Advertisement
ฤทธิ์ทางเภสัชของมะขามเเขก [/b]
การ ศึกษาทางคลินิกใน เยียวยาท้องผูก การ วิจัยในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่มีอาการท้องผูก จำนวน 92 คน อายุระหว่าง 43 - 82 ปี โดยให้ผู้ป่วย 61 คน กินยาแคลเซียมเซนโนไซด์จากใบมะขามแขกที่ใช้เป็นยาระบาย ขนาดเม็ดละ 15 มิลลิกรัม 2 เม็ด ก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 และให้ รับประทานติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 หลังการผ่าตัด และคนไข้อีก 31 คน เป็นกลุ่มควบคุมไม่ได้รับยาระบายใดๆ พบว่าผู้ป่วยที่ อุปโภคยาแคลเซียมเซนโนไซด์ ถ่ายอุจจาระคล่องตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 หลัง บริโภคคิดเป็นร้อยละ 90 การถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 1.23 ครั้ง/คน ส่วนกลุ่มควบคุมมีเพียงร้อยละ 19 เท่านั้นที่ถ่ายอุจจาระคล่อง สัดส่วนของการถ่ายอุจจาระคล่องในผู้ป่วยที่ รับประทานแคลเซียมเซนโนไซด์มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ในใบและฝักมะขามแขก มีสารที่ชื่อ แอนทราควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ถ่ายท้องได้ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็น จำนวนมากรองรับ คุณสมบัติของมะขามแขก ดังนี้
ด้านสารสำคัญในการออกฤทธิ์เป็นยาถ่าย มีการ ค้นคว้าพบฤทธิ์เป็นยาถ่าย สารที่ออกฤทธิ์ คือ sennoside A และ B, aloe emodin, dianthrone glycoside ซึ่งเป็น anthraquinone glycoside สาร anthraquinone glycoside จะยังไม่มีฤทธิ์เพิ่มการขับถ่ายเมื่อผ่านลำไส้เล็ก เมื่อผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่ Sennoside A จึงถูก hydrolyze ได้ sennoside A-8-monoglucoside และถูก hydrolyzed โดย bata-glycosidase จากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ และอุจจาระได้แก่ Bacillus, E. Coli ได้ sennidin A ส่วน sennoside B ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกระบวนการเช่นเดียวกันได้ sennidin B ทั้ง sennidin A & B จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ และถูกเปลี่ยนต่อไปเป็น rheinanthrone ซึ่งออกฤทธิ์ต่อลำไส้ส่วน colon โดยตรง สารสำคัญนี้จะกระตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทซึ่งอยู่ใต้ชั้น Submucosa ทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้
การ ค้นคว้าทางคลินิกในฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ผลของมะขามแขกต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ด้วยวิธี Magnetic Resonance Imaging (MRI) ในอาสาสมัครชายหญิง 15 คน ทั้งก่อนและหลัง กินชามะขามแขก พบว่าชามะขามแขกมีผลทำให้ลำไส้ใหญ่มีการเคลื่อนไหวมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้ กินชา
มีผู้พบฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ใหญ่ และมี วิจัยในอาสาสมัคร 12 คน โดยให้ กินชาชงมะขามแขก เปรียบเทียบกับการ รับประทานยา erythromycin จากนั้นทำการถ่ายภาพลำไส้ใหญ่ด้วยวิธี Magnetic Resonance Imaging (MRI) ก่อนและหลังได้รับชาชงหรือยา พบว่ากลุ่มที่ได้รับชาชงมะขามแขกจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วน colon มีการเคลื่อนไหวมากกว่ากลุ่มที่ได้รับ erythromycin อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
มีการทดสอบทางคลีนิคเพิ่มเติมโดยให้มารดาที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรกิน มะขามแขก พบว่าใช้ได้ผลดี และไม่มีผลกระทบไปถึงทารก
การศึกษาทางพิษวิทยาของมะขามเเขก เมื่อป้อนผงจากฝักมะขามแขกแก่หนูแรท ขนาดวันละ 25, 100 และ 300 มิลลิกรัม/กก. ติดต่อกัน 104 สัปดาห์ (Mitchell et al., 2006) และขนาด 100, 300, 750 และ 1500 มิลลิกรัม/กก. ติดต่อกัน 13 สัปดาห์ พบว่าผงจากฝักมะขามแขกขนาด 300 มก./กก. ขึ้นไป มีผลลดน้ำหนักตัว เพิ่มอัตราการดื่ม น้ำ และมีการเปลี่ยนแปลงของค่าอิเล็กโทรไลต์ในเลือดและปัสสาวะ เมื่อผ่าชันสูตรอวัยวะภายใน พบว่าไตมีสีซีด ปริมาณเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหารส่วนหน้าเพิ่มขึ้น ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้ รวมทั้งค่าชีวเคมีในเลือดและปัสสาวะ จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากหยุดให้มะขามแขกไประยะหนึ่ง และไม่พบลักษณะ การเกิดเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลองที่ได้รับผงมะขามแขก
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน สารสกัด 50% เอทานอลจากส่วนเหนือดิน เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรมีค่า LD50 เท่ากับ 681 มก./กิโลกรัมนน.ตัว สารสกัด 95% เอทานอล ส่วนเหนือดินเมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรมีค่า LD50 เท่ากับ 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัมนน.ตัว ไม่ปรากฏพิษ
จากการสำรวจมารดาที่คลอดทารกพิการแต่กำเนิดจำนวน 22,843 คน มารดาที่คลอดทารกปกติจำนวน 38,151 คน และมารดาที่คลอดทารกที่มีอาการ Down syndrome จำนวน 834 คน โดยทั้ง 3 กลุ่มไม่มีความแตกต่างกันในการใช้มะขามแขก โดยใช้ในขนาด 10 - 30 มิลลิกรัม/วัน ในช่วงอายุครรภ์ 2 - 3 เดือน ในกลุ่มมารดาที่คลอดทารกปกติพบว่ามารดาที่ใช้มะขามแขกจะมีอายุครรภ์ก่อนคลอดยาวกว่าปกติประมาณ 0.2 สัปดาห์ และมีอัตราการคลอดก่อนกำหนดต่ำกว่ามารดาที่ไม่ได้ใช้มะขามแขก (ร้อยละ 6.6% ต่อร้อยละ 9.2) จึงสรุปได้ว่าการใช้มะขามแขกเพื่อเยียวยาอาการท้องผูกระหว่างการตั้งครรภ์ไม่มีผลทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง - การใช้มะขามแขกเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการทำลายระบบประสาทที่ใช้ควบคุมการบีบตัวของลำไส้
- การใช้มะขามแขก อาจทำให้กระดูกตามข้อมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ
- มะขามแขกเป็นยาระบายลักษณะที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเกร็งในช่องท้อง ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ และในผู้หญิงมีครรภ์ หรือมีประจำเดือน
- การใช้มะขามแขกร่วมกับยาต้านฮีสตามีนซึ่งเป็นยาแก้แพ้ อาจทำให้ฤทธิ์การเป็นยาระบายลดลง
- การใช้มะขามแขกในทางที่ผิด อาจทำให้เป็นพิษต่อตับได้
- การใช้มะขามแขกเป็นยาระบาย ให้กินในช่วงก่อนนอน โดยยาจะออกฤทธิ์ประมาณ 8-10 ชั่วโมงหลังจากอุปโภค โดยตัวยาจะทำให้อุจจาระมีมวลมากขึ้น ทำให้อุจจาระมีชนิดนิ่ม ขับถ่ายได้สะดวก
- หากจำเป็นต้องใช้มะขามแขกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ คุณควรรับประทานอาหารเสริมที่มีโพแทสเซียมสูง ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดธาตุโพแทสเซียม
- มะขามแขกไม่ควรใช้เป็นยาลดความอ้วน เนื่องจากมันมีฤทธิ์แค่ช่วยในการขับถ่าย เนื่องจากสิ่งที่ถูกจับออกนั้นจะเป็นกากอาหารและน้ำในร่างกาย ส่วนไขมันก็ยังอยู่ในตัวเราเหมือนเดิม ไม่ได้ถูกขับออกไปพร้อมของเสีย
- แม้ว่าอนุพันธ์ของสาร anthraquinone จะสามารถผ่านออกมากับน้ำนมได้เมื่อใช้ในขนาดปกติ แต่ความเข้มข้นดังกล่าวไม่ส่งผลต่อทารกที่ได้รับน้ำนม ดังนั้นผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตรจึงสามารถใช้มะขามแขกเป็นยาระบายได้
ข้อห้ามใช้ (Contraindication) ไม่ควรใช้ X-Prep ซึ่งเป็นยาเตรียมที่มี sennoside ขนาด 142 มก. เพื่อเตรียมลำไส้ก่อนการตรวจลำไส้ใหญ่ (barium enema, BE) เนื่องจากมีรายงานว่าผู้ป่วยสูงอายุจำนวน 2 ราย ซึ่งมาโรงพยาบาลด้วยอาการท้องเสียและมีเลือดออกทางทวารหนัก เกิดกระเพาะทะลุ (colonic perforation) ร่วมกับเกิดอาการเยื่อบุในช่องท้องอักเสบ (peritonitis) และเสียชีวิต เนื่องจากใช้ยาเตรียมดังกล่าวเพื่อทำความสะอาดลำไส้ ก่อนการตรวจลำไส้ใหญ่ (barium enema) นอกจากนี้ยังห้ามใช้ X-Prep กับผู้ป่วยที่มีอาการลำไส้อักเสบหรือมีอาการอักเสบของลำไส้ที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้
เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ใบมะขามแขกกันมาก จึงมีผู้คิดปนปลอมโดยใช้ใบก้างปลามาปลอมขาย ซึ่งไม่มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย เพื่อป้องกันเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นก็โดยการที่เราควรจะทราบให้ แน่นอนว่าสมุนไพรนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร และอีกประการหนึ่งก็สนับสนุนให้มีการเพาะให้มากพอกับความต้องการที่จะใช้
Tags : กระชายดำ,ถั่งเช่า,เจียวกู่หลาน