Advertisement
โรคลมชัก (Epilepsy)โรคลมชักเป็นยังไง โรคลมชัก หรือ โรคลมหวน มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ: คือ ยึด ครอง หรือ ทำให้ป่วยหนัก โดยเป็นกลุ่มโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากจนเกินไปของเซลล์ประสาท ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรคลมชัก ก็คือโรคที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งปฏิบัติภารกิจสำหรับการควบคุมการทำงานของร่างกาย จนกระทั่งกระตุ้นให้เกิดอาการชัก
โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบได้ทั่วไป ในรายงานการเรียนรู้โดย World Health Organization (WHO) และก็ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ พบว่าปริมาณร้อยละ 72.5 ของประเทศเหล่านี้บอกว่าโรคลมชักพบได้มากเป็นชั้นสองรองจากโรคปวดศีรษะ ในเวลาที่โรคเส้นเลือดสมองเป็นชั้นสามเป็น ปริมาณร้อยละ 62.7 ประมาณว่าทั้งโลกน่าจะมีคนที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะเท่ากับหนึ่งในสี่ของจำนวนคนที่เป็น
โรคลมชักทุกอายุ และก็ในทุกๆปี คงจะมีคนที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่เป็นโรคลมชัก ราว 3.5 ล้านคน ซึ่งร้อยละ 40 จะเป็นผู้เจ็บป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังพัฒนา
ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงคือตอนทารกแรกเกิดรวมทั้งเด็กตัวเล็กๆ สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดโรคลมชักในตอนวัยแรกเกิดมักจะเป็นพยาธิสภาพที่เกิดในช่วงการคลอดอาทิเช่นผลการขาดออกซิเจน การต่อว่าดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนชราเป็นตอนๆที่มีโอกาสกำเนิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในตอนนี้คงจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยชราเพิ่มขึ้นขณะที่ในตอนวัยทารกลดน้อยลงเนื่องมาจากความสามารถทางด้านการแพทย์สำหรับเพื่อการดูแลผู้ป่วยดีขึ้น ปัญหาด้านสุขภาพแตกต่างจากเดิม การติดเชื้อที่ระบบประสาทที่บางทีอาจจะเป็นสาเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มลดน้อยลงจากการที่มีวัคซีนคุ้มครองโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคเส้นเลือดสมองซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาความประพฤติสำหรับในการทานอาหารไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้น อื่นๆอีกมากมาย สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็ก เนื่องมาจากปัญหาสุขอนามัยโรคติดเชื้อ ความสามารถสำหรับการดูแลรักษาคนป่วยยังจำกัด มีการประมาณว่าคนไทยทั้งประเทศ เป็นโรคลมชักโดยประมาณ 450,000 คน แล้วก็ประชากรโดยธรรมดายังมีความรู้ความเข้าใจต่อโรคลมชักไม่มากมาย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคลมชัก หากได้รับการรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ตอนแรกเกิดอาการ คนไข้จะสามารถดำรงชีพได้แก่คนธรรมดา เรียนหนังสือ ดำเนินการ เล่นกีฬา ออกสังคม รวมถึงสามารถสมรสได้ แต่ว่าถ้าเกิดปล่อยปละละเลยไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง ปลดปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจจะส่งผลให้โรคสมองเสื่อม บางรายบางทีอาจทุพพลภาพหรือตายเพราะว่าอุบัติเหตุที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างชัก ได้แก่ จมน้ำ ขับรถชน ตกจากที่สูง ไฟเผา น้ำร้อนลวก เป็นต้น
สาเหตุของโรคลมชักโรคลมชักส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบต้นสายปลายเหตุชัดแจ้ง (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) เชื่อว่ามีความ พร่องของสารเคมีบางอย่างสำหรับเพื่อการควบคุมกระแสไฟฟ้าในสมอง (โดยที่ส่วนประกอบของสมองปกติดี) ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยไฟฟ้าอย่างไม่ดีเหมือนปกติของเซลล์สมอง ทำให้มีการเกิดอาการชัก รวมทั้งหมดสติชั่วครู่ คนไข้กลุ่มนี้ชอบมีลักษณะอาการคราวแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี และอาจมีประวัติความเป็นมาว่ามีบิดามารดาหรือญาติเป็นโรคนี้ด้วย และมีส่วนน้อยที่สามารถหาต้นเหตุที่แจ่มแจ้งได้ (Symptomatic หรือ Secondary Epilepsy) อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความเปลี่ยนไปจากปกติของโครงสร้างสมอง เป็นต้นว่า สมองพิการแต่กำเนิด สมองได้รับกระทบระหว่างคลอด สมองทุพพลภาพตอนหลังการติดเชื้อ แผลเป็นในสมองข้างหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้มักพบในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 2 ปี) ภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ สภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษเหล้า สารเสพติด (เป็นต้นว่า การเสพยาขยันเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางประเภทที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบได้มากในคนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป)
ทั้งนี้ อาการในผู้ป่วยโรคลมชักบางทีอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้กำเนิดอาการ แต่ก็มีในบางครั้งบางคราว หรือการใช้สารบางสิ่งที่ส่งผลให้เกิดอาการชักได้ เป็นต้นว่า ความเครียด การพักผ่อนน้อยเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางชนิดหรือกการใช้สารเสพติด ภาวการณ์มีประจำเดือนของหญิง ยิ่งไปกว่านี้ยังมีคนเจ็บจำนวนหนึ่งแต่เป็นจำนวนน้อยที่สามารถเกิดอาการชักได้ถ้าเห็นแสงสว่างแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดขึ้นมาจากต้นเหตุนี้เรียกว่า โรคลมชักที่ผู้ป่วยไวต่อแสงกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
ลักษณะของคนไข้ลมชัก โรคลมชัก ต่างจากการชักจากโรคอื่นๆเป็น อาการชักจากโรคลมชัก ต้องมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งดังนี้ อันที่จริงแล้ว โรคลมชักเอง มีลักษณะอาการชักได้ 3 แบบ ตัวอย่างเช่น
1.อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดสังกัดสมอง 2 ส่วน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทย่อยๆเป็น
อาการชักแบบเหม่อ (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่สะดุดตาคือการใจลอย หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงนิดหน่อย ดังเช่นว่า การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้นๆได้
อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยชอบเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขนและก็ขา จนกระทั่งทำให้คนป่วยล้มลงได้
อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Atonic Seizures) อาการชักที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการชักประเภทนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ กระทั่งทำให้คนเจ็บล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างกระทันหัน
อาการชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ก่อกำเนิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนไปจากปกติ โดยอาจจะก่อให้เกิดการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า รวมทั้งแขน
อาการชักแบบชักแล้วก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่มีผลต่อกล้ามในร่างกายทุกส่วน นำมาซึ่งอาการกล้ามเนื้อเกร็งและก็กระตุก มีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มลง และหมดสติ บางรายบางทีอาจร้องไห้ในช่วงเวลาที่ชักด้วย และหลังจากอาการบรรเทาลง ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจรู้สึกอิดโรยเนื่องจากอาการชัก
อาการชักแบบชักตกใจ (Myoclonic Seizures) อาการชักชนิดนี้มักเกิดขึ้นแบบกะทันหัน โดยจะกำเนิดอาการชักกระตุกของแขนแล้วก็ขาคล้ายกับการโดนกระแสไฟฟ้าช็อต ส่วนมากชอบเกิดภายหลังจากตื่นนอน บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกรุ๊ปเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักจำพวกนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงแต่บางส่วน ก่อให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแค่นั้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักชนิดนี้ ตอนที่เกิดอาการ คนไข้จะยังคงมีสติครบสมบูรณ์ โดยผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆข้างในท้อง บ้างก็บางทีอาจรู้สึกเหมือนมีลักษณะเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกประหนึ่งว่าเคยพบเจอหรือเกิดเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่มาก่อน แม้ว่าไม่เคย อาจเกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวอย่างกะทันหัน แล้วก็ได้กลิ่นหรือรับรู้รสแปลกไป รู้สึกชาที่แขนรวมทั้งขา หรือมีอาการชักที่แขนและก็มือ ฯลฯ ดังนี้ อาการชักดังที่กล่าวถึงแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักชนิดอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้สามารถช่วยให้คนป่วยรวมทั้งคนรอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
อาการชักโดยไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยอาจจะไม่ทราบตัวและไม่สามารถจำได้ว่ากำเนิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในขณะเกิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักชนิดนี้ไม่สามารถที่จะเดาได้โดยอาจมีอาการอย่างเช่น ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปรอบๆจับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในอิริยาบถแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนบางอย่าง นอกจากนั้น เวลาที่เกิดอาการ คนป่วยจะไม่อาจจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายได้เลย
3.อาการชักสม่ำเสมอ (Status Epilepticus) อาการชักประเภทนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักตลอดที่คนป่วยไม่สามารถคืนสติในระหว่างที่ชัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ทั้งนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกประเภทคือ การที่คนไข้มีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติทางระบบประสาทดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่ว่าอาการพวกนั้นจะเกิดบ่อยๆรวมทั้งอาการไม่ปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ก่อนจะชัก บางคนอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน ดังเช่นว่า รำคาญ เครียด กลัดกลุ้ม เวียนหัว กล้ามเนื้อกระตุก เป็นต้น แล้วก็ก่อนจะหมดสติเพียงไม่กี่วินาที ผู้ป่วยอาจมีอาการเตือน ดังเช่น ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีลักษณะชะตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุๆก ฯลฯ ถ้าเกิดมิได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบเสิบสานซ้ำได้ปีละหลายคราว โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้น (ดูหัวข้อ “การรักษาตนเอง”) ผู้ป่วยจะไม่มีลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะของการเกิดอาการดังกล่าวค่อนข้างเป็นลักษณะเฉพาะของโรคลมชัก ถ้าหากเคยได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จะนึกออกตลอดไป
ส่วนอาการชักซึ่งเป็นผลมาจากโรคลมชัก มีมูลเหตุมีเหตุที่เกิดจากการที่กลุ่มของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในปริมาณสูงอย่างผิดปกติ แล้วก็สอดคล้องต้องกัน ผลลัพธ์นำมาซึ่งการก่อให้เกิดคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ โดยปกติภายหลังเซลล์ประสาทที่ได้รับการปลุกเร้า ปฏิบัติงานหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะทนทานต่อการผลิตศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจัยส่วนใดส่วนหนึ่งบางทีอาจสำเร็จของลักษณะการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยั้ง ความเคลื่อนไหวไฟฟ้าภายในเซลล์ประสาทที่ได้รับการกระตุ้น แล้วก็ผลพวงของอะดีโนซีน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคลมชัก
- กินยาปกป้องโรคลมชักตามขนาดที่หมอสั่งเป็นประจำ อย่าให้หยุดยาเอง หรือกินๆหยุดๆกระทั่งแพทย์จะไตร่ตรองให้หยุด ซึ่งบางทีอาจใช้เวลา 2-3 ปี
- ไปตรวจกับแพทย์ประจำตามนัด อย่าเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงหมอโดยไม่จำเป็น
- เลี่ยงตัวกระตุ้นให้เกิดอาการชัก ได้แก่ อย่าอดนอน หรือนอนไม่ตรงเวลา หรือพักไม่พอ อย่าดำเนินการทุกข์ยากลำบากคร่ำเครียดหรืออ่อนล้าเกินไป อย่าไม่กินอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา อย่ากินเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ อย่าเข้าไปในที่ๆมีเสียงอื้ออึง หรือมีแสงสว่างจ้า หรือแสงวอบแวบ เมื่อมีไข้สูง จะต้องรีบกินยาลดไข้แล้วก็เช็ดตัวให้ไข้น้อยลง มิเช่นนั้นบางทีอาจกระตุ้นให้ชักได้
- เลี่ยงความประพฤติหรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงภัย ดังเช่น ว่าย ป่ายปีนขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ทำงานกับเครื่องจักร ขับขี่รถ ขับเรือ เดินข้ามถนนตามลำพัง ฯลฯ ด้วยเหตุว่าถ้ากำเนิดอาการชักขึ้นมา บางทีอาจได้รับอันตรายได้
- ควรเปิดเผยให้เพื่อนที่ทำงานหรือที่สถานศึกษาได้ทราบถึงโรคที่เป็น รวมทั้งควรจะพกบัตรที่บันทึกข้อความเกี่ยวกับโรคที่เป็นและก็แนวทางรักษาพยาบาลเบื้องต้นเพื่อว่าเมื่อกำเนิดอาการชัก คนที่พบเห็นจะได้ไม่ตระหนกตกใจ รวมทั้งหาทางช่วยเหลือให้ไม่มีอันตรายได้
- บริหารร่างกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะควรจะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงเยอะขึ้น ทั้งยังยังช่วยลดอาการภาวะเหงาหงอยได้ แม้กระนั้นก็ควรจะดื่มน้ำให้พอเพียง และก็ควรพักผ่อนถ้าหากรู้สึกอิดโรย
- คุ้มครองป้องกันการเจ็บที่สมอง ด้วยแนวทางดังนี้
- ขับขี่รถโดยสวัสดิภาพ ใช้เครื่องมือคุ้มครอง คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกนิรภัย ถ้าผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กๆควรจะจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
- เดินให้ละเอียด เพื่อปกป้องการหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กแล้วก็คนวัยแก่ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะตกหกล้มได้ง่าย โดยเหตุนั้นต้องมีคนรอดูแลอยู่เป็นประจำ
การป้องกันตัวเองจากโรคลมชัก แม้ว่าการกำเนิดโรคลมชักในหลายสาเหตุนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายมูลเหตุรวมทั้งจะไม่สามารถที่จะปกป้องได้ แต่ความพากเพียรที่จะลดการบาดเจ็บแถวๆศีรษะ การดูแลเด็กทารกที่ดีในขณะข้างหลังคลอด บางทีอาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีต้นเหตุ)ได้ และก็เมื่อมีลักษณะอาการชักเกิดขึ้นแล้ว ควรหาทางคุ้มครองป้องกันไม่ให้อาการกำเริบขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่หมอเสนอแนะ และก็ผู้ป่วยจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงต้นเหตุที่กระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีก
ดังนี้ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้คุ้มครองการเกิดโรคลมชักได้ประสิทธิภาพที่ดี 100% และแพทย์ไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองการชัก แพทย์จะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีลักษณะอาการชักเกิด ขึ้นแล้ว เพื่อปกป้อง/ลดช่องทางมีการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษ
โรคลมชัก[/url] เวลานี้ยังมิได้รับแถลงการณ์ว่าสมุนไพรชนิดไหนซึ่งสามารถคุ้มครอง/รักษาโรคลมชักได้แต่มีการนำสมุนไพรของไทยไปศึกษาวิจัยและก็ทดสอบในสัตว์ทดลองและได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจแต่ยังมิได้มีการนำไปทดสอบในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น
- พริกไทยดำ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ piper nigrum Linn. อยู่ในสกุล Piperraceae เมื่อเร็วๆนี้มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดพริกไทยดำมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคมะเร็ง ต่อต้านโรคลมชัก โดยต้านทานการกระตุ้นสมองของสารสื่อประสาทกลุ่มกลูตาเมตผ่านตัวรับประเภท NMDA ซึ่งฤทธิ์โต้ลมชักนี้จะสอดคล้องกับคุณประโยชน์ของพริกไทยดำที่มีการกล่าวอ้างไว้ทั้งในตำราเรียนแพทย์แผนไทยและก็แพทย์แผนจีน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่าหนูอ้วนที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยการให้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงที่ได้รับพริกไทยดำจะหรูหราความเครียดออกซิเดชัน (oxidation stress) น้อยกล่ากรุ๊ปที่มิได้รับพริกไทยดำ
- พรมไม่ มีชื่อสามัญว่า Thyme-leaf Gratiola แล้วก็ชื่ออังกฤษว่า Dwarf bacopa มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bacopa monnieri Wettst อยู่ในสกุล Scrophulariaceae ในพรมมิมีสารสำคัญในกรุ๊ปแอลค้างลอยด์ อย่างเช่น บรามิน (brahmine), นิโคติน รวมทั้งสารกลุ่มซาโปนิน มีคุณลักษณะช่วยสำหรับในการเรียนรู้แล้วก็จำ ช่วยลดอาการกังวล ลดอาการกลัดกลุ้ม รวมทั้งต้านอาการชัก ซึ่งมีการทดลองที่สำคัญ ได้ดังนี้
- ฤทธิ์ต้านอาการชัก (Anticonvulsive action)การแพทย์แผนไทย มีการนำประพรมมิมาใช้เป็นสมุนไพรแก้ลมหวน ซึ่งในตอนนี้ มีการนำพรมไม่มาทดลองในสัตว์ทดสอบ (หนูถีบจักร) พบว่า สารสกัดน้ำจากพรมมิขนาด 1-30 กรัม/กก. (น้ำหนักตัว) สามารถควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ได้อย่างดีเยี่ยมโดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
เอกสารอ้างอิง - Magiorkinis E, Kalliopi S, Diamantis A (January 2010). "Hallmarks in the history of epilepsy: epilepsy in antiquity". Epilepsy & behavior : E&B 17 (1): 103– PMID 19963440. doi:10.1016/j.yebeh.2009.10.023.
- รศ.นพ.อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์ . อาการชัก และโรคลมชัก. บทความประกอบการบรรยายในการประชุมวิชาการ วิทยาการก้าวหน้าทางการพยาบาลเด็ก.2555
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคลมชัก-ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่166.คอลัมน์แนะยา-แจงโรค.กุมภาพันธ์ 2536
- Liu Y, Yadev VR, Aggarwal BB, Nair MG. Inhibitory effects of black pepper (Piper nigrum) extracts and compounds on human tumor cell proliferation, cyclooxygenase enzymes, lipid peroxidation and nuclear transcription factor-kappa-B. Nat Prod Commun. 2010 ;5(:1253-7
- โรคลมชัก.ความหมาย,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
- ชาญชัย สาดแสงจันทร์.พรมมิ สมุนไพรที่คนแก่ต้องกิน.วารสารธรรมศาสตร์เวชสาร.ปีที่13.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม.2556
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่363.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2553
- Hi RA, Davies JW. Effects of Piper nigrum L. on epileptiform activity in cortical wedges prepared from DBA/2 mice. Brother Res 1997; 11(3): 222-225
- Hammer, edited by Stephen J. McPhee, Gary D. (2010). "7". Pathophysiology of disease : an introduction to clinical medicine (6th ed. ed.). New York: McGraw-Hill Medical. ISBN 978-0-07-162167-0.
- Nisha P, Singhal RS, Pandit AB. The degradation kinetics of flavor in black pepper (Piper nigrum L.).Journal of Food Engineering 2009; 92: 44-49.
- Chang BS, Lowenstein DH (2003). "Epilepsy". N. Engl. J. Med. 349 (13): 1257–66. PMID 14507951. doi:10.1056/NEJMra022308.
Tags : โรคลมชัก