Advertisement
นี่คือสองทีมที่ครองแชมป์มากที่สุดในแผ่นดินอังกฤษ กับจำนวนถ้วยแชมป์ลีกรวมกัน 38 สมัย และเคยถูกขนานนามว่าเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ในนามของเกม Red War หรือในชื่อ “แดงเดือด” ที่คนไทยคุ้นเคยกันมาเป็นเวลาร่วม 30 ปี
ภาพความทรงจำของแฟนบอลคือการห้ำหั่นกันแบบไม่มีใครยอมใครในสนาม ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่แคร์ว่าอันดับของใครจะเป็นอย่างไร ฟอร์มตอนนั้นจะเป็นแบบไหน ถ้าต้องเจอกันเมื่อไหร่ก็ใส่กันยับเมื่อนั้น
นำ 3-0 เหรอ? ไล่ตาม 3-3 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก็มีมาแล้ว
แต่ดูเหมือนการพบกันในระยะหลังของ “ผีแดง” และ “หงส์แดง” จะไม่ได้เดือดในแบบนั้นอีกแล้ว การพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นเกมที่จืดชืดและขาดเสน่ห์อย่างน่าใจหาย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลงานของทั้งสองทีมในเวลานี้เริ่มสวนทางกัน โดยต้องยอมรับว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เริ่มเข้าสู่ความตกต่ำอย่างเป็นทางการ ซึ่งความจริงก็เริ่มตั้งแต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
สวนทางกับลิเวอร์พูล ที่เริ่มตั้งหลักได้ แม้จะยังไม่สามารถพิชิตแชมป์ลีกได้แต่เวลานี้จากผลงานที่ปรากฏพอจะพูดได้ว่าพวกเขาคือทีม (หนึ่ง) ที่แกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกและในยุโรป
ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีการพยายามเปรียบเทียบทั้งสองทีม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในหรือนอกสนาม ซึ่งสามารถมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดทิศทางของสโมสรที่ลิเวอร์พูล เก่งเรื่องในสนามเพราะมีไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส คอยขีดเส้นกำกับดูแลให้ ตรงข้ามกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เอ็ด วูดเวิร์ด ถนัดในเรื่องของการหาเงินมากกว่าเรื่องของการหานักเตะและกำหนดทิศทาง
ขณะที่ในสนาม เยอร์เก้น คล็อปป์ คือสุดยอดกุนซือที่ช่วยพลิกชีวิตหงส์แดงที่เกือบเข้าสู่ยุคตกต่ำให้กลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง ตรงข้ามกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่นับตั้งแต่เฟอร์กี้วางมือพวกเขาเปลี่ยนผู้จัดการทีมมาแล้วหลายคน
ตั้งแต่ เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน ฮาล, โจเซ่ มูรินโญ่ มาจนถึงโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ยังไม่มีกุนซือคนไหนที่พาทีมกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก
อย่างไรก็ดีด้วยความที่เป็นเกม “แดงเดือด” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น 90 นาทีในสนาม
สำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด นี่คือเกมที่ “Perfect” เหมือนที่โซลชาร์ บอกไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วหลังพ่ายนิวคาสเซิลว่าในสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ เกมแดงเดือดกับลิเวอร์พูล นี่แหละคือโอกาสดีที่สุดที่พวกเขาจะได้พลิกชะตาของตัวเอง
ถึงจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนลำบากในการเจอกับลิเวอร์พูลในสถานการณ์นี้ แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะแมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสเต็มเปี่ยมที่จะเป็นผู้ชนะได้ และประวัติศาสตร์ก็สอนตลอดว่าต่อให้เป็นช่วงฟอร์มแย่ แต่การเล่นเกมแดงเดือดในโอลด์ แทรฟฟอร์ด พวกเขาทำได้ดีเสมอ
ครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูล บุกมายัดเยียดความปราชัยได้ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2014 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และหากนับการพบกันใน 27 ครั้งก่อนหน้านี้ในพรีเมียร์ลีกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด คู่ปรับอย่างหงส์แดงก็บุกมาคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น
ในเกมนี้โซลชาร์ ยังมีโอกาสจะได้ลูกทีมที่บาดเจ็บไปกลับมาหลายราย ไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์, อารอน วาน-บิสซากา สองฟูลแบ็กที่มีความสำคัญมาก รวมถึงอองโตนี มาร์กซิยาล กองหน้าตัวอันตรายที่หายหน้าไปหลายนัด
จะแย่หน่อยก็ตรงที่นักเตะที่สามารถช่วยพลิกเกมได้อย่าง ปอล ป็อกบา ยังกลับมาไม่ได้ และดาวิด เด เคอา เทพพิทักษ์ของทีมบาดเจ็บจากเกมทีมชาติ
สัญญาณที่ดีอีกประการคือการที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด กลับมาทำประตูได้อีกครั้งในเกมทีมชาติ และอาจจะคืนความมั่นใจได้บ้าง เพราะโดยปกติแล้วเขามักจะทำได้ดีในเกมแดงเดือดตามประสาแมนคูเนียนเลือดแท้ที่ “อิน” กับเกมนี้เป็นพิเศษ
เกมนี้โซลชาร์ ต้องการชนะสถานเดียวเพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการคืนชีพของทั้งทีมและตัวเขาเอง ดังนั้นเชื่อได้ว่าเราน่าจะได้เห็นนักเตะยูไนเต็ด สู้ไม่ถอยอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าพวกเขาพบจังหวะการเล่นของตัวเอง ไม่ใช่จะไม่มีโอกาสเป็นผู้ชนะ
[url=http://baanball88.com]บ้านบอ