เพลงชาติไทย อาเซียน

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เพลงชาติไทย อาเซียน  (อ่าน 128 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ittipan1989
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 25925


ดูรายละเอียด










« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2016, 11:28:28 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[url=http://www.uasean.com/showpic.php?url=http://www.uasean.com/images/blog//20130410113708.jpg" target="_blank]

เนื้อเพลงชาติไทย

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน

อยู่ดำรงค งไว้ได้ทั้งมวล

ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี

ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด

เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่

สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี

เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย.
 
เพลงชาติของไทยได้เปลี่ยนแปลงหลายครั้ง จนกว่าจะเป็นเพลงชาติที่ใช้กันในปัจจุบัน ครั้งแรกมีขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมา เป็นระบอบประชาธิปไตย (เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475) ได้เพียงสองสามวัน เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการและต่อมาได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ได้แต่งเพลงชาติขึ้นเพื่อปลุกใจให้คนไทยรักชาติ สมัครสมานสามัคคีตลอดจนเกิดเลื่อมใสในรัฐธรรมนูญ ทำนองร้อง ใช้ทำนองเพลงมหาชัย ส่วนบทร้องมีดังนี้
"สยามอยู่คู่ฟ้า อย่าสงสัย
เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ
ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ
ผ่านแห่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย
เราร่วมใจกันรักสมัครหนุน
วางธรรมนูญสถาปนาพรรษาใหม่
ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย
ให้คงไทยตราบสิ้นดินฟ้า"


กติเพลงมหาชัยนั้นก่อนหน้านี้ นิยมใช้บรรเลงในการรับเสด็จเจ้านายชั้นสูงหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำนองต้อนรับ พวกคณะผู้ก่อการจึงไม่ค่อยพอใจ ต่อมาจึงได้ดำริจะให้มีเพลงชาติแบบสากลที่แต่งขึ้นเป็นพิเศษจริงๆ นายนาวาตรี หลวงนิเสศกลกิจ ร.น. ( กลาง โรจนเสนา) ได้ติดต่อขอให้พระเจนดุริยางค์ (ปีติ วาทยากร)ช่วยแต่งทำนองเพลงขึ้น เสร็จแล้วขอให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) แต่งคำร้องประกอบ สำเร็จออกเป็นเพลงชาติที่ได้ใช้ร้องกันทั่วไป เนื้อเพลงมีดังนี้
"แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา
ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย
บางสมัยศัตรูจู่มารบ
ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่
ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของชาติไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราชคือกระดูกที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสระเสรี
ใครยำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย
สถาปนาสยามให้เชิดชัยชโย"


เนื้อเพลงดังกล่าว แม้จะใช้ร้องกันโดยมาก แต่ทางราชการยังมิได้ประกาศรับรอง จนในราว พ.ศ. 2477 รัฐบาลจึงได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติอย่างจริงจังขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ต่อมาได้เป็น พระองค์เจ้า และทรงกรมในพระนาม พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) ทรงเป็นประธานกรรมการ อื่น ๆ มีพระเรี่ยมวิรัชพากย์ พระเจนดุริยางค์พระยาเสนาะดุริยางค์ พระเพลงไพเราะ หลวงประดิษฐ์ไพเรา หลวงประสานดุริยางค์ หลวงชำนาญนิติเกษตรจางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะกล่าวคือ พิจารณาทำนองเพลงชาติ ซึ่งผู้ชำนาญการดนตรีแต่งเสนอให้คัดเลือก รวมทั้งของพระเจนดุริยางค์ ที่แต่งไว้เดิมด้วย ผลการตัดสินของคณะกรรมการ มีแบบไทยและแบบสากลอย่างละเพลงคือ แบบไทยได้แก่เพลงของจางวางทั่ว พาทยโกศล ซึ่งแต่งขึ้นจากเพลงไทยเดิม ที่ชื่อว่าตระนิมิต ส่วนเพลงสากลได้แก่เพลงของพระเจนดุริยางค์ ที่แต่งไว้ก่อนแล้ว
ต่อมาคณะกรรมการมีความเห็นว่า เพลงชาติควรจะอยู่ในลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีสองเพลงอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์คลายลง จึงพิจารณากันใหม่ ในที่สุดจึงตกลงว่าให้มีแต่เพลงเดียวคือ แบบทำนองสากลของพระเจนดุริยางค์จากนั้นก็มีการประกวดบทร้องที่แต่งให้เข้า กับทำนองที่คณะกรรมการรับรองแล้ว ผลการพิจารณาคณะกรรมการตัดสินให้บทร้องที่ขุนวิจิตรมาตรา แต่งไว้เดิม กับบทของนายฉันท์ ขำวิไล เป็นบทร้องที่ได้รับรางวัล และในที่สุดเลือกบทร้องของขุนวิจิตรามาตรา เป็นบทร้องชนะเลิศ โดยประธานขอแก้ถ้อยคำบางแห่ง
บทร้องของนายฉันท์ ขำวิไล
"เหล่าเราทั้งหลายขอน้อยกายถวายชีวิต
รักษาสิทธิ์อิสระ ณ แดนสยาม
ที่พ่อแม่ สู้ยอดม้วยด้วยพยายาม
ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา
ถึงแม้ไทยไทยด้วยจนย่อยยับ
กลับสู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า
ควรแก่นามงามสุดอยุธยา
นั้นมิใช่ว่าจะขัดสนหมดคนดี
เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย
มิให้ใครเข้าเหยียบย่ำขยำขยี้
ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสระเสรี
เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย
จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น
ว่าไทยมั่นรักชาติไม่ขาดสาย
มีไมตรีดียิ่งทั้งชายทั้งหญิง
สยามมิวายผู้มุ่งหมายเชิดชัย ไชโย"

บทร้องของขุนวิจิตรามาตรา (ที่แก้ไขแล้ว)

"แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์บุราณลงมา
ร่วมรักษาสามัคคีทวีไทย
บางสมัยศัตรูจู่โจมตี
ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราษฎรคือเจดีย์ที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย
สถาปนาสยามให้เทอดไทย ไชโย"

บทร้อยเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราได้ประกาศเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477 โดยให้ร้องติดต่อกันได้เป็นสี่เที่ยวตามลำดับบทร้อง ทั่วไปมักร้องกันเพียงสองเที่ยว เพราะการร้องสี่เที่ยวออกจะยืดยาวมาก ที่จริงแม้ร้องสองเที่ยวก็ยืดยาวแล้ว ประกอบกับมีคนปรารภว่า ในบรรดาเพลงชาติของชาติต่างๆ มักมีข้อสังเกตตรงกันข้อหนึ่งคือ ชาติใหญ่ชาติสำคัญมักใช้เพลงสั้น ๆ แต่ชาติเล็ก ๆ น้อย ๆ มักใช้เพลงยาว ๆ จนชอบกล่าวในหมู่ผู้ร้องเพลงประจำชาติต่าง ๆ ว่า ชาติยิ่งเล็กเพลงยิ่งยาว ชาติยิ่งใหญ่เพลงยิ่งสั้น ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ.ท2478 ได้มีการตัดแต่งเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมีลงให้มีแบบสังเขปอีกแบบหนึ่ง สำหรับบรรเลงในบางโอกาส ดังคำประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2478ผู้ที่สนใจเพลงชาติของชาติต่าง ๆ จะรู้สึกว่าเพลงชาติแต่งในทำนองเดียวกันคือ ปลุกใจให้รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ช่วยกันพยุงชาติไว้ แม้ตัวตายก็ยอมอะไรทำนองนั้นสำหรับเนื้อความของเพลงชาติไทย มีผู้ตังข้อสังเกตว่าคลายคลึงกับเพลงชาติฝรั่งเศลที่ชื่อว่ามาร์เซเยส์อยู่ บ้างส่วนการแสดงความรู้สึกเป็นแบบไทยแท้ทีเดียว เพลงนี้จึงได้ฟังร้องกันอย่างแพร่หลายมาไม่น้อยกว่า 6 ปี แม้จะมีระเบียบการว่าด้วยการร้องแบบสังเขปประกาศเป็นทางการแล้วก็ดี แต่ก็ปรากฏว่า ประชาชนไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่สนใจ การร้องแบบสังเขปจึงได้ประกาศยกเลิกก่อนการเปลี่ยนแปลงจะตามมา
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงจนเกิดเป็นเพลงชาติใหม่นั้น นอกจากเนื้อร้องค่อนข้างยาวแล้ว บางแห่งพอร้องจริง ๆ เสียงมักจะเพี้ยนไม่ตรงตามคำที่ปรากฏ และประการสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" นั่นเองกรณีที่ว่าเนื้อร้องค่อนข้างยาวนั้น เพราะเราแต่งตามแบบไทย กล่าวคือ เพลงที่ร้องต้องร้องทวนซ้ำเป็นสองจบตามหลักดนตรีไทยที่ว่า "กลับต้น" กว่าจะร้องจบจึงต้องใช้สมาธิอย่างมากเรื่องเสียงเพี้ยนเวลาร้องนั้น มีคนบ่นกันมากว่า มีหลายแห่งไม่สามารถร้องให้ถูกกับเสียงอ่านจริง เพราะไม่ลงกับเสียงดนตรีตามทำนองประพันธ์ เช่น วรรคต้น เมื่อร้องจะฟังได้เป็นว่า
"แผ่นดินสยามนามประเทื้องว่าเมืองทอง" ในวรรคที่สามออกเสียงเป็น
"สืบเผ่าไทยดึกดำบั้นโบหร่านล้งมา" ฯลฯ
เรื่องเปลี่ยนชื่อประเทศนั้นปรากฏว่าใน พ.ศ. 2482 มีการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศจากคำ "สยาม" มาเป็น "ไทย" นับเป็นเหตุผลสำคัญในการแก้ไขบทร้องเพลงชาติการแก้ไขครั้งนี้มิใช่แก้คำว่า สยามเป็นไทยเท่านั้น แต่ต้องการให้เป็นที่ร้องจบได้เพียงเที่ยวเดียว และเป็นบทร้องที่ใจความถึงขนาดจริง ๆ ทางรัฐบาลจึงได้ประกาศประกวดขึ้นใหม่ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482ผลการประกวด ปรากฏผู้ชนะได้แก่ นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ส่งในนามของกองทัพบก สำนักงานนายกรัฐมนตรีได้ประกาศผลการประกวดในรัฐนิยม ฉบับที่ 6 ออกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2482 มีใจความสำคัญสรุปว่าทำนองเพลงชาติ ให้ใช้ทำนองเพลงของ พระเจนดุริยางค์ตามแบบที่มีอยู่ ณ กรมศิลปากรเนื้อร้องให้ใช้บทเพลงของกองทัพบกดังต่อไปนี้
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัย ชโย"


Tags : เพลงชาติไทย



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
Puttichai9876
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 25904


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 31, 2016, 07:34:17 am »

ขอบคุณสำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับ เพลงชาติไทย ครับ

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ