โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 21 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 30, 2018, 09:37:31 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกคืออะไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานัปการ รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ อย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  จนกระทั่งในขณะนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคทางใจเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของสโมสรจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของพัฒนาการเด็กต้นแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะส่วนตัว  เป็นโรคที่มีต้นเหตุที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของความก้าวหน้าหลายด้านหมายถึงกรุ๊ปอาการความผิดปกติ 3 ด้านหลักเป็น

  • ภาษาแล้วก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติรวมทั้งความพอใจแบบเจาะจงซ้ำเดิมซึ่งชอบเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำเป็นประจำแล้วก็การเคลื่อนไหว ซึ่งอาการกลุ่มนี้กำเนิดในช่วงต้นของชีวิต มักเริ่มมีอาการก่อนอายุ 3 ปี

คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งแปลว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังคนเดียวในโลกของตน เปรียบเหมือนมีกำแพงใส หรือกระจก กันบุคคลเหล่านี้ออกมาจากสังคมรอบกาย
ประวัติความเป็นมา ปี พุทธศักราช2486 มีการรายงานคนไข้เป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีอาการแปลกๆได้แก่ กล่าวเลียนเสียง กล่าวช้า สื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆรังเกียจการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจผู้อื่น เล่นไม่เป็น แล้วก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กเหล่านี้ต่างจากเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย นำเสนอถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมตรากตรำ หมกมุ่นอยู่กับวิธีการทำอะไรซ้ำๆแปลกๆแต่กลับพูดเก่งมากมาย และก็ดูเหมือนจะเฉลียวฉลาดด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการแบบนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ ละม้ายกับของแคนเนอร์มากมาย นักค้นคว้ารุ่นลูกจึงสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ว่าในรายละเอียดที่แตกต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันเป็น“Autism Spectrum Disorder”
                จากการศึกษาเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกราว 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นรายงานในช่วงหลังเจออัตราความชุกเพิ่มมากขึ้นในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากยิ่งขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งส่วนใดมาจากความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน รวมทั้งปริมาณคนเจ็บที่อาจมีเยอะขึ้น โรคออทิสติกพบในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีอาการน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิงลดลงในกลุ่มที่มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
ต้นเหตุของโรคออทิสติก  มีความบากบั่นในการศึกษาเรียนรู้ถึงต้นเหตุของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้สาเหตุของความผิดปกติที่แจ่มชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานส่งเสริมกระจ่างว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากการทำงานของสมองที่แตกต่างจากปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสภาพแวดล้อม
            ในสมัยก่อนเคยเชื่อว่าออทิสติก มีต้นเหตุมาจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุเป้าหมายในเรื่องงาน จนกระทั่งความเกี่ยวพันระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบว่า เป็นพ่อแม่ตู้แช่เย็น) แต่ว่าจากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้กระจ่างแจ้งว่า แบบการเลี้ยงดูไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ถ้าหากเลี้ยงอย่างเหมาะสมก็สามารถที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาดียิ่งขึ้นได้มาก
           แต่ในขณะนี้นักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุด้านพันธุกรรมสูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง เป็นต้นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และ 16p ฯลฯ รวมทั้งจากการเรียนในแฝด พบว่าแฝดเสมือน ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นยิ่งกว่าฝาแฝดไม่เหมือนอย่างแจ่มแจ้ง
                รวมทั้งการเรียนรู้ทางด้านกายส่วนและสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งทางรูปรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ เจอความไม่ดีเหมือนปกติหลายอย่างในผู้ป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบรูปแบบที่เฉพาะ ในทางกายส่วนพบว่าสมองของคนป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป แล้วก็บางส่วนของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานเจอความไม่ปกติของเนื้อสมอง เป็นต้นว่า brain stem, cerebellum, limbic system แล้วก็ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                นอกจากนี้การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในคนเจ็บออทิสติก เจอความผิดแปลกจำนวนร้อยละ 10-83 เป็นความไม่ดีเหมือนปกติของคลื่นกระแสไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจง  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปเป็น พบร้อยละ 5-38 นอกเหนือจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ  serotonin ที่ค้นพบว่าสูงมากขึ้นในผู้ป่วยบางราย แต่ว่าก็ยังมิได้ผลสรุปที่แจ้งชัดถึงความสัมพันธ์ของความผิดแปลกพวกนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในตอนนี้สรุปได้ว่า มูลเหตุส่วนใหญ่ของออทิสติกมีเหตุที่เกิดจากกรรมพันธุ์แบบหลายปัจจัย (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวพันหลายตำแหน่งแล้วก็มีภูเขาไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ
อาการโรคออทิสติก การที่จะทราบดีว่าเด็กคนใดกันเป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะพิจารณาได้จากพฤติกรรมในวัยเด็ก    ซึ่งสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       บิดามารดาบางทีอาจจะมองเห็นตั้งแต่ความเกี่ยวข้องด้านสังคมกับคนอื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีการกระทำที่ทำอะไรซ้ำๆ    ความประพฤติจะเริ่มแสดงแจ่มชัดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเด็กอายุราวๆ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา      ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมสังเกตได้จากการที่เด็กจะไม่มองตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเหมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับใครกันแน่  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน เช่น

  • ความผิดพลาดสำหรับการมีความสัมพันธ์ด้านสังคม (impairment in social interaction) ความบกพร่องสำหรับการมีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความรุนแรงที่ต่างๆนาๆ แม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความผูกพันโดยพยายามที่จะอยู่ใกล้ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับเด็กทั่วๆไปคือ การขาดความรู้สึกและความสนใจร่วมกับคนอื่น  (attention-sharing behaviours) ไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง เป็นต้น

หากแม้เด็กออทิสติกที่มีระดับสติปัญญาปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม เป็นต้นว่า ไม่ทราบกระบวนการเริ่มหรือจบทบเสวนา บิดามารดาบางคนบางทีอาจมองเห็นความแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก รวมทั้งเมื่อเด็กไปสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่ซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น กล่าวคือ เด็กจะไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าคนอื่นกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับสหายได้ยาก มักถูกเด็กอื่นมองว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก

  • ความผิดพลาดสำหรับการสื่อสาร (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนใหญ่มีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ดูแลพาเด็กมาพบหมอ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในลักษณะของการท่องบ่อยๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำด้านหลังประโยค ใช้คำสรรพนามผิดจำต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะดนตรีการพูดที่ไม่ดีเหมือนปกติ

เด็กออทิสติดบางคนเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในขั้นแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราเชาวน์ปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีความก้าวหน้าทางภาษาที่ค่อนข้างดี และก็สามารถใช้ประโยคสำหรับเพื่อการติดต่อสื่อสารได้เมื่ออายุโดยประมาณ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความผิดพลาดด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการพูดคุยกันโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวนเวียน บอกเฉพาะในเรื่องที่ตนสนใจ และก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ

  • การกระทำแล้วก็ความพอใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมเพียงไม่กี่จำพวก (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติซ้ำๆเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัด จึงช่วยสำหรับในการวินิจฉัยโรคได้ดิบได้ดี การกระทำต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้บางทีอาจเป็นความประพฤติปฏิบัติทางร่างกายแล้วก็การเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพอใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่ชนิด เป็นต้นว่า การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก และเมื่อมีความระทึกใจหรือมีภาวการณ์บีบคั้น การเคลื่อนไหวซ้ำๆพบได้มากได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางบุคคลพึงพอใจในรายละเอียดนิดๆหน่อยๆที่ผู้อื่นมองข้าม

เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดจำเขี่ย โดยสิ่งที่พึงพอใจนั้นบางทีอาจเกิดเรื่องที่เด็กทั่วๆไปพึงพอใจ แต่ว่าเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับประเด็นนั้นเป็นอย่างมาก อย่างเช่น จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ และก็พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอยู่เสมอ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พึงพอใจบางทีอาจเป็นความทราบด้านวิชาการบางสาขา ได้แก่ คณิต คอมพิวเตอร์ และวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในโรงเรียน จึงช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในสถานที่เรียนเจริญขึ้น
ยิ่งไปกว่านี้เด็กออทิสติกบางครั้งก็อาจจะดื้อมากและมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนถึงบางเวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กดื้อรั้นสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลักษณะของออทิสติกไม่ชัดเจน ในเด็กที่มีความเจริญช้าอย่างมากอาจเจอความประพฤติรังควานตัวเอง ดังเช่นว่า โขกหัวหรือกัดตัวเอง เป็นต้น
ในด้านเชาวน์ เด็กออทิสติกบางบุคคลมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม high functioning อาจสามารถจำตัวหนังสือและก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
วิธีการรักษาโรคออทิสติก ในการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือเปล่า  ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากการกระทำ
                โดยเกณฑ์การวิเคราะห์โรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ DSM-III (พ.ศ. 2523) และได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในปัจจุบันใช้มาตรฐานการวินิจฉัยตาม DSM-IV (พุทธศักราช 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายถึงความไม่ปกติในด้านวิวัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 จำพวก ดังเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และpervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในขณะนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกลุ่มโรคที่มีความหลากหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และมีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความบกพร่องน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะดูอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความเจริญไหม ซึ่งลักษณะของเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ รวมทั้งมีลักษณะ จากข้อ (2) และข้อ (3) ขั้นต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก 70% มีภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วยเว้นเสียแต่ โรค Asperger’s disorder จะหรูหราปฏิภาณปกติ
  • ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก ได้โอกาสชักสูงยิ่งกว่าประชากรทั่วไป และพบว่าการชักชมรมกับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกรุ๊ปที่มี IQ ต่ำจะพบอาการชัก แม้กระนั้นเจออาการชักในกรุ๊ปมี IQ ปกติเพียงแค่ 5% ส่วนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่ได้โอกาสชักเยอะที่สุดคือ 10 -14 ปี
  • ความประพฤติปฏิบัติกระด้างรวมทั้งความประพฤติรังควานตัวเอง พบได้ทั่วไป มีเหตุมาจากการไม่สามารถติดต่อสื่อสารความอยากได้ได้ และงานกิจวัตรที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่อาจจะทำเป็นตามปกติ พบปัญหานี้บ่อยขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนพฤติกรรมรังแกตัวเองพบมากในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • การกระทำแก่นแก้ว/อยู่ไม่นิ่ง/คึกคะนอง/ขาดสมาธิ พบได้บ่อย ก่อให้เกิดผลเสียต่อปัญ หาการเรียน แล้วก็การทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาด้านการนอน พบปัญหาด้านการนอนได้หลายครั้งในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยเฉพาะปัญหานอนยาก นอนน้อย และนอนไม่ตรงเวลา
  • ปัญหาเกี่ยวกับการรับประทาน รับประทานยาก/เลือกรับประทาน หรือกินอาหารเพียงแต่บางจำพวก หรือรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่ของกิน
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรสิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวโยงกับความเปลี่ยนไปจากปกติทางพันธุกรรม นับว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรซิสกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดก้อนเนื้อนิ่มๆผลิออกขึ้นมาที่อวัยวะรวมทั้งสมองของเด็ก แม้จะไม่มีต้นสายปลายเหตุแน่ชัดว่าเนื้องอกเกี่ยวโยงกับอาการออทิสติกยังไง แม้กระนั้นจากศูนย์ควบคุมรวมทั้งคุ้มครองป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) แถลงการณ์ว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรสิสสูง

การติดต่อขอโรคออทิสติก[/url] โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยทราบปัจจัยการเกิดโรคที่แจ่มกระจ่างแน่ๆแต่มีผลการศึกษาวิจัยจำนวนไม่น้อยบอกว่า เกี่ยวพันกับต้นสายปลายเหตุด้านพันธุกรรม รวมทั้งข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกกล่าวว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
กรรมวิธีดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยออทิสติก เนื่องจากว่าโรคออทิสติกพบได้บ่อยมากมายในเด็ก ดังนั้นจึงต้ออาศัยการดูแลและรักษาแบบบูรณ



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ