โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 22 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หนุ่มน้อยคอยรัก007
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 21, 2018, 08:13:59 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง[/u],โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)

  • โรค SLE เป็นยังไง โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease)  เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานขัดขวาง หรืออิมมูน (Immune) ไม่ปกติ โดยจะต้านทานเยื่อเกี่ยวเนื่องของเนื้อเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ เป็นผลให้มีการอักเสบเรื้อรัง (จำพวกไม่ใช่จากการต่อว่าดเชื้อ) ของเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้หลายครั้งดังเช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะเหนือกว่าเนื่องจนกระทั่งเป็น โรคเรื้อรังประเภทหนึ่ง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกกล้วยๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มโรคภูมิต้านทานสติไม่ดี มีสาเหตุจากการที่ร่างกายคนเจ็บผลิตโปรตีนของภูมิต้านทานในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินธรรมดา ก่อปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตัวอย่างเช่น จากปกติภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะต้านทานเชื้อโรคและสิ่งเจือปน ดังเช่น แบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสจากด้านนอกร่างกาย กลับต้านทานร่างกายของตนเอง กระทั่งส่งผลให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆและก็กำเนิดเป็นโรค SLE ท้ายที่สุด
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า สุนัขป่า ซึ่งคาดคะเนว่า มาจากการที่ผื่นที่ใบหน้าที่เกิดขึ้นจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งเหมือนลักษณะขนบนบริเวณใบหน้าของหมาป่า หรือเหมือนถูกสุนัขป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่ผู้หญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/สุนัขป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune disease) ที่พบมากในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (ร้อยละ 90) โดยพบได้มากในสตรีอายุตอน 20-30 ปี เจอในสตรีเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยครั้งที่สุด รองลงไปตามลำดับหมายถึงสตรีทวีปเอเชีย และก็เพศหญิงผิวขาว

  • สาเหตุของโรค SLE พยาธิเกิดยังไม่ทราบแจ้งชัด แม้กระนั้นสันนิษฐานว่าเกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีการสนองตอบอย่างไม่ปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่งบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่างๆจึงจัดเป็นโรคภูเขามิต่อต้านตัวเอง (autoimmune) ชนิดหนึ่ง อาจเจอต้นสายปลายเหตุที่กระตุ้นให้อาการไม่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ยาบางจำพวก (เป็นต้นว่า ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราซิล) การเช็ดกแดด การกระทบกระเทือนด้านจิตใจ สภาวะมีครรภ์ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านี้  ยังสันนิษฐานว่า บางทีอาจเกี่ยวโยงกับฮอร์โมนผู้หญิง (เนื่องจากว่าพบได้ทั่วไปในหญิงวัยข้างหลังมีระดูแล้วก็ก่อนวัยหมดประจำเดือนรวมทั้งพบมากกว่าเพศ 7-10 เท่า)   และก็พันธุกรรม (พบมากในคนที่มีพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคเกิดจากมีความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน เกิดภาวะภูมิไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวประเภท T แล้วก็ B lymphocyte ทำให้เกิดการผลิต autoantibodies ยับยั้งเนื้อเยื่อของตนเองและก็เกิด immune complex ลอยละล่องไปตามกระแสโลหิตไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกเหนือจากนั้นยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex นำไปสู่การอักเสบของอวัยวะรวมทั้งเส้นโลหิตก่อให้เกิดการเกิดพยาธิสภาพในหลายอวัยวะ

  • อาการโรค SLE โรคนี้พบมากในวัยหนุ่มสาว อายุ 15-40 ปี ผู้หญิงมากยิ่งกว่าเพศชาย อาการรวมทั้งอาการแสดงบางทีอาจต่างกันได้มาก คนไข้บางรายอาจมีอาการน้อยอาทิเช่น เป็นไข้ อ่อนแรง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมหล่น มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีดเซียว ติดเชื้อโรคง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ นิ้วซีดเซียวเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม ฉี่ไม่ดีเหมือนปกติ มีความผิดธรรมดาทางไต เหนื่อย เจ็บหน้าอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ แล้วก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมเพียงกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งครั้งละระบบ

ซึ่งจะมีลักษณะที่เกิดขึ้นอยู่กับอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนเจ็บมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และก็โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปเหมือนผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแสงอาทิตย์ หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามบริเวณใบหน้า หนังหัว หรือรอบๆใบหู มีแผลในปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆเพดานปาก นอกเหนือจากนั้นยังมีผมตกมากยิ่งขึ้น
อาการทางข้อแล้วก็กล้ามเนื้อ คนป่วยโดยมากจะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งบางคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต ผู้ป่วยมักมีอาการบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เนื่องจากว่ามีลักษณะอักเสบที่ไต รายที่มีลักษณะรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดน้อยลง ทำให้มีลักษณะเมื่อยล้า มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกเรียกตัวได้
อาการทางระบบประสาท คนป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดเรื่อยเปื่อยไม่รู้เรื่อง หรือเหมือนคนโรคจิตจำวงศาคณาญาติมิได้ เนื่องจากมีการอักเสบของสมองหรือเส้นโลหิตในสมอง
นอกนั้น ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย เป็นต้นว่า มีไข้ อ่อนล้า ไม่อยากกินอาหาร เมื่อยกล้าม ปวดศรีษะ จิตใจเศร้า ร่วมได้ ลักษณะของโรคชอบแสดงความร้ายแรงมากมายหรือน้อยภายในช่วงเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีลักษณะอาการ ต่อจากนั้นชอบเบาลงเรื่อยแต่ว่าอาจมีอาการไม่ดีขึ้นรุนแรงได้เป็นครั้งๆ  ในขณะนี้โรคเอสแอลอียังมีวิธีที่ไม่อาจจะรักษาให้หายสนิทได้ แต่สามารถควบคุมลักษณะของโรคให้สงบ รวมทั้งดำรงชีพได้ตามปกติแม้รักษาได้ทันเวลา

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค SLE
  • เพศ เพราะเจอโรคได้สูงในเพศหญิง ซึ่งพบมากกว่าเพศชายถึง 7 เท่า
  • การติดเชื้อบางชนิดจากแบคทีเรีย รวมทั้งไวรัส บางชนิด
  • การถูกแสงอาทิตย์จัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆและอาหารบางจำพวก
  • การสูบยาสูบ
  • ฮอร์โมนเพศหญิง (เพราะโรคนี้กำเนิดในเพศหญิงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าในผู้ชาย ถึงประมาณ 7-10 เท่า) แล้วก็การมีท้อง
  • จากผลข้างเคียงของยาบางประเภท เป็นต้นว่า ยาป้องกันการชัก ยาคุม และก็ยาลดน้ำหนักบางจำพวก ซึ่งเมื่อมีสาเหตุมาจากยา ข้างหลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก และ การบริหารร่างกายเกินไป
  • พันธุ์บาป โดยเฉพาะคนที่ครอบครัวมีประวัติมีอาการป่วยด้วยโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์)

  • มีไข้ต่ำๆไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • มีลักษณะอาการปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นใบหน้า หรือมีผื่นคันรอบๆที่ถูกแดด
  • มีผมตกมากไม่ดีเหมือนปกติ
  • มีลักษณะอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • แนวทางอาการรักษาโรค SLE

การวิเคราะห์โรค เหตุเพราะโรค SLE มีความหลากหลายในอาการและอาการแสดงโดยเหตุนี้จึงมีการตั้งมาตรฐานสำหรับเพื่อการวินิจฉัย ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจพบ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย ต้องอาศัยอาการทางสถานพยาบาลร่วมกับการตรวจทางห้องทดลอง การวินิจฉัยมักไม่เป็นปัญหาด้วยเหตุว่าคนเจ็บจำนวนมากจะมีอาการแน่ชัด ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ เมื่อยล้า มีไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แม้กระนั้นการวิเคราะห์จะมีความทุกข์ยากในคนเจ็บบางกรณีอย่างเช่น เพศชาย, ผู้สูงวัยหรือผู้เจ็บป่วย ที่มีอาการแสดงเพียงระบบเดียวจำเป็นต้อง อาศัยการตรวจทางห้องทดลองซึ่งตัวอย่างเช่น CBC, UA, CXR แล้วก็ ANA ช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดขึ้นจากโรคอื่น
นอกเหนือจากนั้นแพทย์จะกระทำวิเคราะห์โดยอาศัยผลการตรวจทางห้องทดลองอื่นๆอีกเป็นต้นว่า ตรวจเลือด พบแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) และแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจปัสสาวะอาจเจอสารไข่ขาวแล้วก็เม็ดเลือดแดง  นอกจากนั้น บางทีอาจจำต้องกระทำตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจแล้วก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  ปัจจุบันยังไม่มียา หรือแนวทางการรักษาโรคนี้ให้หายสนิทได้ แต่เป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นช่วงและการรักษาเกื้อกูลตามอาการ   การรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องตัวโรคของผู้เจ็บป่วย การกระทำตัวอย่างถูกต้องของคนไข้  รวมทั้งการดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอผู้ทำการดูแลและรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่รุนแรง (ดังเช่นว่า มีเพียงไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) หมออาจจะเริ่มให้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าเกิดไม่ได้ผลอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการพวกนี้
ในรายที่เป็นร้ายแรง หมอจะให้สตีรอยด์ (เป็นต้นว่า เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นอาทิตย์หรือหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดียิ่งขึ้นจึงค่อยๆลดขนาดยาลง แล้วก็ให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยๆบางทีอาจนานเป็นนานแรมปีหรือกระทั่งจะเห็นว่าไม่มีอันตราย หากให้ยาดังที่กล่าวมาแล้วแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะให้ยากดภูมิต้านทาน ดังเช่นว่า ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) ฯลฯ
ในรายที่มีลักษณะอาการรุนแรง อย่างเช่น บวม หายใจหอบ มีอาการเปลี่ยนไปจากปกติทางสมอง ฯลฯ จึงควรรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล จนกระทั่งจะไม่เป็นอันตราย จึงให้คนเจ็บกลับบ้านและก็นัดมาตรวจกับแพทย์เป็นช่วงๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความไม่ดีเหมือนปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อของตน ก็เลยก่อให้เกิดอาการต่างๆของโรค SLE ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แต่มีแถลงการณ์ว่าอาจเจอการถ่ายทอดด้านกรรมพันธุ์ได้)
  • การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรค SLE
  • คนไข้ควรจะรู้ดีว่า โรคนี้มีความร้ายแรงไม่เหมือนกัน บางบุคคลอาจมีอาการนิดหน่อย แต่บางคนอาจมีอาการร้ายแรงได้ แม้ว่าคนป่วยมีลักษณะนิดหน่อย หากมิได้รับการดูแลและรักษา อาการบางทีอาจร้ายแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะกำเริบแล้วก็สงบสลับกันไป ด้วยเหตุนี้ควรจะมารับการตรวจรักษาจากหมอโดยสม่ำเสมอ รับประทานยาตามสั่งโดยเข้มงวด ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เวลาป่วยไม่ควรซื้อยากินเอง ควรพบหมอและก็บอกแพทย์เหตุว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการดูแลและรักษาที่เหมาะสม และหมอจะได้เลี่ยงยาบางตัวที่อาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • หลบหลีกการสนิทสนมกับคนเจ็บที่เป็นโรคติดเชื้อโรค เหตุเพราะคนไข้โรคเอสแอลอีบางทีอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย และก็โรคเอสแอลอีบางทีอาจกำเริบเสิบสานขึ้นได้
  • หากมีอาการที่บ่งถึงการตำหนิดเชื้อ เป็นต้นว่า ไข้สูง ไอ
  • ควรจะตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการทำฟัน ถอนฟัน ควรจะกินยาปฏิชีวนะก่อนแล้วก็หลังทำ เพื่อคุ้มครองป้องกันการติดเชื้อ ดังนี้จะต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของหมอ
  • ถ้ามีลักษณะอาการแตกต่างจากปกติ ที่บางทีอาจบ่งว่าโรคกำเริบเสิบสาน เป็นต้นว่า ไข้ อ่อนล้า ผมร่วง ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรจะมาพบหมอก่อนนัดหมายได้
  • เลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะระหว่าง 10.00-16.00 น. เพราะเหตุว่าแสงแดดจะทำให้โรคกำเริบได้ ผู้ป่วยที่แพ้แสงสว่างมากมาย ควรที่จะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าเกิดจะต้องออกไปถูกแสงอาทิตย์
  • เลี่ยงภาวะเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ควรจะพักให้พอเพียง บริหารร่างกายบ่อย
  • ไม่รับประทานของกินครึ่งดิบครึ่งสุกหรือเปล่าสะอาด สถานที่แออัด เนื่องจากว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ถ้าหากโรคยังไม่สงบ ไม่ควรมีครรภ์ เนื่องด้วยโรคอาจกำเริบขณะท้องได้ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยและเด็กแรกคลอด นอกจากนี้ยาที่กินเพื่อควบคุมโรคในคนไข้บางรายอาจมีผลต่อลูกในท้อง ถ้าหากโรคสงบแล้ว สามารถมีท้องได้แม้กระนั้นควรจะขอความเห็นแพทย์ก่อน แล้วก็ขณะมีครรภ์ควรมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะบางครั้งบางคราวโรคอาจกำเริบเสิบสาน
  • การคุมกำเนิด ควรจะเลี่ยงการใช้ยาคุม ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสาน ในการใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการต่อว่าดเชื้อ ชี้แนะว่าให้ใช้ถุงยาง
  • คนป่วยที่ได้รับยาลดอาการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้าเกิดมีลักษณะปวดท้อง ควรแจ้งให้หมอทราบ
  • ดื่มนมสด หรือกินอาหารที่มีแคลเซียมสูงปกป้องกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE

พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ