โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 47 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 28, 2018, 03:44:03 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก เป็นยังไง  ก่อนจะรู้ถึงความหมายของต้อกระจกนั้น เราน่าจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่พวกเราเรียกกันภาษาประชาชนว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วไปทั้งยังด้าน หน้าและก็ข้างหลัง มีความดกราว 5 ม.มัธยม เส้นผ่าศูนย์ กลางราวๆ 9 มัธยมมัธยม มีบทบาทปฏิบัติงานร่วมกับกระจกตาสำหรับเพื่อการหักเหแสงจากวัตถุให้ตกโฟกัสที่หน้าจอประสาทตา ที่ก่อให้เกิดการมองเห็น
นอกเหนือจากนี้แก้วตายังสามารถเปลี่ยนกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อสามารถโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น นั่นก็คือ ในคนปกติจะเห็นชัดทั้งยังไกลรวมทั้งใกล้ เพราะฉะนั้นธรรมชาติจึงสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายใดๆแม้กระนั้นแม้ว่าแก้วตาจะไม่ได้รับอันตรายใดๆก็ตามจากด้านนอก แม้กระนั้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้นหรือการถูกสาเหตุที่จะรีบนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเสื่อมถอยของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น ต้อกระจก ต้อหิน หน้าจอประสาทตาเสื่อม ฯลฯ สำหรับต้อกระจกนี้
ก่อนอื่นจำเป็นต้องขอให้คำอธิบายศัพท์ หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” ซะก่อน ต้อกระจกหมายคือสภาวะที่เลนส์ด้านในลูกตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเพราะเหตุว่าสาเหตุอะไรก็ได้ ตามปกติแล้วเลนส์ข้างในดวงตามีสภาวะใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้เราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้แจ่มชัด และเมื่อกำเนิด “ต้อกระจก” ก็จะก่อให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้าสู่ดวงตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้กระจ่าง ผู้นั้นก็เลยมองดูอะไรไม่ชัดเจน ตาฝ้า มัว แล้วท้ายที่สุดถ้าขาวขุ่นเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะมืดและ ดูอะไรไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปสำหรับผู้สูงวัย ถ้าหากปลดปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะมีผลให้ตาบอด ถือว่าเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของภาวการณ์สายตาทุพพลภาพของคนชรา
ที่มาของโรคต้อกระจก โดยส่วนใหญ่ (ราวปริมาณร้อยละ 80) เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากภาวการณ์เสื่อมตามวัย ผู้ที่แก่มากยิ่งกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกแทบทุกราย แม้กระนั้นบางทีอาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงวัย (senile cataract)  ส่วนน้อย (โดยประมาณร้อยละ 20) อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นๆเป็นต้นว่า ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กแรกคลอดสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่แรกกำเนิด โดยบางทีอาจกำเนิดได้จากพันธุกรรม การต่อว่าดเชื้อ การได้รับอันตรายหรือมีความเจริญระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแรกเกิดที่พบว่าเป็นต้อกระจกแต่กำเนิด อาทิเช่น ภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนเงื่อนประเภทที่ 2 ก็อาจนำมาซึ่งการเกิดต้อกระจกชนิดนี้ เด็กตัวเล็กๆบางคนอาจออกอาการในวันหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง ครั้งคราวต้อกระจกนี้เล็กมากจนไม่ส่งผลต่อการมองมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่ามีผลเสียต่อการมองเห็นก็เลยจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาจำพวกอื่นดังเช่นต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกจากนั้น คนเจ็บเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันเลือดสูง การได้รับยาบางชนิด ได้แก่ สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะบางตัว ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเหมือนกัน มีต้นเหตุที่เกิดจากภาวะแรงชนที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเฉพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มแทงทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ในทันทีด้านใน 24 ชั่วโมง หรือถ้าเกิดโดนวัตถุไม่มีคมกระแทก ก็อาจจะเกิดต้อกระจกตามมาคราวหลังได้ ถ้าความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาผิดใจกัน มีสาเหตุมาจากโดนรังสีเอกซเรย์ บริเวณลูกตาอยู่เสมอๆยกตัวอย่างเช่น พวกที่มีโรคมะเร็งรอบๆเบ้าตา แล้วก็รักษาด้วยการใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ แล้วก็กำเนิดต้อกระจกตามมา  เว้นเสียแต่มูลเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ อาทิเช่น ของกินพวกที่มีสภาพทุโภชนา หรือพวกอาหารการกินไม่ถูกสุขลักษณะ ขาดโปรตีน และวิตามินนำมาซึ่งต้อกระจกได้เร็วกว่าธรรมดา
อาการของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะพิจารณาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเริ่ม เนื่องมาจากจะต้องใช้เวลานานกว่าลักษณะของต้อกระจกจะเยอะขึ้นจนกระทบต่อการมองเห็น โดยผู้ป่วยมักมีอาการดังนี้

  • อาการเด่นของต้อกระจกคือ ตาเบาๆมัวลงอย่างช้าๆโดยไม่มีลักษณะของการเจ็บปวด หรือ ตาแดงแต่อย่างใด อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงไฟจ้า ดังเช่น เมื่อออกแดด แต่มองเห็นเกือบจะเป็นปกติในที่มืดมัวๆหรือเวลาพลบค่ำ เนื่องมาจากเมื่ออยู่ในกลางแจ้งม่านตาจะหดแคบลง ทำให้แสงสว่างที่จะเข้าตาเข้ายากขึ้น ตรงกันข้ามกับเมื่ออยู่ในที่มืด ซึ่งม่านตาจะขยายทำให้แสงสว่างเข้าตาได้มากขึ้น ก็เลยเห็นได้ชัดขึ้นในที่มืด
  • ในคนวัยชราเวลาอ่านหนังสือต้องใช้แว่นสายตาช่วยเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าอยู่ๆกับพบว่าอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น โน่นเป็นเนื่องจากอาการจากเริ่มมีการเสื่อมของแก้วตาทำให้การเบี่ยงเบนแสงสว่างเปลี่ยนแปลง ก็เลยกลับมาเป็นคนสายตาสั้นเมื่อแก่ (Secondary myopia)
  • ในเด็กๆที่เป็นต้อกระจกบางทีอาจจะกล่าวหรือบอกมิได้ถึงการมองมองเห็นเพียงจะพินิจได้ว่าเด็กจะมอง จับหรือเล่นของเล่นไม่ถนัด ตาบางทีอาจส่ายไปมา หรือเฉไปทางไปทางใดทางหนึ่งได้
  • มองเห็นภาพซ้อน หรือ เห็นแสงไฟกระจัดกระจาย
  • เห็นภาพเป็นสีเหลืองหรือซีดเผือดจางลงกว่าที่สายตาคนธรรมดามองเห็น
  • จำต้องใช้แสงไฟมากขึ้นสำหรับการอ่านหนังสือหรือกิจกรรมที่จำต้องใช้สายตา
ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก

  • เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะทำให้ตาบอดสนิท
  • ในบางรายแก้วตาอาจบวมหรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของเหลวในดวงตา ส่งผลให้เกิดความดันด้านในลูกตาสูงมากขึ้น จนถึงเปลี่ยนเป็นต้อหินได้
  • ผู้ป่วยจะสามารถมีลักษณะปวดตาอย่างรุนแรงได้

แนวทางการรักษาโรคต้อกระจก หมอจะวิเคราะห์พื้นฐานด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาผู้เจ็บป่วยจะรู้สึกตามัว การใช้งานเครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่เจอปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex)
ถ้ายังไม่มั่นใจ หมอจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษตรวจอย่างประณีต อาจควรต้องตรวจวัดความดันดวงตา (เพื่อแยกออกมาจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) รวมทั้งตรวจพิเศษอื่นๆเป็นต้นว่า

  • การวัดสายตา (Visual Acuity Test) การประเมินความรู้ความเข้าใจการมองมองเห็นในระยะต่างๆโดยให้อ่านชุดตัวเขียน เมื่อทดสอบตาข้างอะไรก็ตามอีกข้างจะถูกปิดไว้ วิธีนี้เป็นการประเมินว่าผู้ป่วยมีความผิดธรรมดาทางสายตาให้มองเห็นหรือไม่
  • การทดลองโดยขยายรูม่านตา (Retinal Eye Exam) ทำได้ด้วยการหยดยาลงที่ตาเพื่อรูม่านตาเปิดกว้างขึ้น แล้วก็ใช้เลนส์ขยายแบบพิเศษตรวจทานหน้าจอประสาทตาและก็เส้นประสาทตาเพื่อกล่าวโทษเปลี่ยนไปจากปกติของตา ข้างหลังการตรวจนี้ ดวงตาของผู้ป่วยมองเห็นในระยะใกล้เลือนเป็นเวลาหลายชั่วโมง
  • การตรวจโดยใช้กล้องจักษุกล้องจุลทรรศน์ชนิดลำแสงแคบ (Slit Lamp Examination) คือการใช้กล้องถ่ายภาพที่มีความเข้มของลำแสงสูงและก็บางพอที่จะส่องกระจกตา ม่านตา เลนส์แก้วตา รวมถึงพื้นที่ว่างระหว่างม่านตารวมทั้งกระจกตา ช่วยทำให้แพทย์สามารถมองเห็นส่วนประกอบที่เป็นส่วนเล็กได้อย่างสะดวก

เพราะโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยแก้ลักษณะของต้อกระจกได้ ระยะแรกๆของโรคต้อกระจกสามารถบรรเทาได้ด้วยการตัดแว่นตาใหม่ สวมแว่นตาดำกันแสงสะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อกระบวนการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำผ่าตัด ในอดีตมักรอคอยให้ต้อกระจกสุกก็เลยทำผ่าตัดแปลงเลนส์ แต่ปัจจุบันนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่เนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำรงชีวิตของคนป่วยก็ควรรับการดูแลรักษา เนื่องจากการรอคอยต้อกระจกสุก จะก่อให้การดูแลและรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจก่อให้กำเนิดโรคตาอื่นเข้าแทรก อย่างเช่น ต้อหิน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายมากเพิ่มขึ้นได้
ในขณะนี้การรักษาต้อกระจกมีเพียงแนวทางเดียวเป็นการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกแล้วก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในปัจจุบันการผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับเพื่อการผ่าตัดไม่นาน และไม่จำเป็นจะต้องนอนโรงพยาบาลข้างหลังผ่าตัด
วิธีการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 แนวทาง

  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เฟมโตเชคเคินเลเซอร์ (Femtosecond Laser assisted Cataract Surgery)
  • การผ่าตัดนำเลนส์ตาออกอีกทั้งก้อน (Extracapsular cataract extraction) ซึ่งแนวทางแบบนี้ใช้ในเรื่องที่เลนส์ตาค้างมากมายๆ

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคต้อกระจก

  • อายุ – เป็นต้นเหตุหลักจำนวนมากที่ส่งผลให้เกิโรคต้อกระจก[/url]มากยิ่งกว่า 80% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากากรเสื่อมตามวัย เนื่องจากว่าเลนส์ที่อยู่ในตาเรานั้นจำเป็นต้องถูกใช้งานรับแสงมานานพอๆกับอายุของตัวเราก็เลยเกิดการย่อยสลายได้
  • แสงสว่าง UV – การทำงานบางประเภทโดยไม่ใส่หน้ากากป้องกันแสงสว่างหรือรังสีเข้าตา เป็นต้นว่าเวลาเชื่อมเหล็ก ก็สามารถทใด้เกิดโรคต้อกระจกได้
  • โรคเกี่ยวกับตา – การตำหนิดเชื้อในตา ม่านตาอักเสบ ก็เป็นอีกมูลเหตุหนึ่งของโรคต้อกระจก
  • การเช็ดกกระทบชนรอบๆตาอย่างรุนแรง
  • โรคประจำตัวบางประเภทอาทิเช่น โรคเบาหวาน ที่ทำให้เป็นโรคต้อกระจกเร็ววกว่าปกติ
  • การทานยาประเภท ateroid
  • เด็กอ่อนที่ติดโรคจาก มีแม่มีการติดเชื้อโรคโรคเหือดในช่วง 3 เดือนแรกของการท้อง

การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกมีต้นเหตุจากเลนส์ตาหรือแก้วตา ย่อยสลายจากนานัปการมูลเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงได้ผลให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ดวงตาได้น้อย จึงทำให้เกิดการมองเห็นภาพพร่ามัวเยอะขึ้นเรื่อยๆจนมองไม่เห็นท้ายที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ขาดการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

  • ถนอมสายตาด้วยการใส่ใส่แว่นกันแดดหลีกเลี่ยงการโดนแสงอาทิตย์จ้า
  • เข้ารับการตรวจรักษาจากหมอรักษาสายตาแม้กระนั้นเนิ่นๆเพื่อจะได้ทำมือรักษาได้อย่างทันท่วงทีไม่ให้อาการกำเริบจนไม่อาจจะรักษาได้
  • ประพฤติตามหมอสั่งและไปตรวจตามนัดอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง หมั่นบริหารร่างกาย พักให้พอเพียง ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบทั้งยัง 5 หมู่
  • ภายหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาแล้วคนป่วยควรนอนพักให้มากที่สุด แล้วก็ลุกขึ้นเดินเท่าที่จำเป็นเท่านั้นรวมทั้งควรจะหลบหลีกการทำงานหนัก การชูของหนักหรือกระเทือนมากมาย การบริหารร่างกายอย่างหนัก รวมถึงการไอหรือจามแรงๆเป็นเวลาราว 2-3 สัปดาห์ หรือตราบจนกระทั่งแผลจะหายดี
การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคต้อกระจก

  • ควรสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่ที่โล่งแจ้ง คุ้มครองปกป้องแสงสว่าง UV ที่เป็นเหตุกระตุ้น
  • ควรพบจักษุแพทย์เมื่อมีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติทางตาและไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง โดยยิ่งไปกว่านั้นยาที่มีส่วนประกอบของ Steroids
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือ เมื่อท่านมีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • คนไข้เบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลบให้อยู่ในระดับธรรมดา
  • หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุกับดวงตา หรือใส่เครื่องคุ้มครองปกป้องเวลาทำงานที่เสี่ยงตอกาเกลื่อนกลาดระทบกระแทกดวงตา
  • เมื่อมีการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน จะต้องมีการพักสายตา
  • ทานอาหารที่มีสาระ อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทางโภชนาการ มีวิตามิน รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีในผักและผลไม้หลากสี ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง กล้วย ผลไม้เชื้อสายเบอปรี่
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก  จากการเรียนรู้ค้นคว้าข้อมูลการค้นคว้าพบว่า สมุนไพรไทยหลายชนิดสามารถป้องกันโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน รวมทั้งฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นเคอร์คิวไม่นอยด์ (curcuminoid) และอุดมไปด้วยวิตามินและก็ธาตุหลายชนิด อย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก แล้วก็เกลือแร่ต่างๆรวมถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตแล้วก็โปรตีน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ขมิ้นชันก็เลยมีสรรพคุณสำหรับการช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย และสามารถรักษาอาการและก็โรคต่างๆได้หลายอย่าง
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านทานอนุมูลอิสระสำคัญ คือ ไลวัวไต่ (lycopene) โดยในเยื่อห่อเม็ดของฟักข้าวมีไลวัวพีนสูงขึ้นยิ่งกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ที่สามารถช่วยสำหรับการบำรุงแล้วก็รักษาสายตา คุ้มครองป้องกันโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก รวมทั้งประสาทตาเสื่อม แล้วก็ตาบอดยามค่ำคืนได้ ทั้งยัง ยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่า ไลโคปีนป่ายรวมทั้งเคอร์คิวไม่นอยด์ ยังช่วยคุ้มครองปกป้องต้อกระจกที่เกิดขึ้นจากโรคเบาหวานได้อีกด้วยนอกเหนือจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่สามารถคุ้มครองโรคต้อกระจกได้ ดังเช่นว่า มะขามป้อม มะขามป้อมจัดคือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีหน้าที่สำหรับเพื่อการปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา นอกจากมะขามป้อมแล้ว ยังมีผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า ฯลฯ เว้นเสียแต่สมุนไพรไพรศรีแล้ว สมุนไพรต่างชาติที่มีการคุณประโยชน์บำรุงและคุ้มครองปกป้องโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น
Ginseng หรือโสม เป็นรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญเป็น ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประเภท อย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดลองทางคลินิกในคนเจ็บที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปยังเรตินา ก็เลยน่าจะเป็นประโยชน์ในลักษณะการปกป้องโรคต้อหิน นอกนั้นสาร Rb1 และก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการปกป้องโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เนื่องจากการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดลองในหนูแปลว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของจอตาในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับในการคุ้มครองโรคตาทั้ง 4 คือ โรคต้อหิน ต้อกระจก หน้าจอประสาทตาเสื่อม รวมทั้งสภาวะโรคเบาหวานขึ้นจอตา
Gingko Biloba Extract (GBE) คือสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกรุ๊ปเป็น เฟลโวนอยด์รวมทั้งเทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปและอเมริกามีฤทธิ์คุ้มครองการทำลายจากอนุมูลอิสระ แล้วก็คุ้มครอง lipid peroxidation จากการทดสอบพบว่า GBE สามารถคุ้มครองป้องกันการเสื่อมของ mitochondria ปกป้องการเสื่อมของ optic nerve จึงสามารถคุ้มครองตาบอดในคนป่วยโรคต้อหิน และก็ คนเจ็บจอตาเสื่อมได้ แล้วก็สามารถลดการหลุดของจอตา (retinal detachment) ได้ GBE ก็เลยมีคุณประโยชน์ในกรณีคุ้มครองป้องกันและรักษาโรคต้อหินและโรคที่เกี่ยวโยงกับจอตา
Danshen ชื่อสามัญคือ Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้คือราก ในหนังสือเรียนยาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ใช้รักษาฝี สารสำคัญเป็น salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงและก็ยังมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบในผู้ที่เป็นเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบและก็หนาขึ้นของฝาผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถที่จะถูกกำจัดออกไปได้จึงไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดสอบฉีดตังเซียมเข้าไปที่เยื่อเรตินาที่ขาดออกสิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถคุ้มครองปกป้องการสูญเสียการมองมองเห็นได้ การทดลองทางสถานพยาบาลในผู้เจ็บป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถทรงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้เจ็บป่วยระยะกลางและก็ระยะปลายได้ ดังนั้น ตังเซียมก็เลยเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโรคตาที่เกี่ยวโยงกับ oxidative stress เป็นต้นว่า จอประสาทตาเสื่อม ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา และต้อกระจก แล้วก็มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) กรรมการเกษตรสหรัฐอเมริกาพบว่า คนอเมริกันที่กินผักรวมทั้งกินผลไม้เป็นประจำมีโอกาสเกิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักแล้วก็ผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง แล้วก็คนที่ไม่รับประทานผักรวมทั้งผลไม้เลยจะเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเยอะขึ้นถึง 6 เท่า นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าคนที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกมากยิ่งขึ้นถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่มีระดับสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง

  • โรคต่อกระจก.แผ่นพับประชาสัมพันธ์.หน่วยตรวจโรคจักษุฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช.2560.
  • ต้อกระจก (Cataract) . บทความเผยแพร่.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • นพ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่70.คอลัมน์โรคตา.กุมภาพันธ์2529
  • Sastre J, Lloret A, Borris C et al, Ginkgo biloba extract EGb 761 protects against mitochondrial aging in the brain and in the liver, Cell and Molecular Biology, 2002;48(6):685-692.
  • รศ.ดร.ภญ.อ้อมบุญ วัลลิสุต สมุนไพรและสารธรรมชาติบำรุงตา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/color]
  • ต้อกรระจก-อาการ.สาเหตุ.การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ต้อกระจก (Cataract)” .(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า950-952.
  • Kim NR, KimJH, and Kim CY, Effect of Korean red ginseng supplementation on ocular blood flow in patients with glaucoma, Journal of Ginseng Research, 2010;34(3);237- 245.
  • Janssens D, Delaive E, Remacle J, and Michiels C, Protection by bilobalide of the ischaemia-induced alterations of the mitochondrial respiratory activity, Fundamental and Clinical Pharmacology, 2000;14(3):193-201.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์2553
  • Cho JY, Yoo ES, Baik KU, Park MH, and Han BH, In vitro inhibitory effect of protopanaxadiol ginsenosides on tumor necrosis factor (TNF)-alpha production and its modulation by known TNF-a antagonists, Planta Medica, 2001;67(3):213-218.
  • ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงค์กิตติรักษ์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่390.คอลัมน์รักษ์”ดวงตา”.ตุลาคม.2554
  • Sen S, Chen S, Wu Y, Feng B, Lui EK, and Chakrabarti S, Preventive effects of North American ginseng (Panax quinquefolius) on diabetic retinopathy and cardiomyopathy, Phytotherapy Research, 2012;27(2):290-298.
  • Wu ZZ, Jiang JY, Yi YM, and Xia MT, Radix Salvia miltiorrhizae in middle and late stage glaucoma, Chinese Medical Journal, 1983;96(6):445-447.
  • Zhang L, Dai SZ, Nie XD, Zhu L, Xing F, and Wang LY, Effect of Salvia miltiorrhiza on retinopathy, Asian Pacific Journal of Tropical Medicine, 2013;6(2):145-149.
  • Lee SM, Sun JM, Jeong JH et al, Analysis of the effective fraction of sun ginseng extract in selenite induced cataract rat model, Journal of the Korean Ophthalmological Society, 2010;51:733-739.
  • Chen Y, Lin S, Ku H et al, Salvianolic acid B attenuates VCAM-1 and ICAM-1 expression in TNF-alpha-treated human aortic endothelial cells, Journal of Cellular Biochemistry,2001;82(3):512-521.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ