โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 18 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 01:38:10 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดโรคที่จัดอยู่ในกรุ๊ปของโรคทางประสาทแล้วก็กล้าม เป็นโรคติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่มีอันตรายร้ายแรง สามารถเจอได้ในคนทุกวัย โดยมากคนป่วยจะมีประวัติมีบาดแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลสกปรก หรือขาดการดูแลแผลอย่างแม่นยำ ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ ผู้เจ็บป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนเคยเป็นโรคนี้กาลครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แต่ว่าตอนนี้โรคนี้สามารถปกป้องได้ด้วยการฉีดยา

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Teinein ซึ่งแปลว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกแบบนี้ เพราะเหตุว่าคนป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวแล้วก็แข็งเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นลีลาที่เป็นแบบอย่างเฉพาะโรค   ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเด่นเป็นอาการกล้ามเกร็ง โดยมากการเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามเนื้อกราม และก็ลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมทั้งอาจมีอาการอื่นที่อาจเจอร่วม ดังเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดหัว กลืนทุกข์ยากลำบาก ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว  บาดทะยักเป็นโรคที่เจอได้ทั่วทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้บ่อยบ่อยมากในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินและก็สารอินทรีย์อยู่มากในปี พุทธศักราช 2558 มีรายงานว่ามีคนป่วยโรคบาดทะยักประมาณ 209,000 คนรวมทั้งเสียชีวิตราว 59,000 คนทั่วโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้โบราณตั้งแต่ยุคหมอกรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล ที่มาของโรคถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle แล้วก็ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกทำขึ้นทีแรกเมื่อ พ.ศ. 2467

  • ที่มาของโรคบาดทะยัก มีต้นเหตุจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีแกรมบวก มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่คงทนต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อหลายแบบสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับรวมทั้งเป็นพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เริ่มต้นกล้ามขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้โรคนี้ก็เลยมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) ผู้ป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามทั่วตัว และก็มีลักษณะชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินทรายและมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่แรมปีและรุ่งโรจน์ได้ดีในที่ที่ไม่มีออกสิเจน โดยจะสร้างสปอร์หุ้มตนเอง มีความคงทนต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงสว่างได้นานถึง 10 ปี เมื่อมนุษย์เราเกิดบาดแผลที่ปนเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ เช่น เลอะเทอะถูกดินปนทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะบาดแผลที่ปากแผลแคบแม้กระนั้นลึก เช่น ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้ทิ่มแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกสิเจนน้อย เหมาะกับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจัดกระจายไปสู่ร่างกายแล้วปลดปล่อยสารพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท นำมาซึ่งอาการของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
  • ลักษณะโรคบาดทะยัก ภายหลังได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามรอยแผลจะกระจายตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนรวมทั้งผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้าม นำไปสู่ความผิดแปลกสำหรับการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะจากที่เชื้อไปสู่ร่างกายจนถึงกำเนิดอาการเริ่มต้น คือ มีอาการขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-28 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ราวๆ 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มเป็น
  • บาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการชอบเริ่มเมื่อทารกอายุราว 3-10 วัน อาการแรกที่จะสังเกตได้คือ เด็กดูดนมตรากตรำ ไหมค่อยดูดนม ทั้งนี้เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ถัดมาเด็กจะดูดมิได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กบางทีอาจร้องครวญคร่ำถัดมาจะมีมือ แขน และก็ขาเกร็ง ข้างหลังแข็งรวมทั้งแอ่น ถ้าเกิดเป็นมากจะมีลักษณะชักกระดุกแล้วก็หน้าเขียวอาการเกร็งหลังแข็งและหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น หากมีเสียงดังหรือเมื่อสัมผัสตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกถ้าเกิดเป็นถี่ๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เด็กหน้าเขียวมากเพิ่มขึ้น เกิดอันตรายถึงตายได้น่าฟังขาดออกซิเจน
  • โรคบาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนที่จะมีอาการโดยประมาณ 5-14 วัน บางรายบางทีอาจนานถึง 1 เดือน หรือนานกว่านั้นได้ กระทั่งบางโอกาสบาดแผลที่เป็นปากทางเข้าของเชื้อโรคบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะพินิจพบเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง ต่อจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายคือ หลัง แขน ขา เด็กจะยืนรวมทั้งเดินข้างหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็งให้ก้มข้างหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะและก็ระยะถัดไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเหมือนกันกับในทารกแรกคลอด ถ้ามีเสียงดังหรือจับต้องตัวจะเกร็ง และกระดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีหลังแอ่น และหน้าเขียว บางทีมีลักษณะร้ายแรงมากอาจจะก่อให้มีการหายใจลำบากถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักของกล้ามเนื้ออย่างหนักของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่อแต่นี้ไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ดีเหมือนปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกสิเจน
  • กระดูกสันหลังรวมทั้งกระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากมายแตกต่างจากปกติ
  • มีการติดเชื้อที่ปอดจนกระทั่งเกิดปอดบวม
  • ไม่สามารถหายใจได้ เนื่องด้วยการชักเกร็งของเส้นเสียงรวมทั้งกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ
  • การต่อว่าดเชื้ออื่นๆแทรกซ้อนที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอตรงเวลาหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน

การตำหนิดเชื้อโรคโรคบาดทะยักบางทีอาจรุนแรงถึงกับตาย โดยสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้โดยมากเป็นผลมาจากสภาวะหายใจล้มเหลว ส่วนสาเหตุอื่นที่นำไปสู่การตายได้เช่นเดียวกัน เช่น ภาวการณ์ปอดอักเสบ การขาดออกสิเจน และสภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักมีต้นเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่บาดแผล โดยยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลที่ไม่สะอาดหรือบาดแผลที่ขาดการดูแลที่ถูก ซึ่งบาดแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ เป็นต้นว่า แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการถูกสัตว์กัด เช่น หมา ฯลฯ  แผลที่มีการฉีกขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟไหม้ แผลถูกทิ่มจากตะปูหรือสิ่งของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากลูกกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาภายนอก  แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในผู้เจ็บป่วยเบาหวาน  แผลบาดเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่แปดเปื้อนเชื้อ  การต่อว่าดเชื้อที่ฟัน  การติดเชื้อทางสายสะดือในเด็กแรกเกิด เพราะเหตุว่าแนวทางการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเมื่อมารดามิได้ฉีดวัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  ดังเช่นว่า  แผลโรคเบาหวาน  แล้วก็แผลเป็นฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • กรรมวิธีรักษาโรคโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก และเรื่องราวมีรอยแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย และประวัติการได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบรวมทั้งได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้มีการกำหนด ก็จะไม่มีโอกาสเป็โรคบาดทะยัก[/url]ในการตรวจทางห้อง ดำเนินการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงแต่เพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายคลึงกัน แค่นั้น ดังเช่น การตรวจหาสารพิษสตริกนีน (Strychnine) ผู้ป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดแมลง จะมีลักษณะหดตัวและก็แข็งเกร็งของกล้ามคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคบาดทะยัก หากเรื่องราวได้รับสารพิษของคนเจ็บไม่ชัดเจน ก็จำต้องเจาะตรวจค้นพิษจำพวกนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนใหญ่จะพบว่าเข้าขั้นธรรมดา ไม่ราวกับโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าปกติ ซึ่งไม่เหมือนกับโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและก็สมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะอาการชักเกร็งคล้ายคลึงกัน

    ข้างหลังการตรวจวินิจฉัย แม้หมอพินิจว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคบาดทะยักแม้กระนั้นผู้เจ็บป่วยยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้มองเห็น กรณีนี้จะรักษาโดยทำความสะอาดแผลและก็ฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่มีแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและก็สามารถปกป้องโรคบาดทะยักได้ในช่วงระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกจากนี้อาจฉีดยาปกป้องบาดทะยักร่วมด้วยถ้าคนป่วยยังไม่ได้รับวัคซีนจำพวกนี้ถึงกำหนด สำหรับผู้ป่วยที่เริ่มแสดงอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  หมอจะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ในห้องบรรเทาพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อหมอดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด รวมทั้งคนป่วยมักจะจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นนานนับเดือน   ซึ่งหลักของการดูแลและรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏลักษณะโรคแล้วเป็นเพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว รวมทั้งการดูแลรักษาทะนุถนอมตามอาการ และการให้วัคซีนเพื่อปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีเนื้อหาดังนี้

  • การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ โดยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังผลิออก ดังเช่นว่า เพนิซิลิน ยาต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าหากคนไข้มีรอยแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะเปิดปากแผลให้กว้าง ล้างชำระล้างแผลให้สะอาด และก็ตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในบาดแผล
  • การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายพิษ ซึ่งสารภูมิคุ้มกัน บางทีอาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำลายสารพิษที่ไปสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การรักษาเกื้อหนุนตามอาการ ได้แก่ การให้ยาเพื่อลดการยุบตัวและก็แข็งเกร็งของกล้าม ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในเรื่องที่ใช้ยาไม่เป็นผล คนป่วยยังมีลักษณะหดเกร็งมากมาย มีความเสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลว บางทีอาจจะตรึกตรองให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว แล้วใส่เครื่องที่ใช้สำหรับในการช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการแตกต่างจากปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ อย่างเช่น ความดันเลือดขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันโลหิต ถ้าเกิดมีลักษณะอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็อาจจำต้องใส่ตัวกระตุ้นหัวใจ
  • การให้วัคซีน ผู้ป่วยทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จำต้องให้วัคซีนตามกำหนดทุกราย เนื่องจากว่าการตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณบาดแผลต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลที่แคบและลึกที่ไม่สามารถล้างทำความสะอาดบาดแผลได้หรือเป็นบาดแผลที่ไม่สะอาด ดังนั้นโรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคบาดทะยัก แม้หมอวิเคราะห์แล้วว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคบาดทะยักแต่ยังไม่มีอาการปรากฏ แพทย์จะกระทำรักษาและก็ฉีดยาคุ้มครองโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่ที่บ้าน ด้วยเหตุนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านเป็น
  • รักษาความสะอาดของบาดแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อบังคับ
  • ทานอาหารที่เป็นประโยชน์และก็ครบ 5 หมู่
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจดังที่แพทย์นัดหมาย

ส่วนในกรณีคนไข้ที่มีลักษณะอาการของโรคปรากฏแล้วนั้น แพทย์ก็จะรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลห้องห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป

  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่มีอันตรายรุนแรง และอาจตายด้านในไม่กี่วันแต่ว่าสามารถคุ้มครองได้ ดังนั้นการคุ้มครองป้องกันจึงเป็นหัวใจของการดูแลรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนป้องกัน วัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักถูกทำและก็ใช้สำเร็จสำเร็จในทหารตั้งแต่การรบโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนประเภทนี้ได้ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และก็บางทีอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้

เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกรอบหนึ่ง  ต่อไปจะต้องมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีบาดแผลเกิดขึ้น ถ้าเกิดเคยฉีดยาครบ 3 ครั้ง มาข้างใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แม้กระนั้นถ้าเกินกว่า 5 ปี ต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงมีท้องที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดวัคซีนคุ้มครองโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์คราวแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกขั้นต่ำ 1 เดือน แล้วก็เข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ขั้นต่ำ 6 เดือน (ถ้าเกิดฉีดไม่ทันขณะมีครรภ์ ก็ฉีดข้างหลังคลอด)  ถ้าเกิดหญิงตั้งท้องเคยได้รับวัคซีนปกป้องโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรจะให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างต่ำ 1 เดือน ในระหว่างมีครรภ์  ถ้าหากหญิงมีท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแต่ 1 ครั้ง แต่ว่าถ้าเกิดเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปและก็ในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดยาบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 โดยประมาณ 6 -12 เดือน และฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดกาล
เมื่อมีบาดแผลจำต้องทำแผลให้สะอาดในทันที โดยการขัดด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดเช็ดถูด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมทั้งให้ยารักษาการติดโรคหากแผลลึกต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อให้แผลสะอาดและก็คุ้มครองปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะต้องปิดแผลไว้ตราบจนกระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกจากนั้นควรเปลี่ยนผ้าทำแผลวันแล้ววันเล่า อย่างต่ำวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มสกปรก เพื่อเลี่ยงจากการตำหนิดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องมาจากโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ร้ายแรงรวมทั้งมีระยะฟักตัวของโรคที่ออกจะสั้น แม้กระนั้นมีลักษณะแสดงของโรคที่ร้ายแรงและมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งวิธีการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้
  • หากเป็นโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ประสิทธิภาพที่ดี ก็ไม่สมควรรักษาด้วยการใช้สมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น งูมีพิษกัด หมาบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก เป็นต้น
  • กรุ๊ปอาการบางสิ่งที่ระบุว่า อาจจะเป็นโรครุนแรงที่ต้องรักษาอย่างรีบเร่งอาทิเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่มีสติ ปวดอย่างหนัก  คลื่นไส้เป็นเลือด  แท้งลูกจากช่องคลอด  ท้องเสียอย่างรุนแรง  หรือผู้ป่วยเป็นเด็กรวมทั้งสตรีตั้งครรภ์ ควรรีบนำขอคำแนะนำแพทย์  แทนที่จะรักษาด้วยการใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรค้นคว้าจากแบบเรียน หรือขอคำแนะนำท่านพหูสูตร  โดยใช้ให้สมส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่ควรใช้สมุนไพรติดต่อกันนานๆด้วยเหตุว่าพิษบางทีอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/[/b]
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ