โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 23 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 29, 2018, 02:13:02 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง,โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)[/size]

  • โรค SLE คืออะไร โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงหมายถึงโรคภูมิแพ้ตนเอง หรือ โรคภูเขามิต้านตนเอง (Autoimmune disease) ประเภทหนึ่ง มีต้นเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานยับยั้ง หรืออิมมูน (Immune) ผิดปกติ โดยจะต้านเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่องของเนื้อเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ ได้ผลสำเร็จให้มีการอักเสบเรื้อรัง (ชนิดไม่ใช่จากการต่อว่าดเชื้อ) ของเนื้อเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อยครั้งได้แก่ ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท ฯลฯ การอักเสบนี้จะเหนือชั้นกว่าเนื่องจนถึงเป็น โรคเรื้อรังประเภทหนึ่ง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อจริงในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกง่ายๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกรุ๊ปโรคภูมิต้านทานบ้า มีต้นเหตุที่เกิดจากการที่ร่างกายคนไข้ผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินธรรมดา ทำให้เกิดปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าอีกทั้งทางตรงหรือทางอ้อม อาทิเช่น จากธรรมดาภูมิต้านทานในร่างกายจะต้านทานเชื้อโรคและก็สิ่งปลอมปน อาทิเช่น แบคทีเรีย หรือไวรัสจากข้างนอกร่างกาย แต่ต้านร่างกายของตน จนถึงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆและก็กำเนิดเป็นโรค SLE ท้ายที่สุด
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน แปลว่า สุนัขป่า ซึ่งคาดการณ์ว่า มาจากการที่ผื่นที่ใบหน้าที่เกิดขึ้นมาจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งคล้ายลักษณะขนบนใบหน้าของสุนัขป่า หรือเหมือนถูกหมาป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่เพศหญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปิดบังบริเวณใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/หมาป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูเขามิตนเอง (Autoimmune disease) ที่มักพบในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (จำนวนร้อยละ 90) โดยมักพบในหญิงอายุตอน 20-30 ปี พบในหญิงเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยครั้งที่สุด รองลงไปเป็นลำดับหมายถึงสตรีทวีปเอเชีย และผู้หญิงผิวขาว

  • ที่มาของโรค SLE พยาธิเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ว่าสันนิษฐานว่ามีเหตุที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่ง ทำให้มีการสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่างๆก็เลยจัดเป็นโรคภูเขามิต้านทานตัวเอง (autoimmune) ประเภทหนึ่ง อาจเจอมูลเหตุที่กระตุ้นให้อาการแย่ลง ยกตัวอย่างเช่น ยาบางจำพวก (อย่างเช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราสิล) การถูกแดด การกระทบสะเทือนด้านจิตใจ ภาวการณ์ตั้งครรภ์ เป็นต้น

นอกจากนั้น  ยังคาดการณ์ว่า บางทีอาจเกี่ยวโยงกับฮอร์โมนเพศหญิง (เหตุเพราะพบได้มากในหญิงวัยข้างหลังมีประจำเดือนและก็ก่อนวัยหมดระดูและก็พบบ่อยกว่าเพศ 7-10 เท่า)   รวมทั้งกรรมพันธุ์ (พบมากในผู้ที่มีพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคมีเหตุมาจากมีความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน เกิดภาวะภูเขาไม่ไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวชนิด T รวมทั้ง B lymphocyte นำมาซึ่งการสร้าง autoantibodies ต่อต้านเยื่อของตนและก็เกิด immune complex ลอยล่องไปตามกระแสเลือดไปติดตามอวัยวะต่างๆยิ่งกว่านั้นยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะรวมทั้งเส้นเลือดส่งผลให้เกิดการเกิดพยาธิภาวะในหลายอวัยวะ

  • อาการโรค SLE โรคนี้พบได้มากในวัยเอ๊าะๆ อายุ 15-40 ปี เพศหญิงมากกว่าผู้ชาย อาการและก็อาการแสดงอาจแตกต่างกันได้มาก คนเจ็บบางรายอาจมีอาการน้อยได้แก่ จับไข้ อ่อนล้า ปวดข้อ มีผื่นแดงตามใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมตก มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีดเผือด ติดเชื้อง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นโลหิตอักเสบ นิ้วซีดเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม ฉี่เปลี่ยนไปจากปกติ มีความผิดปกติทางไต เหนื่อยหอบ เจ็บทรวงอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ และด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีลักษณะอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการกลุ่มนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งระบบ

ซึ่งจะมีลักษณะอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนเจ็บมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า รอบๆดั้ง แล้วก็โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปเหมือนผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันบริเวณนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามบริเวณใบหน้า หนังศีรษะ หรือรอบๆใบหู มีแผลในปาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณเพดานปาก นอกนั้นยังมีผมร่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
อาการทางข้อและกล้าม ผู้ป่วยโดยมากจะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อต่อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า ครั้งคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต คนไข้มักมีลักษณะอาการบวมบริเวณเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เหตุเพราะมีลักษณะอักเสบที่ไต รายที่มีลักษณะอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น เยี่ยวออกน้อยลง ไปจนกระทั่งขั้นไตวายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด คนเจ็บอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดต่ำลง ทำให้มีลักษณะอาการหมดแรง มีภาวะติดโรคง่าย หรือมีจุดเลือดออกเรียกตัวได้
อาการทางระบบประสาท คนไข้บางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หรือเหมือนคนโรคทางจิตจำวงศาคณาญาติมิได้ เนื่องจากมีการอักเสบของสมองหรือหลอดเลือดในสมอง
ยิ่งกว่านั้น ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย ได้แก่ เป็นไข้ อ่อนล้า ไม่อยากกินอาหาร เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกล้าม ปวดศรีษะ จิตใจท้อแท้ ร่วมได้ ลักษณะโรคมักจะแสดงความร้ายแรงมากมายหรือน้อยภายในช่วงเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีลักษณะ ต่อจากนั้นชอบเบาลงเรื่อยแต่อาจมีอาการเกิดขึ้นอีกร้ายแรงได้เป็นครั้งๆ  ในขณะนี้โรคเอสแอลอียังมีแนวทางที่ไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ แม้กระนั้นสามารถควบคุมลักษณะของโรคให้สงบ แล้วก็ดำรงชีพได้ตามปกติแม้รักษาได้ทันการ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค SLE
  • เพศ เนื่องจากพบโรคได้สูงในผู้หญิง ซึ่งพบมากกว่าผู้ชายถึง 7 เท่า
  • การตำหนิดเชื้อบางจำพวกจากแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส บางประเภท
  • การถูกแสงแดดจัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆและก็อาหารบางจำพวก
  • การสูบยาสูบ
  • ฮอร์โมนเพศหญิง (เพราะโรคนี้กำเนิดในหญิงสูงกว่าในเพศชาย ถึงราว 7-10 เท่า) และการมีท้อง
  • จากผลข้างเคียงของยาบางชนิด อาทิเช่น ยาป้องกันการชัก ยาคุมกำเนิด รวมทั้งยาลดหุ่นบางชนิด ซึ่งเมื่อมีต้นเหตุจากยา ข้างหลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก และ การออกกำลังกายเกินไป
  • จำพวกบาป โดยเฉพาะคนที่ครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย)

  • มีไข้ต่ำๆไม่เคยทราบปัจจัยเป็นระยะเวลานาน
  • มีลักษณะปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นใบหน้า หรือมีผื่นคันรอบๆที่ถูกแสงอาทิตย์
  • มีผมหล่นมากไม่ปกติ
  • มีลักษณะบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • แนวทางอาการรักษาโรค SLE

การวิเคราะห์โรค เพราะโรค SLE มีความหลากหลายในอาการแล้วก็อาการแสดงโดยเหตุนั้นก็เลยมีการตั้งเกณฑ์สำหรับเพื่อการวินิจฉัย ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจพบ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย จำต้องอาศัยอาการทางสถานพยาบาลร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวินิจฉัยมักไม่เป็นปัญหาเพราะเหตุว่าคนไข้โดยมากจะมีลักษณะอาการแจ่มชัด ดังเช่นว่า ผู้หญิงอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ เมื่อยล้า จับไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แม้กระนั้นการวิเคราะห์จะมีความยากแค้นในผู้ป่วยบางกรณีเป็นต้นว่า เพศชาย, ผู้สูงวัยหรือผู้เจ็บป่วย ที่มีลักษณะแสดงเพียงแค่ระบบเดียวต้อง อาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งเช่น CBC, UA, CXR และ ANA ช่วยในการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดจากโรคอื่น
นอกจากนั้นแพทย์จะทำวินิจฉัยโดยอาศัยผลการตรวจทางห้องทดลองอื่นๆอีกดังเช่น ตรวจเลือด เจอแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) และแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจฉี่อาจพบสารไข่ขาวแล้วก็เม็ดเลือดแดง  ยิ่งกว่านั้น อาจจำต้องทำการตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจรวมทั้งตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  ปัจจุบันนี้ยังไม่มียา หรือแนวทางการรักษาโรคนี้ให้หายสนิทได้ แต่ว่าเป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นตอนๆและการดูแลและรักษาเกื้อหนุนตามอาการ   การดูแลและรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคของผู้เจ็บป่วย การกระทำตัวอย่างถูกต้องของคนเจ็บ  รวมทั้งการดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอผู้กระทำการรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่รุนแรง (ดังเช่น มีเพียงแต่ไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) หมออาจเริ่มต้นให้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าไม่เป็นผลอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการกลุ่มนี้
ในรายที่เป็นรุนแรง หมอจะให้สตีรอยด์ (อาทิเช่น เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นอาทิตย์หรือหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดียิ่งขึ้นจึงค่อยๆลดขนาดยาลง และให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยบางทีอาจนานเป็นนานเป็นปีๆหรือจนกระทั่งจะเห็นว่าไม่เป็นอันตราย ถ้าให้ยาดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วไม่ได้ผล หมอจะให้ยากดภูมิคุ้มกัน ดังเช่นว่า ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) ฯลฯ
ในรายที่มีลักษณะอาการร้ายแรง ตัวอย่างเช่น บวม หายใจหอบ มีลักษณะอาการไม่ปกติทางสมอง เป็นต้น จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ ตราบจนกระทั่งจะปลอดภัย ก็เลยให้ผู้เจ็บป่วยกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วก็นัดมาตรวจกับหมอเป็นระยะๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดแปลกของภูมิต้านทานของร่างกาย ที่สร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อของตน จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรค SLE จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แม้กระนั้นมีแถลงการณ์ว่าอาจพบการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรค SLE
  • ผู้เจ็บป่วยควรจะทราบดีว่า โรคนี้มีความร้ายแรงแตกต่างกัน บางบุคคลอาจมีอาการนิดหน่อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงได้ ถึงแม้ว่าผู้ป่วยมีลักษณะอาการเล็กน้อย ถ้าเกิดไม่ได้รับการรักษา อาการบางทีอาจรุนแรงมากเพิ่มขึ้นได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีอาการกำเริบและก็สงบสลับกันไป ฉะนั้นควรจะมารับการตรวจรักษาจากแพทย์โดยเป็นประจำ กินยาตามสั่งโดยเคร่ง ไม่สมควรหยุดยาหรือลดยาเอง ด้วยเหตุว่าอาจก่อให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เวลาป่วยหนักไม่สมควรซื้อยากินเอง ควรจะพบหมอและก็บอกแพทย์เหตุว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการดูแลและรักษาที่เหมาะสม และก็หมอจะได้หลบหลีกยาบางตัวที่อาจจะก่อให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • หลบหลีกการสนิทสนมกับคนป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ ด้วยเหตุว่าคนป่วยโรคเอสแอลอีบางทีอาจติดโรคได้ง่าย และก็โรคเอสแอลอีอาจกำเริบเสิบสานขึ้นได้
  • หากมีลักษณะที่บ่งบอกถึงการต่อว่าดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น ไข้สูง ไอ
  • ควรจะตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ การทำฟัน ถอนฟัน ควรจะกินยาปฏิชีวนะก่อนและก็ข้างหลังทำ เพื่อคุ้มครองปกป้องการตำหนิดเชื้อ ดังนี้จำต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของหมอ
  • หากมีอาการเปลี่ยนไปจากปกติ ที่อาจบ่งว่าโรคกำเริบ เช่น ไข้ หมดแรง ผมหล่น ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรมาพบหมอก่อนนัดหมายได้
  • หลบหลีกแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 10.00-16.00 น. เนื่องจากว่าแดดจะทำให้โรคกำเริบได้ คนไข้ที่แพ้แสงมาก ควรจะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าหากจะต้องออกไปถูกแสงแดด
  • หลบหลีกภาวะเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ บริหารร่างกายเป็นประจำ
  • ไม่รับประทานอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกไหมสะอาด สถานที่คับแคบ ด้วยเหตุว่ามีความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อ
  • หากโรคยังไม่สงบ ไม่สมควรท้อง เพราะโรคอาจกำเริบเสิบสานขณะมีครรภ์ได้ อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและเด็กแรกคลอด นอกเหนือจากนี้ยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคในคนเจ็บบางรายอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ ถ้าหากโรคสงบแล้ว สามารถมีท้องได้แต่ว่าควรจะหารือแพทย์ก่อน รวมทั้งขณะมีครรภ์ควรจะมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากว่าบางคราวโรคอาจกำเริบ
  • การคุมกำเนิด ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุม ด้วยเหตุว่าอาจจะทำให้โรคกำเริบ ในการใส่ห่วงคุมกำเนิดบางทีอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการตำหนิดเชื้อ เสนอแนะว่าให้ใช้ถุงยาง
  • คนเจ็บที่ได้รับยาลดลักษณะของการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้าหากมีลักษณะอาการปวดท้อง ควรจะแจ้งให้หมอรู้
  • ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงคุ้มครองกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE

พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ