Advertisement
อุปสรรคใหญ่ๆเลยก็คงจะอยู่ที่วิธีการจ้างวานผู้รับเหมามา จัดการ ว่าเราจ้างเขาวิธีไหน? ผมจะลองยกตัวอย่างวิธีที่นิยมจ้างกันในปัจจุบัน ดังนี้
1. จ้างโดยการให้ผู้รับเหมาๆรวมหมด ทั้งค่าวัสดุและค่าเหนื่อย (โดยตกลงกันเรื่องแบบบ้านและการกำหนดสเปควัสดุทั้งหมดแล้ว) พูดง่ายๆว่าเขาเป็นคนดำเนินกิจการให้หมดจนบ้านเสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ได้ ผู้รับเหมาที่เหมาสร้างบ้านในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปบริษัท
รับสร้างบ้าน จะต้องมีเงินทุนพอสมควร โดยตกลงราคากันที่เท่าไหร่ก็เซ็นสัญญากันตามนั้น (ในรายละเอียดปลีกย่อยของสัญญาจะแบ่งจ่ายเป็นกี่งวดๆละเท่าไหร่ก็ว่ากันไป) ผู้จ้างก็จ่ายเงินไปตามที่ระบุในสัญญาจนครบ วิธีนี้เมื่อเซ็นสัญญาไปแล้วตัวเลขก็จะจบที่ตรงนั้น ส่วนในอนาคตตอนก่อสร้างหากค่าวัสดุขึ้นราคาหรือค่าแรงคนงานมีการปรับขึ้นก็เป็นปัญหาของผู้รับเหมาที่จะต้องหาวิธีดำเนินการแก้ไขเอง ซึ่งหากผู้รับเหมาเก่ง การตีราคาที่เล่างานตั้งแต่ตอนแรก คิดได้ละเอียดรอบคอบ มีการคิดราคาเผื่อไว้ ก็จะไม่ต้องมาประสบปัญหาการขาดทุนเมื่อค่าแรงหรือค่าวัสดุในท้องตลาดมีการปรับขึ้นในขณะที่เริ่มปฏิบัติการ
2. จ้างโดยการให้ผู้รับเหมาๆเฉพาะค่าตอบแทน วิธีการจ้างวานแบบนี้คุณจะเป็นผู้ซื้อวัตถุเองทั้งหมด ส่วน ผรม.ก็เป็นคนหาแรงงานและช่างฯพร้อมกับอุปกรณ์มาดำเนินงานให้คุณ แล้วเบิกค่าแรง ซึ่งวิธีการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการจ้าง ผรม.รายเล็กหรือรายย่อย ที่มีเงินทุนไม่มากพอที่จะรับเหมาหมดทั้งค่าวัสดุและค่าตอบแทน
วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะมีปัญหามากที่สุดในเรื่องของผู้รับเหมาทิ้งงาน และเป็นวิธีที่ทำให้งบประมาณมีการเพิ่มบานปลาย ออกไปเรื่อยๆ เพราะ…
2.1 ราคาวัสดุจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้งบสร้างบ้านบานปลาย เล่า ก่อนที่เราจะได้ทำการ
ก่อสร้างบ้านก็ได้ทำรายการถอดแบบและประมาณราคาไว้หมดแล้ว (ไม่ว่าจะจ้างเขาทำให้หรือทำเองก็แล้วแต่) เช่น เราถอดแบบออกมาได้ว่าต้องใช้ปูนฉาบ 100 ถุง ราคาณ.วันที่ทำรายการถุงละ 100 บาท ก็จะเท่ากับ 10,000 บาท (คือราคาที่ทำประมาณการไว้)
- แต่ในขณะก่อสร้างจริงปูนฉาบปรับราคาขึ้นถุงละ5บาท กลายเป็นถุงละ 105 บาท ค่าปูนฯ 100 ถุง ก็จะอยู่ที่ 10,500 บาท เห็นมั้ยครับว่างบเริ่มที่จะบานแล้ว และถ้าหากว่าวัตถุปรับขึ้นเกือบทั้งหมดล่ะ งบจะบานแค่ไหน? นี่แหละจึงเป็นที่มาของคำว่า”ประมาณราคา” เพราะมูลค่ามันผันแปรได้ตามอัตราค่าแรง,ค่าวัสดุ,หรือวิธีการจ้างผรม. จึงไม่มีทางที่ราคาปลูกสร้างบ้านจะตรงกับราคาที่ได้ประมาณการไว้ตั้งแต่แรก จึงมีการใช้คำว่า”ประมาณ”ยังไงครับ และถ้ายิ่งเลือกวิธีการจ้างฯแบบที่ 2 นี้โอกาสที่งบ
สร้างบ้านบานปลาย ก็มีมาก
- และการที่คุณเป็นผู้ซื้อวัสดุเองก็จะเหนื่อยหอบมากมายเลย(อีกนั่นแหละ) เดี๋ยวช่างก็จะมาบอกว่า.. พี่ปูนหมดแล้ว,พี่ตะปูหมด,พี่ลวดผูกเหล็กหมด พี่ๆๆ…สารพัด นั่นแหละคุมงบไม่ได้เลยทีนี้ ไม้ต้องดูงบแล้วซื้ออย่างเดียวช่างฯบอกขาดอะไรก็ซื้อ ใช้เงินไปเรื่อยๆจนกว่าบ้านจะเสร็จนั่นแหละ วิธีที่2นี้นอกจากจะคุมงบประมาณยากแล้วยังต้องเหนื่อยอีก ต้องมีเวลามาเฝ้าหรือมาคุมไม่เช่นนั้นวัสดุที่คุณเป็นผู้ซื้อก็จะถูกใช้อย่างทิ้งขว้าง เละเทะไม่มีการเก็บหรือใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เผลอๆเหล็กเส้นที่คุณซื้อมาครึ่งหนึ่งอาจถูกขนย้ายไปอยู่ที่ร้านรับซื้อเศษเหล็ก!!!
2.2 เรื่องค่าจ้างก็เป็นอีกวัตถุหนึ่งที่ทำให้งบบานปลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผรม.ที่รับเหมาเฉพาะค่าเหนื่อย ยิ่งเป็นการจ้างรายเล็กๆ หากเขาดูแลงานไม่ดีและเห็นท่าว่าจะเข้าเนื้อก็จะทิ้งงานหายไปดื้อๆ หากจะจ้างผรม.แบบประเภทที่ 2 นี้ ต้องรักษาวินัยการจ่ายเงินให้ดี การให้เบิกเงินล่วงหน้าหรือจ่ายล่วงหน้า หรือเบิกเงินก่อนเกินปริมาณงานที่ทำ หากเขาทิ้งงานไปเราจะแย่! พอจ้างเจ้าใหม่มาทำต่อจะเอางบส่วนที่เหลือจากเจ้าเก่ามาจ้างเขาก็ไม่เอาแล้วเพราะเหลือน้อย
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
สร้างบ้านสวยขอบคุณบทความจาก :
[url]http://999starthai.com/[/url]
Tags : บริษัทรับสร้างบ้านหรู,รับปรับปรุงบ้าน,รีโนเวทบ้าน