โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 7 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 29, 2018, 04:32:29 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคเอดส์ (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)

  • โรคเอดส์เป็นอย่างไร โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ เพิ่งมีการค้นพบมา 30 กว่าปี และก็ทั่วโลกต่างกลัว ด้วยเหตุว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้

    ประวัติความเป็นมาของโรค ภูมิต้านทานผิดพลาด/AIDS ประการแรกอาจจะจะต้องกล่าวถึงปี พุทธศักราช ๒๔๕๒ Carlos Ribeiro Justiniano Chagas แพทย์ชาวบราซิล ค้นพบเชื้อที่ขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเป็นโปรโตซัวชื่อ Pneumocystis carinii ซึ่งก่อโรคปอดบวม(Pneumonia) ในหนูและก็มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) โรคปอดอักเสบนี้เรียกว่า Pneumocystis carinii Pneumonia (PCP) ต่อมา Otto Jirovec นักปรสิตวิทยาชาวเช็ก เสนอว่าเชื้อนี้ที่ก่อโรคในคนกับสัตว์เป็นคนละจำพวกกัน แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ๆ
    พ.ศ. ๒๕๒๔ Michael Gottlieb หมอคนประเทศอเมริกาแถลงการณ์ว่าพบคนไข้ที่เป็นชายรักร่วมเพศ ๕ คนไข้เป็นโรค PCP และอีก ๕ เดือนต่อมาทั้งหมดก็ติดเชื้อเชื้อไวรัส CMV ซึ่งมักจะเป็นในมีภูมิต้านทานบกพร่อง แม้กระนั้นหาต้นเหตุไม่พบว่าภูมิต้านทานของคนเหล่านี้บกพร่องจากอะไร จึงเชื่อว่าเป็นโรคใหม่ เนื่องจากว่า ๔ ใน ๕ คนนี้ตรวจเจอเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยซึ่งติดต่อทางเพศสมาคม จึงคาดว่าโรคที่เจอใหม่นี้คงจะติดเชื้อโรคทางเพศสมาคมเช่นกัน
    พ.ศ. ๒๕๒๕ ศูนย์ควบคุมและคุ้มครองปกป้องโรคของอเมริกา (CDC) ตั้งชื่อโรคนี้ว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือโรคเอดส์ (AIDS) นั่นเอง
    พ.ศ. ๒๕๒๖ Luc Montagnier รวมทั้งทีมงานนักวิจัยจากสถาบัน Pasteur ใน Paris ศึกษาค้นพบเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้โดยใช้ชื่อว่า Lymphadenopathy Associated Virus (LAV)
    อีกหนึ่งปีถัดมา Robert Gallo รวมทั้งทีมวิจัยจากสถาบันเชื้อไวรัสวิทยาใน Baltimore ก็ศึกษาและทำการค้นพบเชื้อไวรัสนี้เหมือนกันโดยเรียกว่า Human T-cell Lymphotrophic Virus-III (HTLV-III) แต่ว่า Gallo อ้างถึงว่าตนเป็นผู้ค้นพบเชื้อนี้เป็นคนแรกส่งผลให้เกิดการโต้แย้งกัน สุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่เป็นเชื้อเดียวกันจึงให้ใช้ชื่อเดียวกันว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) และจัดว่าทั้งคู่เป็นผู้ค้นพบด้วยกัน     โรคเอดส์ หรือโรคภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) มีความหมายกว้างๆว่า โรคภูมิต้านทานขาดตกบกพร่องซึ่งมิได้เป็นมาตั้งแต่เกิดแต่ว่าโรคเอดส์ (AIDS) คือโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human immunodeficiency virus จัดเป็นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส (Retro virus)โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ผู้เจ็บป่วยที่ติดโรคมีภูมิต้านทานลดน้อยลง จนถึงร่างกายไม่สามารถที่จะต่อต้านเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆจึงเกิดลักษณะของการเจ็บป่วยต่างๆซึ่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีกระบวนการใดรักษาโรคภูมิคุมกันบกพร่องให้หายสนิท มีเพียงยาที่ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตจากเอดส์ แม้ผู้ติดเชื้อรู้สึกตัวแล้วก็ได้รับการดูแลรักษาแต่แรกเริ่ม ก็อาจช่วยไม่ให้การติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแผ่ขยายไปสู่ระยะที่เป็นเอดส์เต็มตัวได้ โดยจะนับว่าเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่สามของการต่อว่าดเชื้อไวรัสเอชไอวีจะเรียกว่าเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องโดยบริบูรณ์แล้ว

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ เอดส์มีเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง (Human Immunodeficieney Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวดำเนินการขาดตกบกพร่อง โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องเป็นเชื้อไวรัสในกรุ๊ป Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกรุ๊ปเชื้อไวรัส Retrovirus เชื้อไวรัสกลุ่มนี้ลือชื่อในด้านการมีระยะแฝงนาน กระบวนการทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสโลหิตนาน การต่อว่าดเชื้อในระบบประสาท และแนวทางการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อโรคอ่อนแอลง เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวจำพวก CD4 T lymphocyte และ Monocyte สูงมากมาย โดยจะจับกับเซลล์ CD4 รวมทั้งฝังตัวเข้าไปด้านใน  ยิ่งกว่านั้นไวรัสตัวนี้ยังสามารถเข้าไปอยู่ในเซลล์ชนิดอื่นๆของร่างกายได้อีก เป็นต้นว่า เซลล์ มาวัวรฟาจ (Macro phage) เดนไดรดีคเซลล์ (Dendritic cell) ไมโครเกลียของสมอง (Microglia)เป็นต้น    เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเพิ่มโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี reverse transcryptase ต่อจากนั้นสายดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดโรคอย่างถาวร รวมทั้งสามารถเพิ่มต่อไปได้  นอกจากนั้นเชื้อเอชไอวี  สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆดังเช่น HIV-1 และก็ HIV-2 การระบาดทั่วทั้งโลกส่วนใหญ่ และก็เมืองไทยมีต้นเหตุจาก HIV-1 ซึ่งยังแบ่งเป็นชนิดย่อยๆได้อีกหลายอย่าง ส่วน HIV-2 พบระบาดในแอฟริกา) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสจำพวกใหม่ ที่มีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ.2526 เชื้อนี้มีมากมายในเลือด น้ำเชื้อ รวมทั้งน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ

    ในปัจจุบันทั้งโลกพบสายพันธุ์เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง มากกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั้งโลก โดยพบบ่อยที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้มากที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี มากถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และก็ประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยเจอเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) มักพบกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างร่วมเพศระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกรุ๊ปรักร่วมเพศ รวมทั้งผ่านการใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น
    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ตั้งแต่พบการระบาดของโรคเอดส์หนแรกจนกระทั่งปี พ.ศ.2558 มีผู้ติดเชื้อโรคไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน
    เวลาที่รายงานของแผนการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์ ในปี 2559 มีผู้ติดโรคเอชไอวีทั่วโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน รวมทั้งมีคนเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 1 ล้านคน
    ในส่วนของเมืองไทยนั้น โดยจากรายงานในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีให้หลังมีคนป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องเข้ารับการดูแลรักษาในสถานพยาบาลของภาครัฐรวมทั้งเอกชนทั้งปวง 388,621 ราย รวมทั้งมีคนป่วยเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีถัดมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆปริมาณคนป่วยเอดส์แล้วก็ติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องในประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งนั้นราวๆ 1,500,000 คน

  • อาการของโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

เนื่องมาจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนของร่างกายต่างๆนาๆ ก็แล้วแต่จำนวนของเชื้อและก็ระดับภูมิต้านทาน (ปริมาณ CD4) ของร่างกาย ด้วยเหตุนี้โรคเอดส์ ก็เลยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะร่วมกันดังต่อไปนี้

  • ระยะติดเชื้อโรคโดยไม่มีอาการ ผู้ติดโรคที่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะนิดหน่อยอยู่ชั่วประเดี๋ยวดังที่กล่าวผ่านมาแล้วชอบแข็งแรงปกติเหมือนคนทั่วๆไป แต่การวิเคราะห์เลือดจะพบเชื้อเอชไอวีรวมทั้งสารภูมิต้านทานต่อเชื้อจำพวกนี้แล้วก็สามารถกระจายเชื้อให้คนอื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)

ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ว่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะแบ่งตัวรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆรวมทั้งทำลาย CD4 จนถึงมีปริมาณต่ำลง โดยเฉลี่ยราวๆปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร จากระดับธรรมดา (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดลงมากๆก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยไข้ ดังนี้อัตราการน้อยลงของ CD4 จะเร็วช้าสังกัดความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทานของคนป่วย
ช่วงนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แต่บางรายบางทีอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป

  • ระยะติดเชื้อโรคที่มีอาการ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีลักษณะอาการสโมสรกับโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (AIDS related complex/ARC) ผู้ป่วยจะมีอาการมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณ CD4 ดังต่อไปนี้

มีอาการนิดหน่อย ระยะนี้ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะมีเยอะแยะกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนป่วยอาจมีอาการ ดังนี้
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตน้อย
* โรคเชื้อราที่เล็บ
* แผลแอฟทัส
* ผิวหนังอักเสบประเภทเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
* ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
* โรคโซริอาซิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบเสิบสาน
มีลักษณะอาการปานกลาง เวลานี้ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ กรัม หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจพบได้มีดังนี้
* เริมที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบเสิบสานบ่อยครั้ง แล้วก็เป็นแผลเรื้อรัง
* งูสวัด ที่มีลักษณะกำเริบอย่างต่ำ 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากยิ่งกว่า 2 แห่ง
* โรคเชื้อราในโพรงปาก หรือช่องคลอด
* ท้องเดินบ่อย หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
* ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือต่อเนื่องกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน
* ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณไม่ติดต่อกัน (ดังเช่นว่า คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
* น้ำหนักลดเกินปริมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่เคยทราบปัจจัย
* ปวดกล้ามเนื้อแล้วก็ข้อ
* ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
* ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อย

  • ระยะป่วยด้วยเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ช่วงนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มกำลัง ถ้าหากตรวจ CD4 จะพบมีจำนวนน้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ได้ผลทำให้เชื้อโรคต่างๆตัวอย่างเช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค ฯลฯ ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อชุบมือเปิบ (opportunistic infections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดโรคหวานใจษาออกจะยาก แล้วก็บางทีอาจติดเชื้อโรคจำพวกเดิมซ้ำสิ่งเดียวหรือติดเชื้อประเภทใหม่ หรือติดเชื้อหลายแบบร่วมกัน

ตอนนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
* เหงื่อออกมากช่วงกลางคืน
* ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันนับเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นแรมเดือน
* ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอิดโรยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
* ท้องร่วงเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว
* น้ำหนักลด รูปร่างซูบซีด รวมทั้งอ่อนระโหยโรยแรง
* ปวดศีรษะร้ายแรง ชัก งวยงง ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง
* ปวดท้อง อาเจียน คลื่นไส้
* กลืนทุกข์ยากลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เหตุเพราะหลอดของกินอักเสบจากเชื้อรา
* สายตาพร่ามัวมองดูไม่ชัดเจน หรือมองเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
* ตกขาวหลายครั้ง
* มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
* ซีดเผือด
* มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ
* งงมาก สูญเสียความจำ หลงๆลืมๆง่าย ไม่มีสมาธิ ความประพฤติปฏิบัติผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากความผิดปกติของสมอง
* อาการโรคโรคมะเร็งที่เกิดแทรก เช่น โรคมะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งทวารหนัก ฯลฯ
ในเด็ก ที่ติดโรคเอชไอวี ระยะต้นอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคแพร่กระจายเยอะขึ้นก็อาจมีอาการเดินทุกข์ยากลำบากหรือวิวัฒนาการทางสมองช้ากว่าธรรมดา รวมทั้งเมื่อเป็นเอดส์เต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับคนแก่แล้ว ยังบางทีอาจพบว่าแม้เป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (อาทิเช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีลักษณะอาการรุนแรงมากกว่าปกติ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิโรคเอดส์[/url]


  • เซ็กซ์ การติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจำนวนมากมีสาเหตุจากการมีเซ็กส์ที่ไม่ได้คุ้มครองระหว่างคู่นอนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อเอชไอวี
  • การสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ ผู้ปฏิบัติงานทางสาธารณสุขสัมผัสเชื้อเอชไอวีได้โดยดำเนินงาน หรือสารคัดเลือกหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อ
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูก แม่ที่มีเชื้อเอชไอวีให้นมบุตรหรือการคลอดลูกขณะติดเชื้อ
  • การใช้ของมีคมด้วยกัน ดังเช่นว่า เข็มฉีดยาในผู้ที่ติดสารเสพติด
  • ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดจากการบริจาคแต่ในกรณีนี้เจอได้น้อยมาก
  • กรรมวิธีการรักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

การวินิจฉัยโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง อันดับแรกสุดคือ แนวทางในการซักความเป็นมาของคนเจ็บแล้วก็การตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการต่อว่าดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาก่อนแล้ว ซึ่งหมอสามารถทราบจากการพิสูจน์เลือดว่า ส่งผลบวกต่อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องไหม นอกจากนั้นการตรวจร่างกายชอบเจออาการแสดงที่ระบุว่า ผู้ป่วยอยู่ในระยะของการเป็นโรคเอดส์แล้ว
ตรวจค้นสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อเอชไอวี โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจเจอสารภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ 3-12 อาทิตย์ (ส่วนใหญ่โดยประมาณ 8 สัปดาห์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) แนวทางลักษณะนี้เป็นการตรวจรับรองด้วยการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าหากพบเลือดบวก จำเป็นต้องทำตรวจรับรองด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจหนแรก หรือทำการตรวจด้วยแนวทาง particle agglutination test (PA) ถ้าเกิดได้ผลบวกก็สามารถวิเคราะห์ว่ามีการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง แต่หากได้ผลลบก็จำเป็นต้องตรวจรับรองโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งให้ผลบวก 100% ข้างหลังติดเชื้อ 2 อาทิตย์
การเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าจำนวนน้อยลงมากมาย ด้วยเหตุว่าเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ประเภทนี้ และก็จะทำลายเซลล์ประเภทนี้ไปเรื่อยๆส่วนใหญ่หากมีจำนวนของหนลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกต่ำลงต่ำกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มม.ในคนแก่ (ค่าปกติ 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์ไม่ลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ หากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งปวง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% และเด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20%
โรคที่เกิดขึ้นจากติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและโรคภูมิคุมกันบกพร่องในตอนนี้ ยังไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แม้กระนั้นสามารถควบคุมโรคและก็ทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนปกติได้ โดยแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อ ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและก็คนไข้โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ตัวอย่างเช่น
การใช้ยายับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสหรือยาต่อต้านเชื้อไวรัส ซึ่งต้องรับประทานไปตลอดชาติ เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งเราสามารถติดตามผลการรักษาได้จากการเจาะเลือดมองจำนวนเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาหรือไม่ และก็นับปริมาณไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) เดี๋ยวนี้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเอชไอวีมีหลายชนิดดังเช่นว่า
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) ดังเช่นว่า ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC)
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir
อนึ่ง หลักการให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในปัจจุบันเป็น ต้องให้ยาอย่างต่ำ 3 ชนิดโดยใช้ยาในกรุ๊ป Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกรุ๊ป Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำเป็นต้องใช้ยาแต่ละวันรวมทั้งตรงตรงเวลาที่กำหนดโดยเคร่ง
โดยแพทย์จะใคร่ครวญให้ยาต้านทานไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
เมื่อมีอาการแสดงของโรคอีกทั้งในระยะแรกเริ่มรวมทั้งพักหลัง การให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในผู้เจ็บป่วยที่เป็นระยะแต่เดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคไปสู่ระยะที่รุนแรงได้
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แม้กระนั้นตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ว่ามีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร อาจตรึกตรองให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเป็นรายๆไป อย่างเช่น ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการน้อยลงของ CD4 อย่างรวดเร็ว ความพร้อมของคนป่วย ฯลฯ ในการให้ยาควรติดตามดูผลกระทบ ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนเจ็บ หรือทำให้คนไข้ไม่ยินยอมรับประทานยาโดยตลอด
การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดจากมีภูมิต้านทานต้านโรคผิดพลาดหรือเชื้อฉกโอ กาส ขึ้นอยู่กับว่าคนป่วยติดเชื้อประเภทใด อาทิเช่น ติดเชื้อโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดเชื้อโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือหากเป็นโรคมะเร็งก็รักษาโรคโรคมะเร็ง ฯลฯ

  • การติดต่อของโรคเอดส์ สามารถติดต่อได้โดยการได้รับเลือด รวมทั้ง/หรือสารคัดหลั่ง (Secretion) จากผู้ที่ติดเชื้อซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
  • ทางการร่วมเพศ ทั้งเพศสมาคมเพศเดียวกันระหว่างชายรักร่วมเพศ หญิงรักร่วมเพศ และก็การมีเซ็กส์ระหว่างชายกับหญิง การติดต่อทางเพศสโมสรนี้คิดเป็นอัตราประ มาณ 78% ของการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องทั้งหมดทั้งปวง
  • การใช้สารเสพติดจำพวกฉีดเข้าเส้น (เส้นเลือด) โดยใช้เข็มฉีดร่วมกับคนอื่น คนที่ติดเชื้อโดยแนวทางลักษณะนี้มีราวๆ 20%
  • ทางการรับเลือดจากคนอื่นที่มีเชื้อไวรัสอยู่ คนที่มีการเสี่ยงในกลุ่มนี้ ดังเช่นว่า ผู้ป่วยโรคเลือดเรื้อรังที่จะต้องรับเลือดบ่อยๆ ตัวอย่างเช่น โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) หรือคนที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ที่ติดเชื้อ การต่อว่าดเชื้อโดยวิธีการแบบนี้มีราวๆ 1.5%
  • ติดต่อจากแม่ที่ติดโรคสู่ลูก ซึ่งอาจติดต่อได้ทางเลือดจากแม่สู่ลูกโดยตรงผ่านทางเกลื่อนกลาด หรือจากการที่เด็กแรกคลอดกลืนเลือดของแม่ระหว่างการคลอด หรือได้รับเชื้อที่อยู่ในน้ำนมแม่ก็ได้
  • การต่อว่าดเชื้อของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จากอุบัติเหตุด้านการแพทย์ ตัวอย่างเช่น ถูกเข็มฉีดยา หรือเข็มเจาะเลือดผู้ป่วยตำนิ้วโดยบังเอิญ ซึ่งเคยมีรายงานว่าทำให้พนักงานด้านการแพทย์ติดโรคได้ หากแม้จะได้โอกาสน้อยก็ตาม

จากการเรียนรู้ในประเทศต่างๆเท่าที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยแนวทางต่อไปนี้
* การหายใจ ไอ จามรดกัน
* การกินของกิน และดื่มน้ำร่วมกัน
* การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาด้วยกัน
* การใช้ห้องอาบน้ำร่วมกัน
* การอยู่ด้านในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
* การสัมผัส โอบกอด
* การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าที่เอาไว้เช็ดตัวด้วยกัน
* การใช้โทรศัพท์ด้วยกัน
* การถูกยุงหรือแมลงกัด

  • การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

                - ไปพบแพทย์และก็ตรวจเลือดเป็นช่วงๆดังที่แพทย์เสนอแนะ รวมทั้งรับประทานยาต่อต้านไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร การกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องมักจะช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและก็ยาวนาน จำนวนมากมักจะเป็นเวลานานกว่า 10 ปีขึ้นไป
- ดำเนินการ เรียนหนังสือ คบหากับผู้อื่นและปฏิบัติกิจวัตรที่ทำทุกๆวันได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลว่าจะกระจายเชื้อให้บุคคลอื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันหรือหายใจรดคนอื่นๆ
- ถ้าหากมีความกังวลใจเป็นกังวลดวงใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทมิตรสหายฟัง หรือขอคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- เรียนรู้ธรรมชาติของโรค การรักษา การดูแลตัวเอง จนกระทั่งมีความรู้ความเข้าใจโรคนี้เป็นอย่างดี ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ และก็มีกำลังใจอดทน ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงอำนาจสำหรับเพื่อการทำนุบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป
- ผลักดันสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสภาพร่างกาย (ไม่จำเป็นที่ต้องรับประทานอาหารเสริมราคาแพง) งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ สิ่งเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง
- เสริมสร้างสุขภาพเกี่ยวกับจิตด้วยการฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีฬา อยู่สนิทสนมธรรมชาติ ฝึกให้มีสมาธี รุ่งโรจน์สติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่เชื่อถือ
- หลีกเลี่ยงความประพฤติปฏิบัติที่บางครั้งอาจจะแพร่ระบาดให้ผู้อื่นโดย

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งงดการร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่นๆ
  • งดเว้นการให้ทานเลือดหรืออวัยวะต่างๆอย่างเช่น ดวงตา ไต เป็นต้น
  • เมื่อร่างกายเปื้อนเปรอะเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบชำระล้าง แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยทันที แล้วก็ค่อยนำไปแยกซักให้สะอาดและก็ตากให้แห้ง พึงระวังอย่าให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตน
  • ไม่ใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่นๆ

- เลี่ยงการท้อง โดยการคุมกำเนิด ด้วยเหตุว่าเด็กอาจมีจังหวะรับเชื้อจากแม่ได้
- แม่ที่มีการติดโรค ไม่สมควรเลี้ยงบุตรด้วยนมตนเอง
- เมื่อมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรก ควรคุ้มครองป้องกันมิให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้ผู้อื่น ดังเช่นว่า

  • ใช้กระดาษหรือผ้าสำหรับเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม
  • ถ้วย ถ้วยชาม จาน แก้วน้ำที่ใช้แล้ว ควรล้างให้สะอาด ด้วยน้ำยาที่เอาไว้สำหรับล้างจานหรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งเอาไว้ให้แห้งก่อนใช้ประโยชน์ใหม่
  • ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล ฉี่ แล้วก็สิ่งถ่ายต่างๆไปเปื้อนถูกคนอื่นๆ
  • การบ้วนน้ำลายหรือเสลด รวมทั้งการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ควรมีภาชนะใส่ให้เป็นที่เป็นทาง และสามารถนำไปทิ้งหรือชำระล้างได้สบาย
  • การปกป้องตนเองจากโรคเอดส์
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่ครอง ควรยึดมั่นต่อการร่วมเพศกับคู่สามีภรรยา (รักเดียวใจเดียว)
  • ถ้าเกิดยังนิยมมีเซ็กส์กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะหญิงบริการ หรือบุคคลที่ร่วมเพศเสรีหรือมีการกระทำเสี่ยงอื่นๆก็ควรจะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดของผู้อื่น ได้แก่ ขณะช่วยเหลือคนที่มีบาดแผลเลือดออก ควรใส่ถุงมือยางหรือถุงก๊อบแก๊บ 2-3 ชั้น ป้องกันอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
  • เลี่ยงการใช้เข็มหรือกระบอกสำหรับฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (ยกตัวอย่างเช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่นๆ ถ้าเกิดเลี่ยงไม่ได้ ก่อนใช้ควรจะทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ได้แก่ แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5% (หรือน้ำยาคลอรอคอยกซ์ 1ส่วนประกอบน้ำ 9 ส่วนก็ได้) ฯลฯ นาน 10-20 นาที
  • ก่อนแต่งงาน ควรจะขอความเห็นหมอในการตรวจเช็



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ