โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้  (อ่าน 8 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2018, 05:50:57 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร 
[url=http://www.disthai.com/16880091/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-gastroesophageal-reflux-disease-gerd]โรคกรดไหลย้อน[/url]” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งโดยธรรมดาร่างกายของพวกเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหารแต่ว่าคนที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากยิ่งขึ้นหรือย้อนบ่อยครั้งกว่าคนที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าปกติ ทำให้มีลักษณะระคายรอบๆลำคอ แล้วก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ รวมทั้งมีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนโดยมากหลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งไปซื้อยาลดกรด (antacids)  ที่มีจัดจำหน่ายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ถูกจุด ก็เลยพบว่าในปัจจุบันมีคนเจ็บมาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น  รวมทั้งหากปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังรวมทั้งรักษาด้วยวิธีที่ผิดต้อง อาจนำมาซึ่งการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดของกิน หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้
นอกจากนั้นยังสามารถจัดประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ชนิด เป็น

  • โรคกรดไหลย้อนปกติ หรือ CLASSIC GERD ซึ่งกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่ภายในหลอดของกิน ไม่ไหลย้อนเกินกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดของกินส่วนบน ส่วนใหญ่จะมีลักษณะของหลอดของกินแค่นั้น
  • โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอรวมทั้งกล่องเสียง (Laryngopharyngeal Reflux : LPR) คือโรคที่มีอาการทางคอและก็กล่องเสียง ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไหลย้อนไปของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดของกินส่วนบนอย่างไม่ดีเหมือนปกติ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดลักษณะของคอแล้วก็กล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด

ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่เจอได้ราว 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็พบมากอีกทั้งในผู้หญิงรวมทั้งในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงคนวัยแก่ แม้กระนั้นเจออัตราเกิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และก็เจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของพลเมืองอย่างยิ่งจริงๆ
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุที่เกี่ยวโยงกับความไม่ดีเหมือนปกติ ของแนวทางการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนของกินหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนกระทั่งหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อปิดกั้นไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงข้างล่างของหลอด ของกินนี้หย่อนยานสมรรถภาพ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกินมากกว่าธรรมดา (คนทั่วไปข้างหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่ส่งผลให้เกิดอาการ) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเปลี่ยนไปจากปกติ แล้วก็การอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้
ส่วนมูลเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทำงานไม่ดีเหมือนปกติยังไม่ทราบเด่นชัด แม้กระนั้นมั่นใจว่าอาจเกิดขึ้นจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังรุ่งโรจน์ไม่สุดกำลัง (พบในเด็กแบเบาะ) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด
นอกเหนือจากนั้นความประพฤติในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นแนวทางการทำงานของหลอดของกินให้เกิดความผิดแปลกได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น เป็นต้นว่า นอนหลังรับประทานอาหารทันที รับประทานอาหารจำนวนมากข้างในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ พฤติกรรมต่างๆพวกนี้ล้วนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวการณ์กรดไหลย้อนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
อาการของโรคกรดไหลย้อน  ลักษณะของคนป่วยนั้นขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด เช่น

  • อาการทางคอหอยแล้วก็หลอดของกิน
  • อาการปวดแสบร้อนบริเวณทรวงอก แล้วก็ลิ้นปี่ (Heartburn) หลังทานอาหาร 30-60 นาที หรือข้างหลังกินอาหารแล้วล้มตัวนอนลงราบ นั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ รัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่ออาทิตย์และก็อาการเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมงและก็บางครั้งบางคราวบางทีอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่บริเวณคอได้
  • รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือแน่นคอ
  • กลืนลำบาก กลืนเจ็บ หรือกลืนติดๆขัดๆคล้ายสะดุดสิ่งปลอมปนในคอ
  • เจ็บคอ แสบคอหรือปาก หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเวลาเช้า
  • รู้สึกเสมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)
  • มีเสลดอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดระยะเวลา
  • เรอบ่อย อ้วก เหมือนมีของกิน หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก เหมือนของกินไม่ย่อย (dyspepsia)
  • มีน้ำลายมากไม่ปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
  • อาการทางกล่องเสียง และหลอดลม
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงเปลี่ยนไปจากปกติไปจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในกลางคืน
  • กระแอมไอบ่อยครั้ง
  • อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้าเกิดมี) ห่วยแตกลง หรือไม่จากการใช้ยา
  • เจ็บอก (non – cardiac chest pain)
  • เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ
  • อาการทางจมูก และหู
  • คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอ
  • หูอื้อเป็นๆหายๆหรือปวดหู
  • บางรายอาจมาเจอหมอด้วยภาวะแทรกซ้อน อาทิเช่น มีอาการกลืนของกินแข็งทุกข์ยากลำบาก เหตุเพราะปล่อยให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังจนกระทั่งตีบ
  • ส่วนในเด็กทารกอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่แรกกำเนิดได้ ด้วยเหตุว่าหูรูดด้านล่างของหลอดอาหารยังเจริญไม่เต็มกำลัง เด็กแบเบาะจึงมักมีลักษณะอาการงอแง ร้องกวน อ้วกบ่อยครั้ง ไอบ่อยครั้งตอนค่ำ เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด เบื่อข้าว น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กแรกเกิดบางรายบางทีอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งบางทีอาจกำเริบเสิบสานได้หลายครั้ง แม้กระนั้นอาการชอบหายไปเมื่ออายุได้ประมาณ 6-12 เดือน แต่ว่าบางรายก็อาจคอยจนถึงไปสู่วัยรุ่นอาการจึงจะดีขึ้น
กระบวนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้ รวมทั้งบางทีอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่เปลี่ยนไปจากปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร และอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติมอีก ดังเช่นว่า วัดภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ดังนี้สังกัดดุลยพินิจของแพทย์ เป็นต้นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์ปรมาณู, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น
แต่ว่าโดยส่วนมากแล้ว แพทย์ชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบได้มาก ดังเช่นว่า อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวข้างหลังกินอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติที่เป็นเหตุกำเริบ แม้กระนั้นในรายที่ไม่ชัดแจ้งอาจจะต้องกระทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งเจอได้นานๆครั้ง)
ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน

  • การเปลี่ยนแปลงนิสัย และก็การดำรงชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) การรักษาแนวทางลักษณะนี้มีความหมายที่สุดสำหรับการทำให้คนไข้มีลักษณะลดน้อยลง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการ และก็ลดการกลับเป็นซ้ำ โดยลดจำนวนกรดในกระเพาะ แล้วก็ปกป้องไม่ให้กรดไหลถอยกลับขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอรวมทั้งกล่องเสียงมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุว่าโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายสนิท (ยกเว้นจะผ่าตัดปรับแก้) การรักษาแนวทางนี้ควรปฏิบัติไปทั้งชีวิต เพราะเหตุว่าเป็นการรักษาที่มูลเหตุ แม้ว่าคนป่วยจะมีอาการ หรือหายก็ดีโดยไม่ต้องรับประทานยาและก็ตาม ผู้เจ็บป่วยควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี้

             ควรจะอุตสาหะลดหุ่น
             มานะหลบหลีกความเครียด
             เลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป
             หากมีลักษณะท้องผูก ควรจะรักษา และก็หลบหลีกการเบ่ง
             ควรบริหารร่างกายบ่อย
             หลังจากกินอาหารในทันที อุตสาหะหลบหลีกการนอนราบ
             หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อดึก
             กินอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ
             เลี่ยงเครื่องดื่มบางชนิด อาทิเช่น กาแฟ น้ำอัดลม
             ถ้าเกิดจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรรอประมาณ 3 ชั่วโมง

  • การรักษาด้วยยา กรณีที่ปรับเปลี่ยนความประพฤติแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นจะต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรจะรับประทานยาตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และก็ถ้ามีคำถามควรขอความเห็นหมอหรือเภสัชกร

             ปัจจุบันยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด  คือ ยาลดกรดในกลุ่มยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) อาทิเช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีคุณภาพสูงมากสำหรับในการคุ้มครองลักษณะโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาติดต่อกันตรงเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรืออาจจำต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายเดือนขึ้นกับคนป่วยแต่ละราย อาทิเช่นในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นช่วงๆตามอาการที่มี  หรือกินอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
             บ้างครั้งอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อาทิเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรจะกินก่อนอาหารราว 30 นาที

  • การผ่าตัด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดของกิน คอและกล่องเสียง การรักษาวิธีแบบนี้จะทำใน

             ผู้ป่วยที่มีลักษณะร้ายแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น
             คนไข้ที่ไม่สามารถกินยาที่ใช้สำหรับในการรักษาสภาวะนี้ได้
             คนไข้ที่หลังจากการใช้ยา แต่ว่าไม่ได้อยากต้องการที่จะกินยาต่อ
             ผู้เจ็บป่วยที่กลับกลายซ้ำบ่อยหลังหยุดยา
ทั้งนี้คนไข้ที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายแนวทาง อย่างเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคกรดไหลย้อน

  • อายุ ยิ่งสูงมากขึ้น จังหวะกำเนิดโรคนี้ยิ่งสูงขึ้น
  • การกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณสูง โดยยิ่งไปกว่านั้นรับประทานมื้อเย็นก่อนนอน ด้วยเหตุว่าจำนวนของกินยังค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร รวมทั้งการนอนราบยังเพิ่มแรงกดดันในกระเพาะ อาหารและก็กรดจึงไหลย้อนกลับมาเข้าหลอดอาหารได้ง่าย
  • การกินอิ่มมากมายไป (รับประทานอาหารมื้อใหญ่หรือจำนวนมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามากมาย ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะทำให้หูรูดคลายตัวเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน (ยกตัวอย่างเช่น กาแฟ ยาชูกำลัง) นอกจากกระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย
  • การกินอาหารที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดแล้วก็อาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะขยับเขยื้อนช้าลง ทำให้ได้โอกาสกำเนิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
  • โรคหืด เชื่อว่ามีต้นเหตุมาจากการไอและก็หอบ ทำให้เพิ่มแรงกดดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อน
  • การสูบยาสูบ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินอาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (อย่างเช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางชนิด (อย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดความดันกรุ๊ปห้ามบีตาและกรุ๊ปต่อต้านแคลเซียม ยาทางจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน ฯลฯ) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งมากเพิ่มขึ้น
  • แผลเพ็ปติก และการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้อาหารขับเคลื่อนลงสู่ลำไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้
  • โรคอ้วน เนื่องจากว่าจะก่อให้มีความดันในช่องท้องสูงมากขึ้น ความดันในกระเพาะอาหารก็เลยสูงมากขึ้นตามไปด้วย
  • การมีครรภ์ เพราะจะเป็นการเพิ่มระดับความดันในกระเพาะอาหารจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
  • เบาหวาน เมื่อเป็นโรคนี้นานๆจะมีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะขับเคลื่อนช้า ก็เลยนำไปสู่กรดไหลย้อนได้
  • ความตึงเครียด ด้วยเหตุว่าความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • การมีโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal hernia, Diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ ทำให้หูรูดอ่อนแอเพิ่มมากขึ้น

การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกิดจากความไม่ปกติของกล้ามหูรูดส่วนล่างของหลอดของกิน ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารและเกิดการอักเสบและก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน

  • กินยาให้ครบรวมทั้งตลอดตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการเกิดขึ้นอีก แล้วอุตสาหะเลี่ยง เช่น อาหารมัน (รวมถึงข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) ของกินเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ ยาสูบ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน น้ำอัดลม     น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางจำพวก
  • หลบหลีกการกินอาหารจำนวนมาก (หรืออิ่มจัด) และก็เลี่ยงการดื่มน้ำมากมายๆระหว่างกินอาหาร ควรกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย และก็ทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง
  • หลังทานอาหารควรปลดสายรัดเอวและตะขอกางเกงให้หละหลวม ไม่สมควรนอนราบหรือนั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งตัวตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง เลี่ยงการยกของหนักและก็การออกกำลังกายหลังอาหารใหม่ๆ
  • หมั่นออกกำลังกายแล้วก็คลายเครียด เนื่องเพราะความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดเยอะขึ้น ทำให้อาการกำเริบได้
  • หากน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรหาทางลดความอ้วน
  • หากมีลักษณะอาการกำเริบตอนไปนอน หรือตื่นนอนตอนเช้า มีอาการเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรหนุนหัวสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านหัวให้สูง หรือใช้วัสดุอุปกรณ์พิเศษ (bed wedge pillow) ใส่ใต้ที่นอนให้เอียงลาดจากหัวลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่แนะนำให้ใช้วิธีหนุนหมอนหลายใบให้สูง ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในท้องมากยิ่งขึ้น ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้
  • งด/เลิก ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ/สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง
  • พบหมอตามนัดเสมอ และรีบพบหมอก่อนนัดหมายเมื่ออาการต่างๆชั่วช้าสารเลวลงหรือผิดไปจากเดิม

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคกรดไหลย้อน การป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นหัวใจหลักที่จะสามารถคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำรงชีวิตของพวกเรา ตัวอย่างเช่น

  • เลือกรับประทานอาหารรวมทั้งเสี่ยงรับประทานอาหารโดยของกินที่ควรเลี่ยง เป็นต้นว่า

             ชา กาแฟ และก็น้ำอัดลมทุกชนิด
             อาหารทอด ของกินไขมันสูง
             ของกินรสจัด รสเผ็ด
             ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
             หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
             ช็อกโกแลต

  • ทานอาหารมื้อเล็กๆพออิ่ม การกินอิ่มเกินไปจะมีผลให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายขึ้นรวมทั้งก่อให้เกิดการย้อนของกรดง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  • ไม่สมควรนอนหรือเอนกายหลังอาหารโดยทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จควรรอคอยขั้นต่ำ 3 ชั่วโมงก็เลยเอนตัวนอน เพื่อของกินขับเคลื่อนออกมาจากกระเพาะอาหารซะก่อน
  • งดเว้นยาสูบและก็เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ สารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหารแล้วก็ทำให้หูรูดอ่อนแด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้ด้วยเหมือนกัน
  • ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร เสื้อผ้าแล้วก็เข็มขัดที่รัดแน่นรอบๆฝาผนังพุง การก้มตัวไปข้างหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นต้นเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะของกินและทำให้กรดไหลย้อนไป
  • ความเครียดลดลง ความเครียดที่มากเกินไปจะมีผลให้อาการแย่ลง จำเป็นจะต้องหาเวลาพักผ่อนแล้วก็ออกกำลังกายให้สมดุลกับตารางชีวิต
  • รักษาโรคประจำตัวที่เป็นต้นเหตุที่จะส่งผลให้เกิดโรคกรดไหลย้อน เป็นต้นว่า โรคเบาหวาน โรคหืด โรคอ้วน แผลเท็ปว่ากล่าวก อื่นๆอีกมากมาย
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง / รักษาโรคกรดไหลย้อน
ยอ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia สกุล Rubiaceae มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ผลลัพธ์ที่ดี เท่าๆกับยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษากรดไหลย้อนหมายถึงรานิติดีน (ranitidine) และก็แลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต่อต้านการเกิดแผล และก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับเพื่อการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาลักษณะของกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งจากการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยข้างต้น และการที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ของกินไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะ ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยทำให้กระเพาะบีบเคลื่อนได้ดีขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
ทั้งนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ร่วมกัน คือ ขมิ้นชัน เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับในการรักษาอาการท้องอืด รวมทั้งช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือในกระเพาะ รวมทั้งลำไส้เล็กนานเหลือเกิน ทั้งยังช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้กินขมิ้นชันก่อนที่จะรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ยามเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินคือ ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มิลลิกรัม
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์     Curcuma longa L. ตระกูล     Zingiberaceae ชื่อพ้อง  C. domestica Valeton  ชื่ออื่นๆ   ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์                curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากบาดแผลเจริญ การทดลองในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มก./กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดลองเทียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มก./กก. พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้กระนั้นถ้าสูงขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต้านการอักเสบจะต่ำลง แล้วก็ sodium curcuminate ยังสามารถยั้งการบีบตัวของไส้หนูในหลอดทดสอบที่เหนี่ยวนำจากนิโคติน อะซีว่ากล่าวลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนและก็ธาตุแบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้
ขมิ้นสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะ โดยกระตุ้นการหลั่งมิวซินมาเคลือบและก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับในการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กก. สามารถกระตุ้นการหลั่งไม่วซินออกมาเคลือบกระเพาะอาหาร แต่ว่าถ้าเกิดใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดแผลในกระเพาะอาหารได้
มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมาก พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนน้ำย่อยรวมทั้งกรดในกระเพาะอาหาร แต่ว่าเพิ่มส่วนประกอบของไม่วซิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีคุณประโยชน์และก็ถูกนำมาใช้สำหรับการรักษาโรคสูงที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนสูง นอกจากนี้ถูกจัดไว้ในตำราเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งคุณประโยช์จากใบย่านางสำหรับในการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ไส้อักเสบ   -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้          -ช่วยรักษาลักษณะของกรดไหลย้อน
รักษาและก็ป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง  -ช่วยคุ้มครองปกป้องแล้วก็บรรเทาการเกิดโรคหัวใจ  -ช่วยปกป้องและก็ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้  -ช่วยรักษาลักษณะโรคโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้น้อยลง
ระบบผิวหนัง  -ช่วยสำหรับในการรักษาโรคเริม งูสวัด   -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบสืบพันธุ์แล้วก็ฟุตบาทเยี่ยว  -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี   -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินฉี่
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยทำนุบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารภายในร่างกายและก็ช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมถึงโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง

  • Rao TS, Basu N, Siddiqui HH.  Anti-inflammatory activity of curcumin analogs.  Indian J Med Res 1982;75:574-8.
  • รศ.ดร.สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ.เกิร์ด (GERD)-โรคกรดไหลย้อน.ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคกรดไหลย้อน/เกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease/GERD)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  ห



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ