Advertisement
บริการหลังงานพิมพ์
ปั๊มไดคัท ปั๊มเคทอง หลังการพิมพ์เสร็จ ทำบล็อคออกแบบ โดย รวีวิริยะ
ให้บริการงาน
ปั๊มไดคัCalendar [url=https://rvydiecut.com/]เข้าหัวปฏิทินคำว่า ปฏิทิน ในภาษาอังกฤษเป็น"calendar" เป็นคำที่มาจากภาษาลีลา ซึ่งนำมาจากคำกล่าวของชาวภาษากรีกโบราณอีกครั้ง ว่า "Kalend" ซึ่งมีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "I cry" ปัจจัยที่ใช้คำนี้เนื่องจากว่ามีที่มาว่า ในอดีตกาลจะมีคนคอยร้องบอกคนกรุง เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า รวมถึงประกาศวันขึ้นเดือนใหม่ เพื่อลูกหนี้ชำระเงินที่ค้าง เมื่อถัดมาสังคมเริ่มสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ปฏิทินก็เลยได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแทนคนร้องบอกข่าว ปฏิทินก็เลยนับว่าเป็นสิ่งบอกเวลา แล้วก็แปลงเป็นสิ่งสำคัญในวิถีชีวิตประจำวันไปท้ายที่สุด ต่อมามนุษย์จึงได้เริ่มบันทึก วัน เวลา ขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร หรือที่เรียกกันว่า "ปฏิทิน"
ปฏิทินยุคโบราณจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ศึกษาและทำการค้นพบในขณะนี้ เชื่อกันว่าชนชาติแรกที่คิดค้น ระบบการนับวันแบบปฏิทินนั้นคือ ชาวบาบิโลเนียน พวกเขากำหนดวัน เดือน ปี โดยสังเกตจากระยะต่างๆของพระจันทร์ ซึ่งหมายถึงการสังเกตข้างขึ้นข้างแรมนั่นเอง โดยเมื่อกำเนิดข้างขึ้นรวมทั้งข้างแรมครบ 1 รอบก็จะถือเป็น 1 เดือน ปฏิทินอย่างนี้เรียกว่าปฏิทินจันทรคติ และพวกเขายังกำหนดให้ 1 ปีนั้นมี 12 เดือนอีกด้วย มูลเหตุที่ชาวบาบิโลเนียนกำหนดให้ 1 ปี มี 12 เดือน ก็เพราะเหตุว่า เมื่อใดที่เกิดข้างขึ้นและข้างแรมครบ 12 รอบ ฤดูกาลก็จะเวียนกลับมาอีกที
อาณาจักรใกล้กันก็ได้สารภาพเอาปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาใช้ในอาณาจักรตนเอง ดังเช่น ชาวอียิปต์โบราณ ชาวภาษากรีก แล้วก็ชาวเซเมติก เป็นต้น เมื่อความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีมีมากขึ้น เชื้อชาติที่นำเอาปฏิทินแบบบาบิโลเนียนไปใช้นั้น ก็ได้ทำแก้ไขรวมทั้งพัฒนาให้มีความตรงไปตรงมาเยอะขึ้น โดยเฉพาะชาวอียิปต์โบราณ ที่พัฒนาแนวคิดเรื่องปฏิทินได้อย่างคืบหน้ามากที่สุด เดิมทีชาวโรมันกำหนดให้ 1 ปี มี 355 วัน (ตามระบบจันทรคติ) รวมทั้งทุกๆ4 ปี (ปีอธิกวาร) จำเป็นต้องเพิ่มวันเข้าไปอีก 22 วัน เพื่อให้ตรงกับฤดูกาล หรือการคำนวณแบบสุริยคติ) จนกระทั่ง 46 ปีกลายคริสต์ศักราช จูเลียส ซีซาร์ ที่จักรวรรดิโรมัน ซึ่งได้เข้าครอบครองอียิปต์ ในรัชสมัยของพระนางคลีโอพัตรา ได้นำแนวคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โซซิเจเนส (Sosigenes) มาปรับปรุงให้หนึ่งปีมี 365 วัน ปฏิทินอย่างงี้เรียกว่าปฏิทินจูเลียน ซึ่งใช้กันมายาวนานจนถึง ค.ศ. 1582 ก็เลยมีการปรับปรุงแก้ไขอีกทีหนึ่ง
ปฏิทินยุคปัจจุบันเนี่องจากการที่ต้องเพิ่มวันเข้าไปในปฏิทิน 1 วัน ในทุกๆ4 ปี ทำให้ในยุคต่อๆมาเกิดความสับสนในฤดูกาล กล่าวคือปฏิทินสั้นกว่าปีฤดู โดยเหตุนั้นการเกิดทางธรรมชาติต่างๆจะมาถึงเร็วกว่าปฏิทินเยอะขึ้นเรื่อยๆทุกปี ตัวอย่างเช่นใน คริสต์ศักราช 1582 วสันตวิษุวัต (วันที่กลางวันรวมทั้งช่วงเวลากลางคืนยาวเสมอกัน) ตามปีปฏิทินเดิมเป็นวันที่ 21 มี.ค. แม้กระนั้นปรากฏการณ์นี้กลับเกิดขึ้นจริงในวันที่ 11 มีนาคมแทน เมื่อเป็นแบบนี้ ศาสนจักรก็เลยเข้ามามีหน้าที่สำหรับในการปรับปรุงแก้ไข พระสันตขว้างขว้าง เกเกลื่อนกลาดอรี่ที่ 13 ได้ออกประกาศให้หักวันออกมาจากปฏิทินเสีย 10 วัน ส่งผลทำให้ในปี คริสต์ศักราช 1582 นั้นหลังวันที่ 4 ตุลาคม แปลงเป็นวันที่ 15 เดือนตุลาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ในปีอธิกวารให้เพิ่มวันชั่วครั้งชั่วคราว 24 ชั่วโมงในปีหน้าให้หักออก นอกเหนือจากนั้นยังกำหนดให้วันที่ 1 เดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ รวมทั้งให้เรียกปฏิทินแบบใหม่นี้ว่า ปฏิทินเกรกอเรียน ประกาศนี้มีผลทำให้ยุโรปซึ่งอยู่ใต้การปกครองของศาสนจักร ต้องใช้ปฏิทินแบบเดียวกันจากนั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบันนี้ "ปฏิทิน" ได้รับความนิยมกันอย่างล้นหลาม นักธุรกิจติดต่อนัดพบกันผ่าน วัน เวลา ในปฏิทิน นอกเหนือจากนั้นปฏิทินยังคอยย้ำเตือนถึง วัน ในตอนที่สำคัญต่างๆได้แก่ วันเกิด วันหยุด ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ยังมีปฏิทินที่ระบุวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งจะต้องอาศัยการประกาศอย่างเป็นทางการ ดังเช่นว่า วันเริ่มรักษาศีลอดเดือนรอมะฎอน วันจาริกแสวงบุญของอิสลามิกชน (ฮัจญ์) รวมทั้งวันอายกรอคอยอ์ ฯลฯ
“ปฏิทิน” อีกหนึ่งสื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากมาย เนื่องจากแก่การใช้งานได้ช้านานตลอดทั้งปี และก็ช่วยสร้างการเขียนจำในตัวผลิตภัณฑ์ได้อยู่เป็นประจำ สามารถออกแบบพิเศษให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ทั้งปฏิทินตั้งโต๊ะ ปฏิทินพก ปฏิทินห้อย รวมทั้งอื่นๆตามแบบอย่างที่คุณอยาก สามารถสั่งพิมพ์ปฏิทินปี 2560/2017 กับพวกเราได้ไม่จำกัดปริมาณ (Print On Demand)
ประเภทของปฏิทิน
ปฏิทินตั้งโต๊ะ ขนาดมาตรฐาน 8 x 6 นิ้ว 6 x 8 นิ้ว 7 x 5 นิ้ว 5 x 7 นิ้ว มีอีกทั้งแบบ 13, 16 แผ่น
ปฏิทินห้อย โดยปกติจะมีรูปภาพรูปใหญ่หนึ่งรูป หรือ เป็นรูปภาพทั้งยังสิบสองเดือนก็ได้
ปฏิทินแบบนำเอา มีขนาดเท่านามบัตร มีสิบสองเดือนเป็นช่องเล็กๆอยู่ในนั้น
ปฏิทินส่วนตัว ลูกค้าสามารถใส่ชื่อ รูปภาพ วันเกิดหรือวันสำคัญต่างๆลูกเล่นอื่นๆได้
ชนิดกระดาษ
กระดาษอาร์ตการ์ด 210-310 แกรม
กระดาษการ์ดขาว 210-250 เอ็งรม
หรือกระดาษพิเศษประเภทต่างๆ
แบบการพิมพ์
พิมพ์ 4 สี
เคล็ดลับพิเศษ
ฉาบ PVC ด้าน
เคลือบ PVC เงา
ฉาบ UV
ฉาบ SPOT UV
ปั๊มนูน หรือ
ปั๊มจมปั๊มฟอยล์
การเข้ารูปเล่มปฏิทิน
เจาะรูร้อยห่วง ดังเช่น ห่วงกระดูกงู , ห่วงพลาสติก
ชนิดของการพิมพ์ การพิมพ์แบ่งออกได้หลายจำพวกตามลักษณะต่าง ดังนี้แบ่งตามจุดหมายสำหรับการ พิมพ์ ได้ 2 ประเภทหมายถึง
1 ศิลปภาพพิมพ์ (GRAPHIC ART) เป็นงานพิมพ์ภาพเพื่อให้กำเนิดความสวยสดงดงามเป็น งานวิจิตรศิลป์
2 วางแบบภาพพิมพ์ (GRAPHIC DESIGN) เป็นงานพิมพ์ภาพผลดีใช้สอยนอก เหนือไปจากความงาม อาทิเช่น หนังสือต่างๆบัตรต่างๆภาพประชาสัมพันธ์ ปฏิทิน ฯลฯ จัดเป็นงาน ประยุกต์ศิลป
แบ่งตามแนวทางการสำหรับในการพิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ
1 ภาพพิมพ์ต้นแบบ (ORIGINAL PRINT) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์รวมทั้งวิธี การพิมพ์ที่ถูก ประดิษฐ์และก็ระบุขึ้นโดยนักแสดงผู้ครอบครองผลงาน รวมทั้งผู้ครอบครองผลงาน ต้องเซ็นชื่อรับประกันผลงานทุกชิ้น บอกลำดับที่สำหรับการพิมพ์ เทคนิคการพิมพ์ รวมทั้ง วัน เดือน ปี ที่พิมพ์ด้วย
2 ภาพพิมพ์จำลองแบบ (REPRODUCTIVE PRINT) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างมาจากแม่พิมพ์ หรือแนวทาง การพิมพ์วิธีอื่น ซึ่งไม่ใช่กรรมวิธีการเดิมแม้กระนั้นได้รูปแบบดังเดิม บางครั้งอาจเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์คนอื่น
แบ่งตามจำนวนครั้งที่พิมพ์ ได้ 2 ชนิดเป็น
1 ภาพพิมพ์ถาวร เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ใดๆที่เห็นผลงานออกมามีลักษณะ เช่นกันทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป
2 ภาพพิมพ์ครั้งเดียว เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาได้ผลงานเพียงภาพเดียว ถ้าหากพิมพ์อีกจะ เห็นผลงานที่ไม่อย่างเดิม
แบ่งตามประเภทของแม่พิมพ์ ได้ 4 ประเภท คือ
1 แม่พิมพ์นูน (RELIEF PROCESS) เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้าที่ทำให้นูน ขึ้นมาของแม่พิมพ์ ภาพที่ได้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากสีที่ติดอยู่ในส่วนบนนั้น แม่พิมพ์นูนเป็นแม่พิมพ์ ที่ทำขึ้นมาเป็นประเภทแรก ภาพพิมพ์จำพวกนี้อาทิเช่น ภาพพิมพ์แกะไม้ (WOOD-CUT) ภาพพิมพ์แกะยาง (LINO-CUT) ตราประทับ (RUBBER STAMP) ภาพพิมพ์จากเศษสิ่งของต่างๆ
2 แม่พิมพ์ร่องลึก (INTAGLIO PROCESS) เป็นการพิมพ์โดยให้สีอยู่ในร่องที่ทำให้ลึกลง ไปของแม่พิมพ์โดยใช้แผ่นโลหะทำเป็นแม่พิมพ์ (แผ่นโลหะที่นิยมใช้เป็นแผ่นทองแดง) และทำให้ลึกลงไปโดยใช้น้ำกรดกัด ซึ่งเรียกว่า ETCHING แม่พิมพ์ร่องลึกนี้พัฒนาขึ้นโดย คนตะวันตก สามารถพิมพ์งานที่มีความ ละเอียด คมชัดสูง อดีตใช้สำหรับการพิมพ์ หนังสือ พระคัมภีร์ แผนที่ เอกสารต่างๆไปรษณียากร แบงค์ ตอนนี้ใช้เพื่อการพิมพ์รายงานที่เป็นศิลปะ รวมทั้งแบงค์
3 แม่พิมพ์พื้นราบ (PLANER PROCESS) เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้า ที่ราบเรียบของแม่พิมพ์ โดยไม่ต้องขุดหรือแกะพื้นผิวลงไป แต่ว่าใช้สารเคมีเข้าช่วย ภาพพิมพ์ ประเภทนี้ยกตัวอย่างเช่น ภาพพิมพ์หิน (LITHOGRAPH) การพิมพ์ออฟเซท (OFFSET) ภาพพิมพ์กระดาษ (PAPER-CUT) ภาพพิมพ์ครั้งเดียว (MONOPRINT)
4 แม่พิมพ์ฉลุ (STENCIL PROCESS) เป็นการพิมพ์โดยให้สีผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์ลงไป สู่ผลงานที่อยู่ข้างหลัง เป็นการพิมพ์ประเภทเดียวที่ได้รูปที่มีด้านเดียวกันกับแม่พิมพ์ ไม่กลับซ้าย เป็นขวา ภาพพิมพ์ประเภทนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์ปรุ (STENCIL) ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม (SILK SCREEN) การพิมพ์อัดสำเนา (RONEO) ฯลฯ
สำหรับคนที่สนใจสั่งทำการ์ดแต่งงาน พิมพ์การ์ดแต่งงาน การ์ดเชิญ บัตรเชิญ โปสการ์ดต่างๆสามารถติดต่อเพื่อขอราคางานแล้วก็สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำการ์ดได้ สั่งทำได้ตามปริมาณที่อยากใช้งาน ไม่มีจำนวนขั้นต่ำในการสั่งทำ
กริ๊ปเปอร์ (Gripper) หรือฟันจับ คือองค์ประกอบในเครื่องพิมพ์ระบบออฟเซ็ทที่มีบทบาทจับกระดาษแล้วพากระดาษวิ่งไปตามส่วนต่างๆของเครื่องพิมพ์ ฟันจับกระดาษมีหลายชุดส่งผ่านจากชุดหนึ่งไปยังอีกชุดหนึ่งตั้งแต่ต้นจนถึงพิมพ์เสร็จบริบูรณ์
กลับตีลังกา เป็นคำที่ใช้ในโรงพิมพ์สำหรับเรียก การพิมพ์ลงบนแผ่นพิมพ์ที่ใช้เพลท 1 ชุด พิมพ์ข้างหน้าแล้วกลับกระดาษกลับหัวกลับหางฟันจับแบบเป็นๆคนละข้างกับหน้าแรก แนวทางแบบนี้ทำให้แผ่นพิมพ์ 1 แผ่น ได้งาน 2 ชุดเช่นกัน
กลับนอก เป็นคำที่ใช้ในสำนักพิมพ์สำหรับเรียก การพิมพ์ลงบนแผ่นพิมพ์ที่ใช้เพลท 2 ชุด พิมพ์ด้านหน้า 1 ชุด พิมพ์ด้านหลังอีกหนึ่งชุด
กลับในตัว เป็นคำที่ใช้ในสำนักพิมพ์สำหรับเรียก การพิมพ์ลงบนแผ่นพิมพ์ที่ใช้เพลท 1 ชุด พิมพ์ข้างหน้าแล้วกลับกระดาษสลับข้างพิมพ์โดยด้านฟันจับกระดาษยังคงเป็นข้างเดียวกันกับด้านแรก แนวทางลักษณะนี้ทำให้แผ่นพิมพ์ 1 แผ่น ได้งาน 2 ชุดแบบเดียวกัน
การพิมพ์ระบบออฟเซ็ท เป็นระบบการพิมพ์ที่ไม่ได้ถ่ายทอดภาพพิมพ์จากแม่พิมพ์ลงบนชิ้นงานโดยตรง แต่จะผ่านตัวกลางขั้นหนึ่งก่อน พูดอีกนัยหนึ่ง ภาพพิมพ์ของน้ำหมึกจะถูกถ่ายจากเพลทลงผ้ายางแล้วจึงส่งผ่านไปยังกระดาษ โรงพิมพ์โดยมากจะใช้เครื่องพิมพ์ออฟเซ็ทสำหรับการพิมพ์รายงาน
การแยกสี (Color Separation) เป็นการแยกสีจากงานอาร์ตเวิร์คสีออกมาเป็นภาพ 4 ภาพสำหรับแม่สีแต่ละสี เมื่อนำไปทำเป็นเพลทแม่พิมพ์ 4 แผ่น ทางสถานที่พิมพ์ก็สามารถใช้พิมพ์ด้วยแม่สีแต่ละสีซ้อนทับกันได้ภาพสอดสีราวกับต้นฉบับขัดมัน วิธีการทำให้ผิวกระดาษเรียบเงาวาวขึ้นโดยขั้นตอนการขัดผิว
ขึ้นเส้น (Score) เป็นขั้นตอนการพื้นที่โรงพิมพ์ทำเส้นลึกบนกระดาษ เพื่อสะดวกต่อการพับในแนวที่อยากได้รวมทั้งช่วยไม่ให้ผิวกระดาษ น้ำหมึกมีการแตกตามรอยพับ
เข้ารูปเล่ม (Binding) ขั้นตอนในสถานที่พิมพ์ เป็นการรวมแผ่นพิมพ์ให้เป็นเล่ม เริ่มจากการตัดเจียนแผ่นพิมพ์หลังจากพิมพ์เสร็จ พับ เก็บรวมเล่ม ยึดติดเป็นเล่ม ซึ่งบางทีอาจใช้การเย็บมุงหลังคา หรือไสสันทากาว หรือเย็บกี่ทากาว หรือเย็บกี่หุ้มปกแข็ง เสร็จแล้วตัดเจียนให้เสมอกัน (ยกเว้นวช้แนวทางห่อหุ้มปกแข็ง)
เข้าห่วงเหล็ก/พลาสติก เป็นกรรมวิธีการเข้าเล่มโดยใช้ห่วงเหล็ก/พลาสติกร้อยเข้าไปในรูด้านข้างด้านหนึ่งของหนังสือ/ปฏิทินที่เจาะตระเตรียมไว้ ทำให้แผ่นพิมพ์ไม่หลุดจากกัน
การเย็บเล่ม มีการเข้าเล่มแบบเย็บอก หรือเย็บมุงหลังคา
เป็นการเข้าเล่มอีกแนวทางที่ง่ายสุดๆๆรวมทั้งบางครั้งก็อาจจะง่ายยิ่งกว่าแนวทางการเย็บเล่มแบบกาวอารมณ์เสียอีก วิธีการเย็บเล่มแบบนี้จะใช้เย็บสมุดเขียนบันทึกของผู้เรียนนักศึกษา สมุดโน้ตย่อทั่วๆไป แคตตาล็อกสินค้า หรือหนังสือทำมือ กรรมวิธีการเข้ารูปเล่มแบบนี้คือสามารถกางได้ออกเต็มกำลังแต่ว่าไม่เหมาะกับหนังสือที่มีปริมาณหน้ามากมาย กรรมวิธีการเข้ารูปเล่มก็คือเอาแผ่นกระดาษทั้งปวงมาเรียงกัน (ไม่เกิน 80 แผ่น) แล้วพับครึ่งตามแนวตั้ง แล้วหลังจากนั้นใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บสรุปว่าเสร็จแล้ว เป็นยังไงครับผมง่ายยิ่งกว่านี้มีอีกไหม
เป็นการเข้ารูปเล่มที่ง่ายที่สุด คือพับครึ่งแล้วเย็บแม็กซ์ (Staple) เข้าที่เข้าทางกลางกระดาษ 2-3 อัน เหมาะกับหนังสือครึ้มไม่เกิน 25 แผ่น
จุดเด่น ของการเย็บอย่างนี้ เป็นรวดเร็วทันใจ ทุนต่ำ แล้วก็กางหนังสือออกได้มากที่สุด เหมาะกับการทำสมุด ที่อยากได้เขียนได้ทั่วทุกคนกระดาษ
จุดอ่อน ไม่สวย กระดาษแผ่นกลางมีโอกาสยื่น เลยกระดาษแผ่นอื่นออกมา Staple ที่พับไม่ดีอาจเป็นอันตรายเวลาเขียนได้
เย็บเล่มกาวหัว
การเย็บเล่มแบบนี้เหมาะใช้สำหรับพวกบิล สมุดใบเสร็จรับเงินเล่มเล็ก สมุดฉีก หรือกระดาษโน้ต ซึ่งเป็นการเข้ารูปเล่มเพื่อใช้สำหรับฉีกออกโดยเฉพาะ การทำก็ง่ายอย่างยิ่งสามารถทำใช้ได้เองเลย เพียงแค่เอากระดาษที่อยากได้ใช้มาเรียงกันเป็นตั้งให้พอดีไม่ดกจนเกินความจำเป็น แล้วเอากาวลาเท็กซ์ทาที่ขอบข้างบนบริเวณสันกระดาษ แล้วหลังจากนั้นก็คอยให้กาวแห้งแล้วติดกระดาษห่อตรงหัวเพื่อให้งดงามก็เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย
เหมาะกับกระบวนการทำกระดาษโน้ต memo บิล หรือกระดาษสมุดรายงาน ใบ order ร้านอาหาร ก็ใช้วิธีการแบบนี้ ที่ไม่ต้องการให้่มีรอยฉีกน่าขยะแขยง เนื่องจากว่าหลุดง่ายสุดๆ แะเพราะว่ามีกาวที่สันข้างบนก็เลยถูกเรียกว่า "เข้าเล่มกาวหัว"
เย็บเล่มแบบไสกาว(ไสสันทากาว)
เป็นแนวทางเย็บเล่มที่เป็นที่ชื่นชอบมาก และพบได้ทั่วไป เนื่องมาจากนิตยาสารโดยมากจะเข้าเล่มแบบงี้ วิธีนี้เข้ารูปเล่มแบบไสกาวจะตรวจงานได้เป็นระเบียบรวมทั้งแพงไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับการเข้ารูปเล่มแนวทางอื่นๆก็เลยเหมาะสำหรับหนังสือเล่มที่มีความหนาระดับหนึ่งราวๆ 100 หน้าขึ้นไปแต่ไม่เกิน 200 หน้า การเข้ารูปเล่มแบบงี้มีข้อเสียคือทำให้กางหนังสือออกได้ไม่เต็มกำลัง ถ้าหากใช้งานไปนานๆก็จะหลุดออกมาเป็นแผ่นๆได้ง่าย การเข้ารูปเล่มแบบไสกาวก็เลยเหมาะกับการสร้างหนังสือที่มีจำนวนหน้าไม่มากในระดับสำนักพิมพ์ขนาดเล็กถึงกลา
ตำราเรียน นิตยสาร พ็อคเก็ตบุคส์ นิยมเข้าแบบเข้าแผนนี้ เนื่องจากว่าการผลิตหนังสือเยอะมาก ในระดับสถานที่พิมพ์ ราคาจะไม่แพง ด้วยเหตุว่ามีเครื่องเข้าเล่มสันกาว ร้อนที่เข้าได้นาทีละหลายเล่ม
ข้อดี งาม จัดเก็บง่าย ทุนต่ำเข้าได้ไม่ว่าเล่มดกหรือบาง เหมาะกับการสร้างเยอะๆ
ข้อด้อย ไม่ค่อยคงทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้กระดาษเอ็งรมสูง หนามากๆเช่นวารสารที่มีหน้าสีมาก จะยิ่งหลุดง่าย
แนวทางเย็บเล่มแบบไสกาว นี้จะทำได้จำต้องใช้เครื่องเย็บเล่มราคาสูง ซึ่งสามารถไสกาวตรงสันให้เป็นเกล็ด ก่อนลงกาวที่ละลาย เพื่อให้กาวซึมได้ทั่วสันปก เพิ่มความคงทน
เข้าเล่มแบบสันกาว (เหมือนหนังสือ)
เป็นการเย็บเล่มที่มีลักษณะเช่นเดียวกับการเข้ารูปเล่มแบบไสสันทากาว แต่ว่าจะได้งานที่ออกมาสวยงามแล้วก็คงทนถาวรกว่า เพราะว่าการเย็บเล่มแบบไสกาวร้อน จะใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยในการหัวเข่าเล่ม นั้นคือ เครื่องเข้าเล่มไสกาวร้อน ซึ่งมีระบบอัตโนมัติไปจนถึงระบบใช้มือโยก (Manual) ซึ่งจุดเด่นของการใช่เครื่องเย็บเล่มไสกาวร้อนนั้นหมายถึงการเย็บเล่มนั้นแข็งแรงและทนกว่าแบบทากาว เหตุเพราะใช้ความร้อนสำหรับในการละลายกาว แล้วก็ใช้แรงกดทับของเครื่องในการพับสันปก อีกทั้งงานที่ออกมาก็มีความเรียบร้อยมากยิ่งกว่า เข้าเล่มได้ครึ้มกว่า บางเครื่องได้ดกถึง 500 แผ่น หรือราวๆ 6 ซม. และดำเนินการได้เร็วกว่า เครื่องบ้างรุ่นสามารถเข้ารูปเล่มได้ถึง 200 เล่มต่อชั่วโมง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบกิจการสามารถดำเนินการได้อย่างเร็ว
ลักษณะที่คล้ายไสกาว เพียงแค่ไม่มีการไส ยังเหลือแม้กระนั้นใส่กาวที่สัน ร้านถ่ายเอกสารที่หรูหราขึ้นอีกนิด หรือมั่นอกมั่นใจในความสามารถหน่อย มักเย็บเล่มด้วยแนวทางนี้ เพราะเหตุว่าใช้ความสามารถ มากยิ่งกว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องไสกาวราคาสูง
ข้อดี จัดเก็บบนชั้นหนังสือง่าย งาม(สุดแท้แต่ร้าน) คงทนถาวรกว่าไสกาว ด้วยเหตุว่ามีการเย็บลวดเสร็มที่สันด้วย ก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องมาวิตกกังวลว่ารายละเอียดจะหลุดกล้วยๆ
จุดบกพร่อง มีการเย็บที่สัน ถ้าตัวหนังสือที่อยู่ใกล้สันด้านใน บางทีอาจอ่านยาก รวมทั้งเนื่องจากเป็นงานหัตถกรรมมีหลายขั้นตอนกว่า ราคาก็เลยสูงตาม ยิ่งเล่มหนาๆราคายิ่งสูง บางร้านค้าไม่สามารถที่จะเข้ารูปเล่มที่หนาเกิน 200 หน้าได้ เพราะว่าไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือและก็ประสิทธิภาพงานบางทีอาจไม่นิ่ง ราวกับเข้ารูปเล่มด้วยเครื่องไสกาว
กระดูกงู
เป็นการเข้ารูปเล่มที่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ฝีมือมากราวกับสันกาว เพียงมีเครื่องเจาะกระดาษสำหรับใส่กระดูกงู พบได้ทั่วไปมองเห็นในร้านเอกสารที่เปิดใหม่ หรือออฟฟิศที่ไม่มีบุคลากร ที่ชำนิชำนาญสำหรับเพื่อการเย็บเล่มแบบอื่นๆ
ข้อดี เปิดกางไดถึง 360 ํ เหมาะกับโต๊ะแล็คเชอร์แคบๆไม่จำเป็นที่จะต้องมาวิตกกังวลหรือกลุ้มใจเรื่องตัวหนังสือตรงสันอ่านมองไม่เห็น เหมาะสำหรับเข้าเล่มเพื่อเก็บสะสมแล็คเชอร์ Sheet เก่าๆหรือรายงานที่มีการเขียนชิดขอบกระดาษมากมาย ที่สำคัญปรับแก้แทรกสอดรายละเอียดได้ง่าย
ข้อผิดพลาด บางคนอาจมองว่าไม่เรียบร้อย พกใส่กระเป๋ายาก นานไปกระดูกงูที่เป็นพลาสติกมีโอกาสแตกสูง การใส่กระดูกงูมักคู่ก้ับแผ่นใสอีกทั้งปกด้านหน้าและก็ข้างหลัง
เข้ารูปเล่มแบบเย็บกี่
ถือว่าเป็นการเข้ารูปเล่มที่ดีที่สุด เนื่องจากความทนทานพอๆกับเล่มสันกาวเย็บลวด แต่เหนือกว่าตรงที่สมารถกางหน้า หนังสืออกได้สุด นิยมใชในหนังสือเล่มครึ้ม ราคาแพง อย่างเช่น Dictionary พจนานุกรม สารานุกรม แนวทางการออกจะยุ่งยากหน่อย โดยจะนำเอาหลายๆหน้ามาแยกเป็นส่วนๆเย็บด้วยถาง แล้วจึงร้อยเย็บรวมกันอีกทีหนึ่ง ก่อนจะตามติดเป็นเล่ม การเย็บกี่ยังแบ่งย่อยเป็นอีก 3 แบบ ดังในรูป
นอกจากนั้นยังมีการเย็บเล่มแบบสันรูด, เทปกาว หรือแล็คซีน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะว่ามีมานาน ร้านถ่ายเอกสารร้านเล็กร้านค้าน้อยเกือบทุกร้านค้าทำกันเป็นอยู่แล้ว เพราะเหตุว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ หรือความเชี่ยวชาญอะไรมาก
แล้วว่า งานถ่ายเอกสาร เป็นธุรกิจที่ไม่แน่นอน เป็นบางวันมีลูกค้าเข้ามาบริการน้อย แม้กระนั้นครั้งคราวก็มากมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว วัสดุอุปกรณ์สิ้นเปลือง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหมึก หรือกระดาษ ควรต้องซื้อมาเก็บไว้ในปริมาณอย่างพอเพียง ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ลูกค้าคอยนาน และไม่จะต้องเสียเวล่ำเวลาเดินทางไปซื้อบ่อยครั้งมากจนเกินไป
ช่วงเวลาการสร้าง
- งานพิมพ์ระบบ Inkjet 2-5 วัน ถ้าหากมีการไดคัทระยะเวลาผลิต 5-7 วัน
- งานพิมพ์ระบบ Digital Offset 1-3 วัน ถ้าหากมีการเพิ่มงานข้างหลังพิมพ์ช่วงเวลาการสร้าง 3-7 วัน
- งานพิมพ์ระบบ Offset ช่วงเวลาการสร้าง 7-10 วัน
** ช่วงเวลาการสร้างกลางแจ้งเป็นเวลาภายหลังลูกค้าตรวจปรูฟแบบเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งตรงเวลาโดยประมาณการอาจมีความเคลื่อนไหว ขึ้นกับตอนงานเยอะแยะ งานน้อย โดยทางโรงพิมพ์ชัดเจนให้ทราบล่วงหน้าก่อนสั่งผลิตงาน
รายละเอียดในการขอราคางานแต่ละชนิด
- นามบัตร ขนาดเท่าไร พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่เอ็งรม ฉาบด้วยหรือไม่ (มัน/ด้าน) มีเทคนิคอย่างอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าวประกาศ ตัวอย่างเช่น ไดคัท ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV เป็นต้น แล้วก็จำนวนกี่ชื่อๆละกี่ใบ (อย่างน้อย 100 ใบ/ชื่อ)
- ใบปลิว ขนาดเท่าใด พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่แกรม ฉาบด้วยหรือไม่ (มัน/ด้าน) มีเทคนิคอันอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าวประกาศ ตัวอย่างเช่น ไดคัท ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV เป็นต้น ปริมาณกี่แบบๆละกี่ใบ
- แผ่นพับ ขนาดกางออกเท่าใด เมื่อพับแล้วขนาดสำเร็จมากแค่ไหน พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่เอ็งรม ฉาบด้วยไหม (มัน/ด้าน) มีวิธีการอันอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าว อย่างเช่น ไดคัท ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV เป็นต้น ปริมาณกี่แบบๆละกี่ใบ
- โปสเตอร์ ขนาดเท่าใด พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่มึงรม ฉาบด้วยหรือเปล่า (มัน/ด้าน) มีแนวทางอันอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าว ยกตัวอย่างเช่น ไดคัท ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV เป็นต้น ปริมาณกี่แบบๆละกี่ใบ
- การ์ด ขนาดเยอะแค่ไหน พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่มึงรม ฉาบด้วยหรือไม่ (มัน/ด้าน) มีแนวทางอย่างอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าว เป็นต้นว่า ไดคัท พับ ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV เป็นต้น จำนวนกี่แบบๆละกี่ใบ
- หนังสือ นิตยสาร แคตตาล็อก ขนาดเยอะแค่ไหน ปก ใช้กระดาษอะไร พิมพ์กี่สีกี่ด้าน ฉาบด้วยหรือเปล่า (มัน/ด้าน) มีเทคนิคอย่างอื่นเพิ่มด้วยหรือประกาศ ดังเช่นว่า ไดคัท ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV ฯลฯ เนื้อใน พิมพ์กี่สี กี่หน้า กระดาษอะไร และก็เข้าเล่มแบบไหน ปริมาณกี่แบบๆละกี่เล่ม
- เมนู ขนาดมากแค่ไหน ปก ใช้กระดาษอะไร พิมพ์กี่สีกี่ด้าน ด้าน ฉาบด้วยหรือไม่ (มัน/ด้าน) มีแนวทางอันอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าวร้อง เป็นต้นว่า ไดคัท ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV ฯลฯ เนื้อใน พิมพ์กี่สี กี่หน้า กระดาษอะไร รวมทั้งเข้ารูปเล่มแบบไหน จำนวนกี่แบบๆละกี่เล่ม
- กล่องบรรจุภัณฑ์ ขนาดกางออกมากแค่ไหน พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่แกรม ฉาบด้วยหรือไม่ (มัน/ด้าน) มีวิธีการอันอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าวประกาศ ตัวอย่างเช่น ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV เป็นต้น ปะกาวกี่จุด จำนวนกี่แบบๆละกี่กล่อง
- สติ๊กเกอร์ ขนาดมากแค่ไหน พิมพ์กี่สี สิ่งของเป็นสติ๊กเกอร์ PVC หรือสติ๊กเกอร์กระดาษ เคลือบด้วยหรือไม่ (มัน/ด้าน) ต้นแบบการไดคัท ปริมาณกี่แบบๆละกี่ดวง
- แฟ้มกระดาษ ขนาดกางออกเท่าไหร่ (ขนาดสำเร็จเท่าใด) พิมพ์กี่สี กี่ด้าน กระดาษอะไร กี่แกรม ฉาบด้วยหรือเปล่า (มัน/ด้าน) มีแนวทางอย่างอื่นเพิ่มด้วยหรือป่าวประกาศ เช่น ปั๊มฟอยล์ ปั๊มนูน Spot UV ฯลฯ ติดกระเป๋า 1 หรือ 2 ด้าน จำนวนกี่แบบๆละกี่แฟ้ม
ประเภทของกระดาษ- กระดาษปรู๊ฟ เป็นกระดาษที่มีส่วนผสมของเยื่อกระดาษที่ใช้แล้วผสมกับเยื่อที่มีเส้นใยสั้น ซึ่งมีน้ำหนักเพียงแค่ 40-52 กรัมต่อตารางเมตร จะมีสีอมเหลือง ราคาไม่แพงแล้วก็ความแข็งแรงน้อย ก็เลยเหมาะสมกับงานที่ไม่ได้อยากประสิทธิภาพมากมาย หรืองานพิมพ์หนังสือพิมพ์
- กระดาษแบงค์ เป็นกระดาษที่น้ำหนักไม่เกิน 50 กรัมต่อตารางเมตร ลักษณะบางไม่ฉาบผิว มีสีให้เลือกหลายสี เหมาะสำหรับงานพิมพ์แบบฟอร์มที่มีสำหลายชั้น
- กระดาษปอนด์ เป็นกระดาษที่มีสีขาว ผิวไม่เรียบ ทำจากเยื่อเคมีที่ผ่นการขัด ซึ่งอาจมีส่วนประกอบของเยื่อที่มาจากเศษผ้า น้ำหนักของกระดาษชนิดนี้อยู่ระหว่าง 60-120 กรัมต่อตารางเมตร ใช้สำหรับพิมพ์รายงานที่อยากได้ความสวยงามปานกลาง สามารถพิมพ์สีเดียวหรือหลายสีได้
- กระดาษอาร์ต เป็นกระดาษที่ผลิตโดยใช้สารเคมีแล้วนำมาฟอกให้ขาว เหมาะสำหรับงานพิมพ์หนังสือ หรือกระดาษพิมพ์เขียน เพราะมีความหนาแน่นสูงและคุณภาพดี
- กระดาษคราวฟ เป็นกระดาษที่มีความเหนียวเป็นพิเศษ สีน้ำตาล ทำจากเยื่อซัลเฟต น้ำหนักอยู่ระหว่าง 80-180 กรัมต่อตารางเมตร เหมาะกับทำงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ ถุงกระดาษ และกระดาษห่อของ เป็นต้น
ขนาดของกระดาษ
- ขนาดกระดาษ A0 คือ 84.1 เซนติเมตร x 118.9 เซนติเมตร หรือ 33.11 นิ้ว x 46.81 นิ้ว
- ขนาดกระดาษ A1หมายถึง59.4 เซนติเมตร x 84.1 เซนติเมตร หรือ 23.38 นิ้ว x 33.11 นิ้ว
- ขนาดกระดาษ A2เป็น42 ซม. x 59.4 เซนติเมตร หรือ 16.53 นิ้ว x 23.38 นิ้ว
- ขนาดกระดาษ A3หมายถึง29.7 เซนติเมตร x 42 ซม. หรือ 11.69 นิ้ว x 16.53 นิ้ว
- ขนาดกระดาษ A4 คือ 21 เซนติเมตร x 29.7 ซม. หรือ 8.26 นิ้ว x 11.69