Advertisement
โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)โรคออทิสติกเป็นยังไง “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานาประการ และมีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ อย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) จนในปัจจุบันจึงมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความแตกต่างจากปกติของความก้าวหน้าเด็กต้นแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างจากปกติของสมอง ทำให้มีความบกพร่องของพัฒนาการหลายด้านเป็นกลุ่มอาการความเปลี่ยนไปจากปกติ 3 ด้านหลักเป็น
- ภาษารวมทั้งการสื่อความหมาย
- การผลิตความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล
- พฤติกรรมแล้วก็ความพอใจแบบจำเพาะซ้ำเดิมซึ่งชอบเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำทุกๆวันและก็การเคลื่อนไหว ซึ่งอาการกลุ่มนี้เกิดในช่วงต้นของชีวิต มักเริ่มมีลักษณะอาการก่อนอายุ 3 ปี
คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งแสดงว่า Self คือ แยกตัวอยู่คนเดียวในโลกของตน เปรียบได้เสมือนดั่งมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กั้นบุคคลกลุ่มนี้ออกจากสังคมรอบกาย
ประวัติความเป็นมา ปี พุทธศักราช2486 มีการรายงานคนป่วยเป็นครั้งแรก โดยแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐฯ รายงานคนเจ็บเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะแปลกๆยกตัวอย่างเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อสื่อสารไม่เข้าใจ ทำอีกครั้งๆเกลียดชังการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่นๆ เล่นไม่เป็น รวมทั้งได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้ต่างจากเด็กที่บกพร่องทางปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พุทธศักราช2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย เล่าถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับแนวทางการทำอะไรซ้ำๆประหลาดๆแต่กลับพูดเก่งมากมาย และดูเหมือนจะเฉลียวฉลาดด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะแบบนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing เอามาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายกับของแคนเนอร์มาก นักค้นคว้ารุ่นลูกจึงสรุปว่า แพทย์ 2 คนนี้กล่าวถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในรายละเอียดที่แตกต่าง ซึ่งในขณะนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder”
จากการเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกโดยประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นแถลงการณ์ในช่วงหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากขึ้นเรื่อยๆนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับออทิสติกที่มากเพิ่มขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวิเคราะห์ที่ต่างกัน รวมทั้งจำนวนคนป่วยที่อาจมีเพิ่มมากขึ้น โรคออทิสติกเจอในผู้ชายมากกว่าเพศหญิงอัตราส่วนราว 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกรุ๊ปเด็กที่มีลักษณะน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิงลดลงในกรุ๊ปที่มีสภาวะปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก มีความมานะบากบั่นในการศึกษาวิจัยถึงต้นเหตุของออทิสติก แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของความไม่ปกติที่เด่นชัดได้ ในตอนนี้มีหลักฐานส่งเสริมชัดเจนว่าเป็นผลมาจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ มากยิ่งกว่าเป็นผลจากสภาพแวดล้อม
ในอดีตเคยเชื่อว่าออทิสติก มีสาเหตุจากการอุปการะในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุเป้าหมายในเรื่องงาน จนกระทั่งความเกี่ยวเนื่องระหว่างบิดามารดากับลูกมีความเหินห่างเย็นชา ซึ่งมีการเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้แช่เย็น) แม้กระนั้นจากหลักฐานข้อมูลในขณะนี้ยืนยันได้กระจ่างแจ้งว่า รูปแบบการเลี้ยงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แม้กระนั้นถ้าอุปการะอย่างเหมาะควรก็จะช่วยให้เด็กปรับปรุงได้มาก
แต่ในปัจจุบันนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุด้านพันธุกรรมสูงมาก มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ดังเช่น ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q รวมทั้ง 16p ฯลฯ และก็จากการเรียนในแฝด พบว่าแฝดราวกับ ซึ่งมีรหัสกรรมพันธุ์เช่นเดียวกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงยิ่งกว่าแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน
แล้วก็การเรียนรู้ทางด้านกายส่วนและสารสื่อประสาทในสมองของคนไข้ออทิสติก จากทั้งยังทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ เจอความแตกต่างจากปกติหลายอย่างในผู้เจ็บป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบต้นแบบที่จำเพาะ ในทางกายตอนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป รวมทั้งเล็กน้อยของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความผิดแปลกของเนื้อสมอง ยกตัวอย่างเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
นอกเหนือจากนี้การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้เจ็บป่วยออทิสติก เจอความไม่ดีเหมือนปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความไม่ดีเหมือนปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะ (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นมากยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปคือ เจอปริมาณร้อยละ 5-38 นอกเหนือจากนั้นยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ serotonin ที่พบว่าสูงขึ้นในคนป่วยบางราย แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงความเชื่อมโยงของความแตกต่างจากปกติกลุ่มนี้กับการเกิดออทิสติก
ในทุกวันนี้สรุปได้ว่า ปัจจัยจำนวนมากของออทิสติกมีเหตุที่เกิดจากกรรมพันธุ์แบบหลายปัจจัย (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวข้องหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูมิไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ
อาการของโรคออทิสติก การที่จะรู้ว่าเด็กคนใดเป็นหรือไม่เป็นออทิสติกนั้น เริ่มแรกจะดูได้จากพฤติกรรมในวัยเด็ก ซึ่งสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก บิดามารดาบางทีอาจจะสังเกตเห็นตั้งแต่ปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับคนอื่นๆ ด้านการสื่อความหมาย มีความประพฤติที่ทำอะไรซ้ำๆ การกระทำจะเริ่มแสดงกระจ่างแจ้งเยอะขึ้นเรื่อยๆเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30 เดือน โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความล่าช้าด้านการพูดและก็การใช้ภาษา ด้านความสัมพันธ์กับสังคมพิจารณาได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางแล้วก็ท่าทางราวกับไม่สนใจ จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับคนใด และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม สามารถแยกเป็นด้าน ยกตัวอย่างเช่น
- ความผิดพลาดสำหรับเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ด้านสังคม (impairment in social interaction) ความบกพร่องสำหรับการมีความเกี่ยวข้องด้านสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความร้ายแรงที่นาๆประการ ถึงแม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความสัมพันธ์โดยมานะที่จะอยู่ใกล้ผู้เลี้ยงดู แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปเป็น การขาดความรู้สึกและความสนใจร่วมกับคนอื่น (attention-sharing behaviours) ไม่อาจจะเข้าใจหรือรับรู้ว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร เป็นต้น
ถึงแม้เด็กออทิสติกที่หรูหราสติปัญญาปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ดังเช่นว่า ไม่เคยทราบแนวทางการเริ่มหรือจบทบพูดคุย พ่อแม่บางบุคคลบางทีอาจสังเกตเห็นความไม่ปกติในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก รวมทั้งเมื่อเด็กเข้าสู่วัยศึกษา อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่ซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรับรู้ว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรเข้ากับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก
- ความบกพร่องสำหรับเพื่อการติดต่อสื่อสาร (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนมากมีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ปกครองพาเด็กมาพบแพทย์ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในลักษณะของการท่องจำบ่อยๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำท้ายประโยค ใช้คำสรรพนามไม่ถูกจำต้องพูดจาวกไปวนมาอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะดนตรีการพูดที่เปลี่ยนไปจากปกติ
เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการบอกทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่มีระดับปัญญาปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีวิวัฒนาการทางภาษาที่ออกจะดี และก็สามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราวๆ 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความผิดพลาดด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุยโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวกไปวนมา พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ และมีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ
- ความประพฤติปฏิบัติและก็ความสนใจแบบจำเพาะซ้ำเดิมเพียงแค่ไม่กี่ประเภท (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติบ่อยๆเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัด จึงช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรคเจริญ พฤติกรรมต่างๆเหมือนอย่างที่ได้กล่าวมาเหล่านี้บางทีอาจเป็นพฤติกรรมทางร่างกายรวมทั้งการเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพึงพอใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่ประเภท อาทิเช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกหัว หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก รวมทั้งเมื่อมีความระทึกใจหรือมีสภาวะบีบคั้น การเคลื่อนไหวซ้ำๆพบบ่อยได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางบุคคลพอใจในรายละเอียดนิดๆหน่อยๆที่คนอื่นละเลย
เด็กออทิสติกแบบ high functioning ที่เป็นเด็กโตมีความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัด โดยสิ่งที่พอใจนั้นอาจเป็นเรื่องที่เด็กทั่วๆไปพึงพอใจ แต่เด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับเรื่องนั้นอย่างยิ่ง เช่น จดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ รวมทั้งสนทนาเกี่ยวกับประเด็นนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่สนใจอาจเป็นความรู้ทางวิชาการบางสาขา เป็นต้นว่า เลขคณิต คอมพิวเตอร์ แล้วก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้พวกนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในโรงเรียน ก็เลยช่วยทำให้เด็กออทิสติกร่วมสังคมในโรงเรียนเจริญขึ้น
ยิ่งไปกว่านี้เด็กออทิสติกบางครั้งอาจจะแก่นแก้วมากมายรวมทั้งมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งบางโอกาสได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเด็กดื้อสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาการของออทิสติกไม่ชัดเจน ในเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าเป็นอย่างมากอาจเจอพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง อย่างเช่น โขกหัวหรือกัดตัวเอง ฯลฯ
ในด้านสติปัญญา เด็กออทิสติกบางบุคคลมีความรู้พิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยยิ่งไปกว่านั้นกรุ๊ป high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวเขียนและนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
แนวทางการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกไหม ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากความประพฤติ
โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแม้กระนั้น DSM-III (พุทธศักราช 2523) และได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พ.ศ. 2530) ในขณะนี้ใช้กฏเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายความว่าความเปลี่ยนไปจากปกติในด้านพัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 ชนิด เป็นต้นว่า autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และpervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกลุ่มโรคที่มีความมากมายหลากหลายของลักษณะทางสถานพยาบาล (autistic spectrum disorder ASD) รวมทั้งมีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความบกพร่องน้อยกว่า high-functioning autism
โดยหมอจะดูอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความเจริญหรือเปล่า ซึ่งอาการของเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าจะมีลักษณะดังนี้โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism) สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตความประพฤติปฏิบัติ ซึ่ง มีลักษณะครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และมีลักษณะอาการ จากข้อ (2) และก็ข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังนี้
- ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
- ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
- ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
- ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
- ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
- ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
- มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
- ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
- พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
- ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
- มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
- มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
- มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
- มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
- สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
- พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
- ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
- การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
- ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่- การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
- การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
- การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
- การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย
หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
ภาวะแทรกซ้อนขอโรคออทิสติก[/url][/size][/b]
- ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่มโรคออทิสติก 70% มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนร่วมด้วยยกเว้น โรค Asperger’s disorder จะมีระดับความเฉลียวฉลาดปกติ
- ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก ได้โอกาสชักสูงขึ้นมากยิ่งกว่าสามัญชนทั่วๆไป และก็พบว่าการชักสัมพันธ์กับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกรุ๊ปที่มี IQ ต่ำจะพบอาการชัก แต่ว่าพบอาการชักในกรุ๊ปมี IQ ธรรมดาเพียงแค่ 5% ส่วนใหญ่อาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่ได้โอกาสชักมากที่สุดคือ 10 -14 ปี
- ความประพฤติปฏิบัตินิสัยไม่ดีรวมทั้งการกระทำรังแกตนเอง พบมาก เป็นผลมาจากการไม่สามารถที่จะติดต่อความอยากได้ รวมทั้งกิจวัตรที่ทำทุกๆวันที่ปฏิบัติเสมอๆไม่สามารถทำได้ตามปกติ เจอปัญหานี้บ่อยมากขึ้นในช่วงวัยรุ่น ส่วนพฤติกรรมรังแกตัวเองมักพบในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
- พฤติกรรมดื้อ/อยู่ไม่นิ่ง/คึกคะนอง/ขาดสมาธิ พบได้บ่อย ก่อให้เกิดผลเสียต่อปัญ หาการเรียน แล้วก็กระบวนการทำกิจกรรมอื่นๆ
- ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอน พบปัญหาการนอนได้บ่อยในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหานอนยาก นอนน้อย รวมทั้งนอนไม่เป็นเวลา
- ปัญหาการรับประทาน รับประทานยาก/เลือกกิน หรือรับประทานอาหารเพียงบางประเภท หรือรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่ของกิน
- เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรซิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวโยงกับความไม่ปกติทางพันธุกรรม ถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรสิสทำให้เกิดก้อนเนื้อนิ่มๆผลิออกขึ้นมาที่อวัยวะรวมทั้งสมองของเด็ก แม้ว่าจะไม่มีสาเหตุกระจ่างแจ้งว่าเนื้องอกเกี่ยวเนื่องกับอาการออทิสติกยังไง แต่ว่าจากศูนย์ควบคุมรวมทั้งปกป้องโรค (Centers for Disease Control and Prevention) แถลงการณ์ว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรซิสสูง
การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่เด่นชัดแน่ๆแต่มีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหลายชิ้นระบุว่า เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ และก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่ง
โรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
กระบวนการดูแลช่วยเหลือคนป่วยออทิสติก เ