Advertisement
เม่[/size][/b]
เม่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จัดอยู่ในตระกูล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒ ประเภท ตัวอย่างเช่น
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix brachyuran Linnaeusชื่อสามัญว่า Malayan porcupineเม่นจำพวกนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐ เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๓-๗ กก. ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันตัว หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ และไหล่ มีขนแข็ง สั้น สีดำ ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนและปลายสีขาว กึ่งกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนเหมือนหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นประเภทนี้ชอบออกหากินโดยลำพังในเวลากลางคืน รักสงบ เวลาเจอศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึกแล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วหากหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ รวมทั้งแม้ศัตรูใช้ตีนตะปบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นเดียวกัน ได้รับความเจ็บปวดเจ็บมากมาย เมื่อศัตรูหนีจากไปแล้ว เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ เม่นประเภทนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ กาบไม้ ผลไม้ รวมทั้งกระดูกสัตว์ เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี ตั้งท้องนาน ๔ เดือน ตกลุกครั้งละ ๑ -๓ ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนที่อ่อน แต่เมื่อถูกอากาศภายนอกขนจะค่อยๆแข็งขึ้น อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างถิ่นเจอที่มาเลเชียรวมทั้งอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus macroura (Linnaeus)ชื่อสามัญว่า bush-tailed porcupineเม่นประเภทนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง ๔๐ – ๕๐ เซนติเมตร หางยาว ๑๕ – ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕ กิโลกรัม จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งรวมทั้งปลายแหลมมาก เหมือนหนาม ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่รอบๆกึ่งกลางหลังขนแบน มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกึ่งกลางหางไม่ค่อยมีขน แม้กระนั้นเป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกครึ้มเป็นกระจุก ดูเป็นพวง ขนดัขี้งกล่าวแข็งและแหลมคม ส่วนขนที่ศีรษะรอบๆขาอีกทั้ง ๔ แล้วก็บริเวณใต้ท้อง แหลม แม้กระนั้นไม่แข็ง ขาออกจะสั้น ใบเครื่องทอผ้าลมและก็เล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดตรง ทู่ แล้วก็แข็งแรงมาก เหมาะสำหรับขุดดิน เม่นจำพวกนี้ออกหากินในช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันมักแอบอยู่ในโพรงดิน ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง ใช้ขนเป็นอาวุธป้องกันตัว รับประทานหัวพืช หน่อไม้ เปลือกไม้ รากไม้ ผลไม้ แมลง เขารวมทั้งกระดูกสัตว์ ตกลูกครั้งละ ๓- ๕ ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนอ่อนนุ่ม แต่ว่าจะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี พบในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างแดนเจอทางภาคใต้ของจีน และก็ที่ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย แล้วก็อินโดนีเซีย
[url=http://www.disthai.com/]ประโยชน์ทางย[/size][/b]
แพทย์แผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง แก้พิษรอยแดง พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยให้ไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาใช้ภายนอกตัวเด็ก ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งมวล รวมทั้งจะเป็นไข้อภิฆาฏก็ดีแล้ว โอปักกะมิกาพาธก็ดี ท่านให้เอาใบมะชน รอยเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายความมัวหมองโทษทั้งหมดดีนัก