โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 16 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jirasak2708
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 22854


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 09, 2018, 01:16:57 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก คืออะไร  ก่อนจะรู้ถึงความหมายของต้อกระจกนั้น พวกเราควรจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่เราเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วๆไปทั้งยังด้าน หน้าและก็ข้างหลัง มีความดกประมาณ 5 ม.มัธยม เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 มัธยมมัธยม มีหน้าที่ปฏิบัติงานร่วมกับกระจกตาในการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกโฟกัสที่จอประสาทตา ที่ทำให้มีการเกิดการมองเห็น
นอกจากนั้นแก้วตายังสามารถแปลงกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น ซึ่งก็คือ ในคนธรรมดาจะมองเห็นชัดทั้งไกลและก็ใกล้ เพราะฉะนั้นธรรมชาติก็เลยสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายใดๆแม้กระนั้นถึงแก้วตาจะไม่ได้รับอันตรายอะไรก็แล้วแต่จากภายนอก แต่ก็ไม่สามารถเลี่ยงความเสื่อมถอยภาวะจากอายุที่มากขึ้นหรือการเช็ดกต้นเหตุที่จะเร่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ เป็นต้นว่า ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม อื่นๆอีกมากมาย สำหรับต้อกระจกนี้
ตอนแรกจะต้องขอให้คำจำกัดความ หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” ซะก่อน ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ข้างในลูกตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ ตามปกติแล้วเลนส์ด้านในลูกตามีภาวการณ์ใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีบทบาทปรับแสงที่ผ่านเข้าตา ทำให้เราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้แจ่มแจ้ง รวมทั้งเมื่อเกิด “ต้อกระจก” ก็จะทำให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้าสู่ลูกตาไปตกกระทบที่หน้าจอประสาทรับภาพ (retina) ได้เด่นชัด ผู้นั้นก็เลยดูอะไรไม่ชัด ตาฝ้า มัว แล้วท้ายที่สุดถ้าขาวขุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมืดแล้วก็ มองอะไรไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปสำหรับคนสูงอายุ ถ้าเกิดปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด ถือได้ว่าเป็นต้นสายปลายเหตุอันดับหนึ่งของภาวะสายตาทุพพลภาพของคนสูงอายุ
สาเหตุของโรคต้อกระจก โดยส่วนใหญ่ (ราวร้อยละ 80) มีเหตุที่เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย คนที่แก่มากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แม้กระนั้นบางทีอาจเป็นมากน้อยไม่เหมือนกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนชรา (senile cataract)  ส่วนน้อย (โดยประมาณร้อยละ 20) อาจเป็นเพราะเนื่องจากต้นเหตุอื่นๆอาทิเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กอ่อนสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ต้นเกิด โดยอาจกำเนิดได้จากกรรมพันธุ์ การต่อว่าดเชื้อ การได้รับอันตรายหรือมีความเจริญระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแบเบาะที่ค้นพบว่าเป็นต้อกระจกโดยกำเนิด ตัวอย่างเช่น สภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนปมประเภทที่ 2 ก็อาจก่อให้เกิดการเกิดต้อกระจกจำพวกนี้ เด็กเล็กบางคนบางทีอาจแสดงอาการในคราวหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง บางโอกาสต้อกระจกนี้เล็กมากมายกระทั่งไม่มีผลต่อการมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่าทำให้เกิดผลกระทบต่อการมองมองเห็นจึงจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาชนิดอื่นเป็นต้นว่าต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นสาเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกเหนือจากนี้ คนเจ็บโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางชนิด ตัวอย่างเช่น สเตียรอยด์ ยาขับเยี่ยวบางตัว ก็นับว่าเป็นกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นกัน เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาวะแรงชนที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเขพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มแทงทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้โดยทันทีภายใน 1 วัน หรือถ้าหากโดนวัตถุไม่มีคมชน ก็อาจจะมีการเกิดต้อกระจกตามมาคราวหลังได้ ถ้าหากความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาบาดหมาง เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากโดนรังสีเอกซเรย์ รอบๆดวงตาอยู่เป็นประจำๆยกตัวอย่างเช่น พวกที่มีโรคมะเร็งรอบๆเบ้าตา และก็รักษาด้วยการใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ รวมทั้งกำเนิดต้อกระจกตามมา  นอกจากปัจจัยต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ ตัวอย่างเช่น ของกินพวกที่มีภาวะทุโภชนา หรือพวกอาหารผิดสุขลักษณะ ขาดโปรตีน และก็วิตามินส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ
ลักษณะของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะดูได้ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม เนื่องจากว่าต้องใช้เวลานานกว่าลักษณะของต้อกระจกจะเยอะขึ้นจนกระทบต่อการมองมองเห็น โดยผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้

  • อาการเด่นของต้อกระจกคือ ตาค่อยๆมัวลงอย่างช้าๆโดยไม่มีลักษณะการเจ็บปวด หรือ ตาแดงแต่อย่างใด อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงสว่างจ้า อาทิเช่น เมื่อออกแดด กลับเห็นเกือบจะปกติในที่มืดสลัวๆหรือเวลาพลบค่ำ เพราะว่าเมื่ออยู่ในที่แจ้งม่านตาจะหดแคบลง ทำให้แสงไฟที่จะเข้าตาเข้ายากขึ้น ตรงกันข้ามกับเมื่ออยู่ในที่มืด ซึ่งม่านตาจะขยายทำให้แสงสว่างเข้าตาได้มากขึ้น ก็เลยเห็นได้ชัดขึ้นในที่มืด
  • ในคนสูงอายุเวลาอ่านหนังสือจำต้องใช้แว่นตาช่วยปกติอยู่แล้ว แม้กระนั้นอยู่ๆกับพบว่าอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น โน่นเป็นเพราะอาการจากเริ่มมีการเสื่อมของแก้วตาทำให้การหักเหแสงสว่างเปลี่ยน ก็เลยกลับมาเป็นคนสายตาสั้นเมื่อแก่ (Secondary myopia)
  • ในเด็กๆที่เป็นต้อกระจกอาจจะบอกหรือบอกมิได้ถึงการมองมองเห็นเพียงแต่จะสังเกตได้ว่าเด็กจะมอง จับหรือเล่นของเล่นไม่ถนัด ตาอาจส่ายไปมา หรือเฉไปทางไปทางใดทางหนึ่งได้
  • มองเห็นภาพซ้อน หรือ เห็นแสงสว่างกระจาย
  • มองเห็นภาพเป็นสีเหลืองหรือซีดเซียวจางลงกว่าที่สายตาคนธรรมดาเห็น
  • จำเป็นต้องใช้แสงไฟมากขึ้นสำหรับการอ่านหนังสือหรือกิจกรรมที่จำต้องใช้สายตา
ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก

  • เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะมีผลให้ตาบอดสนิท
  • ในบางรายแก้วตาบางทีอาจบวมหรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของเหลวในดวงตา ทำให้เกิดความดันภายในลูกตาสูงขึ้น จนถึงเปลี่ยนเป็นต้อหินได้
  • คนไข้จะสามารถมีอาการปวดตาอย่างรุนแรงได้

ขั้นตอนการรักษาโรคต้อกระจก แพทย์จะวินิจฉัยพื้นฐานด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาผู้ป่วยจะรู้สึกตาพร่า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่เจอปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex)
ถ้าเกิดไม่มั่นใจ แพทย์ต้องใช้วัสดุพิเศษตรวจให้ละเอียด อาจจำเป็นต้องตรวจวัดความดันลูกตา (เพื่อแยกออกจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) และตรวจพิเศษอื่นๆอย่างเช่น

  • การวัดสายตา (Visual Acuity Test) การวัดความรู้ความเข้าใจการมองมองเห็นในระยะต่างๆโดยให้อ่านชุดตัวเขียน เมื่อทดลองตาข้างใดๆอีกข้างจะถูกปิดไว้ แนวทางแบบนี้เป็นการประเมินว่าคนเจ็บมีความผิดธรรมดาทางสายตาให้เห็นไหม
  • การทดลองโดยขยายรูม่านตา (Retinal Eye Exam) ทำได้ด้วยการหยดยาลงที่ตาเพื่อให้รูม่านตาเปิดกว้างขึ้น แล้วใช้เลนส์ขยายแบบพิเศษตรวจสอบจอประสาทตาและก็เส้นประสาทตาเพื่อหาความแตกต่างจากปกติของตา ข้างหลังการตรวจนี้ ดวงตาของผู้ป่วยเห็นในระยะใกล้เลือนตรงเวลาหลายชั่วโมง
  • การตรวจโดยใช้กล้องถ่ายรูปดวงตากล้องจุลทรรศน์ประเภทลำแสงแคบ (Slit Lamp Examination) เป็นการใช้กล้องถ่ายรูปที่มีความเข้มของลำแสงสูงรวมทั้งบางพอที่จะส่องกระจกตา ม่านตา เลนส์แก้วตา รวมถึงพื้นที่ว่างระหว่างม่านตารวมทั้งกระจกตา ช่วยทำให้หมอสามารถมองเห็นองค์ประกอบที่เป็นส่วนเล็กได้อย่างสะดวก

เนื่องมาจากโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดใดๆก็ตามที่ช่วยแก้ลักษณะของต้อกระจกได้ ระยะต้นๆของโรคต้อกระจกสามารถทุเลาได้ด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ สวมแว่นตาดำร้องไห้สะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ก็เลยจะทำผ่าตัด ในอดีตมักรอคอยให้ต้อกระจกสุกก็เลยกระทำการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ แม้กระนั้นตอนนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่ว่าเนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำเนินชีวิตของผู้เจ็บป่วยก็ควรรับการดูแลและรักษา เนื่องจากการรอต้อกระจกสุก จะมีผลให้การรักษาด้วยการสลายต้อทำได้ยาก แล้วก็ยังอาจส่งผลให้กำเนิดโรคตาอื่นสอดแทรก ตัวอย่างเช่น ต้อหิน ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
ในขณะนี้การดูแลรักษาต้อกระจกมีเพียงแนวทางเดียวหมายถึงการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในปัจจุบันการผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับการผ่าตัดไม่นาน และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลหลังผ่าตัด
แนวทางการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 แนวทาง

  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เฟมโตเชคเคินเลเซอร์ (Femtosecond Laser assisted Cataract Surgery)
  • การผ่าตัดนำเลนส์ตาออกทั้งยังก้อน (Extracapsular cataract extraction) ซึ่งแนวทางแบบนี้ใช้ในกรณีที่เลนส์นอนไม่หลับมากมายๆ

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

  • อายุ – เป็นต้นเหตุหลักจำนวนมากที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกมากกว่า 80% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนแก่กว่า 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากามือเสื่อมตามวัย เพราะเหตุว่าเลนส์ที่อยู่ในตาเรานั้นจำต้องถูกใช้งานรับแสงสว่างมานานพอๆกับอายุของตัวเราจึงมีการสลายตัวได้
  • แสงสว่าง UV – การทำงานบางจำพวกโดยไม่ใส่หน้ากากคุ้มครองป้องกันแสงสว่างหรือรังสีเข้าตา เช่นเวลาเชื่อมเหล็ก ก็สามารถทใด้เกิดโรคต้อกระจกได้
  • โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตา – การตำหนิดเชื้อในตา ม่านตาอักเสบ ก็เป็นอีกมูลเหตุหนึ่งของโรคต้อกระจก
  • การถูกกระทบกระแทกบริเวณตาอย่างหนัก
  • โรคประจำตัวบางประเภทได้แก่ เบาหวาน ที่ทำให้เป็นโรคต้อกระจกเร็ววกว่าธรรมดา
  • การทานยาจำพวก ateroid
  • เด็กแรกเกิดที่ติดโรคจาก มีมารดามีการติดโรคโรคเหือดในช่วง 3 เดือนแรกของการมีท้อง

การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเลนส์ตาหรือแก้วตา เสื่อมสภาพจากนานัปการสาเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงเป็นผลให้แสงผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย จึงทำให้เกิดการมองเห็นภาพฝ้าฟางมากเพิ่มขึ้นจนกระทั่งไม่เห็นในที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ขาดการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

  • ถนอมสายตาด้วยการใส่ใส่แว่นดำเลี่ยงการโดนแสงอาทิตย์จ้า
  • เข้ารับการตรวจรักษาจากหมอรักษาตาแม้กระนั้นเนิ่นๆเพื่อจะได้ทำกรรักษาได้อย่างทันท่วงทีไม่ให้อาการไม่ดีขึ้นจนถึงไม่สามารถรักษาได้
  • ทำตามแพทย์สั่งรวมทั้งไปตรวจตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย พักให้พอเพียง กินอาหารที่เป็นประโยชน์ครบ 5 หมู่
  • ภายหลังผ่าตัดแปลงเลนส์ตาแล้วผู้เจ็บป่วยควรนอนพักให้สูงที่สุด และลุกขึ้นยืนเดินเท่าที่จำเป็นแค่นั้นและก็ควรจะเลี่ยงการทำงานหนัก การชูของหนักหรือสะเทือนมากมาย การบริหารร่างกายอย่างมาก รวมทั้งการไอหรือจามแรงๆตรงเวลาโดยประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือตราบจนกระทั่งแผลจะหายดี
การป้องกันตนเองจากโรคต้อกระจก

  • ควรจะสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ปกป้องแสง UV ที่เป็นปัจจัยกระตุ้น
  • ควรพบหมอรักษาสายตาเมื่อมีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติทางตาและไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง โดยเฉพาะยาที่มีส่วนประกอบของ Steroids
  • ตรวจสุขภาพตาบ่อยๆทุกปี ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือ เมื่อท่านมีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • ผู้เจ็บป่วยเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลบให้อยู่ในระดับธรรมดา
  • หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุกับดวงตา หรือใส่เครื่องป้องกันเวลาทำงานที่เสี่ยงตอการกระทบชนดวงตา
  • เมื่อมีการใช้สายตาติดต่อกันนาน ควรจะมีการพักสายตา
  • กินอาหารที่มีคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยค่าทางโภชนาการ มีวิตามิน และก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีในผักและก็ผลไม้หลากสี อย่างเช่น มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง กล้วย ผลไม้เชื้อสายเบอรี่
  • เลี่ยงการสูบบุหรี่ และก็ดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์
  • นอนพักให้เพียงพอ

สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก  จากการเรียนรู้ค้นคว้าข้อมูลงานค้นคว้าพบว่า สมุนไพรไทยหลายประเภทสามารถปกป้องโรคต้อกระจกได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน และก็ฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ คือ เคอร์คิวไม่นอยด์ (curcuminoid) รวมทั้งอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุหลายอย่าง ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆรวมถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตรวมทั้งโปรตีน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ขมิ้นชันจึงมีสรรพคุณสำหรับการช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย แล้วก็สามารถรักษาอาการแล้วก็โรคต่างๆได้หลายอย่าง
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นไลโคตะกาย (lycopene) โดยในเยื่อห่อหุ้มเม็ดของฟักข้าวมีไลวัวพีนสูงขึ้นยิ่งกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ซึ่งสามารถช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงและรักษาสายตา คุ้มครองปกป้องโรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก และก็ประสาทตาเสื่อม แล้วก็ตาบอดตอนกลางคืนได้ ทั้ง ยังมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า ไลโคปีนรวมทั้งเคอร์คิวไม่นอยด์ ยังช่วยคุ้มครองป้องกันต้อกระจกที่เกิดขึ้นมาจากโรคเบาหวานได้อีกด้วยยิ่งไปกว่านี้ยังมีสมุนไพรอีกหลายประเภทที่สามารถคุ้มครองป้องกันโรคต้อกระจกได้ ดังเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดคือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการเรียนพบว่า วิตามินซีมีบทบาทสำหรับเพื่อการปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา เว้นเสียแต่มะขามป้อมแล้ว ยังส่งผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง ตัวอย่างเช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า เป็นต้น นอกจากสมุนไพรพนาแล้ว สมุนไพรต่างถิ่นที่มีการสรรพคุณบำรุงและป้องกันโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาได้อย่างดีเยี่ยม เป็นต้นว่า
Ginseng หรือโสม คือรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญคือ ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายแบบ ตัวอย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดสอบทางสถานพยาบาลในผู้ป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงประเทศเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเรตินา จึงน่าจะเป็นผลดีในลักษณะการป้องกันโรคต้อหิน นอกจากนี้สาร Rb1 แล้วก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นคุณประโยชน์ในการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมด้วย เนื่องจากว่าการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดลองในหนูมีความหมายว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของจอตาในหนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ เพราะฉะนั้นโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับเพื่อการป้องกันโรคตาอีกทั้ง 4 คือ โรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม รวมทั้งภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา
Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกลุ่มคือ เฟลโม้นอยด์และเทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปรวมทั้งอเมริกามีฤทธิ์ป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ และป้องกัน lipid peroxidation จากการทดสอบพบว่า GBE สามารถคุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ mitochondria คุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ optic nerve ก็เลยสามารถป้องกันตาบอดในคนเจ็บโรคต้อหิน และก็ ผู้เจ็บป่วยจอตาเสื่อมได้ รวมทั้งสามารถลดการหลุดของจอตา (retinal detachment) ได้ GBE ก็เลยมีประโยชน์ในกรณีคุ้มครองรวมทั้งรักษาโรคต้อหินรวมทั้งโรคที่เกี่ยวพันกับจอตา
Danshen ชื่อสามัญเป็น Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้คือราก ในแบบเรียนยาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนเลือด ใช้รักษาฝี สารสำคัญคือ salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงรวมทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบรวมทั้งครึ้มขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถที่จะถูกกำจัดออกไปได้จึงไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดลองฉีดตังเซียมเข้าไปที่เยื่อเรตินาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถปกป้องการสูญเสียการมองมองเห็นได้ การทดลองทางสถานพยาบาลในคนป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถทรงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้เจ็บป่วยระยะกึ่งกลางและก็ระยะปลายได้ ด้วยเหตุนั้น ตังเซียมจึงมีประโยชน์กับผู้เจ็บป่วยโรคตาที่เกี่ยวกับ oxidative stress ยกตัวอย่างเช่น จอประสาทตาเสื่อม ภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก และก็มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) กรรมการเกษตรสหรัฐอเมริกาพบว่า คนอเมริกันที่กินผักรวมทั้งกินผลไม้เป็นประจำมีโอกาสกำเนิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักแล้วก็ผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง รวมทั้งผู้ที่ไม่รับประทานผักและผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกมากยิ่งขึ้นถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกมากขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่มีระดับสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง

  • โรคต่อกระจก.แผ่นพับประชาสัมพันธ์.หน่วยตรวจโรคจักษุฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช.2560.
  • ต้อกระจก (Cataract) . บทความเผยแพร่.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • นพ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่70.คอลัมน์โรคตา.กุมภาพันธ์2529
  • Sastre J, Lloret A, Borris C et al, Ginkgo biloba extract EGb 761 protects against mitochondrial aging in the brain and in the liver, Cell and Molecular Biology, 2002;48(6):685-692.
  • รศ.ดร.ภญ.อ้อมบุญ วัลลิสุต สมุนไพรและสารธรรมชาติบำรุงตา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/color]
  • ต้อกรระจก-อาการ.สาเหตุ.การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ต้อกระจก (Cataract)” .(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า950-952.
  • Kim NR, KimJH, and Kim CY, Effect of Korean red ginseng supplementation on ocular blood flow in patients with glaucoma, Journal of Ginseng Research, 2010;34(3);237- 245.
  • Janssens D, Delaive E, Remacle J, and Michiels C, Protection by bilobalide of the ischaemia-induced alterations of the mitochondrial respiratory activity, Fundamental and Clinical Pharmacology, 2000;14(3):193-201.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์2553
  • Cho JY, Yoo ES, Baik KU, Park MH, and Han BH, In vitro inhibitory effect of protopanaxadiol ginsenosides on tumor necrosis factor (TNF)-alpha production and its modulation by known TNF-a antagonists, Planta Medica, 2001;67(3):213-218.
  • ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงค์กิตติรักษ์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่390.คอลัมน์รักษ์”ดวงตา”.ตุลาคม.2554
  • Sen S, Chen S, Wu Y, Feng B, Lui EK, and Chakrabarti S, Preventive effects of North American ginseng (Panax quinquefolius) on diabetic retinopathy and cardiomyopathy, Phytotherapy Research, 2012;27(2):290-298.
  • Wu ZZ, Jiang JY, Yi YM, and Xia MT, Radix Salvia miltiorrhizae in middle and late stage glaucoma, Chinese Medical Journal, 1983;96(6):445-447.
  • Zhang L, Dai SZ, Nie XD, Zhu L, Xing F, and Wang LY, Effect of Salvia miltiorrhiza on retinopathy, Asian Pacific Journal of Tropical Medicine, 2013;6(2):145-149.
  • Lee SM, Sun JM, Jeong JH et al, Analysis of the effective fraction of sun ginseng extract in selenite induced cataract rat model, Journal of the Korean Ophthalmological Society, 2010;51:733-739.
  • Chen Y, Lin S, Ku H et al, Salvianolic acid B attenuates VCAM-1 and ICAM-1 expression in TNF-alpha-treated human aortic endothelial cells, Journal of Cellular Biochemistry,2001;82(3):512-521.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ