Advertisement
โรคของกินเป็นพิษ (Food poisoning)- โรคอาหารเป็นพิษ คืออะไร โรคอาหารเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้อธิบายถึงลักษณะของการป่วยที่เกิดขึ้นจากการกินอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน มูลเหตุอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการปนเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก ดังเช่นว่า ตะกั่ว ฯลฯ ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เจ็บท้อง ซึ่งอาการส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง แต่ถ้ากำเนิดอาการรุนแรงขึ้นอาจก่อให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำและก็เกลือแร่จนมีอันตรายได้ ของกินเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งคนวัยแก่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเขตร้อน โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่พบมากในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ว่าพบได้เรี่ยรายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว โอกาสการเกิดโรคในเพศหญิงและก็เพศชายเสมอกัน แต่บางทีอาจพบในเด็กได้สูงยิ่งกว่าวัยอื่นๆเพราะแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ ของกินในโรงเรียน ทั้งนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กกำเนิดของกินเป็นพิษได้มากถึงโดยประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
- สาเหตุของโรคของกินเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษโดยมากมีต้นเหตุมาจากกินอาหาร รวมทั้ง/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปเป็นเชื้อไวรัส นอกจากนี้ที่พบได้บ้างหมายถึงการปนเปื้อนปรสิต (Parasite) อย่างเช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนของพิษ ที่พบได้บ่อย คือ จากเห็ดพิษ สารพิษแปดเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู และก็สารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายชนิดที่สามารถปล่อยพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนในอาหารต่างๆดังเช่นว่า น้ำดื่ม เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล รวมทั้งสินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ เมื่อคนเรากินอาหารที่แปดเปื้อนสารพิษดังที่กล่าวถึงแล้ว ก็จะก่อให้กำเนิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเดิน พิษหลายชนิดทนต่อความร้อน ถึงจะประกอบอาหารให้สุกแล้ว พิษก็ยังคงอยู่รวมทั้งก่อให้เกิดโรคได้ ระยะฟักตัวขึ้นกับชนิดของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางประเภท 8-16 ชั่วโมง บางชนิด 8-48 ชั่วโมง โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษที่พบมากในอาหารหมายถึง
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่พบได้ในดินรวมทั้งน้ำในสภาพแวดล้อมทั่วๆไป ประเภทที่สามารถก่อโรคในคนแบ่งได้- Proteolytic strain มี type A ทั้งหมด แล้วก็บางส่วนของ type B รวมทั้ง F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยของกินได้ รวมทั้งทำให้ของกินมีลักษณะถูกปนเปื้อน
- Non-proteolytic strain ประกอบด้วย type E ทั้งหมดทั้งปวง และก็บางส่วนของ type B แล้วก็ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้ของกินมีลักษณะเปลี่ยน
เชื้อนี้เจริญเติบโตได้ดีในสภาพการณ์ห้อมล้อมที่มีออกสิเจนน้อย ก็เลยพบได้บ่อยในของกินบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยยิ่งไปกว่านั้นผลิตภัณฑ์ใส่กระป๋องที่ผ่านแนวทางการผลิตผิดสุขลักษณะ อย่างเช่น หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป พิษที่สร้างมาจากเชื้อจำพวกนี้กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการอ้วก ถ่ายท้อง ตามัวมัว แลเห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อเมื่อยล้า รวมทั้งครั้งคราวร้ายแรงจนบางทีอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวรวมทั้งเสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ชอบเกลือเข้มข้นสูงสำหรับเพื่อการเจริญวัย (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) ต่างกัน 12 ชนิด แล้วก็มีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วในเวลานี้มี 60 จำพวก พบได้บ่อยในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการออกสิเจน สร้างสปอร์ได้ มีพิษ 2 ชนิดคือ ประเภทที่ทนต่อความร้อนได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาเจียน และก็จำพวกที่ทนไฟไม่ได้นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการ อุจจาระหล่นส่วนมากพบเกี่ยวพันกับข้าว (เช่น ข้าวผัดในร้านค้าแบบบริการตนเอง) ผักรวมทั้งอาหารและก็พื้นที่เก็บรักษาไม่ถูกจำเป็นต้อง ณ.อุณหภูมิห้องหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายชนิดที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนถาวรต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อชอบแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในของกินและก็สร้าง toxin ขึ้น อาหารที่มี enterotoxin ส่วนมากเป็นของกินที่ปรุงแล้วก็สัมผัสกับมือของผู้ประกอบอาหาร และไม่ได้กระทำการอุ่นของกินด้วยอุณหภูมิที่สมควรก่อนที่จะกินอาหาร หรือแช่ตู้เย็น ตัวอย่างเช่น ขนมจีน ขนมเอ แคลร์ เนื้อ เมื่ออาหารเหล่านี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิห้องหลายชั่วโมงต่อเนื่องกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวและก็สร้างสารพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบบ่อยในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม นำไปสู่อาการท้องเสีย ถ่ายมีมูก คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ข้างใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีพิษก่อให้เกิดอาการท้องร่วง อี.โคไลมีพิษ 2 ประเภท เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่รวมทั้งถูกทำลายให้หมดไปด้วยการทำให้อาหารสุก แต่ว่าอีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมเพียงกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า และเป็นสารทนไฟที่ไม่อาจจะทำลายได้ด้วยความร้อน สารพิษทั้งสองประเภทมีผลทำให้ท้องร่วงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหากอาหารแปดเปื้อนพิษนี้แล้วไม่ว่าจะมีผลให้สุกก่อนไหม ก็จะไม่มีวันทำลายพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองได้ก็คือทิ้งอาหารนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) เจอการปนเปื้อนทั้งในสินค้าอาหารสดแล้วก็น้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เนื่องจากเชื้อจำพวกนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการอาเจียน คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง ตอนหลังการรับประทานอาหารภายใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) ประกอบด้วยเชื้อไวรัสหลากหลายชนิด อาทิเช่น ไวรัสโนโร (Norovirus) ที่ชอบปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำประเภทมีเปลือก และก็น้ำดื่มที่ไม่สะอาด แสดงอาการข้างใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ข้างใน 2-3 สัปดาห์
- อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ของกินเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ เจ็บท้องในลักษณะปวดบิดเป็นตอนๆอ้วก (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นต้นเหตุออกมาด้วย) แล้วก็ถ่ายเป็นน้ำหลายครั้ง บางรายอาจมีไข้รวมทั้งเมื่อยล้าร่วมด้วย โดยปกติ 80 – 90 % ของโรคอาหารเป็นพิษมักจะไม่ร้ายแรง อาการต่างๆมักจะหายได้เองข้างใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางประเภทอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นรุนแรง อาจอาเจียนและก็ท้องเดินรุนแรง จนกระทั่งร่างกายขาดน้ำแล้วก็เกลือแร่อย่างหนักได้ บางทีอาจพบว่า คนที่ทานอาหารร่วมกันกับคนไข้ (อาทิเช่น ปาร์ตี้ คนภายในบ้านที่รับประทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีอาการชนิดเดียวกันกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า ขึ้นกับชนิด และปริมาณของเชื้อ หรือ ของพิษ ซึ่งเจอกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกินอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนกระทั่งเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (ได้แก่ ในเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยปกติ พบมากเกิดอาการด้านใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน อาการโดยทั่วไปที่พบได้ทั่วไป จากโรคของกินเป็นพิษ อย่างเช่น ท้องเดิน บางทีอาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด เจ็บท้อง อาจมาก หรือ น้อย สังกัดความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด ด้วยเหตุว่าการบีบตัวของไส้ คลื่นไส้ คลื่นไส้ ในบางรายอาจมีคลื่นไส้เป็นเลือดได้ จับไข้สูง บางทีอาจหนาวสั่น แต่ว่าบางทีมีไข้ต่ำได้ ปวดศีรษะ เมื่อยตัว บางทีอาจปวดข้อ ขึ้นกับจำพวกของเชื้อหรือ สารพิษดังกล่าวแล้ว อาจมีผื่นขึ้นตามตัว อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังกล่าวข้างต้นแล้วด้วยเหมือนกัน มีลักษณะอาการของการสูญเสียน้ำภายในร่างกาย อาทิเช่น อ่อนล้า อ่อนล้าง่าย ปากแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะบ่อยครั้ง
- ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคของกินเป็นพิษ
- มีการกระทำการดูแลรักษาสุขลักษณะไม่ถูกจำเป็นต้อง ตัวอย่างเช่น ก่อนรับประทานอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
- การบริโภคของกินที่ผิดสุขลักษณะ เป็นต้นว่า บริโภคอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกบริโภคของกินที่ไม่มีการปกปิดจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการทานอาหารที่ค้างคืนและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่เหมาะสม
- การจัดเก็บและเตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด ดังเช่นการเก็บเนื้อสัตว์และก็ผักเอาไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างทำความสะอาดผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยากำจัดแมลงเหลืออยู่ที่ผัก
- การรักษาอาหารที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอ ตัวอย่างเช่น อาหารประเภทแกงกะทิ อาหารทะเล อาหารสด ควรจะเก็บรักษาไว้ในตู้แช่เย็นที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีความเย็นทั่วถึงฯลฯ
- การเลือดซื้ออาหารกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้นว่า อาหารกระป๋องที่มีรอยบุ๋ม รอยยุบ อาหารกระป๋องที่มีคราบเปื้อนสนิมบริเวณฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง เป็นต้น
- วิธีการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ หมอจะวินิจฉัยจากอาการแสดงของคนไข้เป็นหลัก ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีประวัติความเป็นมาว่าผู้ที่ทานอาหารด้วยกันบางคนหรือหลายคน (อย่างเช่น ปาร์ตี้ คนภายในบ้าน) มีอาการท้องร่วงในเวลาไล่เลี่ยกัน ในรายที่มีลักษณะอาการรุนแรง มีไข้สูง หรือสงสัยว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากสาเหตุอื่น หมออาจทำตรวจพิเศษเพิ่มเติมเช่น การตรวจเลือด ใช้ในกรณีที่คนป่วยมีลักษณะอาการรุนแรงมากกว่าอาการอาเจียนรวมทั้งท้องร่วง หรือมีภาวการณ์การขาดน้ำแล้วก็เกลือแร่ เพื่อตรวจค้นจำนวนเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดรวมทั้งลักษณะการทำงานของไต หรือในกรณีมีความเสี่ยงต่อการติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการดำเนินการของตับเพิ่ม การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาชนิดของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์เมื่อคนเจ็บมีการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ดังเช่นว่า แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่นำไปสู่อาการถ่ายเป็นเลือด
ทั้งนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสาเหตุของอาหารเป็นพิษยังทำได้ด้วยแนวทางการตรวจจำนวนแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือแนวทางอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการของคนป่วยรวมทั้งดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อดำเนินงานรักษาอย่างถูกต้องในลำดับต่อไป
กรรมวิธีรักษาโรคของกินเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ อย่างเช่น คุ้มครองภาวการณ์ขาดน้ำและก็ขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดเมื่อท้องร่วงมาก ยาพารา ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็ยาลดไข้ นอกจากเป็นการดูแลและรักษาตามต้นสายปลายเหตุ เป็นต้นว่าใคร่ครวญให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อเป็นผลมาจากติดโรคแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต่อต้านพิษถ้าเป็นชนิดมียาต้าน แม้กระนั้นคนไข้ส่วนมากมักมีอาการที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการดูแลตนเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุดเป็นจำต้องมานะอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจะกินน้ำเปล่ามากๆหรือจิบน้ำเสมอๆเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากอาการท้องเดินแล้วก็อาเจียนมากเกินไป
- การติดต่อของโรคของกินเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการทานอาหารที่มีการแปดเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีไวรัสบางชนิดเท่านั้น ที่สามารถเป็นสาเหตุของการติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษได้ ดังเช่นว่า ไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A) ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราว 2 – 3 อาทิตย์ แล้วลักษณะโรคจะปรากฏขึ้น
- การกระทำตนเมื่อป่วยด้วโรคอาหารเป็นพิษ[/url]ในผู้ใหญ่แล้วก็เด็กโต
- ถ้าปวดท้องรุนแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำทีละมากๆ) คลื่นไส้ร้ายแรง (จนดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้) เมื่อลุกขึ้นนั่งมีลักษณะหน้ามืดเป็นลม หรือมีภาวการณ์ขาดน้ำรุนแรง (ปากแห้ง คอแห้งผาก ตาโบ๋ ฉี่ออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จำต้องไปพบหมอโดยเร็วที่สุด
- ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ ชนิดสำเร็จรูปที่มีขายในตลาด หรืออาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มล.) ใส่น้ำตาล 30 มล. (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนรับประทานข้าวประเภทสั้น 3 ช้อน) แล้วก็เกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมครึ่งช้อน)มานะดื่มเป็นประจำครั้งละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนกระทั่งอาเจียน) ให้ได้มากพอกับที่ถ่ายออกไป โดยดูฉี่ให้ออกมากมายรวมทั้งใส
- ถ้าจับไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
- ให้รับประทานอาหารอ่อน ตัวอย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดอาหารรสเผ็ดและก็ย่อยยาก งดผักแล้วก็ผลไม้ จวบจนกระทั่งอาการจะหายก็ดีแล้ว
- ห้ามรับประทานยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ เนื่องจากว่าอาการท้องเสียจะช่วยขับเชื้อหรือพิษออกจากร่างกาย
ในขณะปวดท้อง หรือ คลื่นไส้อ้วก ไม่สมควรทานอาหาร หรือ ดื่มน้ำเนื่องจากอาการจะรุนแรงขึ้น ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากมายๆอย่างต่ำ 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำดื่ม พักผ่อนให้มากๆรักษาสุขลักษณะพื้นฐาน เพื่อป้องกันการแพร่ขยายเชื้อสู่คนอื่น ที่สำคัญหมายถึงการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะข้างหลังการขับ ถ่าย แล้วก็ก่อนที่จะรับประทานอาหาร
- ควรรีบไปพบหมอ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ อาเจียนมากมาย ถ่ายท้องมาก รับประทานไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนมีสภาวะขาดน้ำค่อนข้างจะรุนแรง มีลักษณะอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกคละเคล้าเลือดตามมา มีลักษณะอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาเหน็ดเหนื่อย หรือหายใจไม่สะดวก อาการไม่ดีขึ้นด้านใน ๔๘ ชั่วโมง มีลักษณะเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ สงสัยเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสารพิษ ตัวอย่างเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ สงสัยมีต้นเหตุจากอหิวาตกโรค เช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังจะมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กเล็ก (อายุต่ำลงมากยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
- หากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ถัดไป (ถ้าหากดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่ม เมื่อมีลักษณะดียิ่งขึ้น ให้รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (ยกตัวอย่างเช่น ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องร่วงจำพวกใดทั้งหมด
- ถ้าถ่ายท้องร้ายแรง อาเจียนรุนแรง ดื่มนมหรือน้ำมิได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมาก (ในเด็กตัวเล็กๆ) หายใจหอบแรง หรืออาการแย่ลงใน ๒๔ ชั่วโมง ต้องไปพบหมออย่างรวดเร็ว
- การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การคุ้มครองและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกต้นสายปลายเหตุมีวิธีการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังต่อไปนี้
- เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี
- ปรุงอาหารที่สุก
- ควรทานอาหารที่สุกใหม่ๆ
- รอบคอบของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
- ของกินที่ค้างมื้อจำเป็นต้องทำให้สุกใหม่ก่อนกิน
- แยกของกินดิบและก็ของกินสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
- ล้างมือก่อนแตะต้องของกินไปสู่ปาก
- ให้ละเอียดลออเรื่องความสะอาดของห้องครัว
- เก็บอาหารให้ไม่มีอันตรายแล้วยังปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
- ใช้น้ำที่สะอาด
- ไม่กินครึ่งดิบครึ่งสุกระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่ไม่เคยทราบ ระแวดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
- เมื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านที่สะอาด ไว้ใจได้
- เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น จำเป็นต้องเก็บแยกจากอาหารอื่นๆทุกชนิด และจะต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เนื่องจากว่าเชื้อแบคทีเรียโดยมาก จะอยู่ในอาหารสดเหล่านี้
- ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งเอาไว้ หรือ แช่น้ำ เนื่องจากว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ควรจะละลายด้วยไมโครเวฟ
- รักษาความสะอาดของผักสด ดังเช่นว่า ถั่วงอก สลัด แล้วก็อาหารสำเร็จรูปต่างๆ
- การถนอมอาหารอย่างถูกต้อง ทำให้อาหารเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงรวมทั้งนานเพียงพอเพื่อทำลาย toxin รวมทั้งการแช่แข็งเพื่อถนอมอาหารเป็นระยะเวลานาน
- หากอาหารมีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติดังเช่น กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสไม่ปกติ อาจมี fermentation เป็นความมีโอกาสเสี่ยงต่อการนำโรค
- บริโภคอาหารกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกหน
- สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาลักษณะของโรคอาหารเป็นพิษ
ขิง ในขิงนั้นจะมีสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีคุณประโยชน์ช่วยทุเลาอาการปวดท้อง อาการท้องอืด ท้องอืด สามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพในมารดาที่ให้นมลูกได้ดิบได้ดีแล้วก็ไม่มีอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก นอกนั้นในกรณีที่ท้องร่วง การกินน้ำขิงจะช่วยทำให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคน้อยลง แล้วก็ยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาการท้องเดินมีความร้ายแรงก็ควรรีบไปพบแพทย์
กระชา[/b] คุณประโยชน์ เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้เจ็บท้อง เหง้ารวมทั้งราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับฉี่ แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ
มังคุด สรรพคุณ รักษาโรคท้องเดินเรื้อรัง และก็โรคไส้ ยาแก้ท้องร่วง ท้องร่วงยาแก้บิด (ปวดเบ่งและก็มีมูก และอาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ ยาแก้อาการท้องเสีย ท้องเสีย ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำรับประทาน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง ยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูกและอาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งราวๆ ½ ผล (4 กรัม) ปิ้งไฟให้ไหม้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสราวๆครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผุยผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง- นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 390.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2554
- สุวรรณา เทพสุนทร.ความรู้เรื่องโรคอาหารเป็นพิษ.กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
- อาหารเป็นพิษ,อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Weisman RS. Botulism. In: Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Lewin NA, et al (eds). Goldfrank’s Toxicologic Emergencies. 5th ed. Connecticut: Appleton&Lasge, 1994:937-948.
- พญ.สลิล ธีระศิริ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่85.คอลัมน์กลไกการเกิดโรค.พฤษภาคม.2529
- Lond BM. Food-borne illness. Lancet 1990;336:982-6. [url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/[/b]
- Critchley ER, Michel JD. Human botulism. Br J Hosp Med 1990;93:290-2.
- ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อาหารเป็นพิษ (Food poisoning).หาหมอ.
- นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ(Food poisoning).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.หน้า490-492