-100 มล. แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมตามตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มสเปิร์ม โดยนำทั้งยังต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ทีละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน ในเรื่องที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาตีให้แหลก นำไปแช่ในน้ำซาวข้าว พอกบริเวณที่บวม ยอดอ่อน เอามาบดในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
การศึกษาในหลอดทดสอบพบว่า สารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยแนวทาง DPPH รวมทั้ง ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมากว่าสารสกัดน้ำ การเรียนหาปริมาณสารประกอบฟีโนลิก และก็ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกแล้วก็ลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมสูงที่สุด โดยมีค่าเสมอกันกรดแกลลิกเท่ากับ 67.48 มิลลิกรัม/กรัม น้ำหนักพืชแห้ง รวมทั้งมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH และก็hydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ครึ่งเดียว (IC50) เท่ากับ 336.15 รวมทั้ง 568.65 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู อย่างเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ป phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 เท่ากับ 0.41 มิลลิกรัม/มล. และมีฤทธิ์ยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 12.4 ไมโครโมลาร์ ยิ่งไปกว่านี้เจอสารกลุ่มiridoid glycosides ดังเช่นว่า shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside รวมทั้ง lupulinoside มีฤทธิ์ต้านทาน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในช่วง 5–50 มิลลิกรัม/มล.
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ และก็เอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) แล้วก็ยับยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูประเภทที่ 3 แล้วก็ ประเภทที่4 ขนาด 400 มก./กก. นน. ตัว ให้กับหนูที่รั้งนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 รวมทั้ง55.75% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยับยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกนั้นเมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารค้างรจีแนน และรั้งนำให้กำเนิดอาการปวดด้วยกรดอะซิติก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% แล้วก็ลดอาการปวดได้ 30.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มก./ กิโลกรัมนน. ตัว ซึ่งสามารถลดการอักเสบได้ 57.5% รวมทั้งลดอาการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline แล้วก็ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดอีกทั้งต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา การศึกษาในหลอดทดลองเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล และก็เอทานอล สามารถต้านทานเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae แล้วก็ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีศักยภาพมากที่สุด ในเวลาที่ลำต้นรวมทั้งรากของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน และก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดสอบในหลอดทดลอง พบว่าขนาดความเข้มข่นที่ส่งผลสำหรับเพื่อการต่อต้านเชื้อไวรัสที่นำมาซึ่งโรคในระบบฟุตบาทหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้กึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคกรัม/ มล. แล้วก็ขนาดความเข้มข้นที่ส่งผลในการฆ่าเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งเดียว (ID50) มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./มล.
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มิลลิกรัม/นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด รวมทั้งเพิ่มระดับไกลวัวเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท รวมทั้งหนูเม้าส์ก่อนจะเหนี่ยวนำให้เกิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน และก็พาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มิลลิกรัม/กก. นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวถึงแล้วสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าวิชาชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin และก็triglyceride นอกจากนั้นยังเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี glutathione ในตับรวมทั้งลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยป้องกันเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำและก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 รวมทั้ง 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าฤทธิ์ในการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต แล้วก็ฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นขึ้นกับขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มก./มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 แล้วก็พยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ตอนที่สารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 แล้วก็พยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 และ พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดรากอังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้มีสาเหตุจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับการรบกวนการผลิตน้ำเชื้อ ลดจำนวนน้ำเชื้อ และก็ทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดลง สารสกัดมีผลลดหุ่นอัณฑะ รวมทั้งส่งผลลดจำนวนโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) แล้วก็กลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งทำให้การสร้างสเปิร์ม โครงสร้างแล้วก็หน้าที่ของสเปิร์มผิดปกติไป
 
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การเล่าเรียน

 
ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบรวมทั้งลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กิน ขนาดที่แตกต่างกันตั้งแต่ 100 - 3,000 มิลลิกรัม เป็นเวลา 15 วัน ไม่พบความแปลกอะไรก็ตามและไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายกึ่งหนึ่ง LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า3,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และถ้าเกิดฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าเท่ากับ 2,530 มก./กก. ± 87 มิลลิกรัม/กก. ซึ่งถือว่าค่อนข้างไม่เป็นอันตราย
 
ข้อแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม
1. การใช้อังกาบหนูสำหรับการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่กำหนดไว้ ไม่สมควรใช้ในปริมาณที่มากเหลือเกินและก็ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานเพราะอาจมีผลพวงต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นต้นว่า โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรจะใช้อย่างระมัดระวังรวมทั้งควรหารือแพทย์ที่ให้การรักษาด้วยเสมอ
3. สำหรับในการใช้สมุนไพรอังกาบหนูอย่างต่อเนื่องควรจะมีการเจาะเลือดมองค่าแนวทางการทำงานของตับและก็ไตอยู่เป็นประจำ
4. ในตอนนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยทั้งในมนุษย์และก็สัตว์ทดลองว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้ โดยเหตุนั้นถ้าหากต้องการจำใช้สำหรับในการรักษามะเร็งควรใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
 
เอกสารอ้างอิง

  • พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
  • อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
  • ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/[/b]
  • Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
  • Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
  • Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
  • Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
  • Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
  • . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
  • Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
  • Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
  • Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
  • Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
  • Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
  • Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.


Tags : อังกาบหนู
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเปล้าน้อย มีประโยชน์เเละสรรพคุณ เมื่อ: ธันวาคม 23, 2018, 09:20:18 am

เปล้าน้อย
ชื่อสมุนไพร เปล้าน้อย
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น เปล้าท่าโพ (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Croton fluviatilis Esser.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Croton stellatopilosus Ohba. , Croton sublyratus Kurz.
ชื่อสามัญ Thai croton
ตระกูล EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด
เปล้าน้อย เป็นไม้ประจำถิ่นในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เจอขึ้นกระจัดกระจายในประเทศพม่าและไทย ตามป่าเบญจพรรณ ป่าแดง รวมทั้งป่าริมหาดบางพื้นที่ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปในหลายจังหวัด ดังเช่นว่า จังหวัดสุรินทร์ , อุบลราชธานี , จังหวัดนครพนม , จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี รวมทั้งประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเปล้าน้อยนี้เป็นพืชที่เจริญได้ดีในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนซุยผสมทรายที่มีการระบายน้ำเจริญ โดยออกดอกในช่วงก.พ. – เดือนมิถุนายน และเริ่มติดผลในเดือน เดือนมีนาคม – ส.ค.
ลักษณะทั่วไป
เปล้าน้อย จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น เป็นไม้ผลัดใบ มีความสูงของต้นโดยประมาณ 1-5 เมตร แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ที่เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลผสมเทาผิวลำต้นออกจะเรียบ
ใบเป็นแบบเรียงแบบสลับ เมื่อใบใกล้ตกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มเหลือง ก้านใบยาว 1-3.5 มม. มีขนสั้นนุ่มกระจาย แผ่นใบตรงแคบยาว กว้าง 1.5 -2.44 ซม. ยาว 10-17 ซม. แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ฐานใบแหลม ขอบใบจักฟันเลื่อยเป็นระยะ ขนาด 5-7 มิลลิเมตร ถึงเกือบจะเรียบ ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม ผิวใบด้านบนสะอาด ข้างล่างมีขนกระจายบนเส้นกึ่งกลางใบน้อย หรือเกือบหมดจด ไม่มีนวล มีต่อมที่ฐานของก้านใบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7-1.0 มม. เส้นใบข้าง 11-16 คู่
ดอกออกเป็นช่อ กำเนิดช่อผู้เดียวเล็ก ที่ปลายยอดปริมาณยาว 7-19 ซม. แกนช่อหมดจดหรือแทบหมดจด ดอกเพศเมีย จำนวน 4-11 ดอก อาจมีหรือเปล่ามีดอกเพศผู้ ใบตกแต่งของดอกเพศผู้รูปไข่ ปริมาณยาว 2-3.5 มม. กว้าง 1.5-2 มม.บางคล้ายเยื่อ ดอกเพศผู้จำนวน 1-3-4 ดอกในหนึ่งใบแต่งแต้ม ก้านดอกย่อยยาว 4-5 มม. หมดจดกลีบเลี้ยง ขนาดกว้าง 1.5 มม. ยาว 2.5 มม. เชื่อมติดกันเล็กน้อยที่ฐาน ปลายแหลมถึงเป็นติ่งแหลม ข้างนอกหมดจด แม้กระนั้นเจอขนครุยที่ปลายแจ้งชัด กลีบดอกลักษณะที่คล้ายกลีบเลี้ยงแต่ว่าแคบกว่า ขนาดกว้าง 0.5 มิลลิเมตร ยาว 2.5 มม. เกสรเพศผู้ 10-12 อัน ก้านยกยาว 2.0-2.5 มิลลิเมตร อับเรณูยาว 0.6 มม. ดอกเพศภรรยา ก้านดอกย่อยเกือบสะอาด ปริมาณยาว 2 มม. กลีบเลี้ยง ขนาดกว้าง 1 มิลลิเมตร ยาว2 มิลลิเมตร ปลายแหลมถึงเป็นติ่งแหลม สะอาด มองไม่เห็นกลีบดอก รังไข่ยาว 1.5 มม. ขนสั้นนุ่มหนาแน่น ก้านชูเป็นอิสระ ขนาดยาว 3-5 มิลลิเมตร แบ่งเป็น 2 แฉก
ผลเปล้าน้อย รูปแบบของผลเป็นทรงค่อนข้างกลมเปลือกผลเมื่อแห้งมีสีน้ำตาลแล้วก็แตกได้ง่าย โดยผลจะแบ่งได้เป็นพู 3 พู มีรอยกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ก้นผล ในแต่ละพูจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด เม็ดมีสีน้ำตาลผิวเรียบ มีลายเส้นตามแนวยาวสีขาวหนึ่งเส้น มีขนาดกว้างราว 2-3 มม. แล้วก็ยาวราวๆ 3-4 มม.
การขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์เปล้าน้อยสามารถได้หลายวิธี ดังเช่นว่า เพาะเม็ด และก็กระเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ในปัจจุบันนิยมใช้แนวทางการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมากยิ่งกว่าเนื่องจากจะได้พันธุ์แท้โดยมีรายงานว่าการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น สำหรับในการปลูกนั้นมีวิธีการเป็น ขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซนติเมตร (โดยอาจลดหรืเพิ่มได้ขึ้นกับขนาดของต้นกล้าที่จะนำมาปลูก) หลังจากนั้นนำดินที่ขุดออกมาผสมกับปุ๋ยธรรมชาติให้เข้ากัน แล้วนำต้นกล้าลงปลูกโดยใช้ระยะห่าง 4x4 เมตร กลบดิน รดน้ำให้เปียกและก็ปักไม้ค้ำจนถึงกันลมพัดล้ม
ส่วนประกอบทางเคมี
ในใบพบสาร (E.Z,E) -7- hydroxymethyl -3, 11, 15-trimethy-2,6,10,14-hexadecate traen-1-01 มีชื่อว่า CS-684 หรือ Plaunotol, Plaunotol A,B,C,D,E
Plaunotol
ประโยชน์ / สรรพคุณ
ตำราเรียนยาไทย ใบ รสร้อน แก้คันตามตัว รักษาแผลในกระเพาะและลำไส้ก้าวหน้า เปลือกและใบ รักษาโรคท้องเสียบำรุงเลือดรอบเดือน รักษาโรคผิวหนัง ราก รสร้อน แก้ลมขึ้นเบื้องบนให้เป็นปกติ ขับเลือดแก้ช้ำใน ผล รสร้อน ต้มน้ำดื่ม ขับหนองให้กระจัดกระจาย ดอก เป็นยาขับพยาธิ เปลือกต้น รสร้อน ช่วยในการย่อยอาหาร ใบ รวมทั้ง ราก แก้คัน รักษามะเร็งไฟ รักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก โรคเกลื้อน แก้พยาธิต่างๆริดสีดวงทวาร แก้ไอเป็นเลือด เป็นยาปฏิชีวนะในทางการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า สาร plaunotol ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะและก็ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหาย เร็วขึ้น มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะ ของกิน
แบบอย่าง / ขนาดวิธีการใช้ ในการใช้ตามตำรายาไทยเพื่อรักษาแผลในกระเพาะแล้วก็ไส้ แก้คันตามตัว รักษาโรคผิวหนัง ใช้บำรุงธาตุ บำรุงเลือด แก้พยาธิต่างๆ ให้นำใบ ออกจะใบอ่อน ตากแห้ง บดละเอียดแล้วนำมาต้มหรือชงน้ำ หรือใช้ รากต้มน้ำดื่มตอนอุ่นๆแก้โรคกระเพาะของกิน
นอกจากนี้ใบเปล้าน้อยยังสามารถนำไปสกัดเป็นยา “เปลาโนทอล” (Plaunotol) หรือยารักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย ความจริงแล้วสารเปลาโนทอลมีอยู่ดูเหมือนจะทุกส่วนของต้นเปล้าน้อ[/b]แม้กระนั้นมีจำนวนมากน้อยแตกต่างออกไป แม้กระนั้นส่วนที่มีสารเปลาโนทอลสูงสุดคือส่วนของใบอ่อนที่อยู่รอบๆปลายช่อที่ได้รับแสงแดด สำหรับการใช้ยา Plaunotol นั้น ควรใช้ทีละ 80 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์อาการจะดีขึ้นถึง 80-90% ซึ่งอาจมีอาการใกล้กันบ้างคือ ผื่นคัน ท้องร่วง แน่นท้อง ท้องผูก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา ผลการค้นคว้าทางเภสัชวิทยาของเปล้าน้อย
ในไทยมีน้อยมาก จะมีก็เพียงแค่ผลจากการทดลองฤทธิ์ของเปลาโทนอลในผู้ป่วยโรคกระเพาะที่มีแผลในกระเพาะอาหาร (ผลขนาดไม่เกิน 1 ซม.) เห็นผลว่า คนป่วยจำนวน 8 ใน 10 คนข้างหลังได้รับยาเปลาโนทอลเข้าไป แผลในกระเพาะจะหายสนิทภายในเวลา 6 อาทิตย์รวมทั้งการเรียนรู้ทางฤทธิ์ของ Plaunotol ที่กล่าวว่า มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะ และก็ลำไส้ มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อบุไส้ที่เสียหาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดปริมาณการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร และช่วยทำให้ระบบคุ้มครอง การดูดดูดซึมกรดของเนื้อเยื่อบุกระเพาะซึ่งถูกทำลายด้วยสารบางจำพวก คืนกลับดีได้
การเรียนทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมุลการเล่าเรียนทางพิษวิทยา แต่มีข้อมูลกล่าวว่ายารักษาโรคกระเพาะจากเปล้าน้อย (Plaunotol) ผ่านการศึกษาถึงความปลอดภัยก่อนนำออกวางขาย มีคุณภาพดีและส่งผลใกล้กันน้อยกว่ายาสังเคราะห์ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่การใช้เปล้าน้อยที่ไม่ใช่สารสกัดหรือการใช้ในทางพื้นเมืองยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ดีการใช้เปล้าน้อยสำหรับในการรักษาโรคกระเพาะควรอยู่ภายใต้ข้อแนะนำของแพทย์เหมือนกันกับสมุนไพรประเภทอื่น
คำแนะนำ / ข้อพึงระวัง
สำหรับในการใช้ยารักษาโรคกระเพาะที่สกัดมาจากเปล้าน้อย (Plaunotol) อาจมีอาการข้างๆได้ ได้แก่ ท้องเดิน แน่นท้อง ท้องผูก หรือมีผื่นคัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวสำหรับเพื่อการใช้ควรจะขอความเห็นหมอหรือผู้ชำนาญเสมอ
เอกสารอ้างอิง

เปล้าน้อย.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ข่า ประยงค์ที่เจอในประเทศไทย เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 05:47:22 am

ข่า ประยงค์ที่พบในประเทศไทย 3 จำพวก1. ประยงค์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Alglaia chaudocensis pierre.2. ปyukะยงค์บ้าน ชื่อวิทยาศาสตร์ Alglaia odorata lour.3. ประยงค์ป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Alglaia odoratissima blume.ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ลำต้นประยงค์ เkytkป็นไม้thrttrhyยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นแตกกิ่งมากข่า รวมทั้งมีใyukบดกyukuทำให้เป็นทรงพุ่มไม้ykแน่นหนา ทรงพุ่มค่อนข้rtงyukเป็นวงกลngm ลำต้นสูงyuราวๆ 3-6 เมตร แล้วก็kj,รวมทั้งบางทีsjkfgrvbdyukyugfnfbfdอาจพบสูsdgvdsvงได้มากกrthานี้ ลำต้นมีกิ่งแตกออกที่ระดับค่อนnfgrthhrtข้าfggfงต่ำโดnยfgประมาณ 1 เมตร ซึ่งเป็นส่วtynองแกนลำyukต้น ส่วนfgnที่เหลือเป็นkyuกิ่งfgnbหgfnลัก ผิวลำtyktyต้นไม่ค่อtykยเรียบ มักtykเป็นลูกคfgnbลื่น เปลืnghmgอกลำต้นdfมีสีเmhjmทา ส่วนแก่นไม้hj,ของต้น แj,ละก็กิ่ง jk,jkเป็นไม้เนื้ออ่อน เปdegrthrtjราะหักง่าย ไม่นิยมใช้ในกjtyารก่อสร้างหรือกาyukkแปรูปต่างๆแต่ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ต้นประยงค์ใบใบประยงfgnค์ เป็นใบประกอบ yukแตกออกตามปลายกิ่ง ประกอบด้วยก้านใบหลักที่มีลักษณะทรงกลมเหมือนกิ่ง แyuyukตกออกเรียงสลับกันถี่บนyuกิ่ง โดยแต่ละก้านใบจyuะมีใบราวๆ 3-5 ใบ แต่ละใบมีลักษณะรูปไแหลม เป็น โคนใบสอgfnfgnบแหลม แล้วfgก็ยาว ส่วนปลuilายใบกว้างมน ส่วนyukแผ่นใบ และก็ขอบของใบข่าiuเรียบ แผ่นใบมีสีเขียวสด ทั้yukงด้านล่าง แล้วก็ข้างบน ส่วนขนาดใบแnbfgnบ่งได้fgnnตามประเภทชนิดyuk ได้แก่– ประเภทuilพันธุ์htyใบใหญ่ กmว้าง 1.5-3.5 เซนติlerเมตรgerh ใerhยาgh 5-12 เซนติเมตร– ปyukuilระเภทพันธุ์ใบใหญ่ กว้าง 0.5-2 yukซม. ใบยาว 2.5-5.5 ซม.ดอกดอกประยuyงค์ แทงออกเป็นhgmกระจุกmกลุ่มช่อรอบๆปลายกิ่ง แต่ernghปลายละกิ่งyukะมีก้านช่อดอerhก 1-10erh ช่อ แต่ละช่อยาวประมาณข่า 5-10 ซม. รวมทั้jytjtyjงมีดอกโดยประมาณ 10-20 ดอก ดอข่า[/url]มีก้านดอกสั้นๆสีเหลืองอมเขียว ปลายสุดเป็นตัวดอกที่มีลักษณะทรงกลม สีเหลือjtyงสด เหมือนไข่ปลา ประกอบด้วยกลีบดอกสีเหลืองโค้งหุ้มรังtyjไข่ และก็เชื่อมติดกันเป็นพู yukukปริมาณ 5 กyukลีบ โดยตรงkyuกึ่งกลางเป็นส่วนของเกสรytjตัวผู้ 5 อัน และก็รังtyjไข่ ส่วนขนาดดอกจะแบ่งออกตามประเภท

Tags : ข่า
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ดาวเรือง ตาล มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า ตาล เมื่อ: ธันวาคม 03, 2018, 09:59:16 am

ดาวเรือง ตาล มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า ตาลท้องนา หัวปลีตาล (เชียงใหม่), ตาล ตาลใหญ่ ตาลโตนด (ภาคกึ่งกลาง), โหนด ลูกโนด(ภาคใต้), โผลงล (งู-แม่ฮ่องสอน), ถาน (ระเบียง-แม่ฮethyui.io.องสอน), ดาวเรืองทอถู (กะเหรี่ยu,iu,u.iu.iง-แม่ฮ่องสอนdfymky,y), ท้าทioio/;o/ายง (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), ตะนอด (เขมร), ทะเนาด์ (เขมg.oi/io/ร-พระกระบอง) เป็นต้นต้นตาล จัดเป็นพืpo/ol;/p/o/ชดั้งเดิม;l/l;/dmjของทวีปแอฟริกา และคราวหลังได้ขยายแพร่uiพันธุ์ไปliulเรื่อยๆจนกระทั่งมีอยู่;ioทั่วไป|ทั่วๆไo;ป};ใiy,yu,u;io;iนทวีปเอเชีioยเขตร้อน;ioและเมืองไทยด้oi;ioวย ซึ่งพบuiทั่วไปในioทุuilกภาคของio;iประio;เ;iooiilทศ และสามาร;oiถมักพบในภาคตtyะวันตก ในจังหวัดเพชรบุรี สุพรรณ อยุธยา แลiluuiluiliuะก็จังหวัดนครปฐมประโtjnยnyชน์ต่างๆที่ได้รับจากตาล หลักๆแล้วจะนิยมประยุกต์ใช้ปtnระกอบอาหารและใช้ในงานฝีมือต่างๆแล้วก็อาจมีการนำไปใช้ท;างยาสมุนtynพรบ้าง โดยtyตาลนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น;oi 2 สายพันธุ์สำคัญๆio;ยกตัวtynnอย่างเช่นตาลบ้าน เป็นตาลที่มีจำtyio;iontynio;tynวนข;ioงเต้io;าจาวในแต่ioผล;ioปรoi;ะมาณ 1-4 เต้า และยังมีluiสายพันtnธุ์ย่อยอีก 3 สtyายพันธุ์ เป็นต้นว่า ตาลหม้อ (ผลใ;หญ่ ผิวดำคล้ำ), ตาลไข่ (ผลเล็กมากยิ่งกว่า ผลมีสีขาวเหลืiuอง), รวมทั้งตาลจาก (มีผลในทะลายแน่นคล้ายกับio;ioทะลายจากuuiui;oi)ตาลป่าดาวเรือง หรือ ตาลก้าpoยาว ชนิดนี้จะoiส่งผลเล็ก มีสีเขียวคล้ำ มีเต้าอยู่ 1-2;io เio;ต้iulา ลำต้นเขียวสดและก็ก้านใบยาว และไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไuilioรนักรูปแบบของต้นตาลต้นตuio;io;ilาล หรือopoiมทั้ง}เป็io;นปาล์oi;มที่แยกเพศกันอop/'po/ยู่คนละต้น ลำต้นขนาดราว 30-60 เซนติเมตร มีความสูงของต้นได้ถึง 25-40 เมตร ลำต้นเป็นเสี้ukuiio;ยนสีดำและแpoข็งมาก แม้กระนั้นluiไส้กึ่งกลางข;องลำต้io;นจะอ่อuiน ส่วนรอบๆโoi;นต้นจะมีรากเป็นกรุ๊ปใหญ่ ioในเวลio;าที่ มีความชื้นปานกลาง ดาวเรืองเกลียดio;io;อากาศเย็น ชอบแสงอาทิตย์rtjจัดio;juliก|ถ้tyาj|แม้|ถ้าหาก|ถ้าเกิด}รากแjtyรlกขาดก็จi;oะioตายโดยทันทีต้นตาลใบตาล ใบเป็นใบคนเดียiuolว เรียงสtyลัjบกัน ลักษณะออกจะกลมเหมือjtyนพัด มีความกว้าง{ประมาณ|ราว|ราวๆ|โดยประtyแข็งคล้ายฟันเลื่อยแข็งสีดำรวมทั้งคมมากอ;ยู่ตามขอบก้าน;ioใบ ส่วนโคนก้านio;จะแยกออกจาก;ioดาวเรืองกันคล้ายกับคีมเหล็กโอบห่อลำต้นเอาไว้tyk
9  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขายส้มเเขก รูปแบบของมันฝรั่งต้นมันฝรั่ง เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2018, 07:08:04 pm

ขายส้มเเขก ลักษณะของมันฝรั่งต้นมันฝรั่ง เป็นพืชดั้งเดิมของชาวโลกส่วนFGNGMHJMตะวันตก เชื่อว่ามีแหล่งเกิดบนพื้นที่ระหว่างเม็กซิโกและชิลี บนแถบที่ราบสูงบนแนวเขาแอนดีส ในปรdtmjy,yp[p[,ะเทศโบลิเวีย หรือเปรู โดยจัดเป็นไม้ล้มลุtmtymกที่จำหน่ายส้มเเขกมีอายุตั้งแต่ปลูก;l/;/;'จนถึงเก็บเกี่ยวโดยประมาณ 4-5 pเป็นกิ่ง ตั้งตรงรวมทั้งมีความสูงของต้นประมาณ 0.op/o6-1 เมตร op/ลำต้p/o/นเป็นครีบ เมื่ออ่อนมีขน หัวมีต้นเหตุที่เ.,j.,j,.กิดจากลำต้นที่อ,hj,jkยู่ใต้ดิน ใน 1 ต้นจ/op/ะให้หัวมันฝรั่งปkyระมาณ 8-10 หัว สำหรับแหล่งปลูullกมันฝรั่งในประเทศไทยที่ได้ผลลัพธ์ที่uilioดี คืop/อ จังหวัดทางo/ภาคเหนือซึ่งมีo/oอากาศหนาวเย็น ยกuiตัว/op/อย่างเo/นh,y.k/ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ส่/วนทางykภาคกึ่งกลาง ภาคอีสาน ขายส้มเเขกและก็ภาคใต้ ก็มีปลูกกันบ้างจำหน่ายส้มเเขกแต่ว่าopมีผลผลิตน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดทางภาคเหนือ โtjดยจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่มีกาtjรปลูกและก็ผลิตมันฝรั่งเป็uikนผลมาจากส่o/วนล่างของลำต้น ulกหน่อชอนไชลงไปในดิน ulyuตอนกลายขยายใหญ่ เพื่อสร้างหัว หัวมีตาอยู่รอบๆในลักษณะวงกล/opม ตาแต่ละตาจะสามารถแตกออกได้ 3 กิ่ง ที่op/ตามีเกล็ดที่มีรูปร่างเหมือนจาน มีไว้sreสำหรับคุ้มuilครองปกป้องตาไม่ให้ได้รัhjmjmอันตราย ข้างในulหัวมันฝรั่งมีแกนตรงกลางพุ่งไปยังตาjhmทุกตาหัhjmวมันฝรั่งใบมันฝรั่ง ใบเป็นใบปjhmะกอบแบบo/ขนปลายkkคี่hjm ออกเรียงสลับ มีขนบางuilส่วน ghmประกอบไปด้วยใบjhmhjmยอด 1 ใบ รวมทั้งใบย่อยที่uilลักษณะเป็นรูปรี หรือรูปไข่ขายส้มเเขก{แกม|ปนo/แวงรีหรือแกมo/ไข่กลับปลายแหลมราวๆ 2-4 คู่ แล้วก็ใบde,mki.ย่อยสั้นอีก 2 คู่ หรือมากยิ่งกว่านี้ ใบมีขนาดกว้างราวๆ 1.5-5 เซนติเมตร และยาวราop/ 1op/.5-7 เซนติเมตo/รใบมันฝรั่ง

Tags : ขายส้มเเขก,จำหน่ายส้มเเขก,ขายส้มเเขก
10  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถั่งเช่า พืชจำพวกนี้ พบหนแรก เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2018, 12:07:11 pm

ถั่งเช่า[/b] พืชจำพวกนี้ เจอครั้งแรกตอนวันที่ 14 กันยายน พุทธศักราช2510 โดยนายเกษมtjyukyukykyจันทyukuiluiรถั่งเช่าประสงค์ ซึ่งใuilนช่วงเวลานั้นเป็น เจ้าหน้าที่รัฐก5อjktjytงพรรuiolณไม้ กรมวิชากuiluilารเกษตร (ตอนนี้เป็นนายกkyukสัมพัuilนธ์kyukyuuilkjtktkyukykไม้ประดับแห่งเมืองไทย) ได้ เล่าการเจอพืชปluiระเภทนี้ว่าท่านนั่งรถไฟไปลงที่สถานีวังโพ และก็เดินyukทางขึ้นภูเขาเตี้ยๆหลังสถานีทางทิศlykuทิศluluiตะวันออก ซึ่งเป็นฝั่uilงตรงข้ามกัluilบแม่น้ำแควน้อย เมื่อถึiuงเวลาเที่ยงตรง ท่luiานไjtyjด้พักผ่อนกินอาหารที่ใต้ ต้นไม้ ได้พบดอกไม้ปuilระเภท2หนึ่งหล่นอยู่ที่พื้น ท่uiาrtนรู้สึluiกคุ้นกัerhบลักษณะดอก เพราะkyเหมือนถั่วแ36ปบ363ช้างแต่คนละสี เมื่อดูถั่งเช่าขึ้นไปและเก็บลงมาเพื่อประพฤติอย่างแห้ง อีก e2 เดืluilอนถั4254ดมาuilluiluulil คือวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัilน ท่านได้นำผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรายุ4522พิน จันทรมุ่งหวัง (เจิมศรีวัฒน์) เดินทางกลับไปที่เดิมเพื่อเก็บฝักui ที่เริ่มแก่ ให้จับตัyjวได้อgeย่างที่บริบูรณ์และก็jyukyukขุดต้นกลับมาปลูกที่กรมวิชาการเกษตร สำหรับกำหนด (identluiuilify) ว่า ต้นไม้นี้จะเป็นต้นไม้ชื่ออะไร เมื่อต้นไม้ต้นนี้trtjyukuiที่จังหวัดกรุงเทพ ในวันที่ 9 tyพฤศจิกายน 251er1 จึgerงได้เก็บ ถั่งเช่าตัวhtrhjtyjtyjอย่าง ซึ่งเป็นตัวอย่างต้นแบบ พร้อมด้วยทำคำพรรณนrthาgerเป็นภาษาละตินแล้วก็วาดภาพส่งไปให้ M.365r. B. L. 65.5Burtt พิสูจน์ชื่อที่สหราชอาณาจักรkyuk พร้อมทั้ง5ขอสิ่rthงuiขอrthงชื่อเพื่อเrthป็นเกียรติกับพระแม่ศรีสังวาลย์ (พระยศขณะนั้น) โดยเสนอคำว่า ศรีสังrthวาลย์rth หรือมหิดล Mr. Burtt ได้เสนอแนะว่า56ให้ใช้มหิดล ซึ่งเขียน เป็นภาrthrthrhษาละตินrhว่า mahidolae ดังนี้ถั่งเช่าใ0256นช่วงเวrthลานั้นถั่วแปบช้าง (Afgekia sericea Craib) ซึ่งเป็นพืชที่มี ลัrthกษณะก็จะคล้ายกันมาก
11  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หญ้าหวาน ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ลำต้นมะกอกป่าเป็นไม้ยืนต้น เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2018, 02:11:38 pm

หญ้าหวาน ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ลำต้นมะกอกป่าเป็นไม้ยืนต้นจำพวกผลัดใบ แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มไม้มีลักษณะทรงกลม ทรงพุ่มครึ้มข้างหลังการแตกใบใหม่ตอนฤดูฝน ส่วนulหน้าuluแล้งจะทิ้ahtrtrhงใบจนถึio;o'p[]yukหญ้าหวานเหลือแค่กิ่yukงtyjtyก้าน ลำต้นมีลัiljyukuiluกษณะทulรงกลilม แล้วก็ตั้งตรง สูงประมาณ 1uil5-25 เมตuilหรือมากrthกว่าerhtrhjtyj เปลือกลำต้นrhtyjtkyหนา มีluilสีเทาอykuilมน้ำตol;egาrthลหรือrthio;opjสีเทา';อมดำ บางต้ehนบางtyjyukjyuทีอuilจพiluiluilบราสีขาวเจริญบนเปลือกio; เปลืiu;liu;อกลำต้นบางทีอาจเรียบหรือiแตกสะเก็ด ขึ้นอยู่กับอายุ ต้นที่แก่จะแตกสะเก็jtgjtyjดที่ผิวลำต้น เปลือกภายในมีtyjสีน้ำตาlyio;ลอมชมพู ส่วนแก่นไม้เป็นไyiltyjม้เนื้อyukkอ่อนใaeuhgthredjtyบใบมะกอก เป็นใบประกuiอบแบบio;นนกชั้นเio;ยว แบบปลายใบคี่ มีก้io;านuiใบหลักออกเรียldykงเวีuilยนสลับกัuiน ก้านใบหลักยาวราuilio;ว 5-25 ซม. มีใบย่uliอยที่เรียงตรงykกันข้าykมกัน 4-6 คู่ แล้วก็yukuil;ใบย่อยเดี่ยวรอบๆปลายukjuilใบ 1 ใบ รkluilวมเป็น 9-13 ใบใบย่อยแyuต่ละใบมีรูปขykuilบyuขนาน ukออกจะครึ้ม และก็หยyuาบk กkว้างราวๆ 3-5 ซม. ยาวราว 6-12 เuilซykyติเมyukตร มีก้านใบสั้น ukyราว 0.2-0.8 เซนติเมตร โคนใบมน ปลายใบเป็นติ่งแหลม ขอบ และก็แผ่นใบเรียบ แต่ขอบใบจะoi;เรียบไม่สม่ำเสมอกันหญ้าหวาน แผ่นใบมีเส้นกึ่งกลางใบ และเส้นluแขuงใlioบ{มองเห็น|luเห็น|แoilลเห็lนulแoi;จ่มแจ้ง แผ่นใบอ่อนหuilรือยอดอ่อนมีสีแดงเข้ม สีส้ม สีเขียวอมส้ม ต่อจากนั้นกลาrthยเป็นสีเขียวอ่อน และเขียวเข้มตyukามอายุอกดอกมะกอกออกเป็นช่อhrthบริเวณปลายกิ่ง เป็นดอกแยกyuksเพtrjศบนuykช่อดอกเดียวykuyกันe ช่อดอกหลัdekกio;แตกกิ่งออกเป็นช่ouil;ย่io;อย บนช่อย่อยมีดio;อกrthyukthluiขนาดเล็o;กเยอะมาก ดอกอ่อนมีลักษณะกลมสีเขียวสyukyดluil เมื่อบานจะมีสีขาวอมครีม ฐานดกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นรูปถ้วย ส่วนกลีบดอกไม้ถัดมามี 5 กลีบ แต่ละกลีบมีรูปรี ปลายกลีบแหลม กึ่งกลางมีเกสรตัวผู้ แล้วก็เกสรตัวเมีย แต่ว่าแยกดอกกัน หuiluilรืออยู่ร่วมuilกันแต่เกสรอีjtyjtytyกชนิดเป็นหมัน เกสjtyรsdjytjตัวเมีjtyยปลายแยกเป็น 4 แฉกดังนี้ มะกอกจะเริ่มออกดอกตั้jtyjtuilyjyแต่ต้นโดยประมาณเดือนเมษายน-luilมิถุนายjtน แล้วต่อจากนั้uiltyjyน จะทuliยอยมีดอก แล้วก็บานเรื่อยๆจนถึงหน้าหน'srhาว หญ้าหวานแต่hrtheส่วนมากจะเจอออกดop'อก รวมทั้งติดผลมากในช่วงปลายฤดูหนาวผลผลมะกอกออกเป็นช่อ ได้ผลสำเร็จสด มีรูปไข่หรือกลมรี ขนtkjyukluioาดผล 2.5-3.5 ซม. ยาว 3-5 เซนติเมตร'op เปลือกผลบาง เป็นเงา ผลอ่อนมีสีเขียวสด ผลแก่หรือผลสุกมีสีเขียวอมเหลือง และก็มีจุดประสีน้ำตาลอมดำio;กระจายทั่ว ด้านio;ในเป็นเนื้อผล มีลัio;กษณะฉ่ำน้ำ มีความดกของเนื้อผลราวๆ 2-5 มม.หญ้าหวาน แล้วต่อจากนั้นเป็นเม็ด ทั้งkyulkuil;io;นี้ ผลมะกอกจะเริ่มสุกให้เก็บมากมายในตอนเดือนตุลาคม-ม.ค.เม็ดเม็ดมะกอkykกมีรูปไข่ มีขนาดใหญ่yukมากกว่าจำนวนร้อยละ 80 ของพื้นที่ผล เปลือกเม็ดมีสีเหลือง ดก แข็ง รวมทั้งเป็นเศษไม้ ข้างในเป็นkyเนื้อเมล็ดอยู่ตรงกลางประโยชน์มะกอกป่า1. ผลดิบ แล้วก็ผลสุกมีรสเปรี้uilยว และก็มีกลิ่นหอมสดชื่น ใช้ปรุงรสของกิน ดังเช่น– ผลดิบ แล้วก็ผลสุกใช้แทนมะนาวทำส้มตำ ส้มตำที่ใส่มะกอกจะมีรสเปรี้ยวธรรมชาติ ไม่เปรี้ยวจัด กำเนิดรสหวานเล็กน้อย ผลดิบจะใส่ประมาณ 2 ลูก โดยฝานเฉพาะเปลือก รวมทั้งเนื้อใส่
12  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขายเห็ดหลินจือ ลักษณะของกัดลิ้นต้นกัดลิ้น เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2018, 10:55:37 pm

ขายเห็ดหลินจือ รูปแบบของกัดลิ้นต้นกัดลิ้น หรือ ต้นลำไยป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราวๆ 5-12 เมตร รูปแบบของต้rftliuluiนเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้าtliuilงถึงค่อนข้างกลม1 เพาะพันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเม็ด ในป;;ii;ระเทศไทยสา;i;iมารถพบได้ทางภาคเหนือ จำหน่ายเหภาคอีy8loiสาy;oน รวมทั้งภi;i;i;าคตะวันออกเฉีy;ยงใต้ ส่วนต่างประเทศนั้นio;op'o'จะพบได้มากในประเทศพม่าและกัมพูชาu;ใบulio;lกัดลิ้น i;มีใบเป็นใบประกอบแบบขyli;ioiน มีใบย่อยปริมาณ 3 ใบ y;y;l;โดยใบย่อยใบกลางจะมีขนาดใหญ่สุด ใบย่อยคู่ข้างจะอยู่ตรo'ข้ามกัน ส่วนi;ที่เชื่อมกับ;iก้านใบย่อยจะป่องเป็นi;ข้อ ลักษณi;iะใบย่อยเป็นรูปรีปนรูปขอบขนานถึtylioi;งรูปขอบขนานแกi;liมรูปใบหอก ปo'op'ลายใบเรีi;ยวแหมi' ส่วนโคนใบสอบ ผิวใบข้'o'op'างบนสีเขียว ส่วนท้องใบสีอ่io;io;อนกว่าดอกกัดลิ้o'น มีดอกเป็นช่อแบo'บแยกกิ่งก้านสาขาตามปลายกิ่io;ง มีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อนๆดอกกัดลิ้นมีขนาดเล็ก มีกลบเลี้ยง 5 กลีบมีข.;o'op'นาดเล็กมาก ลักษณะเป็นรูปสามเหi;ลี่ยมแล้วก็มีขนสั้น ส่i;i;;วi;นกลีio;บi;มี l5u กลีบ ukuเป็นสีขาio;วนวล kyukลักษณะขายเห็ดหลินจือ[/b]กลีบดอio;กเป็นรูปขอบขนานปลายมน มีความยาว;i;ประมาณ i;6 เท่าของ;iกลีบเลี้ยง ด้านนiอกมีขนสั้น i;มีเกสi;รตัวผู้ 10 อันi;ผiliol;ลกัดtkลิ้ulน ผลมีลักulษeณะกลม เมื่อสุกilผลจะเป็นสีเหลือง yyมีขนสั้/po/'นสี;io;น้ำตานๆภายในผลมีเมล็ด i;1 เมล็ด โดยเม็ดมีลักษi;ณะกลม มีเยื่i;อนุ่มๆห่อi;เมล็ดอยู่ต้นกัดi;ลิ้นลักi;ษณulะต้นกัดลิ้jh,jk.นสรรพคุulณขอกัi;ดiio/op;;ลิ้lulนผuilลสุกulใช้ulioกินเป็นยารักษาแผลในกรio;ะเพาi;ะi;รวมทั้งลำไ;i;ส้ได้ (ผlulลสุกuli)ช่วยขัuบulมในไส้ (รykuากulul)ชาวอีi;สานใช้กัดลิ้นเป็นส่วนi;ผสมใuนยารักษาโรคริดสีulดวงทวาร (ไม่ระบุส่t7uliวนที่ใช้)กัดลิ้นช่วยห้ามเลือด ใช้ชำytyระล้างjyรอยแผล (เปลือก)ช่rjวยสมานyบาดแผล|รอยแi;ผล} (เปลือก)ช่วยรักษาแผลเปื่ulอยi;ยุ่ย (เนื้อผลสุulululก)ช่วยแullก้หิo;ดสุกหิi;i;ดเปื่อยยุ่ย ด้วยการนำuมาต้มทั้งเปลือกทั้งแก่นผสมกับยาอื่น (แก่น, เปลือก)ช่วยบำรุงรักษาเอ็นi; แก้เส้นเอ็นพิการi; (ราก, ulต้น)ช่วยแก้ลักษณi;ะของการปวดi;เมื่อยล้าตามร่างกาย (ราก)ประโยชน์กัดลิ้นผลสุกมีรสหวานใช้รับประทานเป็นผyukลไม้เห็นulผลสุกประยุกต์ใช้ทำตำส้มร่วมกับผลตะโกเนื้อไม้หรือuli;ลำi;ต้นขายเห็ดหลินจือใช้ulสำหรับเพื่อการก่อสร้าyulงเนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำเป็นฟืนที่ให้ความร้อนสูงได้lui;l

Tags : ขายเห็ดหลินจือ,จำหน่ายเห็ดหลินจือ,ขายเห็ดหลินจือ
13  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขายส่งยาระบายถ้าหากกล่าวถึงกระเจี๊ยบแดง เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2018, 02:04:17 pm

ขายส่งยาระบายถ้าพูดถึงกระเจี๊ยบแดง คนไม่ใช่น้อยคงจะคิดไปถึงน้ำกระเจี๊ยบสีแดงๆรสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ แล้วเคยสงสัยถึงสulรรพคุณยาระบายราคาถูกกระเจี๊ยบกันyulylulบ้างไหม|บ้างuilหรือไม่|บ้ergrtjyukางหรือyulkyล่า}คะว่า กระเจี๊uyukylio;ยบ คุณปรjtykjะโยชoqfergklylrth['[]น์ดีต่อyสุขภาพขายส่งยาระบายเเคปซูลยังไงบ้าง ถ้ายังไม่รู้จักก็มารู้จะประโยช์จากกระเio;ยบแดi;งกันเลยกระio;เจี๊ยบ สมุนไพรไทยสีแดงแรงฤtloiทธิ์   กระเจี๊ยบแดuilงมีชื่อทilางวิทยาศาตร์ว่า Hibiluiscus sabdaiffaulu L. ชื่อภาษาอังกfkiฤษของกระเจี๊ยบแดงเป็น Jashytjytmaica sorro;iหรือ Roselulle ส่วนใน;io;บ้านยาระบายราคาถูกเราเรียกกันอีiu;io;ioกทั้งกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบ กรio;io;ะเจี๊ยบเปรี้ยว ผัuilกเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง ส้มปู ฯลฯ    บ้านเกิดของกระเจี๊ยบแดงอยู่ใlkuiบแอฟริกาตะuiนตก แล้วได้มีการนำกระเจี๊ยบluแดงมายาระบายราคาถูกปลูกลงในประเทศiluiluแถบเส้นอีเควเตuluอร์ทั่วไluuiป ต้นกsjyukระเจี๊ยบจะถูกใจio;แดดแรงรวมทั้งจะเติบโตได้ดิบได้ดีในดิdekที่มีulความชุ่มชื้นloioเหมาะเจาะขายส่งยาระบายเเคปซูล ด้วยเหตุดังกล่าวกระเจี๊ยบก็เลยyuปลูกภายในบ้านพวกเราได้สบายๆกลายเป็นพืชสมุนไliioolioพรที่หาง่ายมากๆลักษณะทาtlสตร์|วิชาพฤกษศาสตkyuร์}ของกระเจี๊ยบแดงจะเป็นไม้พุ่ม ขายส่งยาระบายเเคปซูล[/b]ความสูงของต้นราว 1-2 เมตร กิ่งไม้ของต้นมีสีม่วงแดง มีขนตามรนวกิ่งรวมทั้งก้านรำไร ใบกระเจี๊ยบเป็นใบเดี่ยว รูปทรงไข่หรือรูปนิ้วมือ ขนาดใบกว้างกระมาณ 7-12 ซม. ยาว 8-15ยาระบายราคาถูก ซulม.นรว ขyukบใบจัก  ส่kyukวนดอกกระเจี๊ยบมีสีkuyuเหลือรนวง กึ่งกลางดอกมีสีม่วyukงอมแดง ขนyukาดความดอกกว้างราว 4-5 เซนติเมตร ดอกกระเจี๊ยบจะออกuiluiliลำพังหรืykอดอกคู่ตามซอกใบขายส่งยาระบายเเคปซูล ในดอกกระเจี๊ยบมีเกสรรสรตัวผู้เชื่ีใวนรอวมกันเป็นหลอด ผรรนวนวลเผ็มนผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยykงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มห่อไว้ ลดความดันโลหิต จากกาม่้มรีuiยนรู้ทางluiuคลินิกgylukในอาสาสมัครที่มีluoioความเสี่ยงภาวะคyoioi;uoikวามดัulนโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มutkชาัีาระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ัีาชงเ้กับน้ำร้อน 240 luiท้มlมิลลิัีาลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อlkนตรงเวลายาระบายราคาถูก 6 สัปดาห์luil พบว่า ความดันโuilลหิตของอาสาสมัuluครลดลง 7.2 มม.ปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มuil.ปรอทtluiului (ขluuiณัาสะหัวใจพ้ะ่ะัคลายตัว)1ului2. ปกป้องรักษาไต  การเilัีาuรีหำะ่นในัาilu{คลินิก|สถานพยดก่ัาัสาบาลfrkuiที่ให้อาสาสมัครดื่มน้ำกระเจี๊ยuilบแด่ัะาัสง 24 กรัมต่อวัน พบuil สารiululuillkำ่ัีพฤกษเคมีในกrfระเจี๊ยulบแดงuilมีส่วนขายส่งยาระบายเเคปซูลช่วยขับครีเอติเตียulว่ากulาวนิัีาululน กรดยูริก สิเตรต ทราเทรต แคลเซียม โพแทสเซีัีายม แล้วก็ฟอสเฟตขายส่งยาระบายเเคปซูล ัาัีาาวมทั้งในข้อulลสัตว์ทดลองยังพบว่า ยาระบายราคาถูกกรดขuliuilfrองop'p'pสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงขน'opาด ัีัาีาk750 มก.ต่อโล ยาระบายราคาถูกสามารถyluคุ้มคluiรองป้องกันรวมทั้งขายส่งยาระบายเเคปซูลop'dkงการพัฒนาของก้อนนิ่วได้ แuilต่ทว่าpoผลการนิ่วในคนยังัีาulจำต้อuliงเรียนรู้กันถัดไปop'

Tags : ขายส่งยาระบาย,ขายส่งยาระบายเเคปซูล
14  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายยากษัยเส้น กระท้อน ผลไม้รสอร่อยตามฤดูกาล เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2018, 11:42:05 am
ยากษัยเส้นเป็นยาที่ผู้สูงอายุต้องมีไว้??
15  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บุก รูปแบบของพุดตานต้นพุดตาน มีบ้านเกิด เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2018, 05:47:53 pm

บุก ลักษณะของพุดตานต้นพุดตาน มีบ้านเกิดเมืองนอนมาจากประเทศจีน คนจีนเชื่อว่าต้นพุดตานjเป็นพืชที่มีความมงคล เนื่องจากดอกพุuilดตานสuiามuilารถเปลี่ยนสีได้ถึง 3 สีtykjtykuykuiljข้างในวันเดียวบุก  เปรีergergtjtyjยkบเหมือนของชีวิตคนulaegrที่เริ่มต้นyukykyเหมือน|ราวกับ|เสมือน}เด็yukกtyjtyที่เป็นผ้าขาว {แล้jtyวค่อย|และหลังจากนั้นก็ค่อยyukyukแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อย|และก็หลังจyuาkuกนั้นจึงค่อยyuilๆเจริญวัยพร้อมทั้งสีสันที่แต่งแต้มขึ้นมา เมื่อykแก่ขึ้นก็yluilพร้อมที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีเข้มจนuykukyukyกระทั่งไlio;ioด้โรยราลงไป io;ioมั่นใจว่าต้นพุดตาyukนนี้ไio;ด้มีการนำเข้ามาปลูกในเมืองไทยใyukkนช่ukyวงยุukyuครัตนโกสินทร์ kซึ่งเป็นตอนkค้าขyukyuายกับคนจีน โดยจัดเป็นพรรณไม้kyuyukyukพุ่rthrtมที่มีความสู;dfงโดยประมาoiณ 5 oiเ;มตร ต้นบุก รวมkyukyuทั้งกิ่kงมีขนสีเทา ต้tyjyukนพุดตานชอบอยู่yukที่โล่งแจ้ง ชอบแดดจัดๆ{ไม่ชอบt5kyku|เกลียด|เกลียดชัง|รังเกียจyukyuที่มีน้ำขังหรือที่แฉะ เติบftgliuilโตก้าวหน้lาในที่ดอoio;น มีดิyukuiluiluiนร่วนซุย เพาะพันธุ์ด้วยkyyukyukyukrfyukแนวทางตอนกิ่งและและก็ยาวluiโดยประมาณ 10-22 เซนติเมตรบพุดjtyjyตานดอกพุดตาน มีดอกซ้อนใหญ่งดงาม มีดอกตามซอกใบและก็ปลายกิ่ง เมื่อดอกบานช่วงแรกบุก จะเป็นสีเขียว แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูรวมทั้งสีแดงiultjytjyuil มีริ้วuiเสริมแต่uilงอยู่ 7-10 uilอันiulมีuilกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีขน ที่กลีบมีทั้yuงยังแบบชั้นเดี่jtrยวแล้วก็yukรวมทั้งแบบซ้อนกัน 2 ชั้jtyน กลีบดอกไม้จะเปลี่ยนสีไปตามuiอุณหภูมิขอluiงuiวัuiliulน โดยในเช้าตรู่จะเป็นสีขาว พอkyukกลางวันจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู แลjtyjtyyะก็ตอนเย็นilจะเปลี่ยนเป็น ดอกพุดตานสามารiulถออกดอกได้ตลอดluilปี บุก ในดอกพุดตานจะมีilสารฟลาyuวนอยด์ ไกลโyukคไiuluiliซด์(Flavonoid glycosides) ขึ้นรถประเภuiliulทนี้จะมีuilจำนวนเปลี่ยนไปตuilามสีของดอกเมื่อดอกบาน โดยสีแluiดงจะมีสารuilแอนโทไซยานิน (Anthocyauilnin) ในตอนที่ดอกมีสีแดงเข้luiม โดยจะมีจำนวนเป็น 3 เท่าของขณะที่ดอกยังเป็นสีชมพูรูปพุดตานดอilกพุดตานผลพุดตาน รูปแบบขอyuliuงผลเป็นuilทรงกลม ขนาดรluาวๆ 2iul เซนติเมตร เมื่อผลแก่จะแตกออกเป็น 5 แฉulก ในผลมีเม็บุก[/url]  ลัiulกษณะซึ่งคล้ายรูปไต มีขนuiยาวผลพุดตานโดยส่วนที่ประยุกต์uiluiใช้เป็นยาสมุนไพรดังเช่นว่า ใบ (ใบliuสดหรือใบตากแห้ง), ดอก (เก็บดอกได้ตอนเริ่มบานเต็มกำลัง), ราก (ใช้สดหรือตาliulกแห้งก็ได้ โดยสามารถเก็บได้ตลอด)l
หน้า: [1] 2 3 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย