โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 4 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 23, 2018, 04:15:21 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

  • โรคไตเป็นยังไง "ไต" มีรูปร่างเหมือนเม็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น ๒ ข้าง อยู่ข้างหลังท้องข้างละ ๑ อัน ไตปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย ผ่านทางเยี่ยว ข้างละราวๆ 1 ล้านหน่วย แล้วก็ยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ แล้วก็สมดุลกรด-ด่างในร่างกาย สร้างฮอร์โมน ดังเช่น ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม และฟอสเฟต (คือ วิตามินดี นั่นเอง) และก็ฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดหลักแหลมของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราบางครั้งอาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง แล้วก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามธรรมดา เพราะเหตุว่าไตข้างที่เหลือจะดำเนินงานแทนได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ และหากไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับพฤติกรรมไปได้เรื่อยๆก็ยังไม่เกิดอาการอะไรเช่นเดียวกัน จนเมื่อไตเสียไปมาก ดำเนินการได้เพียงแค่ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ ก็เลยจะกำเนิดมีลักษณะของโรคไต

    โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วไป ก่อให้เกิดผลเสียต่อราษฎรทุกอายุ เชื้อชาติ รวมทั้งทุกสถานะทางด้านเศรษฐกิจ ความชุกแล้วก็อุบัติการณ์ของโรคที่มากขึ้นเนื่องมาจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งโรคอ้วน ในประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรมากยิ่งกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 เป็นโรคไตเรื้อรัง และก็มีประชาชนกว่า 20 ล้านผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง เพราะผู้ป่วนปั่นจะไม่มีอาการในระยะต้น อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการดำเนินการไปมากกว่าปริมาณร้อยละ 70 – 80  โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวการณ์ที่มีการเสื่อมการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวระบุว่าไตถูกทำลายจากความผิดแปลกของเลือดหรือปัสสาวะหรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตต่ำลงน้อยกว่า 60 มล./นาที/พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร ตรงเวลา 3 เดือน หรือมากยิ่งกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคโดยมากชอบทำให้ไตเสื่อมลงอย่างยั่งยืน ไม่สมารถยนต์กลับมาดำเนินการอย่างปกติได้ รวมทั้งตอนนี้พบได้บ่อยขึ้นในมวลชนไทยและก็บางครั้งอาจจะร้ายแรงไปจนกระทั่งการเกิดภาวการณ์ไตวายรวมทั้งเสียชีวิตได้ในที่สุด
    การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง  โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรงดังนี้
    ระยะที่ 1 พบมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยเจอความแตกต่างจากปกติจากการวิเคราะห์เลือดปัสสาวะเอกซเรย์ หรือพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในมาตรฐานธรรมดา พูดอีกนัยหนึ่ง มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
    ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการต่ำลงของอัตราการกรองของไตน้อยเป็นอยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
    ระยะที่ 3 มีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 30 – 59 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 4 มีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง คืออยู่ในตอน 15 – 29 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.มัธยม
    ระยะที่ 5 มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะในที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.)

  • ต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังคือ โรคไตเรื้อรังมีต้นเหตุการเกิดโรคได้หลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งต้นเหตุการเกิดได้ดังต่อไปนี้ สาเหตุนอกไต ตัวอย่างเช่น เบาหวาน พบว่ามีผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ที่พึ่งพิงอินสุลิน 20-50% ที่ก่อให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายภายในเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยการใช้การให้อินสุลิน รวมทั้งโรคเบาหวานยังทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงปริมาณร้อยละ 30-40 รวมทั้งส่งผลให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุดได้ถึงร้อยละ 45 นอกเหนือจากนั้นเบาหวานยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต ความดันเลือดสูง แล้วก็ไขมันในเลือดสูงได้ เบาหวานทำให้มีความผิดธรรมดาของหลอดเลือดหลอดฝอยไต ทำให้เส้นโลหิตแข็งเพิ่มแรงต่อต้านของเส้นโลหิตที่ไต และก็ระบบความดันเลือดสูงขึ้น ไตได้รับเลือดลดลง แล้วก็ขาดเลือด จึงนำมาซึ่งไตล้มเหลวตามมา  โรคความดันเลือดสูง พบว่าความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคไตเรื้องรังได้ถึงร้อยละ 28 เหตุเพราะไตจึงควรได้รับเลือดมาเลี้ยงไม่น้อยเลยทีเดียวจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการกรองแล้วก็กระบวนการทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตลดน้อยลงก็เลยทำให้วิธีการทำหน้าที่ของไตไม่ปกติเช่นกัน ความดันดลหิตสูงเกิดเนื่องด้วยเส้นโลหิตแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตน้อยลง รวมทั้งกระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนสิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มความดันดลหิต ยิ่งกว่านั้น ความดันโลหิตสูงยังเกี่ยวกับโรคของเนื้อไต ตัวอย่างเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis ฯลฯ ทำให้ไตขับน้ำ และเกลือได้น้อยลง มีการคั่งของน้ำรวมทั้งเกลือเพิ่มขึ้น ความดันเลือดต่ำ ภาวะช็อคจากหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิต หรือความดันโลหิตต่ำมีผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ของไต ทำให้เส้นโลหิตที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดน้อยลง  โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด มีผลต่อปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำรวมทั้งโซเดียม มีการคั่งของน้ำในหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการบวม โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด (Thromboembolic) ภาวะ Disseminated Intravascular Coagulopathy ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือดที่ไต เป็นต้นเหตุให้ไตขาดเลือด การตำหนิดเชื้อในกระแสเลือด อาจมีผลต่อการทำหน้าที่ของไต มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำแล้วก็จะกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกายกระตุ้นให้เกิดGlomerulonepritis การท้อง ส่งผลต่อการทำหน้าที่ขอบงไต การมีท้องในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะดำรงอยู่ 9 -1 2 อาทิตย์ ทำให้อัตราการกรองของไตมากขึ้น 30 – 50 % ระหว่างตั้งท้อง ทำให้ Creatinine Clearance มากขึ้น การขับกรดยูริกลดน้อยลง การตั้งครรภ์อาจทำให้โปรตีนในฉี่เพิ่มขึ้น ปัสสาวะเยอะขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งฉี่บ่อยครั้งในตอนการคืน

สารที่เป็นพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ กำเนิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก ดังเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองคำลิเทียม พิษต่างๆเป็นต้นว่า เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสงสว่าง ยาแก้ปวด ดังเช่นว่า Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID เป็นต้น
โรคที่มีสาเหตุเนื่องมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนที่มาอุดตันได้ในระบบฟุตบาทปัสสาวะ แล้วก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการตอบสนองต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น วิธีการอักเสบกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการดูแลและรักษาก็จะมีผลให้กำเนิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับรวมทั้งการขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้วิธีการทำหน้าที่ของไตลดลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต แล้วก็ Calices ทำให้มีการอุดกั้นของเยี่ยว การสะสมของน้ำปัสสาวะ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดแรงกดดันในกรวยไตเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย โรคมะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งการอุดกันของระบบฟุตบาทปัสสาวะ และก็กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตบวมน้ำตามมา

  • ลักษณะของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้องรังส่วนมากทำให้ไตเปลี่ยนไปจากปกติทั้งสองข้าง ในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปๆมาๆกขึ้น อาจมีอาการต่างๆเหตุเพราะไตดำเนินงานผิดปกตินำไปสู่การคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินรวมทั้งของเสียในเลือด เช่น จำนวนปัสสาวะน้อยลง ความดันเลือดสูงขึ้น ซีด เหน็ดเหนื่อยง่ายดายมากยิ่งขึ้น เบื่ออาหาร อ้วกคลื่นไส้ นอนไม่หลับ คันเรียกตัว มีลักษณะบวมที่หน้า ขา และก็ลำตัว ความรู้สึกตัวลดน้อยลง หรือมีลักษณะชัก เป็นต้น

ซึ่งอาการของโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ประมาณว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไร โดยในคนทั่วๆไปจะมีค่านี้อยู่ราว 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบ่งบอกถึงแจ่มกระจ่าง แต่ว่ารู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา อย่างเช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในระยะเริ่มต้นนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ประมาณ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แต่บางทีอาจพบอาการไตอักเสบหรือสภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในเยี่ยว ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตต่ำลง แต่ว่ายังไม่มีอาการใดๆชี้ให้เห็นนอกจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียง 60-89 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาให้เห็น นอกเหนือจากค่า eGFR ที่ลดลงโดยตลอด โดยในตอนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อยหมายถึงระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที และก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของผู้ป่วยจะค่อยแสดงในตอนนี้ นอกเหนือจากค่า eGFR จะลดลงเหลือเพียงแค่ 15-29 มล./นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีปัสสาวะออกมากรวมทั้งเยี่ยวหลายครั้งยามค่ำคืน ผู้ป่วยจะมีอาการเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าง่าย ไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักตัวลดน้อยลง อาเจียน อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดหัว ตามัว ท้องร่วงหลายครั้ง ชาตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและก็มีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุนำไปสู่สารให้สีของผิวหนังเปลี่ยน) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งก่อเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบเหน็ดเหนื่อย สะอึก กล้ามเป็นตะคิวบ่อย ใจสั่นหวิว ใจสั่น เจ็บทรวงอก มีอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา และก็เท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรือคลื่นไส้เป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวตลอดเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะในที่สุดของภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกเหนือจากผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวะโลหิตจางที่ร้ายแรงขึ้น และก็อาจตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด นำมาสู่ภาวการณ์กระดูกบางและก็เปราะหักง่าย ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลรักษาอย่างทันเวลาก็บางทีอาจจะเสียชีวิตได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไตเรื้อรัง
  • คนที่มีสภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคความดันเลือดสูง
  • คนที่มีสภาวะเสี่ยงเป็นโรคเส้นโลหิตหัวใจ
  • ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเหลือเกิน ดังเช่นว่า ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น Tetacyclines, Amphoteracin B ฯลฯ และยาพารา อย่างเช่น ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates ฯลฯ
  • แนวทางการรักษาโรคไตเรื้อรัง การวิเคราะห์โรคไตเรื้อรังประกอบด้วยดังต่อไปนี้  การประมาณอัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร  Cockcroft-gault หรือสูตร Modification  of Diet in Renal Disease (MDRD) การคาดการณ์จำนวนโปรตีนในปัสสาวะ โดยใช้แถบตรวจเยี่ยว  (Dipstick  Test) เมื่อแถบตรวจวัดผลตอบแทน 1 บวกขึ้นไป ควรตรวจเยี่ยวยืนยันจำนวนโปรตีนด้วยการประมาณค่ารูปทรงของโปรตีนต่อครีเอติเตียนนิน  การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจขี้ตะกอนเยี่ยว  (Urine Sediment)

หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการอุดตัน มีนิ่ว รวมทั้งมี Polycystic Kidney Disease รวมทั้งยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำเป็นทางคลินิกจากอาการรวมทั้งอาการแสดงของโรค รวมทั้งตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์อื่นๆการทำงานของตับ และก็ X-ray หัวใจ แล้วก็ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
                การรักษาไตวายเรื้อรัง ถ้าหากสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะส่งผู้เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อกระทำตรวจฉี่ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆรวมทั้งบางรายอาจจะต้องทำการเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากไตเพื่อส่งไปตรวจด้วย โดยการดูแลและรักษานั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วย คือ โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำการรักษา แต่ว่าจึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์อาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรือบางทีอาจนัดมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าเกิดค่าประเมินอัตราการกรองของไตต่ำลงมากเพิ่มขึ้น) รวมทั้งโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตทำงานน้อยลงอย่างมาก คนเจ็บควรต้องได้รับการรักษาหลายๆวิธีร่วมกันเพื่อเกื้อหนุนอาการให้อยู่ในระดับคงเดิมเพื่อรอการเปลี่ยนถ่ายไต และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งออกเป็น
การดูแลและรักษาที่ต้นสายปลายเหตุ ถ้าคนไข้มีต้นสายปลายเหตุแจ้งชัด หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ ตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ยังจำเป็นต้องรักษาภาวะเปลี่ยนไปจากปกติต่างๆที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากภาวะไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อระยะด้านหลัง (มักมีระดับยูเรียไนโตรเจนและก็ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 แล้วก็ 10 มิลลิกรัม/ดล. ตามลำดับ) การดูแลและรักษาด้วยยาจะไม่ได้เรื่อง คนไข้จะต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยถูล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ร่วมกันหลายวิธี ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้คนไข้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายบางทีอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แม้กระนั้นก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ออกจะแพงอยู่ ทั้งนี้การจะเลือกล้างไตด้วยวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เพราะการล้างไตจะมีผลใกล้กันหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อ้วก ทั้งยังการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนป่วยอีกด้วย ด้วยเหตุนั้น จึงจะต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยรวมทั้งตกลงใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับคนไข้เยอะที่สุด)
การเปลี่ยนถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนเจ็บโรคไตเรื้อรังระยะท้ายบางราย หมออาจตรึกตรองให้การรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งวิธีนี้นับว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในขณะนี้ เพราะเหตุว่าถ้าหากการปลูกถ่ายไตได้ผลดีก็จะสามารถช่วยให้คนเจ็บมีคุณภาพชีวิตที่ดีราวกับคนธรรมดาและแก่ได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป แต่ การเปลี่ยนถ่ายไตก็เป็นแนวทางการรักษาที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนหลายประการ มีราคาแพง และต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้ให้ที่มีไตเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเจ็บได้ ซึ่งไม่ใช้ว่าจะง่าย ทั้งยังจำนวนของไตที่ได้รับการบริจาคก็ยังมีน้อยกว่าผู้ที่คอยรับการให้ทาน คนไข้จึงอาจจำเป็นต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตถัดไปเรื่อยจวบจนกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แต่อาการของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเท่านั้น) ยิ่งกว่านั้น ตอนหลังการปลูกถ่ายไต คนเจ็บต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานทุกวี่ทุกวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต้านทานไตใหม่

  • การติดต่อขอโรคไตเรื้อรัง[/url] โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดจากภาวะที่ไตดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติและก็เป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนรวมทั้งจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง คนเจ็บที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะติดตามการดูแลรักษากับหมออย่าได้ขาด ควรรับประทานยาแล้วก็ประพฤติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่สมควรปรับปริมาณยาเอง หรือซื้อยารับประทานเอง เพราะเหตุว่ายาบางอปิ้งอาจมีพิษต่อไตได้ นอกเหนือจากนี้ คนเจ็บควรปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้
  • จำกัดปริมาณโปรตีนที่รับประทานไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดจำนวนของ ไข่ นม แล้วก็เนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) และก็รับประทานข้าว เมล็ดธัญพืช ผักแล้วก็ผลไม้ให้มากขึ้น
  • จำกัดจำนวนน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณฉี่ต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ประมาณ ๘๐๐ มล./วัน) ตัวอย่างเช่น หากคนป่วยมีปัสสาวะ ๖๐๐ มิลลิลิตร/วัน น้ำที่ควรจะได้รับพอๆกับ ๖๐๐ มิลลิลิตร + ๘๐๐ มิลลิลิตร (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มิลลิลิตร/วัน)
  • จำกัดจำนวนโซเดียมที่รับประทาน ถ้าเกิดมีอาการบวมหรือมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรงดเว้นอาหารเค็ม งดใช้เครื่องปรุง (ดังเช่นว่า น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกประเภท) ผงชูรส สารกันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู (อาทิเช่น ขนมปังข้าวสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาแดก ของดอง หนำเลี๊ยบ)
  • จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้ามีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะโคน มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ ฯลฯ

ในรายที่มีระดับความดันเลือดสูง ควรจะลดความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการกินอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย รวมทั้งรับประทานยาจากที่หมอแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ร่วมด้วยควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าขั้นใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้นๆจึงจะสามารถปกป้องหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนป่วยควรจะได้รับการดูแลรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย ได้แก่ รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินเยี่ยว รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น นอกนั้นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับการวิเคราะห์เลือดและก็ฉี่เป็นระยะ เพื่อประเมินลักษณะการทำงานของไต รวมทั้งรักษาผลแทรกฝึกซ้อมที่เกิดขึ้นจากโรคไตเรื้อรัง

  • การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กมองว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน รวมทั้งโรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเกิดเป็นจะต้องรักษาอย่างเอาจริงเอาจังและก็ต่อเนื่องจนถึงสามารถควบคุมระดับความดันเลือด ระดับน้ำตาลและก็กรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ธรรมดา  เมื่อเป็นโรคติดโรคฟุตบาทเยี่ยว (ดังเช่นว่า) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แขนวมไตอับเสบ) หรือมีภาวะอุดกันทางเท้าเยี่ยว (ดังเช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) จะต้องทำการรักษาให้หายขาด ควรรับการตรวจสุขภาพขั้นต่ำปีละครั้ง รวมถึงการตรวจเลือดรวมทั้งปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็ม หลบหลีกการใช้ยาและก็สารที่มีพิษต่อไต ติดต่อกันนาน ไตจะเสื่อมสมรรถนะจนถึงเป็นไตวายได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาพาราข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ และยาปฏิชีวนะบางจำพวก หลบหลีกการกลั้นเยี่ยวนานๆเพราะเหตุว่าทำให้เชื้อโรคลงไปยังกระเพราะฉี่ และเกิดการอักเสบ หลีกเลี่ยงการสูบยาสูบ
  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกเลือดบำรุงไตให้ย้ำไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก    ใบบัวบกถือว่ามีสาระโดยตรงสำหรับคนที่เป็นโรคไต เนื่องจากว่ามีสารสำคัญหลายแบบที่เกี่ยวพันกับระบบเลือดโดยตรง อย่างเช่น ตรีเตอพีนอยด์(อะสิเอว่ากล่าววัวไซ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดระดับความดันเลือดสูง       ใบบัวบกจึงมีคุณประโยชน์สำหรับในการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในคนไข้โรคไตได้เป็นอย่างดี คนที่กินน้ำใบบัวบกนอกเหนือจากการที่จะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายหลอดเลือดทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกสิเจนในเส้นเลือดฝอยมากเพิ่มขึ้น ร่างกายจะสามารถจับออกสิเจนอิสระได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกเลือดไปในตัว เห็ดหลินจือ อาจารย์ภาควิชาแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำสรรพคุณของเห็ดหลินจือมาทดสอบรักษาผู้ป่วยโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดจำนวนไข่ขาวในฉี่ได้ แล้วก็ช่วยชะลออาการไตเสื่อมได้ดิบได้ดี    ปัญหาของคนป่วยโรคไต คือจะมีสารที่ก่อกำเนิดการอักเสบจะลดลดน้อยลง จากการเล่าเรียนพบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อภายในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างยอดเยี่ยม  สำหรับคนที่เป็นโรคไตดื่มบ่อยๆจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เพราะช่วยลดการอักเสบข้างใน ตลอดจนเป็นยาขับเยี่ยวอ่อนๆช่วยขับเยี่ยวที่คั่งค้างอยู่ด้านใน สลายนิ่วและสิ่งอุดตัน ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างได้ เก๋ากี้ฉ่าย    คนที่มีความดันเลือดสูงดื่มเป็นประจำจะช่วยลดระดับความดันโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับคนป่วยโรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสโลหิต ช่วยซับน้ำตาล ช่วยขับเยี่ยว ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง

  • Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
  • K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
  • ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
  • Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
  • National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/[/b]
  • Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Press



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ