ฤทธิ์ทางเภสัชของว่านชักมดลูกกับการวิจัยในสัตว์ทดลอง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ฤทธิ์ทางเภสัชของว่านชักมดลูกกับการวิจัยในสัตว์ทดลอง  (อ่าน 90 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มิถุนายน 23, 2017, 08:21:44 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


ฤทธิ์ทางเภสัชของว่านชักมดลูกกับการวิจัยในสัตว์ทดลอง
            เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสมุนไพรที่ต้องมีการทดสอบในสมุนไพรแต่ละชนิด เพราะนั่นคือการยืนยันและพิสูจน์ว่าสมุนไพรตัวนั้น มีฤทธิ์ทางเภสัชในด้านใดและมีสารออกฤทธิ์ตัวไหนบ้างที่สามารถนำมาใช้บำบัดรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้ใช้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาและทดลองในสมุนไพรของไทย เพื่อที่จะนำผลการค้นคว้าที่ได้มาใช้ในวงการสมุนไพรเพื่อจะเป็นการยกระดับคุณภาพสมุนไพรของไทยให้ไปสู่สากลและมีคุณภาพทัดเทียมกับสมุนไพรจากแหล่งอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการแข่งขันในตลาดสมุนไพรโลกต่อไป โดยในการค้นพบและทดลองในเรื่องฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของว่านชักมดลูกนั้น มีผลงานการวิจัยของนักวิจัยชาวไทยอยู่หลายชิ้นเลยทีเดียว เช่น ที่ว่ากันว่าว่านชักมดลูกรักษาอาการของสตรี และมีไฟโตรเอสโตรเจนนั้น มีการวิจัยเพื่อพิสูจน์คือ มีการทดสอบโดยนำหนูทดลองมาแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.หนูปกติ 2.หนูถูกตัดรังไข่ 3.หนูถูกตัดรังไข่และป้อนว่านชักมดลูกตัวเมีย 4. หนูถูกตัดรังไข่และป้อนว่านชักมดลูกตัวผู้ ผลการค้นหาพบว่าหนูกลุ่ม 3 ที่ได้รับว่านชักมดลูกตัวเมีย มีขนาดมดลูกโตใกล้เคียงกับหนูปกติ ส่วนหนูกลุ่ม 2 และ 4 (หนูที่ได้รับว่านชักมดลูกตัวผู้) มีขนาดมดลูกเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ในด้านฤทธิ์ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนโดยทดลองกับหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่แล้วป้อนสารสกัดว่านชักมดลูกตัวเมียติดต่อกัน 5 สัปดาห์ พบว่าป้องกันการสูญเสียแคลเซียมและรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกได้และฤทธิ์ในการเพิ่มอัตราการไหลของน้ำดี พบว่ามีสารไกลไคไซด์กลุ่ม Phloracetophnone มีฤทธิ์เพิ่มอัตราการไหลของน้ำดีในหนูทดลอง ซึ่งเมื่อให้สารสกัดว่านชักมดลูกในขนาด 50 mg/kg อาจกระตุ้นการไหลของน้ำดีได้ 142.3 ± 3.0% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งการเพิ่มนี้มีผลต่อการย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีขึ้นและอาจลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ และว่านชักมดลูกยังมีสาร 4,6-dihydroxy-2-0(beta-D-glucopyranosy/acetopnenone) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งปากมดลูก ซึ่งมีค่า IC₅₀=4.44±0.85 ug/m/ รวมถึงยังมีการทดสอบความจำและการเรียนรู้ของหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ โดยนำหนูทดลองมาตัดรังไข่ แล้วแบ่งเป็นกลุ่ม คือ 1หนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ 2 หนูทดลองถูกตัดรังไข่และได้รับสารสกัดของว่านชักมดลูกตัวเมีย 3.หนูทดลองถูกตัดรังไข่และได้รับการฉีดเอสโตรเจน โดยจะมีการทดสอบความจำและการเรียนรู้ทุกระยะเวลา 30 วัน และเมื่อถึงวันที่ 67 หนูที่ถูกตัดรังไข่ความจำเสื่อมลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนูที่กินสารสกัดว่านชักมดลูกและกลุ่มที่ได้รับการฉีดเอสโตรเจนมีความจำดีใกล้เคียงกัน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่นักวิจัยคนไทยนำว่านชักมดลูกมาศึกษาในเรื่องฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาเท่านั้น แต่ยังมีการศึกษาวิจัยและทดลองว่านชักมดลูกในเรื่องอื่นๆโดยนักวิจัยจากต่างประเทศอีกหลายๆกลุ่มหลายๆคน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า ว่านชักมดลูกตัวเมียของไทยนี้เป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพสูงที่จะสามารถพัฒนาและผลิตเป็นยาสำหรับสตรี เพราะว่าอาจรักษารวมถึงป้องกันในอาการที่สำคัญๆของสัตว์ได้ และยังเชื่อว่าจะอาจพัฒนาเป็นสมุนไพรระดับโลกได้ดังเช่น เห็ดหลินจือ ถั่งเช่า แปะก๊วย กระชายดำ ฯลฯ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์ของว่านชักมดลูก



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2017, 01:54:32 pm »

ศึกษากับว่านชักมดลูก

บันทึกการเข้า

teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2017, 08:59:23 am »

ศึกษาวิจัยว่านชักมดลูก

บันทึกการเข้า

teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2017, 08:37:49 am »

การศึกษาวิจัยว่านชักมดลูกมีอะไรบ้าง

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ